ตำนานสะท้านฟ้า (สารบัญ)
ยังไม่เปิดจ้า
ยังไม่เปิดจ้า
บู๊ลิ้มพันทิพย์
บทที่ 1 เป่ย ตอนที่ 9 กัลยาชาวมองโกล






จางจุ้นเงยหน้าขึ้นคราหนึ่ง ในที่สุดก็จับจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของว่านสี่เซี่ยเพื่อพิจารณาจุดอ่อนด้อยในคัมภีร์ของตน ในคัมภีร์หมื่นพิษเพียงบ่งบอกวิชาการใช้พิษเท่านั้น วิชาฝีมือต่างๆ ล้วนธรรมดาสามัญยิ่ง แต่ท่าร่างที่ว่านสี่เซี่ยใช้ ถึงกับสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง พิสดารเป็นอย่างยิ่ง


จางจุ้นเองก็ทราบว่า นี่คือหนึ่งในกระบวนเพลงมารฟ้า ในคัมภีร์ฉบับหลัง ซึ่งถูกซุกซ่อนไว้ในคัมภีร์หมื่นพิษ หลังจากพวกมันสับสังหารซือแป๋(อาจารย์)ของตน กลับสงสัยว่าเหตุใดเพลงยุทธ์ในคัมภีร์ล้วนธรรมดาสามัญต่างกับที่ซือแป๋สอนสั่งยิ่งนัก พวกมันจึงคัดลอกข้อความในคัมภีร์จนหมดสิ้น จากนั้นทดสอบด้วยวิธีการต่างๆ จนในที่สุดก็ได้พบกับคัมภีร์ในฉบับหลัง ซึ่งซ่อนอยู่ในแผ่นกระดาษของคัมภีร์หมื่นพิษอีกที


ที่แท้ซือแป๋ของพวกมันก็มิทราบเรื่องนี้เช่นกัน เพราะก่อนที่ซือแป๋ของพวกมันจะได้ตำราจากซือโจ้ว(อาจารย์ปู่) ก็ร่ำเรียนวิชามารฟ้าจนเกือบสิ้น ครั้งหนึ่งก่อนที่พวกฝ่ายธรรมะจะมาทำลายหมู่บ้านหมื่นพิษ เพื่อหยุดซือโจ้วของมันก่อกรรมทำเข็ญ ซือแป๋ของพวกมันซึ่งได้รับการกำชับให้รักษาตำราเล่มนี้ก่อนแล้วก็นำพาคัมภีร์นี้หลบหนีออกมาได้
หลังจากที่ฝ่าฟันการไล่ล่าของพวกธรรมะมาได้ ซือแป๋ก็เก็บรักษาสมบัติชิ้นนี้ติดตัวเสมอมา แม้นจะสงสัยใคร่รู้ แต่ก็มิอาจทำอย่างไรได้ เพราะนั่นอาจจะขัดคำสั่งบรรพจารย์ที่ยึดถือมาโดยตลอด จนในที่สุดท่านจึงมาพบเข้ากับศิษย์ชั่วทั้งสองคน


กระบวนท่าในคัมภีร์มารฟ้านั้นเป็นส่วนต่อเติมจากคัมภีร์หมื่นพิษ จะบ่งบอกว่ามันเป็นคัมภีร์เล่มหลังก็ได้เช่นกัน เนื่องจากหากมิได้ฝึกคัมภีร์หมื่นพิษมาก่อน ย่อมฝึกฝนวิชาในคัมภีร์ฉบับหลังไม่ได้
ในคัมภีร์หมื่นพิษนั้นเริ่มต้นด้วยการปูพื้นฐานวิชายุทธ์เกือบทั้งหมดพร้อมทั้งวิชาการใช้พิษทั้งมวล ส่วนคัมภีร์มารฟ้านั้นกลับอธิบายกระบวนท่าและวิชาลมปราณเป็นหลักเท่านั้น รวมไปถึงวิชาทำตัวเบาอันเป็นที่ถวิลหาในชนชาวนักเลงมาชั่วระยะเวลานาน


ว่านสี่เซี่ยโคจรรอบๆ ท่าร่างของเต้าจี้ไต้ซือ พร้อมกับส่งเสียงหัวร่ออันชวนวิเวกวังเวงยิ่ง แม้นตอนนี้จะเป็นตอนกลางวัน แต่ในตอนที่มันใช้วิชานี้ กลับกลายทำให้พื้นที่โดยรอบถึงกับเป็นกลางคืน ต้นไม้ใบหญ้าที่สดใส แปรเปลี่ยนเป็นเหี่ยวเฉา หิมะที่ไม่มีทีท่าจะก่อตัว พลันร่วงโรยจากท้องนภาอย่างต่อเนื่อง
พวกกังโส่วหู่ทั้งสองที่หลบอยู่เบื้องหลังพุ่มไม้ ถึงกับเริ่มมีน้ำตาซึมออกมาอาบสองแก้ม ห้วนนึกถึงเรื่องราวสุดแสนรัดทดที่ไม่อยากนึกถึง แม้นไม่ยินยอมยังมิอาจไม่มีอาการ


เสียงหัวร่อของว่านสี่เซี่ยดังกังวานขึ้นเรื่อยๆ เต้าจี้ไต้ซือที่อยู่ภายในวงล้อมของเงาดำ เริ่มแสดงอาการประหวั่นพรั่นพรึง กระบวนท่าเริ่มรวนเรไม่ประติดประต่อ โลหิตสีแดงสดค่อยๆ ไหลย้อยลงมาตามมุมปาก
เต้าจี้ไต้ซือตัดสินใจปิดหูไม่ยอมรับฟัง ใช้แต่จิตประสาทเข้าต่อสู้เท่านั้น เห็นเป็นมโนภาพเพียงว่านสี่เซี่ยก้าวเดินเหยียบย่ำไปมารอบๆ ตัว
พระลูกวัดที่อ่อนอาวุโสเริ่มร้องไห้ระงม ปะปนกับเสียงของเหล่าทหารที่ติดตามอยู่เบื้องหลังไม่ห่าง มีเพียงจางจุ้นผู้ฝึกวิชามารสายเดียวกันกับฉินกุ้ยที่ยังมิได้สติเท่านั้น ที่ยังคงเฉยชาไม่แยแสต่อกระบวนท่าพิสดารนี้ เสียงหัวร่อกลับยิ่งดังยิ่งแผ่วเบาขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่ไม่มีพลังวัตรหรือพุทธภาวะถึงกับเริ่มล้มลงสิ้นสติไปทีละคนสองคน เจ้าอาวาสกับเฟิงโป้ไต้ซือ รวมทั้งพระอาวุโสอื่นๆ เริ่มนั่งลงผ่อนคลายจิตใจ สวดพุทธมนต์เพียงบางเบา เพื่อสงบจิตใจที่เศร้าโศก


ที่แท้กระบวนท่าที่ว่านสี่เซี่ยแสดงออกมาเป็นพลังอย่างหนึ่งในคัมภีร์มารฟ้า เรียกว่า หมื่นภูติคร่ำครวญ พลังนี้จะดลบันดาลให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณทั้งหมดรวมทั้งคู่ต่อสู้มีภาวะอารมณ์ในแบบต่างๆ จากนั้นดึงเอาเรื่องราวไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ประเภทใดออกมาก็ได้


ว่านสี่เซี่ยแสดงพลังออกมาเพียงขั้นที่หนึ่งเท่านั้น ขั้นนี้จะเรียกเอาความเศร้าโศกทั้งหมดจากก้นบึ้งของจิตใจโลดแล่นออกมา ซึ่งหากบาดเจ็บมาก่อนหน้าล้วนกระเทือนถึงอวัยวะภายใน
เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล ว่านสี่เซี่ยกลับเร่งเร้าพลังถึงขีดสุด พลันแสดงขั้นที่สองออกมา ตอนนี้ทหารที่มีพลังวัตรเพียงพอเริ่มมองหน้ากันเหมือนอย่างกินเลือดกินเนื้อก็ปาน ล้วนเห็นภาพมายาเหมือนฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูคู่แค้นกันแต่ชาติปางก่อน ชักอาวุธมีดสั้นออกจากเบื้องเท้า สืบเท้าเข้าหาฆ่าฟันฝ่ายตรงกันข้ามอย่างรุนแรง โลหิตไหลนองเต็มทั้งลานหน้าวัด เป็นภาพสยอดสยองหาใดเปรียบปานได้ เจ้าอาวาสพลันส่งเสียง อมิตตาพุทธคราหนึ่งก่อนจะกล่าวว่าบาปกรรม บาปกรรม อีกหลายครา ส่งเสียงเจริญพุทธมนต์ดังขึ้นกว่าเดิมโดยทั่วหน้า มิกล้าส่งเสียงห้ามปรามประการใด นั่นเพราะหากส่งเสียงแล้วอาจถูกจิตมารเข้าครอบงำจิตใจในบัดดล จางจุ้นที่คุ้นเคยกับเสียงร้องโหยหวนของเหล่าผู้คนมานานไม่สนใจแยแส กลับยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม ฟาดฝ่ามือใส่ทหารที่มุ่งหมายเข้ามาใกล้เท่านั้น


กังโส่วหู่เห็นท่าไม่ดี หันไปมองหน้าจางฝาน กลับพบเจอกับแววตาดุร้ายหมายฆ่าฟัน รังสีอำมหิตแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ รีบจับตัวจางฝานเขย่าปลุกสองสามครา ร้องเรียกหาจนตื่นขึ้นมาจากฝันอันร้ายกาจ



“นี่ข้าพเจ้าเป็นอะไรไป”


“ท่านถูกเสียงปีศาจเรียกหาน่ะซี รีบโคจรพลังลมปราณป้องกัน ไม่เช่นนั้นข้าพเจ้าคงยื้อไม่ไหวเช่นกัน”


ทั้งสองโคจรพลังเงียบงันอยู่เบื้องหลังพุ่มไม้ พลังเสียงนับจากบริเวณนี้ นับว่าน้อยกว่าที่อื่น ทั้งสองเลยรอดพ้นไปได้อย่างโชคช่วย ไม่เช่นนั้นหากอยู่ใกล้กว่านี้คงฆ่าแกงกันไป ตั้งแต่ว่านสี่เซี่ยเริ่มเปล่งพลังขั้นที่สองแล้ว
ว่านสี่เซี่ยรู้สึกถึงผู้คนอื่นนอกบริเวณนี้มาเนิ่นนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าพวกมันทั้งสองนั้นเป็นใคร ทั้งไม่รู้ว่าอยู่ที่แห่งไหน ดังนั้นจึงใช้เสียงหมื่นภูติคร่ำครวญเช่นนี้ หนึ่งเพื่อเพิ่มความเจ็บช้ำภายในให้แก่เต้าจี้ไต้ซือ สองเพื่อเสาะหาตัวผู้ที่แอบอยู่ออกมา มันคาดคิดแล้วว่า ทั้งสองน่าจะเป็นกังโส่วหู่และพวก แต่มิทราบพวกประดานี้ทำเช่นไร ถึงรอดพ้นจากพลังเสียงปีศาจอันนี้ไปได้


เหล่าทหารที่ติดตามเริ่มเหลือน้อยลงแล้ว หากใช้พลังต่อไป คงไม่เหลือกลับไปรายงาน ว่านสี่เซี่ยจึงหยุดยั้งความอำมหิตลง คนทั้งมวลเลยพลอยหลุดพ้นไปด้วย ล้วนหันหน้ามองกันอย่างประหวั่นพรั่นพรึงในพลังลี้ลับ บรรดาบริเวณกลับคืนเป็นกลางวัน หิมะที่ควรตกอยู่กลับหายไปสิ้น รวมทั้งพืชพันธุ์ต่างๆ ก็อยู่ดังเดิม ที่แท้เป็นเพียงภาพมายาประการหนึ่ง


เหล่าทหารอยากจะถอยกลับไปแต่ก็กระทำมิได้ จะอยู่ต่อก็กลัวพลังลี้ลับอีก ทางหนึ่งก็นรก อีกทางก็นรก ได้แต่ยืนตัวสั่นงันงกอยู่ที่เบื้องหน้าลานวัดเท่านั้น เหล่าพระในวัดก็รีบปฐมพยาบาลผู้ที่สิ้นสติกันเสียยกใหญ่
ว่านสี่เซี่ยหยุดยั้งเบื้องเท้าลง ยืนตะหง่านอยู่ที่เบื้องหน้าของเต้าจี้ไต้ซือ พลันยิงพลังปราณจากดรรชนีที่นิ้วไปอย่างรวดเร็ว ท่านไต้ซือหลบหลีกเป็นพัลวัน หันกลับมาอีกทีก็เห็นเงาดำอีกครา พลางส่งเสียงร้องขึ้น


“ไอ้ตัวขลาดเขลา ไม่กล้าสู้หน้าอาตมาหรืออย่างไร”


ว่านสี่เซี่ยได้ยินดังนั้น ถึงกลับหยุดยั้งเท้าลง มาตราว่ามันเป็นมารชั่วช้าเลวชาติเยี่ยงใด แต่ในใจนักสู้ หากถูกผู้อื่นหยาดหยันแล้วไซร้ พลันต้องบังเกิดอารมณ์เยี่ยงนี้



เมื่อได้ผลเต้าจี้ไต้ซือก็สืบเท้าเข้าหาว่านสี่เซี่ยทันที ไม่รอให้มันตั้งท่าทางได้แต่ประการใด การต่อสู้เป็นไปโดยต่อเนื่อง เต้าจี้ไต้ซือกับว่านสี่เซี่ยต่อสู้กันเป็นพัลวัน นับว่ายังไม่มีผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ ท่าทางของเต้าจี้ไต้ซือยิ่งร่ายรำยิ่งเหมือนดั่งคนเมาเหล้ามิได้สติก็ปาน ส่วนว่านสี่เซี่ยนั้นเปรียบดั่งภูตผีร้ายที่มีความแค้นกับท่านเหนือกำหนด ไต้ซือรับได้ท่าหนึ่ง ว่านสี่เซี่ยโต้ตอบท่าหนึ่ง รุกรับกันไปมา


ว่านสี่เซี่ยถือตัวว่ามีวิชาทำตัวเบาล้ำเลิศเกาะกุมไม่ห่างจากเต้าจี้ไต้ซือดั่งเงาตามตัว ไต้ซือกลับยืนรวนเรไม่มีที่ทางแน่นอน หันไปรับมือผ่านไปเกือบยี่สิบกระบวนท่า ก็เริ่มคุ้นเคยกับการยุทธ์บ้างแล้ว


ในตำราพิชัยสงครามท่านว่าไว้ว่า การศึกมิหน่ายอุบาย เต้าจี้ไต้ซือเผยช่องว่างช่วงไหล่ ว่านสี่เซี่ยก็ยิ้มกริ้มหมายได้ชัยโดยเร็ว จึงรีบใช้ฝ่ามือฟาดไปอย่างเต็มแรง ที่ไหนได้ฝ่ามือกลับถูกเพียงอากาศธาตุ เต้าจี้ไต้ซืออ่านออกล่วงหน้าแล้ว เท้าถอยกลับด้านหนึ่ง หมุนกลับมาฟาดเต็มกลางหลังของว่านสี่เซี่ย มันร่ำร้องร้ายกาจอยู่ภายใน พระลูกวัดที่เริ่มฟื้นสติเริ่มโห่ร้องดีใจอีกคราเมื่อฝ่ายตนเองได้เปรียบ


ว่านสี่เซี่ยเห็นจะเอาชัยยาก แม้นมันจะมีเปรียบหลายส่วน ดังนั้นจึงนึกขึ้นได้แผนหนึ่ง มันรีบฟาดฝ่ามือโต้ตอบในบัดดล สองฝ่ามือปะทะกันเกิดเสียงดังครืดๆ อยู่ไม่ขาด ผู้ชมดูล้วนอ้าปากเหม่อมองอย่างตะลึงลานกับที่ เพราะวิธีการนี้ คือการแลกกันไปข้างหนึ่ง โดยใช้วิชากำลังภายในโดยตรง


ไม่ถูกกระแทกจนตาย ก็พิการแล้ว!


เต้าจี้ไต้ซือไม่ทราบความนัยข้อนี้ ดังนั้นนึกว่ามันจะประลองกำลังภายในกัน แต่กลับลืมนึกไปว่าตนเองกำลังบาดเจ็บภายในอยู่ หากเจอกับวิชากำลังภายในอีก กลับยิ่งทำให้อาการกำเริบอาจถึงตายได้ นี่จึงเป็นข้อที่น่ากลัวที่สุดสำหรับวงพวกนักเลง
ว่านสี่เซี่ยยิ้มกริ่ม เร่งเร้าพลังให้อ่อนนุ่มในตอนแรกขึ้นมาอีกระดับเพื่อต้านไว้ หวังให้เต้าจี้ไต้ซือตายใจ


ในที่สุดแผนมันก็สำเร็จลุล่วงจนได้ เมื่อเต้าจี้ไต้ซือกลับดันพลังต่อต้านสุดฤทธิ์ ตอนนี้ยากจะถอนตัวแล้ว!


ว่านสี่เซี่ยเร่งเร้าพลังจนสุดหยั่งคาด เต้าจี้ไต้ซือร่ำร้องผิดท่าอยู่ภายใน ครั้นจะดึงตัวกลับไป ก็อาจจะถูกพลังของฝ่ายตรงข้ามกระแทกจนตาย ครั้นจนอยู่ต่อก็พบว่าการเคลื่อนตัวของพลังภายในของตน กลับไม่ต่อเนื่องอย่างใจหมาย


ว่านสี่เซี่ยยิ้มกริ่มในชัยชนะ ในที่สุดร่างของเต้าจี้ไต้ซือก็ไม่อาจต้านทานพลังที่ดุดันของมันได้ ค่อยๆ ทรุดฮวบลงไปเรื่อยๆ สองขาคล้ายดั่งไม่อาจหยัดยืนขึ้นมาอีก พลังของฝ่ายตรงข้ามทะลุทะลวงเข้าไปเกือบกระแทกถึงขั้วหัวใจให้ขาดสะบัด กลับเจอกลุ่มก้อนพลังพิสดารประการหนี่งโถมประดังเข้ามาเสียก่อน


ว่านสี่เซี่ยร่ำร้องผิดท่า ครั้นจะคลายมือก็มิทันท่วงทีเสียแล้ว พลังนั้นก่อขึ้นมารวดเร็วเกินไป รุนแรงเกินไป จนไม่อาจคำนวณได้ กระแทกร่างของว่านสี่เซี่ยปลิวละลิ่วเข้าสู่กลุ่มทหาร พลังทั้งมวลล้วนถ่ายเทออกไปกระแทกทหารที่รองรับจนหมดสิ้น เลือดในกายล้วนทะลักออกมาตายคาที่แทบทุกคน
ว่านสี่เซี่ยถึงกับไม่มีแรงจะหยัดยืนกับแรงกระแทก ยังดีที่พลังของมันไม่สลายหายไป เพียงเจ็บปวดภายในเท่านั้นคล้ายประหนึ่งโดนสกัดจุดไว้ทั่วร่าง


จางจุ้นที่ดูเหตุการณ์โดยตลอด เห็นว่าซือเฮีย(ศิษย์พี่)ล้มลง ก็หันไปมองเต้าจี้ไต้ซือที่กำลังหยัดยืนขึ้น ขนาดซือเฮียยังทำกระไรมันมิได้ แล้วตัวจางจุ้นเองจะอยู่ไปทำไม?
พลางบอกกล่าวให้ทหารที่เหลือ รีบพยุงตัวว่านสี่เซี่ยกลับ ส่วนตนเองก็อุ้มฉินกุ้ยติดตามหลังออกไป


เต้าจี้ไต้ซือเพียงเหม่อมองดูเท่านั้น เหล่าพระลูกวัดเห็นดังนั้นก็ล้วนดีใจโห่ร้องกันใหญ่ ก่อนที่จะเข้าไปกอดรัดวีรบุรุษของวัด วีรบุรุษนั้นกดลับทิ้งร่างทรุดฮวบลงไปทันที
พวกกังโส่วหู่ทนไม่ไหวรีบปรี่ออกไปช่วยเหลือ เจ้าอาวาสเห็นบุคคลภายนอกในวัด เอ่ยถามขึ้นมาคราหนึ่ง


“ประสกคือผู้ที่พวกฉินกุ้ยติดตามใช่หรือไม่”


กังโส่วหู่รับคำคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปหาจางฝานที่ประคองร่างเต้าจี้ไต้ซือไว้ กังโส่วหู่กล่าวว่า


“ท่านไต้ซือบาดเจ็บภายในเพราะพวกข้าพเจ้า แต่ท่านได้สอนวิชารักษาภายในให้พวกข้าพเจ้าแล้ว ไต้ซือทั้งหลาย พวกข้าพเจ้าคงต้องลองรักษาดู”


ก่อนที่จางฝานจะตั้งท่านลุกขึ้นนั่งหันหลังให้ พร้อมจะรักษาให้แก่ท่าน กังโส่วหู่ก็บอกกล่าวแก่จางฝานให้หลีกทางแก่ตน เพราะตนนั้นมีกำลังภายในกล้าแข็งกว่ามาก สักครู่ท่านก็ลืมตาขึ้นมา ร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดขึ้นคราหนึ่ง พร้อมกระอักเลือดขึ้นมา ร้องห้ามปรามกังโส่วหู่ทันที ร้องบอกจางฝานกระทำต่อไป จากนั้นจึงบ่งบอกความลับที่ปิดบังไว้ออกมาด้วยเส้นเสียงที่แหบพร่า


“บ่งบอกต่อท่าน อาตมาปิดบังพวกท่านไว้ จริงๆ แล้วจางฝานมีพลังขุมหนึ่งที่อาจจะมาจากไข่มุกราชันย์ ดังนั้นในช่วงหลังๆ จางฝานมิอาจเห็นความลี้ลับ อาจเป็นเพราะพลังในไข่มุกถูกจางฝานดูดไว้ในตัวหมดแล้ว”


กังโส่วหู่และจางฝานได้ยินดังนั้นถึงกับตะลึงลานกับที่ ยิ่งจางฝานนั้นยิ่งหน้าซีดเซียวไม่ทันนึกว่าตนเองจะมีพลังเยี่ยงนี้ไหลเวียนอยู่ในร่าง จากนั้นเต้าจี้ไต้ซือบอกกล่าวให้นำไข่มุกราชันย์มาประกบไว้หว่างกลางฝ่ามือทั้งสอง และบ่งบอกให้จางฝานลองปล่อยพลังออกมา
จางฝานกระทำตามมิผิดพลาด สองชั่วยามผ่านไปพวกที่ชมดูล้วนกระวนกระวายใจ กลัวว่าวีรบุรุษของวัดจะตายไปด้วยอาการดังนี้ แม้นเร่งร้อนใจ แต่ก็ไม่กล้าขยับไปมา ต่างล้วนชมดูอยู่ไม่ห่างกระทั่งลมหายใจยังไม่ยินยอมปล่อยแรง ไม่นานเต้าจี้ไต้ซือก็กระอักเลือดคำโตออกมาล้วนเป็นสีดำโดยสิ้น เนื่องเพราะถูกลมปราณพิษรบกวน


พลังภายในที่หลับใหลของจางฝานเริ่มตื่นตัวอย่างช้าๆ ในที่สุดก็ผสมผสานกันได้ รวมทั้งพลังภายในของเต้าจี้ไต้ซือที่รับมาตั้งแต่ช่วยจางฝานครั้งนั้นก็เช่นกัน ทั้งสองรู้สึกสบายอย่างถึงที่สุด คนรับและคนให้ล้วนได้รับผลกำไรประการนี้


สีหน้าของเต้าจี้ไต้ซือก็เริ่มมีเลือดฝาดดังเดิม ไม่ได้ซีดเซียวเหมือนอย่างเก่า พระลูกวัดเห็นดังนั้นก็เบาใจลง ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ต่างๆ เหลือไว้เพียงเจ้าอาวาส เฟิงโป้ไต้ซือและกังโส่วหู่เท่านั้น


หลังจากการรักษาจบสิ้นพวกพระลูกวัดได้เตรียมอาหารเจอย่างดีให้แก่คนทั้งสอง พร้อมให้ทั้งสองคนเข้าพักในห้องหับภายในวัดคืนนี้ ส่วนเต้าจี้ไต้ซือก็พาไปรักษาแผลภายนอกอีกห้องหนึ่ง


รุ่งเช้า เฟิงโป้ไต้ซือกลับไม่วางใจคุยกับเจ้าอาวาสว่าคงให้คนทั้งสองอยู่นานไม่ได้ เพราะพวกราชการคงไม่ยอมรามือ ดังนั้นจึงเรียกพวกจางฝานทั้งสองเข้าพบในกุฏิ พลางบอกกล่าวเรื่องที่กังวลออกไป พวกกังโส่วหู่จะอย่างไรก็เป็นเพียงผู้อาศัยจึงบอกกล่าวจะจากไปในอีกวันหนึ่ง เต้าจี้ไต้ซือที่เพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บถลันเข้ามาในวงสนทนาพอดี บอกกล่าวขอติดตามไปด้วย แต่เจ้าอาวาสกลับไม่ยินยอมให้ท่านจากไป เกิดพวกมารมารุกรานอีกจะทำเช่นไร เต้าจี้ไต้ซือแง่งอนสะบัดหน้าจากไปทันที


เช้าวันรุ่งขึ้นของอีกวัน หลังเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเต้าจี้ไต้ซือกับว่านสี่เซี่ยข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง เหล่าชนชาวนักเลงทั้งหลายก็ทราบเรื่องเช่นกัน ต่างพากันออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ในที่สุดจัดเต้าจี้ไต้ซือเข้าสู่ทำเนียบสามสุดยอด กลายเป็นสี่สุดยอดไป


ภายในวัดวันนี้พวกกังโส่วหู่กำลังเก็บข้าวของเตรียมออกเดินทางอีกครั้ง พวกพระในวัดล้วนออกมาส่งทั้งสอง ขณะกำลังจะเดินออกนอกวัด พลันฆราวาสผู้หนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบสวนทางเข้ามารายงานข่าว


“เจ้าอาวาส เจ้าอาวาส แย่แล้วขอรับ”


“มีเรื่องอะไรหรือ เสี่ยวลู่”


“ผู้เยาว์ไปได้ยินข่าวจากในเมืองว่า ฉินกุ้ย ตายแล้วขอรับ”


รายงานจบสิ้นแล้ว ทั้งมวลล้วนหน้าถอดสีหันมองกันอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร เรียกเต้าจี้ไต้ซือออกมาพบ บ่งบอกให้ร่วมเดินทางไปกับพวกกังโส่วหู่เสีย ไม่เช่นนั้นคงมีประกาศจับทั่วไป


หลังจากล่ำลาพวกพระในวัดเสร็จ ทั้งสามขึ้นม้าสามตัวที่ถูกจัดหามา ควบฮ่อตะบึงอย่างเร่งรีบไปยังด้านทิศเหนือที่อยู่ใกล้วัดที่สุด จนใกล้ถึงด่านตรวจก็ยังไม่หยุด กังโส่วหู่และจางฝานล้วงเอาธนูมือที่สั่งไว้กับพระรูปหนึ่งออกมา พวกทหารนึกว่าแค่คนเร่งรีบ อีกทั้งคำสั่งจับตัวยังมาล่าช้า เพียงร้องบอกให้หยุดเท่านั้น เมื่อไม่ได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า พอเห็นม้าตัวใหญ่วิ่งเข้ามาใกล้ต่างยึดถือทวนแทงไปยังตัวม้า


กังโส่วหู่และจางฝานเอียงตัวไปคนละข้าง พลางยิงธนูมือใส่พวกทหารที่ขวางทางจนร้องเสียงหลงไปตามๆ กัน หทารนายอื่นก็ไม่กล้ายื้อให้มากความ จึงช่วยพากันรักษาคนเจ็บก่อนเท่านั้น
ผ่านด่านมาได้อย่างรวดเร็วยิ่ง ทั้งสามจึงควบม้าห่างจากหลินอันเพียงลี้เศษ ม้าที่ได้มาเริ่มไปต่อไม่ไหว เห็นหมู่บ้านใหญ่เบื้องหน้าจึงเข้าไปติดต่อขอซื้อม้ามาอีกหกตัว เนื่องจากหมู่บ้านนี้ยังไม่เห็นประกาศจับจึงไม่ได้บ่งบอกไปแก่ทางการ นี่เป็นเพราะกังโส่วหู่ไหวตัวทัน ไม่เช่นนั้นหากรออีกเนิ่นนานพวกมันคงถูกจับหมดแล้ว


พอออกมาไกลจากหลินอันจนใกล้ถึงชายแดนอีกไม่กี่ลี้ กลับพบเจอกับบ้านร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นเป็นเพราะทัพจิน(กิม)มักจะยกทัพมาก่อกวนบ่อยครั้ง แม้แต่พวกทหารยังไม่มีปัญญาคุ้มครองตนเอง ไหนเลยจะคุ้มครองชาวบ้านได้ ชาวบ้านจึงย้ายออกไปเกือบจะหมด
ทั้งสามควบขี่ม้ามาเรื่อยๆ จึงหยุดที่บ้านหลังหนึ่งที่ยังมีคนอยู่ เคาะประตูบ้านอีกสองสามครา ปรากฏเป็นผู้เฒ่าท่านหนึ่งออกมารับหน้า เผยมือเรียกให้เข้าไปข้างใน


ในบ้านล้วนไม่มีเครื่องประดับอันใดสำคัญ มีเพียงห้องนอนสองห้อง ห้องครัวห้องหนึ่ง และโต๊ะรับแขกผสมกับโต๊ะกินข้าวกึ่งกลางบ้านเท่านั้น ในนั้นปรากฏมีหญิงชราอีกท่านหนึ่ง นั่งอยู่บนเก้าอี้พิงแขนตัวหนึ่งกำลังปักเย็บฉุยเสื้อผ้าที่ขาดไป ผู้เฒ่าพลันถามไถ่ขึ้นมาคราหนึ่ง


“เอี้ย(นาย)ทั้งหลายมาเยือน ขออภัยในบ้านไม่ค่อยมีอาหารการกินที่ดีเท่าไหร่นัก”


กังโส่วหู่ถลันออกไปรับหน้า คารวะคราหนึ่ง


“พวกข้าพเจ้ามิอาจรับคำว่า เอี้ย ขอรับ พวกเราต่างหากที่มารบกวนพวกท่าน ว่าแต่ทำไมพวกท่านไม่อพยพย้ายไปจากที่นี่ล่ะ”


ผู้เฒ่าว่าพลางถอนหลายใจไปพลาง


“เฮ้อ พวกเราสองตายายไม่มีที่ไป บุตรชายก็ตายจาก ตั้งแต่ออกไปรบ ดังนั้นเงินสักอีแป๊ะยังไม่มีว่าจ้างคนงานขนย้ายข้าวของเลย”


“วันนี้พวกข้าพเจ้าขอค้างพักแรมสักคืนนะขอรับ”


ผู้เฒ่าตอบรับคำพูดของพวกกังโส่วหู่ จากนั้นท่านก็เดินออกไปซื้อข้าวของเลี้ยงแขกในอีกหมู่บ้านหนึ่ง ส่วนหญิงชรายิ้มแย้มให้ จัดห้องบุตรชายให้ทั้งสามนอนอยู่ จางฝานเห็นดังนั้นจึงเข้าไปช่วยเหลือ ปากหญิงชราก็บอกว่าหากห้องคับแคบเกินไปก็ขออภัย หญิงชราใจดี ทำให้จางฝานอดคิดถึงบิดามารดามิได้ เมื่อจัดเสร็จจึงเดินออกไปบอกกล่าวแก่พรรคพวก


“ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะกลับไปจิ่งกัง”


กังโส่วหู่ส่ายหัวไปมา อย่างไม่ยินยอม จางฝานประหลาดใจจนร้องแย้งขึ้น


“เพราะอะไรข้าพเจ้าถึงไปเยี่ยมบิดามารดามิได้”


“ท่านบอกเองมิใช่หรือว่า ตอนนี้หน้าตาท่านมิเหมือนก่อน หากไปตอนนี้มิเท่ากับเข้าสู่ถ้ำเสือหรือไง หรือท่านอยากให้บ้านตระกูลเฉินพังพินาศดั่งในฝัน พวกเราขึ้นเหนือไปหลบอยู่นอกด่านสักพักเถอะ ค่อยย้อนลงมาเจียงหนาน(กังน้ำ)”


จางฝานได้ยินดังนั้นย่อมไม่กล้าพูดจามากความอีก พอดีผู้เฒ่ากลับมา จางฝานจึงเข้าไปช่วยเหลือหญิงชราในครัว เพราะเมื่อก่อนมันก็พอมีฝีมือในการทำอาหารอยู่บ้าง อีกทั้งยังเคยเป็นลูกมือของเฒ่าฟ่งฝีมือย่อมไม่ธรรมดา


พวกกังโส่งหู่สนทนากับท่านผู้เฒ่า จนได้ความว่าพวกท่านแซ่หลิว เมื่อก่อนหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านตระกูลหลิว หลังจากอพยพมาแล้วครั้งหนึ่งจากเหอเป่ยลงมาเจียงนาน แต่ก็ถูกทัพจินบุกลงมาอีกหลายครา ชาวบ้านจึงอพยพย้ายลงไปทางใต้ไปอีกจนหมดสิ้น


อนิจจาสงครามทำพิษแท้ๆ


ในที่สุดกับข้าวอาหารก็เสร็จสิ้น จางฝานยิ้มแย้มแจ่มใส วันนี้มันได้สูตรการทำอาหารแบบชาวเหนืออีกอันหนึ่งแล้ว อาหารชนิดนี้วิธีการทำคล้ายๆ กับซาลาเปาไม่มีใส้ของชาวใต้ ชาวเหนือเรียกมันว่า “หมั่นโถว”
หลังจากรับทานอาหารจนอิ่มหนำ ทั้งหมดต่างแยกย้ายกันเข้าห้องนอน พอถึงห้อง กังโส่วหู่บอกแผนการหนีออกไปจากด่าน นัดหมายว่าจะออกเดินทางแต่เช้ามืด


จนถึงต้นยามเหม่า[1] หลิวฮูหยินออกมาหุงหาอาหารต่างๆ เต้าจี้ไต้ซือตื่นก่อนเนิ่นนานแล้ว ออกไปร่ายรำเพลงมวยที่ด้านนอกตามกิจวัตร ส่วนกังโส่วหู่วันนี้ตื่นเช้าเป็นพิเศษ อาจเพราะบาดแผลกำลังจะหายสนิทจึงตื่นตัวอยู่เสมอ มันปลุกจางฝานขึ้นมา พบว่าถึงเวลานัดหมายแล้ว จึงรีบเก็บสัมภาระเดินทางทั้งหมด จางฝานเห็นผู้เฒ่าหลิวทั้งสองจะเป็นอันตราย จึงมอบตั๋วเงินที่เหลือติดตัวให้ไปหนึ่งร้อยตำลึง คงเก็บไว้อีกเก้าร้อยตำลึง ก่อนจะควบม้าตามหลังกังโส่วหู่และเต้าจี้ไต้ซือไป


ทั้งสามมาถึงด่านตรวจ พบว่ามีเส้นทางสองเส้นทาง คือแหกด่านกับตะลุยป่าข้ามลำน้ำแยงซี ไม่ว่าทางไหนล้วนอันตรายทั้งสิ้น ยังดีที่ตอนนี้ยังมืดอยู่ ทหารยามจึงไม่เห็นทั้งสามที่หลบซ่อนอยู่ในพงไม้ไกลๆ


กังโส่วหู่ถูกเรียกให้เป็นผู้นำทาง เนื่องเพราะมันชำนาญการหลบหนีเป็นที่สุด มันจึงเลือกที่จะใช้วิธีที่สอง คือ หาทางข้ามแม่น้ำแยงซี แต่ฤดูเช่นนี้แม่น้ำเชี่ยวกราก จะผ่านไปมิใช่เรื่องง่าย
ทั้งสามควบม้าเดินทางลัดเลาะออกจากพงไม้ จนห่างจากด่านตรวจประมาณลี้เศษ หาดกรวดทรายทอดทั่วระหว่างสองฝั่งแม่น้ำ แต่จะข้ามแม่น้ำยังไงนี่สิปัญหา เพราะด่านตรวจตรงนั้น คือท่าข้ามแม่น้ำนั่นเอง


กังโส่วหู่มองไปที่กระบี่กานเจียงทั้งสองเล่มครู่หนึ่ง ก่อนสั่งการให้จางฝานและเต้าจี้ไต้ซือโค่นล้มต้นไม้จากพงไม้เกือบห้าสิบกว่าต้น ส่วนตนจัดทำเชือกประการหนึ่ง กระบี่วิเศษใช้เรี่ยวแรงเพียงน้อยนิด ไม่นานก็เสร็จสิ้น หากกานเจียงยังอยู่และรับรู้ว่าทั้งสามนำกระบี่วิเศษมาทำเยี่ยงนี้คงได้อกแตกตายพอดี


แสงรำไรจากดวงอาทิตย์เริ่มกระทบกับพื้นน้ำ หากไม่เร่งรีบจะช้ามิทันการณ์ เพราะเมื่อนั้นเหล่าทหารจะเริ่มตรวจบริเวณริมฝั่งแม่น้ำทั้งหมด
พวกจางฝานทั้งสามรีบถักจัดทำแพใหญ่ขึ้นมาได้ลำหนึ่ง ตอนนี้ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นมาแล้ว ทั้งสามปล่อยม้าออกไปสามตัว ส่วนอีกสามตัวฉุดลากขึ้นไปบนแพใหญ่


ทั้งหมดลอบล่องมาตามแม่น้ำ กังโส่วหู่บังคับทิศทางออกไปเบื้องข้าง เริ่มใกล้ด่านตรวจขึ้นมาเรื่อยๆ จางฝานเริ่มใจเต้นตุบตับระทึกลุ้นอยู่ภายในใจ พวกทหารเห็นแพล่องมาแต่ไกล ก็เตรียมพร้อมจู่โจม แต่แพดันข้ามไปอีกฝั่งก่อนจะถึงด่านตรวจครึ่งลี้ พวกทหารจึงมิรู้จะทำอย่างไรกับอีกฝั่งได้


ทั้งสามจูงม้าขึ้นมาจากแพ จากนั้นปล่อยแพไปตามยถากรรม เดินเข้ามาอีกครึ่งชั่วยามก็ถึงเมืองลู่โจว(เหอเฟ่ยปัจจุบัน)จนได้
เมืองนี้เป็นเมืองหน้าด่านของจินกั๊ว(กิมก๊ก)อยู่ตรงข้ามกับเมืองร้างวู่หูของดินแดนซ้อง การค้าขายที่นี่ล้วนเจริญงอกงามยิ่งนัก ชาวฮั่นที่อยู่ ณ บริเวณนี้ต่างไม่ค่อยได้รับผลพวงจากสงครามเหมือนกับอีกด้านหนึ่ง ชาวบ้านเบียดเสียดกันยื้อแย่งสินค้ายามเช้าคล้ายดั่งสงบสุขยิ่งนัก อาจเนื่องเพราะส่วนใหญ่ฝ่ายจินจะเป็นฝ่ายบุกมากกว่าฝ่ายซ้องก็เป็นได้


ทหารเวรยามในเมืองสวมใส่ชุดสีครามที่ติดเย็บมาอย่างดี ผ้าสีขาวพาดคอ มือหนึ่งถือหอกไม้ไผ่อยู่ไม่ห่าง เดินตรวจตราขวักไขว่รอบๆ บริเวณ
หลังจากเดินไปแลกตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้แล้ว จางฝานนำเงินส่วนหนึ่งไปจองห้องหนึ่งในโรงเตี๊ยม กังโส่วหู่เดินจับจ่ายซื้อสินค้าเสบียงกรังทั้งหลายแหล่ในตลาด ส่วนเต้าจี้ไต้ซือก็ไปหมกตัวอยู่แต่ในร้านเหล้า จัดซื้อเหล้าหลายรายการ กังโส่วหู่และจางฝานถึงกับส่ายหัวไปมา ลากท่านออกจากร้านเหล้าในบัดดล ยังดีที่ท่านนำติดตัวออกมาได้หลายกระปุกอยู่


ทั้งสามขึ้นไปบนโรงเตี๊ยมที่จองไว้ เห็นพวกชนชาวนักเลงนั่งจับจองอยู่หลายสิบโต๊ะ ล้วนส่งสายตามายังคนทั้งสามแบบไม่เกรงใจ อาจเพราะพวกมันเป็นคนต่างถิ่นประการหนึ่ง หรืออาจจะมีอย่างอื่นแอบแฝง กังโส่วหู่รู้สึกไม่สบายใจ เรียกเสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยมมาถามไถ่กำนัลเงินแก่มันจำนวนหนึ่ง เสี่ยวเอ้อรีบออกปากบอกว่าชนชาวนักเลงพวกนี้ได้ยินข่าวบ่งบอกว่าพวกท่านมีของวิเศษประการหนึ่งอยู่


พวกกังโส่วหู่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับหน้าถอดสี สงสัยคงเป็นว่านสี่เซี่ยปล่อยข่าว เพื่อให้ชาวยุทธ์แย่งชิงไข่มุกเป็นแน่แท้ รีบออกจากโรงเตี๊ยมโดยไม่ได้สั่งอาหารสักคำ พวกนักเลงทั้งหลายเห็นดังนั้นจึงค่อยๆ ติดตามอยู่เบื้องหลังไม่ยอมห่าง ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าพวกมันกริ่งเกรงทางการจินประการหนึ่ง อีกประการหากล่วงรู้ถึงหูพวกอื่น คงหมดหวังได้ขุมสมบัติมาครอบครอง


ทั้งสามควบม้าอย่างเร่งรีบ หวังสลัดหลุดพวกมันไปให้ได้ แต่ไหนเลยกำลังม้าจะทานทนได้ ในที่สุดก็อ่อนเปลี้ย จำต้องหยุดพักที่ร้านเปลี่ยนม้าในอีกหมู่บ้านจนได้ พวกที่ติดตามยังคงรอบดูท่าทีไม่ยินยอมเคลื่อนไหว ส่งคนไปเปลี่ยนม้ามาบ้าง พวกมันคงหวังสะสางเรื่องราวระหว่างกันให้จบสิ้นเสียก่อนค่อยลงมือแย่งชิง


พวกกังโส่วหู่เปลี่ยนม้าเสร็จสิ้น ควบม้าไปเรื่อยๆ ไม่หยุดพัก ม้าตัวหนึ่งล้มลงก็กระโดดเปลี่ยนขึ้นขี่ม้าอีกตัวหนึ่ง จางฝานที่ไม่ค่อยชำนาญ บ่อยครั้งที่เกือบผลัดตกจากหลังม้า พวกที่ติดตามเห็นดังนั้น ล้วนหัวร่อจนตัวงออยู่เบื้องหลังไม่ขาด แสดงว่าพวกมันยังตกลงกันไม่เสร็จสิ้น ไม่เช่นนั้นคงได้แตกหักกัน


เต้าจี้ไต้ซือทนไม่ไหวอีกต่อไป เริ่มอยากดื่มกินสุราใจจะขาด ยิ่งมีพวกประดานี้ ติดตามอยู่เบื้องหลัง ยิ่งรำคาญลูกกระตานัก ไหนเลยจะทานทนต่อไปได้ พลันหยุดยั้งม้าลง ขวางพวกมันไว้ กังโส่วหู่และจางฝานควบม้ากลับหลังเพื่อคอยผสมโรง เต้าจี้ไต้ซือตะโกนข่มขู่ขึ้นเสียงดัง


“พวกท่านเป็นใคร ติดตามพวกอาตมาเพราะเหตุอะไร”


ม้าหลายตัวร่ำร้องตกใจกับเสียงดังของเต้าจี้ไต้ซือหมายจะหลบหนี ดีที่เจ้าของหยุดยั้งบังเหียนของมันได้ มีคนหนึ่งคล้ายเป็นหัวหน้า ดวงตามันโปนโต เค้าหน้าเหี้ยมหาญ ประกาศเสียงกร้าว


“พวกข้าพเจ้าเป็นกลุ่มโจรจากหลายกลุ่ม พวกท่านมอบไข่มุกราชันย์มา แล้วพวกข้าพเจ้าจะยินยอมปล่อยไป”


ที่แท้พวกนี้เป็นโจรทางภาคเหนือหลายกลุ่ม ล้วนมาโดยมิได้นัดหมายกัน ภายหลังจึงให้หัวหน้ากลุ่มโจรเจียงเป่ย(เหนือน้ำแยงซี)ที่อยู่ในบริเวณนี้ออกมากล่าว กังโส่วหู่หันมองหน้าคนผู้นี้อีกครา คล้ายนึกอะไรออก รีบปราดออกไปเบื้องหน้า ร้องทักขึ้นว่า


“เหมาปี่จี้(ขนสัตว์แซ่เหมา)ใช่หรือไม่”


เหมาปี่จี้ที่เอ่ยถึงหันหน้ามามองกังโส่วหู่คราหนึ่ง ก่อนหัวร่อออกมาดังๆ ล่อนถลาลงจากหลังม้าเข้าไปจูงมือกังโส่วหู่ พวกโจรเมื่อเห็นหัวหน้ากลุ่มลงจากหลังม้าก็ลงตามๆ กันหมด


“ฮาฮา กังเฮียนี่เอง นึกว่าผู้ใดกัน ว่าแต่เหตุใดท่านมาอยู่กับหลวงจีนได้”


“เล่าแล้วเรื่องยาว เหมาเฮีย พวกท่านเหตุใดจึงติดตามพวกข้าพเจ้ามาเพราะเรื่องไข่มุกราชันย์”


“อ้อ พวกข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่ามีกลุ่มคนซุกซ่อนไข่มุกราชันย์ไว้ มินึกเลยว่าจะเป็นพวกท่าน”


“ไฮ้ พวกข้าพเจ้ากำลังหนีการตามล่าของพวกพรรคเทวราชกำลังจะขึ้นเหนือไปนอกด่าน สงสัยเป็นพวกมันปล่อยข่าวลือมั่วซั่ว เลยทำให้พวกท่านเข้าใจผิดไป”


เหมาปี่จี้ลังเลครู่หนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าล้วนหายไปสิ้น


“ข้าพเจ้าคงไม่ยินยอมเชื่อถือ กังเฮียกลิ้งกลอกเชื่อถือได้ยากยิ่ง ไหนเลยจะให้พวกข้าพเจ้ากลับไปมือเปล่า”


พูดจบพวกโจรทั้งหลายพลันชักนำอาวุธออกมาเบื้องนอกจนหมดสิ้น กังโส่วหู่ก็ชักเชือกขอเกี่ยวอาวุธประจำตัวออกมา จางฝานเห็นท่าไม่ดีก็ชักกระบี่กานเจียงโม่เซี่ยะออกมาเล่มหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายมองหน้ากันชั่วครู่ ถลันเข้าต่อสู้เป็นพัลวัน พวกโจรแม้นจะมีพวกมากกว่า แต่ก็มิได้เปรียบกว่าเท่าใดนัก ซ้ำยังถูกตีแตกกระเจิงอย่างง่ายดาย รีบกลับขึ้นหลังม้าควบหนีไปจนหมดสิ้น


หากสู้รบบนหลังม้าคงไม่ง่ายดังนี้ ดีที่กังโส่วหู่รู้ทันว่าชาวเหนือควบขับม้าเก่ง จึงแสร้งชวนหัวหน้าพวกมันลงจากหลังม้า พวกโจรนึกว่าพวกเดียวกันจึงลงมาบ้าง พอสู้เสร็จพวกมันเริ่มขลาดกลัว จนไม่กล้าหันกลับมาสู้



พวกกังโส่วหู่ไม่อาจรั้งอยู่นาน มิเช่นนั้นพอพวกมันรวมตัวติด คงยากทัดทาน รีบควบม้าขึ้นเหนือไปทันที ควบม้าทั้งวันทั้งคืน เปลี่ยนม้านับสิบเที่ยว ผ่านหมู่บ้านเมืองใหญ่นานา หนทางเกือบพันลี้ ทั้งหมดล้วนเหน็ดเหนื่อย ทั้งอ่อนล้า ยังดีที่พวกโจรยิ่งทางเหนือยิ่งมิรู้เรื่องราว ดังนั้นจึงได้พักผ่อนในโรงเตี๊ยม ในที่สุดก็มาถึงเขตเหนือสุด เห็นกำแพงหมื่นลี้(กำแพงเมืองจีน) ลิบลับคล้ายดั่งใกล้ตาอยู่ไกลๆ


ด้วยกลวิธียัดใต้โต๊ะ พวกมันเลยพอผ่านออกจากนอกด่านมาได้ ควบม้ามาจนถึงดินแดนแห่งชนเผ่า ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มคล้ายดั่งมิใช่ต้นหญ้าในดินแดนภาคใต้ ทั้งสวยงามทั้งสุดลูกหูลูกตา ได้ยินเสียงทหารม้าควบผ่านมาสองนาย กังโส่วหู่โบกมือไปมาพร้องร้องเรียกอยู่ไม่ขาด ทหารม้าทั้งสองเห็นคนต่างถิ่นรีบเข้ามาหา นำพาเข้าไปยังที่ตั้ง “เยิร์ก[2]” ของพวกตน


เมื่อทั้งหมดเข้าสู่เยิร์กหลักแล้ว ทหารทั้งสองนายจึงล่าถอยจากไป
พวกกังโส่วหู่ทั้งสามเข้าไปในเยิร์ก ปรากฏมีหญิงสาวสวมใส่เสื้อผ้าชั้นนอกสีฟ้าอ่อน ประดับด้วยอัญมณีเล็กๆ รอบด้านขลิบด้วยไหมทองอย่างดี ชั้นในกลับเป็นเสื้อขาวบางธรรมดา เห็นถึงเนื้อนุ่มละมุน คิ้วโค้งมนของนางที่ยาวได้รูป ดวงตากลมใสนั้นดึงดูดผู้คนนัก ผิวขาวของนางอาจถึงขนาดสะกดได้ทั้งกองทัพ นางยิ้มแย้มลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า จากนั้นคารวะตามแบบชาวฮั่นแก่ทั้งสาม


กังโส่วหู่และจางฝานล้วนตะลึงลานกับที่ ยิ่งจางฝานที่เพิ่งเคยพบเจอผู้หญิงสวยซึ้งตรึงใจเช่นนี้อดหัวใจเต้นโครมครามเสียมิได้ มีแต่เต้าจี้ไต้ซือคนเดียวเท่านั้นที่คารวะตอบ จากนั้นท่านจึงสะกิดทั้งสองคนให้หายจากภวังค์ ทั้งสองเลยเริ่มรู้ตัวว่าผิดไปที่มิทันได้คารวะเจ้าบ้าน จึงคำนับตอบบ้าง หญิงสาวจึงหัวร่อคิกคักเป็นที่เบิกบานใจยิ่ง จากนั้นจึงบอกกล่าวเป็นภาษาฮั่นสำเนียงเหนือ


“ท่านข่านติดธุระ อีกสักครู่คงจะมาพบพวกท่าน”


จางฝานรีบถามตะกุกตะกัก ขึ้นทันที นางเห็นดังนั้นก็หัวร่อออกมาอย่างสดใส แทบหลอมละลายบุรุษหนุ่มทั้งสอง


“เอ่อๆ มิทราบว่า ว่า”


“มิทราบว่ากระไร”


นางก้มหน้าลงไปหัวเราะอีก จางฝานรวบรวมความกล้าอยู่นานจึงพูดออกไป


“มิทราบว่า แม่นางเรียกว่าอะไร”


“อา สำเนียงชาวใต้ ท่านคงเป็นคนเมืองซ้องกระมัง ข้าพเจ้าเรียกเป็นภาษามองโกลว่า น่ายาเอ่อร์ อันมีความหมายว่า รื่นเริงสนุกสนาน”


นางพูดจบ ข่านของพวกชนเผ่ามองโกลก็ออกมาจากหลังกระโจม คารวะแบบชาวฮั่นรอบทิศ เมื่อเงยหน้าขึ้นมา จางฝานถึงกลับตกตะลึง ข้างข่านมองโกลเอง เมื่อเห็นจางฝานก็ตะลึกลานกับที่เช่นกัน เพราะทั้งสองหน้าคล้ายกันเหมือนฝาแฝดคลอดออกมาจากมารดาเดียวก็ปาน!


“ข้าพเจ้า เตมูจิน[3] ข่านแห่งมองโกล ขออภัยที่ต้อนรับล่าช้า”






เกร็ดความรู้


[1] ยามเหม่า ประมาณ 5.00 – 6.59 น.


[2] เยิร์ก หรือเยิร์ต คือ กระโจนแบบชาวมองโกล สามารถเคลื่อนย้ายไปได้ เพียงไม่กี่ชั่วโมง


[3] เตมูจิน คือ เจงกีสข่าน จักรพรรดิองค์แรกแห่งจักรวรรดิมองโกล





Create Date : 10 ตุลาคม 2551
Last Update : 10 ตุลาคม 2551 0:03:35 น. 1 comments
Counter : 584 Pageviews.

 
ดีใจที่แวะไปเยี่ยมบ้าน(//miraclebox.wordpress.com/)และฟังเพลงนะคะ
เลยย่องแวะมาเยี่ยมบ้างค่ะ


โดย: miraclebox IP: 125.24.64.120 วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:12:48:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กระบี่เก้าเดียวดาย
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




...ฟังพิรุณบนหอน้อยเพียงเดียวดาย..
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
10 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add กระบี่เก้าเดียวดาย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.