ตำนานสะท้านฟ้า (สารบัญ)
ยังไม่เปิดจ้า
ยังไม่เปิดจ้า
บู๊ลิ้มพันทิพย์
บทที่ 1 เป่ย ตอนที่ 1 มังกรสงบเริ่มปั่นป่วน






ค่ำวันนี้ โรงเตี๊ยมพิรุณโปรยปรายของเฒ่าฟ่ง แม้จะมีโต๊ะในห้องโถงแค่หกเจ็ดตัว แต่โต๊ะเกือบทุกตัวล้วนถูกจับจองจนสิ้น จางฝาน เสี้ยวเอ้อประจำโรงเตี๊ยมกระวีกระวาดเก็บกวาดโต๊ะๆ หนึ่งที่ลูกค้าเพิ่งจากไป เพื่อเตรียมโต๊ะนั้นสำหรับให้บริการแก่ลูกค้ารายใหม่บ้าง หนุ่มน้อยจางฝานตอนนี้มันอายุได้ 17 ขวบปีแล้ว มันทำงานในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มานาน 2 ปีกว่าแล้วเห็นจะได้


มันเป็นลูกชายคนที่สามจากจำนวนพี่น้องห้าคน มีอยู่ปีหนึ่ง พี่ชายคนโตและคนรองของมันถูกเกณฑ์เข้าสมรภูมิ แต่มันมิได้ถูกเกณฑ์ไปด้วย เนื่องเพราะมันเป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัว ราชการจึงปล่อยไว้ให้ดูแลบ้านช่องบ้าง ในส่วนพี่ชายคนโตของมันนั้นมิรู้เป็นตายร้ายดีประการใดไม่ส่งข่าวคราวมาบ้านทั้งสิ้น ส่วนคนรองนั้นสังกัดอยู่กับแม่ทัพใหญ่นายหนึ่ง ส่วนชื่อของแม่ทัพใหญ่รายนั้น คนนำสารก็เคยบอกแก่มันไว้ แต่มันมิใคร่จะจดจำได้เท่าไหร่นัก พี่รองของมันนั้นได้เบี้ยหวัดเดือนละมากโขพอดู หากหักลบกับค่าใช้จ่ายส่วนตัวและลูกเมียทางโน้นแล้ว ก็ยังพอส่งให้ครอบครัวทางบ้านครั้นละหลายๆ สิบอีแป๊ะได้อยู่ ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็พอประทังชีวิตของทั้งครอบครัวไปได้นิดๆ หน่อยๆ นอกนั้นพี่หญิงของมันทั้งสอง ต่างก็แต่งงานไปเสียหมดสิ้นแล้ว ดังนั้นมันจึงต้องหางานทำ เพื่อช่วยเหลือตัวเองและครอบครัวบ้าง


“อาฝานเอ้ย มาทางนี้หน่อย ลูกค้าโต๊ะห้าจะชำระเงินแล้ว”


เสียงของเฒ่าฟ่งเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเรียกให้จางฝานเก็บเงินนั้น แม้ทั้งที่พูดเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ดังมาก เนื่องเพราะมันเองมีอายุร่วมเจ็ดสิบแล้ว ยังดีที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่กว้างขวางนัก ก็เลยพอจะฟังได้ยินชัดอยู่



“ได้ๆ เถ้าแก่”


จางฝานเดินหลังงุ่มๆ ไปเก็บเงินแก่โต๊ะนั้น รูปร่างของมันสมกับเป็นเสี่ยวเอ้อเสียจริง หลังมันงองุ้มค่อนข้างมากพอสมควร ผิวคล้ำดำด่างเหมือนตอหม้อก็ปาน ยังดีที่หน้าตาของมันยังเรียกว่าดูได้บ้างเท่านั้นเอง มิเช่นนั้นหากทุเรศอัปลักษณ์กว่านี้ คงมิน่ามองกว่านี้เสียแล้ว


หลังจากลูกค้าทุกคนค่อยๆ ทยอยออกจากร้านไปทีละโต๊ะสองโต๊ะ มันก็ได้พักผ่อนเสียบ้าง มันนั่งลงบนตั่งๆ หนึ่ง วันนี้สมกับเป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยของมันจริงๆ เนื่องเพราะวันนี้มีลูกค้ามากเป็นพิเศษ


“เอ้า ซาลาเปา รีบรับทานเสีย จะได้เก็บกวาดที่เหลืออีก”


เฒ่าฟ่งพูดเสียงนุ่มละมุนอันเป็นปกติของชายชราใจดี มันยิ้มน้อยๆ ให้ก่อนจะยื่นจานที่มีซาลาเปาอยู่ 3 ลูก ให้แก่จางฝาน เนื่องเพราะมันเองก็เห็นจางฝานเป็นดั่งบุตรในอุทรก็ปาน จางฝานยิ้มตอบ แล้วเริ่มลงมือรับทานซาลาเปานั้น


“ไม่ต้องรีบรับทานขนาดนั้นก็ได้”


เฒ่าฟ่งส่งเสียงคล้ายปรามๆ จางฝานหน่อยมา ขนาดที่ตัวมันค่อยๆ เคลื่อนกลับไปยังโต๊ะชำระเงินแล้วเริ่มทำบัญชีที่มันทำค้างอยู่ต่ออีก
หลังจากรับทานซาลาเปาทั้ง 3 ลูกลงท้องไปหมดแล้ว จางฝานก็ได้เก็บกวาดโต๊ะทุกตัว หน้าต่างประตูทุกบานถูกมันปิดสนิทหมดสิ้น มันจึงลาเฒ่าฟ่งกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม


วันนี้ก็เช่นทุกวัน ราบเรียบ แจ่มใสยิ่งนัก หากเป็นเมื่อวานคงมิแน่เท่าใดนัก นั่นเพราะเมื่อวาน หย่งกิมฮ้วง อันธพาลเรียกเก็บค่าคุ้มครองและทวงหนี้ประจำหมู่บ้านนี้มาตอแยร้านของมัน จนโต๊ะในร้านล้มระเนระนาดไปหมดสิ้น จางฝานส่ายหัวไปมา สะบัดความคิดถึงเรื่องเมื่อวานนั้นจนหมดสิ้น


มันเดินเข้าไปในซอยข้างโรงเตี๊ยมเพียงไม่กี่หลัง ก็ถึงบ้านอันแสนสงบสุขของมันแล้ว บ้านมันอยู่ใกล้เช่นนี้เองมิน่าเล่าถึงได้ไม่นอนค้างที่โรงเตี๊ยม เพราะหากเกิดเรื่องอันใด เฒ่าฟงก็ลัดหลังร้านมาหามันได้ทันที หรือหากมีเสียงใดๆ ลอดออกมา มันย่อมต้องได้ยินเป็นแน่แท้ อีกทั้งมันยังมีเวลาดูแลบิดามารดาเฒ่าของมันนั่นเอง


รุ่งวันนี้ มิเหมือนเมื่อวาน เนื่องเพราะวันนี้ โต๊ะทางในสุดถูกจับจองเพียงเดียวดาย ในตั่งหนึ่งของโต๊ะประกอบด้วยคนเพียงคนเดียวนั่งอยู่ ตั่งข้างตัวคนผู้นั้นมีเป้สัมภาระตั้งอยู่ ถึงกับเป็นหลวงจีนชราผู้หนึ่ง อายุท่านอาจจะน้อยกว่าเฒ่าฟ่งซักสิบปีเห็นจะได้ แสงแดดยามเช้าตกกระทบถูกศีรษะล้านโล้นนั้นบังเกิดประกายเพียงเล็กน้อย หากแสงแดดแรงกว่านี้ น่ากลัวจะต้องมีอาทิตย์สองดวงเกิดขึ้นในห้องโถงเสียแล้ว


ไต้ซือรูปนั้นเพียงสั่งอาหารมังสวิรัติมาสองสามอย่าง นอกนั้นก็เป็นน้ำชาขึ้นชื่อของฮกเกี้ยน และซาลาเปาเพียงไม่กี่ลูกมารับทาน พร้อมกันนั้นท่านก็นั่งไล่ลูกประคำไปเรื่อยๆ ลูกประคำของท่านนั้นมีสีดำนิลสนิทช่างน่าดูยิ่ง ท่านนั่งอยู่อย่างนั้นทั้งวัน จานอาหารเพียงกระดิกไม่กี่ครา แต่ก็ยังคงหมดสิ้นไปในที่สุด


ใกล้ถึงตอนเย็นแล้ว ท่านได้จองห้องพักไว้ห้องหนึ่ง จางฝานจึงเดินนำทางท่านเข้าไปยังห้องพักที่อยู่ทางด้านหลัง ซึ่งมีเพียงสองห้องเท่านั้น ก็อย่างที่รู้กันทั่วไปอยู่แล้วว่าโรงเตี๊ยมเล็กๆ เพียงนี้ ไหนเลยจะหาห้องหับมากมายได้
ไต้ซือท่านนั้นเดินตามหลังจางฝานมาอย่างช้าๆ พอถึงในห้องพักจางฝานจุดตะเกียงน้ำมันจนสว่าง


เท่านั้นล่ะ..ท่านก็ทรุดนั่งบนเก้าอี้พิงแขนตัวหนึ่งริมห้อง ล้วงเอาลูกประคำชุดเดิมจากอกเสื้อมาไล่อีก พรมมือข้างหนึ่ง กล่าวคำเจริญพุทธมนต์ อมิตาพุทธ อมิตาพุทธ เบาๆ สามครา ก็หลับตาพริ้มไป จางฝานทราบดีแก่ใจว่า หากเป็นเถระผู้เคร่งครัดแล้วจะมิยินยอมนั่งนอนอยู่บนเตียงเป็นแน่แท้ เนื่องเพราะมันเคยเห็นภิกษุมามากพอควรเช่นกัน


ที่เป็นเช่นนี้ท่านต้องทราบด้วยว่าโรงเตี๊ยมนี้อยู่ห่างจากเมืองหลินฉวนอันเป็นเมืองทางออกสู่ตะวันตกของฮกเกี้ยน ไม่กี่สิบลี้เท่านั้น


ในเมืองฟุเจี้ยนนั้น เป็นเมืองที่ตั้งของสำนักมาตรฐานแห่งหนึ่งของชนชาวนักเลง และมีนามระบือไกลยิ่งนัก เรียกว่า “วัดเสี้ยวลิ้มยี่ใต้”


หลังจากจัดแจงห้องพักนั้นเสร็จสรรพ ลูกประคำมิได้เคลื่อนไหวอีกแล้ว ไต้ซือท่านนี้หลับสนิทอย่างยิ่ง แต่น่าแปลกที่ลมหายใจของท่านก็สงบอย่างยิ่งเช่นกัน จางฝานจึงจงใจปิดประตูเพียงเบาๆ มิให้เถระท่านนี้เป็นที่รำคาญใจ


อีกวันต่อมา ท่านก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม กระทำแบบเดิม วันนี้โรงเตี๊ยมมีแขกเหรื่อมากพอดู แต่ก็มิมากเท่าวันก่อนหน้านั้น ดังนั้นจางฝานยังพอหายใจได้บ้าง เมื่อลูกค้าทยอยออกไปจนหมดสิ้น มันก็เข้าไปพูดคุยกับไต้ซือท่านนี้ ได้รับคำตอบจากท่านว่า ท่านเพิ่งเดินทางกลับมาจากตะวันตก แต่ยังไม่พร้อมใจยินยอมกลับคืนสู่วัด อีกทั้งตอนนี้ท่านยังมีความต้องการจะเดินทางไปจาริกแสวงบุญทั่วประเทศเสียก่อน


ยังมิทันที่มันจะถามท่านให้มากความกว่านี้ ก็มีกลุ่มคนเข้ามาในร้านเสียก่อน


จางฝานและเฒ่าฟ่งหันไปมองเกือบจะพร้อมๆ กัน ผู้ที่เข้ามานั้นล้วนตัวใหญ่โตทั้งสิ้น พวกมันมีสามคนด้วยกัน พวกจางฝานทั้งสองล้วนลอบตกตะลึงพึงพรืดจนแทบเกือบขาดใจตาย


เนื่องเพราะวันนี้เกิดมีฝูงหมาป่าผู้กระหายเงินตราเดินเข้ามาเสียก่อน


กลุ่มของ หย่งกิมฮ้วง นั่นเอง!!!!


จางฝานและเฒ่าฟ่งมีท่าทางประหวัดขวัญเสียตั้งนานแล้ว ข้างไต้ซือท่านนั้นก็พนมมือข้างหนึ่ง กล่าวเจริญพุทธมนต์เบาๆ อีกครา ก่อนจะยกน้ำชาขึ้นจิบช้าๆ และวางถ้วยน้ำชานั้นลงอย่างช้าๆ


“เฒ่าฟ่งวันนี้การค้ารุ่งเรืองมิใช่น้อยๆ  ไหนๆ ลองเอาเหล้านารีแดงซักสองไหมาให้เป็นของกำนัลแก่เล่าเอี้ย (คำยกย่องว่าเป็นนาย) ทั้งหลายหน่อยจะเป็นไร?”


น้ำเสียงของมันดุดันยิ่ง แววตาก็เหี้ยมเกรี้ยมยิ่ง พรางนั่งลงบนตั่งโต๊ะตัวข้างหน้าสุดตัวหนึ่ง จากนั้นลูกน้องสองคนก็นั่งลงตั่งตัวข้างๆ เฒ่าฟ่งกระวนกระวายใจมิรู้จะทำสิ่งใดดี รีบป้ายตาส่งต่อแก่จางฝาน ซึ่งมันเองก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก มันรีบเข้าไปยกสุรานารีแดงที่อยู่หลังร้านมาสองไหทันที แล้วก็นำมาวางไว้ยังโต๊ะของหย่งกิมฮ้วงถึงสองไห



เมื่อสุราปรากฏ หย่งกิมฮ้วงก็ยิ้มแย้มขึ้นคราหนึ่ง แต่เป็นยิ้มที่เหี้ยมเกรี้ยมยิ่ง เป็นอำมหิตยิ่ง ตอนนี้ดวงหน้าของมันที่ไม่น่าดูอยู่แล้ว กลับยิ่งไม่น่าดูไปยิ่งกว่าก่อนเสียอีก มันเหม่อมองไหสุราคราหนึ่ง หันไปมองร่างจางฝานคราหนึ่ง


จากนั้นร่างใหญ่ของมันสั่นสะท้าน ทีละน้อยๆ พร้อมพูดเน้นทีละคำออกมาว่า


“ยังไม่รินสุราใส่ชามของบิดาอีก”


เสียงนี้ดั่งเสียงฟ้าฟาดตอนกลางวันใส่กลางกระหม่อมของจางฝานทันที บนโต๊ะนั้นปกติร้านใดขายสุรา มักจะมีชามดื่มกินให้แก่ลูกค้าเสมอ ชามนั้นมีขนาดใหญ่พอดู แต่วันนี้ชามนั้นกลับดูเล็กลงถนัดตาเมื่อมันอยู่ในมือหยาบใหญ่ของหย่งกิมฮ้วง แล้วยิ่งขนาดในใจจางฝานนั้นเล่า? จะยิ่งไม่ต้องพูดถึงหรือ แม้เมื่อหลายวันก่อนมันจะไม่บาดเจ็บอันใด แต่ก่อนหน้านั้นเล่า?


มันล้วนถูกทุบตีจากคนพวกนี้นานแล้ว


“ริน!!”


เสียงสั่งอีกครา มันยกไหสองมือ แต่มือเจ้ากรรมกับสั่นยิ่ง สั่นจนเหมือนกับคนแก่อายุร่วมร้อยปีเสียก็ปาน น้ำเมาค่อยไหลรินออกจากปากไหช้าๆ เกือบจะถึงครึ่งชามอยู่แล้ว หัวใจของจางฝานค่อยๆ สดชื่นขึ้นมาจำนวนของน้ำเมาที่เพิ่มขึ้น


แต่!! บัดดลนั้นกลับบันดาลสิ่งที่จางฝานกลัวเกรงที่สุด


ดั่งคำโบราณที่ว่า ฟ้ามักกลั่นแกล้งผู้คน!


ยามนี้ทั่วบริเวณกับเงียบไร้สุ้มเสียงใดอีกแล้ว เสียงตุบคราหนึ่ง ร่างของจางฝานก็ลอยละลิ่วเกือบจะถึงไต้ซือท่านนั้นอยู่แล้ว ทำไมถึงเป็นเช่นนี้เล่า?
นั่นก็เพราะจางฝานมือสั่นเสียจนทำไหสุราราดรดลงบนเสื้อผ้าของ หย่งกิมฮ้วง ที่น่ากลัวนั่นเข้าแล้ว จางฝานกำลังจะฝืนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง


แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้มันลุกได้เร็วเท่ากับที่ลูกน้องหนึ่งในสองของหย่งกิมฮ้วงกระชากคอเสื้อของมันทุ่มเข้าไปใส่ลูกพี่ของมัน แล้วมันผู้นั้นก็หัวร่อเสียงสดใสขึ้นหนึ่งครา พรางกล่าว


“ฮาฮา ตั่วกอ (พี่ใหญ่) ลองเล่นลูกยางมนุษย์หน่อยเป็นไร?”


“ยินดีรับคำท้าเสมอ”



หย่งกิมฮ้วงพูดจบ พลางเตะกราดมาที่จางฝานผู้น่าสงสารกลับคืนไปให้ลูกน้องของมันอีกผู้หนึ่ง จางฝานรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง ทั้งร่างของมันเหมือนเป็นเครื่องเล่นของพวกประดานี้ก็มิปาน มันกลิ้งหลุนๆ ไปกับพื้นเข้าหาลูกน้องผู้นั้น แล้วลูกน้องผู้นั้นก็ส่งกลับคืนไปมา ให้แก่หย่งกิมฮ้วงผู้เป็นพี่ใหญ่ และลูกน้องอีกผู้หนึ่ง
ไต้ซือที่นั่งอยู่บริเวณนั้น มิทราบคิดเห็นประการใด พนมมือสองข้าง พลางกล่าวพุทธมนต์ อมิตาพุทธ อมิตาพุทธ เบาๆ อีกสามครา ก็พูดเสียงราบเรียบแต่ชัดเจนขึ้นมาว่า


“ประสกโปรดหยุดมือให้แก่อาตมาก่อน”


มิทราบลูกประคำหายไปตั้งแต่เมื่อใด!!


พูดจบก็พรางยืนขึ้นอย่างแผ่นเบา ดั่งร่างนั้นไร้น้ำหนักโดยสิ้นเชิงก็ปาน ความจริงท่านน่าจะสั่งพวกมันทั้งสามให้หยุดเท้ามากเสียกว่า!!!


มิว่าจะเป็นประการใด บัดนี้พวกทั้งสามต่างหยุดเท้าไว้โดยสิ้นแล้ว ลูกน้องผู้หนึ่งพลันกล่าวตวาด


“โล้นอยู่ส่วนโล้น คนมีผมอยู่ส่วนคนมีผม อย่ายุ่งกันให้วุ่นวาย!”


จางฝานพลันสอดคำอย่างยากลำบากขึ้นมา


“ไต้ซือท่านอย่าเดือดร้อนเพราะข้าพเจ้าเลย ไม่คุ้มค่าหรอกขอรับ”


“ประเสริฐ ท่านนับเป็นคนดีจริงๆ”


ขณะกล่าว ท่านก็ชำเลืองมองร่างของจางฝานที่งอเอวเจ็บปวดอยู่บนพื้น ไต้ซือท่านนี้ขนาดกล่าววาจานี้ แม้หางตาก็ยังมิยินยอมมองพวกหย่งกิมฮ้วงแม้แต่น้อยนิด ทำให้หย่งกิมฮ้วงที่มีชื่อเสียงในพวกนักเลงมาอยู่บ้าง ถึงกับอดมีโทสจริตมิได้ คำรามคราหนึ่งก็ทะยานออกไปดั่งอาชาไนย ถึงเบื้องหน้าของไต้ซือ ก็จัดการปล่อยหมัดยาวเสียงสานออกไป


ย่อมต้องทราบว่า ในยุคนี้หมัดยาวเสียงสานนั้นเป็นเพียงชุดเพลงหมัดธรรมดาสามัญเท่านั้น และที่หย่งกิมฮ้วงคดโกงชาวบ้านได้นั้น ก็เพราะหมัดชุดนี้เอง


หย่งกิมฮ้วง กำลังจะกระหยิ่มยิ้มย่องลำพองในชัยชนะของตน มันกลับไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มวูบหนึ่งของไต้ซือท่านนั้น แต่มันกลับได้ยินเสียงอื้ออึงเต็มสองหู เสียงนั้นเป็นเสียงว่ากระไร!!


ก่อนจะเข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้นกันแน่นั้น ตอนนี้มันก็มิอาจโต้ตอบใดๆ ได้อีกแล้ว
นั่นเพราะมันสิ้นสติไปเสียแล้ว!!


ข้างลูกน้องทั้งสอง และพวกจางฝานทั้งสองเพียงมองเห็นหย่งกิมฮ้วงพุ่งเข้าไปต่อยตีหลวงจีนผู้นี้ แต่มิทราบท่านทำประการใด หย่งกิมฮ้วงก็กระเด็นกระดอนหนีจากร่างของท่าน พอมันลงถึงพื้นก็พลันสลบไสลอยู่กับที่ แทบจะทันทีพวกลูกน้องก็กระวีกระวาดลากมันออกไปจากร้านนี้ทันที


เนื่องเพราะพวกมันประสบพบเจอกับยอดฝีมือเข้าให้แล้ว!!


ไต้ซือท่านนั้นก็มิได้สนใจจะติดตามพวกประดานั้นไปให้เสียมือ พนมมือสองข้างพลางกล่าวเจริญพุทธมนต์สองสามครา ก็เดินเข้าไปพยุงจางฝานขึ้นจากพื้น พอท่านพยุงเท่านั้น มันก็รับรู้ถึงพลังบางอย่าง ไหลพรั่งพรูเข้าสู่ร่างของมันจากแขนไปแทบจะทั่วสรรพพางค์ ทำให้มันรู้สึกสบายตัวยิ่งนัก หลวงจีนชราพยุงมันมาวางไว้บนตั่งตัวหนึ่งข้างๆ ท่าน แต่ท่านก็มิได้กล่าวประการใด ทั่วทั้งบริเวณนั้นกลับไร้สุ่มเสียงใดอีกครา


จวบจนเย็น ขณะท่านจะเดินเข้าไปในห้องพักนั้น จางฝานก็นำเอาลังน้ำล้างเท้าติดตามไปด้วยอย่างกระชั้นชิด มันเริ่มมีความเคารพยำเกรงหลวงจีนชราท่านนี้มากยิ่งขึ้น ซึ่งความรู้สึกนี้อาจจะมีทั้งความรู้สึกเคารพและความรู้สึกกลัวเกรงไปด้วยในตัว มันยกลังน้ำติดตามมา แต่ท่านถึงกับหยุดตัวในบัดดล จางฝานชะงักมิทันจึงเข้าไปชนอย่างจัง
ตอนนี้หัวใจมันตกลงไปที่ตาตุ่มแล้ว


เสี่ยวเอ้อทั้งหลายล้วนเป็นเช่นนี้ พวกมันจะมิยินยอมเข้าไปต่อกรกับผู้มีอำนาจเด็ดขาด มันก็เหมือนเช่นเดียวกับผู้อยู่ใต้ปกครองมิยินยอมไปประทะประมือกับผู้ปกครองเด็ดขาด ซึ่งหากพวกมันกระทำเช่นนั้นย่อมอาจจะทำลายชีวิตน้อยๆ ของมันเสียก็ได้


“ขออภัยขอรับ ขออภัยขอรับ”


จางฝานละลั่กละล่ำกล่าวอย่างตะกุกตะกัก


“ประสกไม่ผิดดอก อาตมาต่างหากที่หยุดกะทันหัน จนประสกหยุดยั้งมิทัน”


ท่านยิ้มแย้มแจ่มใสยิ่งนัก ซึ่งนั่นจางฝานก็เห็นถนัดตา เนื่องเพราะบางทีผู้มีที่อำนาจน้อยกว่า เวลากระทำผิดอันใด แล้วขออภัยโทษแก่ตนนั้น มักจะต้องลอบสำรวจใบหน้าของผู้มีอำนาจว่า ยังโกรธอยู่หรือไม่โกรธกันแน่
ท่านกล่าวต่อไปว่า


“วันนี้อาตมายังอยู่ พวกมันจึงยังมิยินยอมเข้ามาทำร้ายพวกท่าน หากอาตมาไปเสียเล่า มันจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น?”


“จะเกิดเหตุการณ์ใดขอรับ”


บัดนี้จางฝานใจชื้นขึ้นมาอีกหน่อย มันจึงค่อยๆ ยกหน้าขึ้นมาสู้หน้ากับหลวงจีนชราได้เสียที เพื่อมันจะได้ฟังคำตอบจากท่านถนัดกว่านี้


“พวกมันจะต้องกลับมาทำร้ายพวกท่านอีกแน่นอน”


“เช่นนั้น จะทำอย่างไรดีขอรับ”


จางฝานเริ่มรู้สึกถึงความกลัวอีกครั้ง เพราะครั้งหน้ามันต้องโดนหนักกว่านี้เป็นแน่แท้


“เอาอย่างนี้ อาตมามีวิชาฝีมือนอกเหนือจากวิชาของเสี้ยวลิ้มยี่ที่ไม่ยินยอมให้สอนแก่บุคคลภายนอกสองสามอย่าง อาตมาพอจะสอนให้ท่านได้ป้องกันตนได้บ้าง”


“ขอบพระคุณขอรับ ขอให้ข้าพเจ้าได้คำนับคารวะท่านเป็นอาจารย์”


จางฝานมีสีหน้าปิติยิ่ง ว่าพลางจึงรีบคุกเข่า กระแทกศีรษะของมันกับพื้น แต่ยังมิทันทำอย่างไร หลวงจีนชราก็ยกฝ่ามือพยุงมันเพียงเบาๆ เพียงฝ่ามือบางเบานี้ก็ทำให้ตัวมันลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้ว มันจึงกำมือทั้งสองคารวะแก่ไต้ซือท่านนี้แทน


“ตัวอาตมานั้นยังมิเคยรับศิษย์มาก่อน แต่หากรับศิษย์แล้ว ศิษย์สมควรเป็นบรรพชิตจึงจะถูก ดังนั้นท่านมิจำเป็นต้องคุกเข่าคารวะดอก อาตมาเพียงแค่สอนฝีมือเพียงน้อยนิดให้เท่านั้น”


แค่เพียงฝีมือเพียงน้อยนิดที่ท่านกรุณาจะสอน ก็ทำให้จางฝานหัวใจพองโตรำลึกบุญคุณอันล้นพ้นของไต้ซือท่านนี้แล้ว พรางรีบจรดมือคารวะหลายครา ก็ติดตามเข้าไปปรนนิบัติท่านให้สบาย ก่อนจะทำตามกิจวัตรประจำวัน แล้วมันจึงกลับบ้านนอนหลับฝันดี


หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ตกเย็นเกือบทุกวัน หลวงจีนชราก็ได้สอนวิชาฝีมือหมัดมวยให้แก่จางฝาน สองท่าสามท่าบ้าง ตามแต่โอกาส
มันเองเมื่อได้รับสอนฝีมือสองสามท่าจากท่านอย่าง ปลาพลิกร่างหนึ่งกระบวนท่า พยัคฆ์กระโจนสองกระบวนท่า หมัดยาวเสียงสานสามกระบวนท่า และหมัดม้วนวงแขนสามกระบวนท่า เพลงหมัดมวยเหล่านี้ แม้จะเป็นเพลงหมัดมวยธรรมดาสามัญ แต่ท่านก็อธิบายตามกระบวนท่า จางฝานแม้ไม่ค่อยเข้าใจ แต่เมื่อท่านทำท่าประกอบ มันซึ่งเป็นคนช่างสังเกตอยู่แล้ว ก็กระทำตามโดยไม่ผิดพลาดประการใด


ท่านอธิบายอยู่สามวัน จางฝานก็ฝึกตามกระบวนท่าที่ท่านสอนสามวัน พอตกวันที่เจ็ดที่ท่านมา หลวงจีนชราก็ให้จางฝานทดลองประมือกับท่าน วันแรกและวันที่สองท่านใช้พลังเพียงหนึ่งเศษส่วนรับการจู่โจมของจางฝานเท่านั้น พอตกวันที่สามถึงวันที่สี่ท่านก็ต้องเพิ่มพลังเป็นสองและสามเศษส่วนตามลำดับ แม้ว่าท่านจะยังมิได้ใช้พลังเต็มหนึ่งส่วน แต่นั่นก็ทำให้จางฝานดีใจยิ่งนัก หลวงจีนชราถึงกับชมไม่ขาดปากกล่าวว่าจางฝานมีพรสวรรค์อยู่ในตัว


วันที่สิบสองที่หลวงจีนชรามาพำนักที่โรงเตี๊ยมพิรุณโปรยปราย วันนี้จางฝานเข้ามาปรนนิบัติท่านแต่เช้าเหมือนเช่นเดิม มันถึงกับตกตะลึงเมื่อท่านไต้ซือเก็บข้าวของของท่านกลับคืนสู่เป้ย่ามเรียบร้อยแล้ว พรางพนมมือกล่าวคำเจริญพุทธมนต์หนึ่งครา พร้อมหันหน้ามาทางจางฝานที่ยืนตะลึงอยู่หน้าประตูทางเข้า


มันเข้าใจดีว่า งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา!!


แต่มันก็ยังไม่อาจตัดใจ มันเหม่อมองดู แล้วก็รีบตรงไปข้างหน้าท่านพร้อมกับพยายามจะคุกเข่าลงอีกครา


เหมือนจะรู้ก่อน!


มันกระโดดหมุนคว้างตัวตามท่าปลาพลิกร่างจนไต้ซือชราจะพยุงมิได้ แล้วมันจึงคุกเข่าลง เอาหัวกระแทกพื้นดังๆ สามคราจึงพยุงตัวเองลูกขึ้นพูดพร้อมคำนับว่า


“ไต้ซือท่าน โปรดรับการคารวะจากผู้น้อยด้วย”


“อมิตาพุทธ อมิตาพุทธ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ การพลัดพรากจากกันก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์เช่นเดียวกัน”



“ข้าพเจ้าทราบขอรับ ดังนั้นจึงเพียงได้แต่กระทำการคารวะท่านไต้ซือเท่านั้น”


มันว่าพราง จึงผายมือเชิญท่านไต้ซือออกจากห้องนั้นไป ท่านเดินมาจนจะถึงประตูทางเข้า เฒ่าฟ่งเห็นดังนั้นก็เข้ามาพยายามคุกเข่าลงอีกคน แต่ไต้ซือชราประคองมันขึ้นเสียก่อน จากนั้นไต้ซือจึงล้วงนำเอาถุงเหรียญอีแป๊ะที่ติดตัวยัดเข้าใส่มือของเฒ่าฟ่ง เฒ่าฟ่งจะอย่างไรก็พยายามดึงมือกลับ แล้วยัดถุงเหรียญกลับคืนไปให้ ยื้อกันไป ยื้อกันมาสองสามครา เฒ่าฟ่งจึงกล่าวว่า


“หากมิได้ไต้ซือท่านช่วยออกหน้า จางฝานผู้หลานของข้าพเจ้าคงต้องถูกพวกมันทุบตีจนตายแน่ๆ ขอรับ เหรียญเงินที่ท่านจะให้นั้น ข้าพเจ้ามิอาจรับไว้ได้จริงๆ”



มันพูดพรางน้ำตาเอ่อนองเต็มสองเบ้า หลวงจีนชราจะอย่างไรก็มิอาจทนทานได้ จึงไม่พยายามยัดถุงเหรียญใส่มือมันอีก มันจึงค่อยๆ มีอาการดีมากขึ้น พอหมดเรื่องเช่นนี้ ท่านก็ละมือ เดินออกจากนอกร้านไปทางทิศเหนือมุ่งสู่เมืองหลินฉวนต่อไป


จางฝานซึ่งอยู่ข้างหลังเฒ่าฟ่งนั้น พลันคุกเข่าลงกับพื้นจรดศีรษะ ร้องเรียก อาจารย์โปรดรับการคารวะ อีกหลายครา จนไต้ซือพ้นไปจากสายตาของมัน มันจึงลุกขึ้นยืนได้ ทั้งสองคนเหม่อมองหน้ากัน ถอนหายใจ


แม้ไต้ซือท่านนี้มิใช่ญาติมิตร และยังพำนักพักแรมกับโรงเตี๊ยมแค่สิบสองวัน


แต่สิบสองวันนี้ ก็ทำให้มันทั้งสองรู้สึกตื้นตันบุญคุณของท่านจริงๆ


ทั้งสองยังมิรู้ว่าการมาของไต้ซือชราครั้งนี้


กำลังจะเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของจางฝานไปตลอดกาล!




** จางฝาน เป็นชื่อภาษาจีนกลางขอรับ

แต่เนื่องจากข้าน้อยต้องการรักษาต้นฉบับ

ดังนั้น จึงยังคงชื่อนี้

หากท่านใดที่รู้ว่า หากจะเขียนเป็นจีนแต้จิ๋วว่าเช่นไร กรุณาบอกกล่าวมาได้ขอรับ




Create Date : 31 สิงหาคม 2551
Last Update : 4 กันยายน 2551 17:08:23 น. 6 comments
Counter : 417 Pageviews.

 
เอาไปลงที่เด็กดีด้วยสิครับ ที่นั่นกำลังเหงามาก


โดย: เสี่ยวเหลียงจือ IP: 124.121.185.141 วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:14:50:23 น.  

 
พื้นหลังมันเป็นผิวขรุขระ อ่านยากเหมือนกันนะครับ


โดย: เสี่ยวตั๋ง IP: 124.121.195.132 วันที่: 3 กันยายน 2551 เวลา:8:24:03 น.  

 
ท่านใดคิดว่าอ่านยากเกินไป

กรุณาก๊อบบี้ แล้วนำไปวางใน Notepad หรือ Word ได้ขอรับ

โปรดรับคำตำหนิ ข้าน้อยทำมิเป็น


โดย: กระบี่เก้าเดียวดาย วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:15:14:12 น.  

 
รอติดตามน่ะ เรื่องแรกที่อ่านแนวนี้อ่ะ

สู้ ๆ ๆ ๆ


โดย: นางฟ้าตกสวรรค์ IP: 202.28.47.15 วันที่: 5 กันยายน 2551 เวลา:16:23:42 น.  

 
สนุกค่ะรอติดตามนะ ลำปางอยู่แถวไหนค่ะ


โดย: ลิสา IP: 124.157.152.236 วันที่: 5 กันยายน 2551 เวลา:20:16:50 น.  

 
ข้าน้อยอยู่เกาะคาขอรับ


โดย: ต๊กโกวเก้าเกี่ยม (กระบี่เก้าเดียวดาย ) วันที่: 6 กันยายน 2551 เวลา:19:21:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กระบี่เก้าเดียวดาย
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




...ฟังพิรุณบนหอน้อยเพียงเดียวดาย..
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
31 สิงหาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add กระบี่เก้าเดียวดาย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.