ตำนานสะท้านฟ้า (สารบัญ)
ยังไม่เปิดจ้า
ยังไม่เปิดจ้า
บู๊ลิ้มพันทิพย์
บทที่ 1 เป่ย ตอนที่ 10 ฟากฟ้าไม่ยุติธรรม






ตำนานสะท้านฟ้า บทที่ 1 เป่ย ตอนที่ 10 ฟากฟ้าไม่ยุติธรรม


ภายในเยิร์ก เตมูจินตกตะลึงใจเมื่อเห็นจางฝาน เพียงแค่หากตนโกนหนวดเคราที่ปกคลุมหน้าออก ต้องคล้ายกับคนผู้นี้ยิ่งแล้ว เพียงชั่วขณะข่านแห่งมองโกลผู้นี้ก็สงบท่าทีลงได้ จากนั้นเชื้อเชิญแขกทั้งสามนั่งลงยังที่นั่งรับแขก แต่ก็ยังไม่วายหันมองหน้าจางฝานอยู่มิได้ขาด พวกจางฝานทั้งสามเองก็เช่นกัน เตมูจินนั่งลงแล้ว เปร่งคำพูดภาษาฮั่นสำเนียงแปร่งออกมา


“พวกท่านเดินทางมาไกลคงเหน็ดเหนื่อย คืนนี้ก็พักอยู่กับเราเถิด”


ทั้งสามกล่าวขอบคุณ เตมูจินยิ้มแย้มคราหนึ่ง แต่ก็ยังมิวายหันมองหน้าจางฝานอยู่ดี หลังจากแนะนำตัวเสร็จสรรพจึงถามไถ่ชื่อแซ่ของทั้งสาม ระหว่างนั้นทหารนายหนึ่งนำเอาอาหารว่างมาส่ง จากนั้นเดินกลับออกนอกเยิร์กไป
ทั้งสามเหม่อมองคราหนึ่ง เต้าจี้ไต้ซือกระหายสุรายิ่งนัก จึงร้องเรียกหาสุราอยู่ไม่ขาดปาก เตมูจินเห็นเป็นที่แปลกใจ แต่ก็ไม่คิดถามให้มากความ สั่งทหารนายหนึ่งที่อยู่ด้านนอกจัดนำเอาเหล้านมม้าของชาวมองโกลมากระปุกสองกระปุก เพียงชั่วครู่ทหารนายนั้นก็ถือเอากระปุกใส่เหล้าตามแบบฉบับชาวมองโกลเข้ามา


“เหล้านมม้าของพวกเราขึ้นชื่อลือชา หวังว่าทุกท่านคงไม่รังเกียจ เชิญทุกท่าน”


เต้าจี้ไต้ซือพลันรับคำ ไม่ๆๆๆ ยิ้มแย้มคราหนึ่ง เห็นทหารเทเหล้านมม้าจากกระปุกใส่ในถ้วยชามทั้งสามจนล้นปรี่ น้ำลายที่ข้างแก้มเริ่มปริ่มๆ ออกมา ท่านไต้ซืออดทนรอไม่ไหว กรอกเทลงปากแห้งไปจนหมดสิ้น จากนั้นร่ำร้องขออีกๆ นายทหารเห็นท่านรับทานสุราเหมือนรับทานน้ำเปล่า ยิ่งฉงนใจ แต่ก็มิกล้าไถ่ถามแขกเหรื่อ


“ท่านไต้ซือคิดว่ารสชาติเป็นเช่นไร”


“ร้ายกาจ ร้ายกาจ เหล้านี้ ร้ายกาจยิ่งนัก เอิ๊ก”


เต้าจี้ไต้ซือชูนิ้วโป้งขึ้นแสดงออกมาว่าเยี่ยมยอด กล่าวจบก็ยกแห้งไปอีก ปากก็ร่ำร้องขอเหล้าอีกครา นายทหารถึงกับส่ายหัวไปมา จากนั้นจึงเทเหล้าใส่ลงไปอีก พวกจางฝานทั้งสองเห็นแล้ว ถึงกับส่ายหัวตามๆ กันไป น่ายาเอ่อร์เพียงก้มลงหัวเราะเบาๆ ดูคล้ายดั่งสตรีชาวฮั่นผู้หนึ่ง ส่วนเตมูจินหัวร่อเสียยกใหญ่ พลันชูนิ้วทำตามเต้าจี้ไต้ซือ จากนั้นหันหน้าไปถามกังโส่วหู่


“พวกท่านขึ้นเหนือมาด้วยเหตุอันใด”


“พวกข้าพเจ้าหลบหนีอาญามา เนื่องจากไปขัดแย้งกับพวกกังฉินฉินกุ้ยน่ะขอรับ”


เตมูจินยิ้มแย้มคราหนึ่ง ร้องอ้อคำหนึ่ง แต่สายตาก็ยังไม่คลาดไปจากจางฝานเลยแม้แต่น้อยนิด จากนั้นหันมาแนะนำน่ายาเอ่อร์ให้ทุกท่านรู้จักอีกครั้ง


“นี่คือ น่ายาเอ่อร์ ทุกท่านคงรู้จักแล้วกระมัง นางเป็นน้องภรรยา บอร์เต ของข้าพเจ้าเอง นางตามข้าพเจ้ามา เนื่องเพราะพวกเรากำลังจะไปรับบอร์เต”


กังโส่วหู่เหม่อมองเบื้องนอกคราหนึ่ง ด้วยความช่างสังเกตแบบหัวขโมย มันฉงนใจที่เตมูจินแค่ไปรับภรรยากลับบ้านเรือน เหตุใดจึงนำพาทหารไปมากมายเป็นกองร้อยเยี่ยงนี้ ก่อนที่มันจะเอ่ยถาม คารวะด้วยสุราคราหนึ่ง ยกสุราแห้งไป เตมูจินก็กระทำดุจเดียวกัน


“ข้าพเจ้าขออภัย ว่าแต่เหตุใดท่านข่านถึงนำพากองทหารสองสามร้อยคน ไปรับภรรยาด้วย”


เตมูจินอ้ำอึ้งคราหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจอีกครา จากนั้นจึงกล่าว


“ภรรยาข้าพเจ้าถูกเผ่าเมอร์คิสจับตัวไปเมื่อหนึ่งปีก่อน ดังนั้นทัพนี้ย่อมยกไปช่วยนางกลับมา เผ่าเมอร์คิสหยามเกียรติเราไว้มาก คึกครั้งนี้คงมีไว้แก้แค้นการหยามเช่นนั้น”


“เช่นนั้น พวกข้าพเจ้าติดตามไปชมดูได้หรือไม่”


เตมูจินหัวร่อเสียงดังๆ คราหนึ่ง จางฝานสีหน้าเปลี่ยนแปรไป ไม่รู้ในใจของกังโส่วหู่นึกคิดอะไรอยู่ คนผู้นี้ไม่รู้เป็นมิตรหรือศัตรู หากเกิดเหตุอันตรายใด ใยมิใช่นำตนเข้าสู่ปากของพยัคฆ์ มันมิรู้จะถามความเห็นจากใคร หันไปมองเต้าจี้ไต้ซือ ก็ท่านกำลังดื่มกินสุราอย่างเดียว มิได้สนใจใยดีอะไรด้วย จางฝานถึงกับส่ายหัวไปมาเบาๆ


ทั้งหมดร่วมรับทานอาหารร่วมกัน เตมูจินให้เกียรติกับแขกเหรื่อค่อนข้างมาก จึงดูเปิดเผยจริงใจด้วยเป็นอย่างดี คลายความระแวงสงสัยของจางฝานลงไปได้มากโข
อากาศในดินแดนทุ่งหญ้า ‘สเตปป์’ แห่งมองโกลมีหมอกจางๆ เบาบางลอยอยู่ทั่วไป จางฝานลุกขึ้นเหม่อมองทุ่งหญ้าสุดลูกตาที่ใกล้จะถึงฤดูตังเทียน(ฤดูหนาว) กังโส่วหู่เดินออกมาเบื้องข้าง ถอนหายใจคราหนึ่ง


“ท่านยังมินอนหรือ”


จางฝานส่ายหัวน้อยๆ ก่อนจะหันหน้ากลับไปถาม


“ท่านคิดยังไง ถึงได้จะติดตามขบวนของเตมูจินไปรบด้วย”


“เรื่องนี้ข้าพเจ้าคิดไว้แล้วว่าท่านต้องถาม ตอบท่านตามตรง ข้าพเจ้าเคยมาดินแดนนอกด่านนี้หลายครั้ง ดังนั้นเรื่องการหาเมืองใหญ่ๆ หรือหมู่บ้านนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าหากไม่ติดตามขบวนนี้ไป เราคงได้อดตายกันอยู่กลางทุ่งหญ้าเป็นแน่ ครั้นจะหาคนผ่านทางขบวนอื่นก็คงต้องรออีกเนิ่นนาน อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าคาดคิดว่าพวกมองโกลคงไม่มีการติดต่อกับพรรคเทวราชเด็ดขาด เพราะพวกมันก็คิดจะโจมตีเมืองซ่งเช่นกัน”



จางฝานอ้ำอึ้งอยู่นาน จึงได้ตอบกลับไป


“เช่นนั้น เราไม่ควรที่จะติดตามขบวนเช่นนี้เลย”


“เฮอะ ท่านคิดจะเป็นผู้กล้าหรือ? ท่านแน่ใจอย่างนั้นหรือว่าพอมีวิชาติดตัวติดฝีมือมาจะช่วยชาติที่แหลกเหลวได้ อีกทั้งท่านเป็นเพียงแค่ราษฎร ท่านคิดจะช่วยเหลือบ้านเมืองเยี่ยงไร? ปล่อยให้มันเป็นไปตามชะตากรรมเถิด”


กังโส่วหู่หันหลังกลับเข้าเยิร์กไป โดยไม่ฟังคำคัดค้านของจางฝานแม้สักครึ่งคำ ปล่อยให้จางฝานยืนขบคิดด้วยตนเองเบื้องนอกเพียงเดียวดาย
รุ่งเช้าขบวนได้เตรียมเคลื่อนย้ายต่อไป พวกจางฝานเห็นเยิร์กมากมาย คาดคิดว่าคงจะเสียเวลาเป็นครึ่งวันกว่าจะแล้วเสร็จ ที่ไหนได้ใช้เพียงเวลาไม่กี่ชั่วยาม เยิร์กเหล่านั้นก็ถูกเก็บไว้อย่างเรียบร้อย ผู้คนในขบวนเดินทางอีกเนิ่นนานจนถึงใกล้มืดค่ำ จึงได้จัดตั้งเยิร์กอีกคราหนึ่ง


ค่ำคืนวันนี้ พวกจางฝานนั่งพิงไฟอยู่รอบๆ กองไฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง เบื้องหลังมีทหารมองโกลยืนเรียงรายทั่วไปนับได้สองสามร้อยคนเศษ กังโส่วหู่ไถ่ถามเรื่องราวจากเตมูจิน ในที่สุดเตมูจินระบายลมจากปากคราหนึ่ง บอกเล่าเรื่องราวความแค้นระหว่างเผ่าตนกับเมอร์คิสให้รับฟัง



ปีหนึ่งเมื่อสมัยที่เตมูจินอายุได้แปดเก้าปี เยซูไกบิดาและหัวหน้าเผ่ามองโกลได้นำพาเตมูจินไปเลือกเฟ้นเจ้าสาวที่เผ่าเมอร์กิส เพื่อเป็นสัญญาสงบศึก ระหว่างทางเยซูไกพบเจอขบวนเยิร์กของเผ่าสหายเก่าไตเซซาน จึงขอเข้าไปพักค้างแรมที่นั่น
ที่แห่งนี้เองที่เตมูจินพบเจอกับบอร์เตลูกสาวของไตเซซาน เตมูจินเกิดสนใจนางขึ้นมา จึงได้ตกลงใจบอกบิดาว่าจะรับเธอเป็นเจ้าสาว


เยซูไกไม่ว่าอะไรแต่ก็รู้สึกไม่พอใจ เพียงตกปากรับคำเป็นดองกับสหายเก่า ระหว่างทางกลับจากเผ่าของสหาย เยซูไกมิยอมปริปากพูดคุยกับบุตรชายแม้สักครึ่งคำ ในที่สุดระบายลมปากออกมาคราหนึ่ง ม้าของท่านอยู่เบื้องหน้ากล่าวโดยไม่หันมามองหน้าบุตรชายว่า
“ลูกทำถูกแล้ว ผู้ชายต้องเลือกเมียด้วยตนเอง”


มาถึงที่แห่งหนึ่งเยซูไกพบเจอศัตรูเก่า โดยที่ไม่ระวังเยซูไกผู้อาจหาญกลับดื่มกินสุรานมม้าที่ผสมพิษของศัตรู ซาคูไตรองหัวหน้าเผ่าเห็นดังนั้นจึงหัวร่อชอบใจ หนีกลับเผ่าไปยึดอำนาจ ปล่อยให้เตมูจินนำร่างไร้วิญญาณของบิดามาเพียงลำพัง


เมื่อเตมูจินกลับมาถึงเผ่า ซาคูไตได้ยึดอำนาจสำเร็จแล้ว ยังดีที่มารดาของเตมูจิน พูดถึงธรรมเนียมของชาวมองโกลที่จะไม่ฆ่าเด็ก เตมูจินจึงหนีรอดออกมาได้


หลังจากหลบหนีอยู่นานปี เตมูจินจึงมีโอกาสลอบสังหารซาคูไตได้สำเร็จ ยึดอำนาจเผ่ากลับคืนมา รวบรวมเผ่ามองโกลที่แตกกระสานซ่านเซ็นมารวมกันได้ดังเดิม


พวกเมอร์คิสเมื่อรู้ข่าวการเปลี่ยนแปลงดังนี้ หัวหน้าเผ่าจึงรีบดั้นด้นมาโจมตี ตอนนั้นเตมูจินเพิ่งไปรับบอร์เตคู่หมั้นของตนมาได้เพียงเจ็ดแปดวัน
แม้ทหารมองโกลมีน้อยกว่าพวกเมอร์คิสเกือบสิบเท่า แต่ก็ไล่พวกมันกลับไปได้


ระหว่างสงครามสองเผ่าหัวหน้าเผ่าเมอร์คิสชิเรโตลอบชิงเอาบอร์เตไปเพื่อหยามเกียรติ
เตมูจินเป็นเดือดเป็นแค้นยิ่งนัก หลังรวบรวมกำลังพลสำเร็จภายในหนึ่งปี จึงดั้นด้นเดินทางไปหาจามูฮางี่เฮีย(พี่ร่วมสาบาน)ขอหยิบยืมกำลังพลส่วนหนึ่งไปร่วมสู้รบในการสงครามครั้งนี้ แต่จามูฮาบ่งบอกให้รอหนึ่งปี


พอข่านแห่งมองโกลเล่าจบก็หัวร่อเสียงดัง น่ายาเอ่อร์ฟังแล้วก็มิพูดจากระไร เต้าจี้ไต้ซือก็เพียงเอนกายนอนดื่มกินสุราจากกระปุกของชาวมองโกลหลับตาพลิ้มเงียบงันเช่นกัน คล้ายดั่งมิได้ใส่ใจกับคำพูดของเตมูจินแม้แต่น้อย แต่กังโส่วหู่และจางฝานสบตากันวูบหนึ่ง เหมือนดังกล่าวแก่กันว่า


“คนผู้นี้เหี้ยมหาญยิ่งนัก ทั้งอดทนรอคอยได้เนิ่นนาน น่ากลัว หากรวบรวมกำลังพลมองโกลได้ทั้งหมด คงพิชิตทั่วหล้าเป็นแน่”


การเดินทางมาสู่เผ่าจามูฮานั้นคล้ายดังค่อนข้างไกล แต่ม้ามองโกลวิ่งได้อย่างรวดเร็วยิ่ง เพียงสามวันที่พวกจางฝานมาพักค้างแรม ก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
เตมูจินนำขบวนของตนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเยิร์กหลักของชนเผ่านั้น คนทั้งเผ่าเห็นข่านที่เป็นมิตรกับข่านของตนล้วนเบิกทางให้ เพียงต่างชำเลืองมองน่ายาเอ่อร์ที่ติดตามเท่านั้น แม้จะเห็นเพียงแวบเดียวล้วนตะลึงงันในความงามของนาง


คนข้างในเยิร์กเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้าก็เดินออกมาจากเยิร์กอย่างเชื้องช้า ข่านแห่งมองโกลเมื่อเห็นคนผู้นี้ก็ถลันร่างออกไปเบื้องหน้า ร้องเรียกคราหนึ่งก็เข้าไปสวมกอด
คิ้วของคนผู้นี้บางเบา หน้าตาเจ้าเล่ห์แสนกล มิได้ไว้เคราเหมือนข่านแห่งมองโกล เพียงแต่มีหนวดขนาดพบเหมาะตั้งอยู่บนหน้าเท่านั้น นี่คงเป็นจามูฮา งี่เฮียของเตมูจินเป็นแน่


หลังจากสวมกอดกันเนิ่นนาน จามูฮาจึงกล่าวสนทนากับเตมูจินด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรหลายคำ จากนั้นเตมูจินนำเสื้อคลุมขนเตียวสีดำนิลรายหนึ่งยื่นมอบส่งให้ ที่แท้เสื้อตัวนี้เป็นของหมั้นหมายระหว่างเตมูจินและบอร์เต มีมูลค่ามมหาศาลเปรียบปานมิได้ จามูฮารับเสื้อและสวมใส่เสื้อคลุมนั้น พลันหัวร่อฮาฮาดังแว่วออกมา


พวกจางฝานที่มิรู้ภาษามองโกลล้วนไม่เข้าใจคำพูดเหล่านั้นแม้สักครึ่งคำ จามูฮา
หันมองไปที่เบื้องหลังของเตมูจิน จึงบอกกล่าวให้เข้าไปพูดกันสองคนด้านใน เตมูจินหันกายกลับมาบอกพรรคพวกพร้อมทั้งพวกจางฝานให้รั้งอยู่เบื้องนอก


เมื่อเดินเข้าไปถึง เตมูจินบอกเล่าเรื่องราวขอหยิบยืมทหารของจามูฮาขึ้นมา มันหัวร่อเสียงดัง ก่อนจะทำสีหน้าเคร่งเครียด ส่งเสียงภาษามองโกลออกไป


“เราชาวมองโกล จะไม่ทำสงครามแก่งแย่งอิสตรี เจ้าเองก็รู้ดีมิใช่หรือ”


เตมูจินพยักหน้าเข้าใจคราหนึ่ง มิได้ส่งเสียงตอบกลับแต่ประการใด เพียงแต่ฟังคำกล่าวของจามูฮาต่อไป


“ข้าจะบอกไทจาให้จัดหาภรรยาให้เจ้าอีกสองคน”


“ไม่ต้องถึงกระนั้นหรอกตั่วกอ(พี่ใหญ่) ข้าพเจ้าเพียงต้องการบอร์เตภรรยาข้าพเจ้ากลับคืนมาเท่านั้น”


จามูฮาหัวร่อเบาๆ ออกมาอีกครา จากนั้นจึงกล่าว


“น้องเรา ข้านึกว่าเวลาหนึ่งปีจะทำให้เจ้าลืมภรรยาคนนั้นของเจ้าเสียอีก”


พูดจบ กลับหัวร่อขึ้นมา แต่ครั้งนี้ดังกล่าวสองครั้งแรกมากนัก


“สถานการณ์กำลังสุกงอม ข้าพเจ้ามาตามนัดแล้ว”


เพียงคำพูดเดียวของเตมูจิน จามูฮาถึงกลับหุบหัวร่อไปในบัดดล พลันไทจาน้องชายของจามูฮาเดินเข้ามาด้านในเสียก่อน จามูฮาผายมือข้างหนึ่งจึงกล่าวแก่ไทจา


“ไทจา คำนับงี่ตี๋(น้องร่วมสาบาน)ของพี่เสีย”


ทั้งหมดเงียบงันเนิ่นนาน จากนั้นจามูฮาจึงเงยหน้ารำพันขึ้นว่า


“ไอ้พวกเมอร์คิสมันหยามเกียรติงี่ตี๋ของข้า”


ไทจาเพียงส่งเสียงรับคำคราหนึ่ง แต่น้ำเสียงคล้ายรู้สึกไม่พอใจ เนื่องเพราะตลอดเวลา พี่ชายของตน มักจะกล่าวถึงแต่วีรกรรมอันกล้าหาญของเตมูจินกรอกหูตนอยู่ทุกวี่วัน


ในตอนแรกนั้นไทจาก็ยังพอทำเนาสรรเสริญเอ่อออไปด้วย แต่พอนานวันเข้าเริ่มรู้สึกว่าพี่ชายของตนกลับรักเตมูจินงี่ตี๋ของเขามากกว่าตนเองที่เป็นเฮียตี๋(พี่ชายน้องชาย)คลานตามกันมาเสียอีก ความนี้ล้วนเป็นอันคับข้องหมองใจตนยิ่งนัก ผูกใจเจ็บต่อเตมูจินตลอดมา



ข้างเตมูจินก็เข้าใจความอันนี้ จึงมิได้ใส่ใจไทจามากนัก เนื่องจากตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ข่านแห่งมองโกลล้วนไม่มาเยี่ยมเยือนงี่เฮียของตนก็เพราะประการนี้เอง
จามูฮารำพันจบไปแล้ว เยิกร์กหลังนั้นกลับไร้ซึ่งสุ่มเสียงอันใด เนิ่นนานมันถึงได้หันหน้าไปมองเตมูจินแล้วกล่าวว่า


“เจ้าจะหยิบยืมทหารไปสักกี่มากน้อย”


“ข้าพเจ้าขอแค่อาวุธและผู้ติดตามเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว”


จามูฮาสั่นศีรษะคราหนึ่ง ก่อนจะแย้งไป


“แค่นั้นมิเพียงพอดอก”


“ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงมาหาตั่วกอ”


จามูฮาพยักหน้าคล้ายดั่งเข้าใจ จากนั้นจึงลุกขึ้นไปบิดคร้านคราหนึ่ง ก่อนหันไปดึงดาบที่อยู่เบื้องหลัง ชักออกจากฝักคราหนึ่ง ก่อนกล่าว


“ดี ตั่วกอจะไปด้วยกันกับเจ้า”


ในที่สุดสัญญาหนึ่งปีที่รอคอยของเตมูจินก็สัมฤทธิ์ผล


ทั้งหมดออกเดินทางสู่ทิศเหนือในวันรุ่งขึ้น พวกทหารเผ่าจามูฮาที่ติดตามมาทั้งหมดเหม่อมองดูน่ายาเอ่อร์ล้วนปิติยินดีเบิกบานใจยิ่งนัก โดยเฉพาะไทจานั้นมองนางตาแทบถลนออกจากเบ้า
มีครั้งหนึ่งเข้าไปกระซิบกระซาบกับจามูฮาพลันหัวร่อออกมาเสียทั้งคู่ ขึ้นเหนือมาเรื่อยๆ มีป่าสนอยู่เรียงรายตามภูเขา ภูมิประเทศล้วนสูงชันขึ้นตามลำดับ


ตอนนี้คงใกล้เทือกเขาอัลไตมากแล้วกระมัง?


บรรดาทหารม้าที่ติดตามจำนวนห้าหกร้อยนาย มีเพียงทหารราบเพียงน้อยนิด เดินลัดเลาะไปตามที่ราบสูงแห่งนี้อย่างยากลำบาก แต่ก็มิรู้สึกเหน็ดเหนื่อยประการใด เมื่อหันมองน่ายาเอ่อร์ล้วนสบายใจทั้งสิ้น


ใกล้เข้าถึงเขตเผ่าเมอร์คิสทุกขณะ พวกจางฝานที่เดินทางติดตามอยู่เบื้องหลัง ทั้งสามหวนนึกถึงคำพูดของเตมูจินที่บอกกล่าวด้วยน้ำเสียงแกมร้องขอว่ามิต้องร่วมทำสงครามด้วยเพียงแต่มองดูอยู่ห่างๆ และช่วยพิทักษ์น่ายาเอ่อร์เท่านั้นพอ แต่กระนั้นทั้งสามคนก็ยังรู้สึกมิสบายใจเท่าใดนัก คล้ายมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง แม้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ แต่ในใจจางฝานก็มิได้ทุกข์ร้อน ซ้ำคล้ายรู้สึกสุขียิ่งนักเมื่อได้ใกล้ชิดนางในฝันคนนี้มากขึ้น


ขบวนทหารมาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าเป็นแนวหินระเกะระกะมากมาย เตมูจินที่นำทัพหน้าด้วยตนเองกลับรู้สึกว่าเหมือนมีคนซุ่มโจมตีพวกตนอยู่ คงเป็นพวกเผ่าเมอร์คิสเป็นแน่แท้ จึงบังคับม้ากลับไปหาจามูฮาที่ทัพหลัก


มันหัวร่อคราหนึ่ง ก่อนสั่งการให้แยกย้ายกันเดินทางเป็นหลายสาย คาดคิดว่าพวกเมอร์คิสน่าจะซุ่มกำลังโจมตี ณ ที่แห่งนี้ โดยให้ทหารม้านำทางไปก่อน


เตมูจินผู้หาญกล้าค่อยๆ นำทัพม้านั้น แยกย้ายกันเดินทางอย่างแผ่วเบา ม้าศึกที่นำติดตัวมาล้วนแต่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ชาวมองโกลนั้นอยู่บนหลังม้ามาโดยตลอด ยิ่งแกล้วกล้าสามารถยิ่งนัก
เตมูจินเหม่อมองไปรอบทิศสั่งทหารม้าหยุดอยู่กับที่ หันซ้ายแลขวาจนหมดสิ้น จามูฮาควบม้าติดตามมาอยู่เคียงข้างที่ทัพหน้าแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากอย่างรวดเร็ว กรอกตาไปมาตามนิสัยส่วนตัวเมื่อถึงคราที่ต้องรอคอยข้าศึกศัตรู


เมื่อมองไม่เห็นข้าศึก ทัพหน้าก็เดินทางลัดเลาะไปตามแนวหินเหล่านั้น เมื่อมาได้ครึ่งทางจามูฮาหันหน้าไปด้านหนึ่ง ได้ยินเสียงโจมตี โจมตีแว่วมาเป็นระยะๆ ทหารทั้งมวลในทัพแม้เตรียมใจมาแล้ว แต่ก็อดประหวั่นพรั่นพรึงเสียมิได้ ถึงกับหยุดอยู่กับที่ในบัดดล


พวกทหารเมอร์คิสเข้ามาห้อมล้อมตัดแบ่งกำลังเป็นสองส่วน เตรียมบดขยี้ทัพหน้าก่อน จึงจะสับสังหารทัพหลัง
พวกมันมิได้ใช้ม้า แต่มาเท้าเปลือยเปล่า เนื่องจากความเร็วม้ามักจะลดทอนกับภูมิประเทศแถบนี้อยู่แล้ว การซุ่มโจมตีต้องเน้นกระชับฉับไว พวกมันจึงกระทำดังนี้


แม้เห็นว่าตกที่นั่งลำบาก แต่พวกทหารมองโกลหาได้ทั้งวอกแวกหรือกลัวเกรงไม่ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้พัวพันกัน ทัพหลังที่ติดตามอยากหาโอกาสเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็จนใจที่มิทราบฝ่ายใดเป็นฝ่ายใด
การศึกที่ชุลมุนเยี่ยงนี้ พวกเมอร์คิสย่อมเห็นเป็นโอกาส อีกทั้งดินแดนแถบนี้เป็นพื้นที่ของตน ย่อมชำนาญการเป็นพิเศษ


พวกมันใช้สองง่าม หากและดาบที่ทั้งยาว ทั้งแหลมคม จัดการทหารมองโกลคนแล้วคนเล่า แต่พวกมันก็มิได้ดีไปกว่ากันเท่าใด
การศึกเป็นไปอย่างรวดเร็ว เสียงฆ่าฟันกันทำเอาน่ายาเอ่อร์อดกลัวเกรงเสียมิได้ แอบอิงอยู่หลังกังโส่วหู่ทั้งสามอยู่ไม่ห่าง



จามูฮาที่อยู่ในวงล้อมถูกทหารเมอร์กิสคนหนึ่งใช้สองง่ามยาวใหญ่แทงเข้าสู่ท้องม้าคราหนึ่ง ม้าที่หยัดยืนอยู่ถึงกับทรงตัวมิได้ ล้มลงไปกองกับพื้น ทหารเมอร์คิสคนนั้นเร่งเร้าแทงใส่จามูฮาเป็นการใหญ่ ยังดีที่มันฉวยเอาเกราะอันหนึ่งที่ตกอยู่ข้างกายต้านทานเอาไว้ได้ แต่ปลายแหลมที่แทงทะลุเข้ามาของคมง่ามกลับเคลื่อนเข้าใกล้ถูกนัยต์ตาอย่างช้าๆ


พลันกำลังที่กดดันหายไปหมดสิ้น จามูฮาจึงเอียงเกราะข้างหนึ่งเหม่อมอง ที่แท้เตมูจินลงจากหลังม้าศึกเนิ่นนานแล้ว แทงคมดาบเข้าไปในร่างของทหารเมอร์คิสคนนั้น ช่วยชีวิตจามูฮาได้สำเร็จ
จามูฮาหัวร่อฮาฮาออกมาคราหนึ่ง กลิ้งหลบไปด้านหนึ่ง ถลันร่างเข้าไปต่อสู้ในวงล้อมอีกครา นับว่าฝีมือดาบของจามูฮาเลิศล้ำจริง เพียงกลิ้งออกไปคราเดียว สังหารศัตรูรอบกายได้หกเจ็ดคน


เตมูจินเหม่อมองรอบข้างคราหนึ่ง คาดคิดว่าสถานที่อันประเสริญนี้ คงเป็นที่หลบซ่อนของชนเผ่าเมอร์คิสเป็นแน่แท้ จากนั้นดึงหน้ากากของเผ่าเมอร์คิสคนนั้นขึ้นมาสวมใส่ วิ่งขึ้นไปข้างหน้าหมายหาที่มั่นของศัตรู เพียงไม่นานก็พบเจอ


ด้านในคล้ายดั่งเยิร์กเหล่านี้ถูกทิ้งร้างเมื่อไม่นาน ไอควันหุงต้มยังคงไม่จางหาย ชโงกดูเข้าไปในเยิร์กหลังหนึ่ง ก็ไม่พบผู้ใด
ข้างกายได้ยินเสียงตวาดถามขึ้นคราหนึ่ง



“เจ้าเป็นใคร”


เตมูจินหันมาช้าๆ ที่แท้เป็นคนเผ่าเมอร์คิสคนหนึ่ง เตมูจินไม่ตอบคำ ฟาดฟันดาบใส่ท้องของมันในขณะที่เมอร์คิสคนนั้นง้างขวานเตรียมประหารศัตรู


แต่ไหนเลยจะเร็วเท่า? ที่สุดก็สิ้นใจ


ขณะกำลังจะวิ่งไปหาต่อ ได้ยินเสียงตวาดถามเช่นเดิมจากหลายทิศทาง เตมูจินถอดหน้ากากออกในบัดดล ร้องเสียงดังข่มขู่


“ข้าพเจ้าเตมูจิน มาทวงภรรยาของข้าพเจ้าคืนไปแล้ว”


ทหารเมอร์คิสที่วิ่งห้อมล้อมเข้ามาหลายสิบคน พวกมันกลับลืมเลือนไปว่า หากวิ่งเข้ามาไม่พร้อมเพรียงกัน ไหนเลยจะสังหารศัตรูได้ เพียงดาหน้าเข้าหาความตายเท่านั้น แต่ถ้าพวกมันเข้ามาพร้อมกัน อย่างนั้นร่างของเตมูจินก็พลุนไปแล้ว


นี่จึงเรียกว่าลืมเลือนไปหาความตาย?


เตมูจินฟาดฟันทหารที่เข้ามาจนหมดเกลี้ยง คนสุดท้ายถูกมันขวางหอกเข้าไปปักคาอยู่บนเสาต้นหนึ่ง มันมองซ้ายมองขวาอยู่เนิ่นนาน จึงมองเห็นเยิร์กหลังใหญ่หลังหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นเยิร์กหลักจึงวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ในใจเพียงหวังว่า บอร์เต ท่านอย่าเพิ่งถูกสังหาร


เมื่อเตมูจินเปิดผ้าคลุมเยิร์กออกมา น้ำตาพลันจะปริ่มไหลเสียให้ได้ ในที่สุดก็พบเจอแล้ว นางที่เฝ้าคิดถึงอยู่เนิ่นนานได้มาอยู่เบื้องหน้าตนแล้ว นางนั่งอยู่เบื้องหน้ามิใช่ความฝันหรือ?


มันหยิกแก้มตนเองสองสามที ก็ทราบว่านี่คือความจริงมิได้ฝันไป
บอร์เตมีหน้าตาคลับคล้ายกับน่ายาเอ่อร์พอสมควร เพียงแต่สง่างามกว่า อ่อนโยนกว่าเท่านั้น นางเห็นสามีของตนถลันเข้ามา น้ำตาก็จะพาลไหลเสียให้ได้เหมือนกัน ตอนนี้ตนสวมชุดของชาวเมอร์คิสอยู่ แต่ก็มิได้รีบลุกขึ้นไปกอดรัดสามีเหมือนที่คิดถึง


เตมูจินมองไปเบื้องข้าง เห็นชิเรโตหัวหน้าเผ่าเมอร์คิสนอนไม่ไหวติงอยู่เบื้องข้างนาง ก็ทราบทันทีว่าที่แท้กองทัพที่ตนพบเจอนั้น เป็นทัพหลักไม่ใช่ทัพหน้าเสียแล้ว ตอนนี้หัวหน้าเผ่าตายพลันพบเจอศัตรู คล้ายดั่งพบเจอสุนัขป่าไล่ล่าซ้ำเจองูพิษก็ปาน ต่างพากันหลบหนีไปเสียครึ่งหนึ่ง


บอร์เตลุกขึ้นยืนแล้ว เตมูจินเห็นชัดแล้ว มันนิ่งอึ้งอยู่นาน นั่นมิใช่กระไรเลย ที่แท้บอร์เตกำลังตั้งครรภ์แก่อยู่นั่นเอง มิน่าพอพบเจอสามีก็มิได้ลุกขึ้นยืนแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้นเตมูจินก็รีบถลันเข้าไปกอดภรรยาของตนอย่างรวดเร็ว แม้ว่าในใจจะยอมรับไปได้แล้ว แต่ในเบื้องลึกมันกลับอยากกู่ร้อง อยากร่ำไห้ให้แก่สวรรค์ อยากบอกกล่าวแก่เทพเตงกรี[1]


ฟากฟ้า....ฟากฟ้าไม่ยุติธรรม!


“ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านจะต้องกลับมาช่วยข้าพเจ้า”


น้ำเสียงของนางอ่อนโยนนุ่มละมุนแฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อย เตมูจินเพียงกอดนางเท่านั้นหาได้พูดจาอันใดไม่
เนิ่นนานให้หลังพลันมีคนเปิดผ้าคลุมเยิร์กขึ้น ทั้งสองตกตะลึงงันกับที่ รีบหันกลับไปมองที่หน้าเยิร์กพร้อมกัน


ที่แท้จามูฮานำทัพบุกเข้ายึดครองเผ่าเมอร์คิสได้แล้ว มันก็มิทราบว่าเหตุใดถึงง่ายดายปานนี้ พอเข้ามาเห็นทั้งสองกอดกันกลม อีกทั้งมีซากศพชิเรโตอยู่จึงเข้าใจในบัดดล หัวร่อฮาฮาออกมาอย่างแหบแห้ง เพลียเหนื่อยเต็มที
เตมูจินเห็นงี่เฮียก็หันให้เห็นท้องครรภ์ของภรรยา ร้องบอกแจ่มใสออกไปว่า


“เป็นบุตรชายของข้าพเจ้า”


จามูฮานิ่งอึ้งเนิ่นนาน คาดคิดว่างี่ตี๋ของตนใยเหลวไหลไร้สาระเช่นนี้ ภรรยาอยู่กับชายอื่นหนึ่งปี น่ากลัวจะเป็นลูกชายของผู้อื่นมิใช่ของตน เหตุใดยังยินยอมรับเอาไว้เป็นบุตรอีก แต่ก็หัวเราะกลบเกลื่อนความในใจเสียสิ้น ร้องบอก ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ สองสามครา ทั้งสองจึงหัวร่อตอบกันไปมา
หลังเสร็จศึกที่คาดคิดว่าน่าจะยาวนานนี้ ทั้งกองทัพจึงจัดเลี้ยงฉลองกันเสียยกใหญ่


เมื่อสุรามาใยมิมีเพลงขับกล่อมเล่า?


เหล่าทหารหาญวงหนึ่งพอสุราเข้าปาก ก็เริ่มร้องเพลงลำนำแห่งทุ่งหญ้าขึ้นมา พวกจางฝานที่มิเคยฟังท่วงทำนองเหล่านี้ ล้วนยิ้มแย้มแจ่มใสยิ่งนัก น่ายาเอ่อร์ชักชวนกังโส่วหู่และพวกออกมารำเต้นเพลงนี้ด้วยกัน
เหล่าทหารเมื่อเห็นธิดาสดสวยแห่งทุ่งหญ้าร่ายรำไปกับท่วงทำนอง ต่างพากันเหม่อมองดู ส่งเสียงโห่ร้องดีใจ เร่งเร้าเสียงดังขึ้นมาทุกทีทุกที


ข้างวงของเตมูจินและงี่เฮียเห็นดังนั้นจึงหัวร่อออกมาเสียยกใหญ่ จามูฮาพร่ำล้อเตมูจินเรื่องภรรยาอันโหดร้ายคล้ายแม่เสือสาว ทำให้เตมูจินที่หน้าแดงเพราะพิษสุราอดหัวร่อออกมาเสียมิได้ จากนั้นจามูฮาจึงบอกกล่าวว่า


“เจ้ากล้าหาญมากน้องเรา สมกับเป็นงี่เฮียตี๋กัน”


พูดจบก็ชูหน้ากากที่เตมูจินใช้สวมใส่เมื่อตอนลอบเข้ามาในเผ่าเมอร์คิสออกมา ร้องบอกว่า เจ้ากล้าจริง สองสามคำก็หัวร่อออกมา จากนั้นจามูฮาก็สวมใส่เลียนแบบ ชวนให้ผู้คนในวงนั้นหัวร่อกันครื้นเครง เมื่อเล่นกันจบ บอร์เตที่มองเห็นอยู่ไกลๆ พลันรู้สึกมิค่อยสบายใจ แต่ก็มิได้เข้าร่วมวงสนทนาด้วย เตมูจินกล่าวขอบคุณขึ้นคราหนึ่ง


“ต่อไปเจ้าก็มาอยู่เป็นขุนพลคู่กายข้า”


“ข้าพเจ้าเป็นนายตัวเองเสียเคยตัวแล้ว งี่เฮีย”


จามูฮาได้ยินดังนั้นจึงโอบเตมูจินเข้ามาใกล้ๆ ปากก็พร่ำบอก


“เผ่าเจ้าเล็กนิดเดียว มารวมอยู่กับเผ่าข้า แล้วข้าจะให้งี่ตี๋เจ้าเป็นใหญ่รองจากข้า เจ้าเห็นว่าเป็นเช่นไร”


เตมูจินนึ่งอึ้งอยู่นาน พลันมีทหารเผ่าจามูฮาคนหนึ่ง ถลันเข้ามาบอกกล่าวว่าคนของเตมูจินต้องการพบ


ความนี้คงเป็นบอร์เตบ่งบอกยกอ้างฝ่ายของตนมาให้พูดกระมัง?


เตมูจินได้ยินดังนั้นก็เข้าใจว่าบอร์เตจัดการให้แล้ว ความจริงมันก็มิรู้จะตอบงี่เฮียของมันเช่นไรเหมือนกัน จึงไม่พูดเรื่องรวมเผ่านั้นอีก ขอตัวแยกออกจากวงนี้ไป


ทหารคนนั้นนำพาเตมูจินมายังสถานที่ที่พวกทหารกองหนึ่งกำลังรื้อค้นทรัพย์สินของพวกเมอร์คิสอยู่ ที่แท้มิใช่บอร์เตบ่งบอกออกไป หากแต่เป็นทหารฝ่ายตนต้องการพบจริงๆ ประจวบเหมาะทำให้เตมูจินหลีกออกจากคำถามอันน่าปวดหัวนั้น นายทหารของฝ่ายเตมูจินคนหนึ่งถลันเข้ามาบอกกล่าว


“ท่านข่าน ข้าพเจ้าค้นพบดาบเนื้อดีเล่มหนึ่ง นำมามอบให้ท่าน เชิญท่านชม”


เตมูจินยื่นมือรับเอาดาบเล่มนั้นมาพิจารณาดู ชักออกมาสองสามทีก็บอกกล่าวว่า ดาบดี ดาบดี คราหนึ่ง ทหารฝ่ายตนนายนั้นจึงกล่าวต่อว่า


“ท่านข่านจามูฮากวาดของไปเกือบหมดสิ้น ที่เหลือพวกเราจะแบ่งกันอย่างไร”


เตมูจินนิ่งคิดอยู่เนิ่นนาน จึงออกปากว่า


“ข้าพเจ้าขอแค่หนึ่งในสิบ นอกนั้นแจกจ่ายให้ทุกคนเท่ากัน อย่าลืมแจกจ่ายให้ครอบครัวของทหารที่ตายไปแล้วด้วย”


นายทหารฝ่ายเตมูจินคนนั้นรับคำคราหนึ่ง เตมูจินจึงยื่นดาบส่งกลับคืนแก่นายทหารบอกกล่าวให้เก็บไว้ใช้ มันขอบคุณเตมูจินคราหนึ่ง ก่อนจะเดินปลีกตัวกลับออกไปประกาศการจัดแบ่งทรัพย์เชลยนี้


เสียงโห่ร้องดีใจของทหารฝ่ายเตมูจินสะกิดความสนใจของทหารจามูฮาไม่มากก็น้อย ล้วนหันหน้าไปมองกันยกใหญ่ แม้แต่พวกที่กำลังร้องรำทำเพลงกันอยู่


ไทจาได้ยินเสียงดังนั้น จึงเดินเข้าไปหาจามูฮาบ่งบอกเรื่องร้ายแรงของชนเผ่ามองโกลออกไป อนึ่งชนเผ่ามองโกลในสมัยนั้น ยังไม่มีการจัดแบ่งทรัพย์สินกันเยี่ยงนี้ ความจริงสิ่งที่ได้จากสงครามล้วนแต่เป็นของข่านทั้งสิ้น
จามูฮาไม่สนใจรับฟัง เห็นเตมูจินเดินกลับเข้ามาหาจึงเข้าไปยื่นชามสุราให้แก่งี่ตี๋ของตน ทั้งสองร้องอาออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะใช้ศีรษะเข้าชนกัน หัวร่อออกมาดังๆ


ก่อนแสงอาทิตย์จะขึ้น บอร์เตที่นอนอยู่ข้างกายของเตมูจินกลับรำพันขึ้นมาเบาๆ


“พี่ท่าน พยัคฆ์สองตนมิอาจอยู่ภายในถ้ำเดียว”


เตมูจินได้คิดดังนั้น จึงรีบเรียกพรรคพวกของตนให้รีบออกเดินทางกลับที่มั่นของฝ่ายตนทันที


จามูฮาตื่นแล้ว! มันใช้เท้าเขี่ยเบาๆ ไปที่พวกลูกน้องรีบเรียกทั้งมวลตื่นขึ้น มันหันมองไปรอบข้างก็ไม่พบทหารของงี่ตี๋ของตน จึงร้องบอกว่างี่ตี๋ของตนกลับไปก่อน ช่างดื้อรั้นเสียจริงๆ ที่มันพูด คือเรื่องที่รวมทั้งสองเผ่านั้นเอง มันส่ายหัวไปมาหัวร่อออกมาคราหนึ่ง ร้องเรียกทหารคนสนิท ดาเต้ อัลธา หลายคราก็มิได้ยินเสียงขานรับ


เห็นไทจาเดินเข้ามาแต่ไกล จึงส่งเสียงออกไป


“ดาเต้ อัลธาหายไปไหน พวกมันต้องรับใช้ข้า”


มันพลันกระแทกเสียงดังขึ้นไปอีก


“พวกมันต้องอยู่ข้างเท้าข้า”


“พวกมันไปกับเตมูจินแล้ว”


ในตอนแรกจามูฮาไม่เชื่อหูตัวเอง ไทจาจึงพูดซ้ำอีกรอบ จามูฮานิ่งอึ้งอยู่เนิ่นนาน เดือดแค้นอย่างมากมายมหาศาล จึงกู่ร้องออกมาอย่างไม่พอใจ
จามูฮาและไทจาควบม้าทิ้งให้พวกลูกน้องติดตามมาทีหลัง


พวกมันไล่หลังขบวนของเตมูจินที่เคลื่อนที่ค่อนข้างช้าไม่ไกล ในที่สุดก็ถึงเป้าหมาย
ดาเต้และอัลธาเห็นดังนั้นจึงควบม้าถลันออกมารับหน้าพร้อมด้วยเตมูจิน จามูฮาเห็นงี่ตี๋ของตนออกมารับหน้าจึงสงบสติอารมณ์ ก่อนร้องถามออกไป


“งี่ตี๋ เหตุใดจากมามิบอกข้าสักคำ”


“ข้าพเจ้าเห็นตั่วกอกำลังหลับอย่างสบายจึงมิได้ปลุก”


จามูฮายิ่งเดือดแค้นร้องบอก


“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงนำพาลูกน้องข้ามาด้วย”


เตมูจินบ่งบอกอย่างเยือกเย็น


“ชาวมองโกลมีอิสระที่จะเลือกนาย ดั่งเช่นที่พวกเรามีอิสระที่จะอพยพไปไหนก็ได้บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่”


จามูฮานิ่งอึ้งเนิ่นนาน ก่อนจะระบายลมปากออกมาคราหนึ่ง เพื่อลดความเดือดแค้น จากนั้นจึงหันม้าควบกลับไปที่มั่นของตน ได้ยินเสียงไทจาไล่หลังกลับมาว่า


“รักษาม้าไว้ให้ดี”



เกร็ดความรู้


[1] เทพเตงกรี คือ เทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่เหนือเทพเจ้าทั้งปวง ในลัทธิโบราณของชาวมองโกล ปัจจุบันลัทธิเตงกรียังคงมีอยู่





Create Date : 13 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2551 17:31:53 น. 5 comments
Counter : 499 Pageviews.

 
ยาจกเงา เคยผ่านมาทางนี้


ขอคารวะท่าน กระบี่เก้าเดียวดาย 3 ชามใหญ่

โทษฐานทำให้สถานที่นี้แปดเปื้อน

นับว่ายาจกซอมซ่อได้เปิดหูเปิดตาแล้ว


โดย: ยาจกเงา IP: 125.27.142.193 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2551 เวลา:18:06:26 น.  

 
ทำไมไม่มีความหมายของเทพเจ้าเตงกรีอ่ะ
แบบว่าอ่านตั้งนานไม่ได้อะไรเลย


โดย: ... IP: 202.28.51.71 วันที่: 31 มกราคม 2552 เวลา:12:39:33 น.  

 
อืมม์ มาอ่าน เตมูยินค่ะ


โดย: tiki_ทิกิ unlogged in IP: 124.121.33.141 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:29:24 น.  

 
มีทั้ง - เรื่อง ให้ส่งทาง e-mail อย่างไรครับ
smart10700@yahoo.com


โดย: เซี่ยวเม่า IP: 203.150.206.82 วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:12:05:30 น.  

 
-ขอบคุณสำหรับความเห็นนะคับ...แล้วมีให้อ่านเป็นหนังสือมะ...อ่านจากคอมปวดตา


โดย: Aki IP: 125.25.84.146 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2552 เวลา:17:26:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กระบี่เก้าเดียวดาย
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




...ฟังพิรุณบนหอน้อยเพียงเดียวดาย..
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
13 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add กระบี่เก้าเดียวดาย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.