ตำนานสะท้านฟ้า (สารบัญ)
ยังไม่เปิดจ้า
ยังไม่เปิดจ้า
บู๊ลิ้มพันทิพย์
บทที่ 1 เป่ย ตอนที่ 7 ปูนากลับรูปู






ในวงพวกนักเลงต่างเล่าขานกันเนิ่นนานว่า ไข่มุกแห่งราชันย์คือกุญแจเข้าสู่ตำหนักเทพแปรปรวน หากผู้ใดได้ครอบครองไข่มุก ผู้นั้นจะได้ครอบครองสุดยอดวิชาอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าในตำหนักเทพ


ดังนั้นชนชาวนักเลงทั้งหลายล้วนต้องการไข่มุกแห่งราชันย์เพื่อเป็นกุญแจเข้าสู่ตำหนักเทพด้วยกันแทบทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ซือเฮียตี๋ (ศิษย์พี่ศิษย์น้อง) พรรคเทวราช ยิ่งพวกมันเพิ่งได้แผนที่เข้าสู่สุสานลับแล้วนั้น ความหวังว่าจะได้ไข่มุกแห่งราชันย์จากสุสาน และได้เป็นยอดยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินยิ่งใกล้แค่เอื้อม ที่ไหนได้กลับถูกกังโส่วหู่ขโมยไปเสียก่อน พวกมันได้ฟังคำบอกเล่าเหตุการณ์จากพวกลูกน้อง ก็โกรธจนควันแทบออกจากหู


เมื่อสุสานลับถูกเปิดออกแล้ว ความลับเรื่องไข่มุกย่อมต้องมีผู้ที่ล่วงรู้ด้วยกันทั้งหมดสี่คน สองคนแรกคือ จูซีและหลงหย่งหว่อ สองคนนี้พวกว่านสี่เซี่ยทำอะไรมิได้อยู่แล้ว ดังนั้นพวกมันจึงพุ่งเป้าหมายมาที่พวกกังโส่วหู่แทน
เพื่อเค้นหาความลับ ยังไงก็ต้องจับเป็นพวกกังโส่วหู่ทั้งสองคนให้ได้ แต่จางจุ้นกลับถูกไข่มุกแห่งราชันย์เล่นงานเสียก่อน
เมื่อว่านสี่เซี่ยได้ยินเสียงตะโกนบ่งบอกถึงการมีอยู่ของไข่มุกแห่งราชันย์ดังขึ้น มันจึงเผยรอยยิ้มอันเหี้ยมเกรียมทันที ที่แท้ไข่มุกอยู่กับพวกกังโส่วหู่นี่เอง


ว่านสี่เซี่ยคิดในใจ เมื่อคิดได้ดังนั้น มันจึงรีบว่าพรางคารวะพรางต่อจูซี


“วันนี้ข้าพเจ้าติดธุระด่วน คงจะละเล่นกับพวกท่านมิได้เสียแล้ว”


ว่านสี่เซี่ยกล่าวจบก็รีบหันหลังหมายจะจากไปอย่างรวดเร็ว หลงหย่งหว่อ เมื่อยิ่งรู้ว่าไข่มุกแห่งราชันย์อยู่กับพวกจางฝานทั้งสอง ยิ่งต้องขัดขวางมิให้ว่านสี่เซี่ยเข้าใกล้พวกมันให้จงได้


“ท่านว่านกวงลู่สวิน (หมายถึงว่านสี่เซี่ย) จะรีบไปไหน”


หลงหย่งหว่อพูดจบ ก็ไม่พูดพร่ำอีก เสือกแทงกระบี่ด้วยท่าอรุณเบิกฟ้า ทิ่มไปเบื้องหลังของว่านสี่เซี่ย ท่านี้เป็นหนึ่งในเพลงกระบี่อรุณรุ่งที่หลงหย่งหว่อคิดค้นขึ้นเอง กระบี่จะแทงตรงก่อน เมื่อศัตรูกลับรับ ก็วนกระบี่ขึ้นเบื้องบน จากนั้นจึงวกกลับมาเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว ไม่ให้ศัตรูได้ตั้งตัวทัน
ว่านสี่เซี่ยไม่กริ่งเกรงเพลงกระบี่แม้สักน้อยนิด สะบัดผ้าคลุมเพียงบางเบาต้านการบุกเข้ามา จากนั้นส่งร่างตามแรงกระบี่ของหลงหย่งหว่อ พุ่งไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว


ที่แท้มันไม่ต้องการยื้อกับหลงหย่งหว่อจนพลาดโอกาสแย่งชิงไข่มุกไปนั่นเอง หลงหย่งหว่อพลาดท่า ทิ่มกระบี่ถูกเพียงอากาศธาตุ จึงบอกกล่าวแก่จูซี ขอติดตามไป หวังสกัดการไล่ล่าของว่านสี่เซี่ยให้ทันกาล
ว่านสี่เซี่ยรีบวิ่งไปที่ประตูเมืองทิศใต้ในบัดดล ทิ้งให้พวกลูกน้องในพรรคสกัดหลงหย่งหว่อที่ติดตามมาเบื้องหลังอยู่ห่างๆ มันเองรู้ว่าลูกสมุนในพรรคไม่อาจสกัดหลงหย่งหว่อให้อยู่มือ แม้ในขบวนนั้นจะมีผู้คุมกฎถึงสองคนก็ตามที หากแต่มันต้องการแค่ถ่วงเวลาให้ช้าลงเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ตอนนี้ว่านสี่เซี่ยอยู่ห่างจากหลงหย่งหว่อร่วมห้าสิบกว่าเซี๊ยะ หลงหย่งหว่อยิ่งถูกสกัด ยิ่งรุ่มร้อนหวังเอาชัย มันแม้ชะงักงันเพียงน้อยนิด ไหนเลยจะติดตามยอดฝีมือเช่นว่านสี่เซี่ยทัน


ตอนนี้พวกจางฝานขึ้นถึงกำแพงเมืองแล้ว และทำต่อสู้กับพวกทหารประจำป้อมเมืองเสียยกใหญ่ ทหารพวกนี้ไหนเลยจะต่อสู้กับชนชาวนักเลงได้
กังโส่วหู่ใช้เชือกขอเกี่ยวเหวี่ยงทีสองทีก็กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทางแล้ว แต่พวกทหารนั้นมีมากมายจัดการอย่างไรก็ไม่หมดสิ้นเสียที ยิ่งยื้อนานเท่าไหร่กลับยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเท่านั้น จางฝานเองปัดกระบี่ไปมา กันไม่ให้หอกดาบของพวกทหารเข้าถึงตัวได้ ต่อสู้อยู่พักใหญ่ๆ ก็เริ่มเหนื่อยหอบแล้ว


เห็นทีคงต้องฆ่าเท่านั้นจึงจะหยุด!


ที่แท้ในเวลาที่จางจุ้นตกลงไปสู่พื้น กังโส่วหู่ก็ได้ยินเสียงตะโกนของมันเช่นกัน จึงรีบบอกกล่าวให้จางฝานขึ้นไปให้ถึงป้อมกำแพงเมืองให้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นหากว่านสี่เซี่ย ซือเฮีย(ศิษย์ผู้พี่)ของมันตามมาถึงคงไม่มีโอกาสหลบหนีอีกแล้ว พวกมันจึงไม่สนใจที่จะจัดการสังหารจางจุ้นแต่ประการใด รีบปีนป่ายให้ถึงเบื้องบนอย่างรวดเร็วเป็นพอ เมื่อกระโดดขึ้นข้างบนพลันพบเจอกับทหารสองนายขัดขวางเข้า ทหารนายหนึ่งรีบตีระฆังเตือนภัยขอกำลังสนับสนุนทันที


กังโส่วหู่ร้อนยิ่งนัก หากจางจุ้นฟื้นมา หรือว่านสี่เซี่ยติดตามมาทัน ไหนเลยจะสู้กับยอดฝีมือเช่นพวกมันได้ ยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ทหารนายหนึ่งได้โอกาสจึงเสือกแทงหอกเข้าไหล่ขวาของกังโส่วหู่ทันที ยังดีที่หอกแทงเข้าไปไม่ลึกเท่าใดนัก เพียงเฉือดเนื้อไปหน่อยหนึ่งเท่านั้น ทั้งสองคนจึงต้องทำการฆ่าฟันทหารประจำป้อมอย่างจำใจ ทหารตายไปคนแล้วคนเล่า แต่ก็ไม่อาจสลัดหลุดพ้นมาได้
จางฝานมองเห็นผู้คนจำนวนหนึ่งติดตามมาถึง มันสังเกตเห็นไอพิษปกคลุมร่างแต่ไกล นั่นต้องเป็นว่านสี่เซี่ยเป็นแน่!


พรางบอกกล่าวให้กังโส่วหู่รีบหลบหนีเอาชีวิตรอด ทั้งสองคนต่อสู้กับทหารประจำป้อมบาดเจ็บภายนอกไม่น้อยเลยทีเดียว ยามเป็นตาย เหล่าผู้คนย่อมไม่คิดอะไรมากอีก พวกมันจึงตัดสินใจที่จะกระโดดลงจากป้อมเมืองไปยังพื้นนอกเมืองโดยทันที แม้จะไม่ถึงกับต้องตาย แต่อาจจะต้องพิการ


กระโดดต้องกระโดด ยามนี้ในหัวของทั้งสองคนคิดแต่เพียงเท่านั้น กังโส่วหู่ร้องบอกส่งสัญญาณให้จางฝานกระโดดพร้อมกัน พวกมันสองคนเมื่อกระโดดลงไปก็หลับตาปี๋ ใครบ้างจะไม่กลัวเล่า? สูงขนาดนั้น



พวกมันกระโดดจนพ้นจากรัศมีของคูเมืองจนได้ ยังดีที่โชคช่วยไว้ได้ทัน พื้นตรงจุดลงนั้นเป็นพุ่มหญ้าหนาทึบพอดิบพอดี ถึงแม้จะไม่ต้องพิการ แต่ขาสองข้างของทั้งสองคนกลับสั่นไม่หยุด ต้องพักอีกสักหน่อยถึงจะมีเรี่ยวแรง แต่จะมีเวลาพักหรือ?


พวกทหารยามบนป้อมเห็นดังนั้นถึงกับตะลึงลานกับที่ พวกมันที่ตกใจไม่ใช่อะไรเลย เนื่องเพราะพวกมันเห็นคนบ้าระห่ำสองคนกระโดดลงจากป้อมเมืองที่สูงขนาดนั้นได้ต่างหากเล่า? แม้แต่ยอดฝีมือในวงพวกนักเลง ยังไม่มีผู้ใดกล้าหาญเยี่ยงนี้


พวกทหารยามมีหรือจะปล่อยให้คนร้ายหลบหนีต่อหน้าต่อตาเชียว นั่นย่อมมิใช่วิสัยแน่ หากปล่อยให้คนร้ายหนีไปได้ นายเหนือของพวกมันคงลงโทษเป็นการใหญ่ พวกทหารยามเมื่อหายตกใจแล้ว รีบปลดเชือกชักรอกประตูเมืองลงมาอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กันนั้น ก็ร้องเรียกให้กองทหารม้าออกไปติดตามเบื้องนอกจนหมดสิ้น


แต่กลับไม่พบพวกกังโส่วหู่ทั้งสองแม้แต่เงา!


กังโส่วหู่และจางฝานเมื่อลงถึงพื้นได้อย่างปลอดภัย ถึงกับขาสั่นไม่หยุด แต่เมื่อเห็นประตูป้อมเมืองกำลังจะเปิด พวกมันก็ต้องรีบหลบหนีไปด้วยลักษณะอย่างนั้น ทั้งสองคนช่วยพยุงให้แก่กัน กังโส่วหู่คิดอยู่ตลอดว่าจะหนีรอดไปได้อย่างไร ในที่สุดมันก็คิดออกจนได้ จึงบอกแก่จางฝานให้รีบวิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือในบัดดล พวกมันวิ่งย้อนเมืองไปดังนี้ ไม่ใช่เท่ากับไปหาที่ตายหรือ?


นั่นกลับมิใช่ เนื่องเพราะเป้าหมายของพวกมันคือวัดหลิงอิ่น อันเป็นวัดใหญ่ประจำเมืองหลวง พวกว่านสี่เซี่ยจะอย่างไรเสียก็คงไม่ติดตามไปถึงในเวลาอันรวดเร็วแน่ เพราะหากจะเข้าวัดหลวงแห่งนี้ได้นั้นต้องได้รับอนุญาตจากองค์ฮ่องเต้โดยตรงเสียก่อน เหตุที่เช่นนี้เนื่องจากว่าราชวงศ์ซ่งนั้นได้มีการทำนุบำรุงศาสนาต่างๆ เป็นอย่างดี วัดในพุทธนิกายใหญ่ๆ หลายแห่งก็ได้รับการบูรณะด้วย บางวัดก็ได้รับสิทธิพิเศษ เช่น วันหลินอิ่นแห่งนี้ เป็นต้น
พวกมันคิดดังนั้นก็ใจชื่นขึ้นมาอีกมากโข หากไปถึงวัดหลิงอิ่นได้ทันท่วงที และแอบลอบเข้าไปพักรักษาตัวภายในวัดสักวันสองวัน ก็น่าจะมีเรี่ยวแรงพอหลบหนีพวกพรรคเทวราชได้แล้ว


ขณะที่พวกมันวิ่งเลียบทะเลสาบซีหูไปนั้น ทิวทัศน์อันงดงามในบรรยากาศยามเช้าตรู่ที่ประกอบไปด้วยแสงของดวงอาทิตย์สะท้อนผิวน้ำระยิบระยับ หมอกอ่อนๆ ลอยละล่องปกคลุมไปทั่วทะเลสาบ มองดูสงบเงียบยิ่งนัก แต่เวลาแบบนี้ไหนเลยจะมีโอกาสพร่ำพรรณนาความงามได้เล่า?


ในที่สุดทั้งสองก็ใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางเสียที ตอนนี้เริ่มพวกมันวิ่งแยกกันได้แล้ว แม้อาการปวดขาจากกระโดดกำแพงเมืองจะยังไม่ทุเลามากก็ตาม
พลันมีเสียงควบม้าดังแว่วมาแต่ไกล ที่แท้ก็คือกองทหารม้าที่ติดตามมาถึงแล้วนั่นเอง พวกมันเห็นพวกกังโส่วหู่ทั้งสองหลบหนีไปได้ จึงแกะร่องรอยติดตามมาจนเจอ แม้จะเสียเวลาไปบ้าง แต่ถึงยังไงม้าก็เร็วกว่าคนอยู่ดี พวกทหารม้าควบม้าตามหลังมาอย่างไม่ลดละ พร้อมเสียงคำสั่งให้หยุดจับกุมตัวดังอยู่ไม่ขาด พวกกังโส่วหู่ได้ยินเสียงดังนั้น ก็ยิ่งต้องรีบเร่งหลบหนี


ถึงแม้กองทหารประจำประตูเมืองพวกนี้จะเป็นพวกฝ่ายเหยี่ยวก็ตาม หรือหากพวกมันรู้ว่าพวกกังโส่วหู่หลบหนีจากการติดตามไล่ล่าของว่านสี่เซี่ยจริงก็ตาม ถึงยังไงบ้านเมืองก็ย่อมต้องมีกฎ การผ่านเข้าออกเมืองต้องแจ้งก่อน ไม่เช่นนั้นก็ต้องจะถือว่าเป็นคนร้ายทั้งสิ้น
เมื่อจับเป็นไม่ได้ ก็ต้องจับตาย!


ทหารม้าเคลื่อนเข้ามาใกล้พวกมันขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระยะยิง นายกองคนหนึ่งจึงสั่งการให้พาดสายธนูพร้อมยิง
เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งยิง ลูกธนูแหวกอากาศดังวิบวับติดตามหลังพวกกังโส่วหู่อยู่ไม่ขาด พลังสังหารของลูกธนูเย็นยะเยียบยิ่งนัก ลูกธนูนับสิบเฉียดผ่านร่างของทั้งสองคนเป็นระยะๆ ทั้งสองได้แต่หลบหลีกไปมาอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบ้างที่หลุดรอดเข้ามาจนได้ จางฝานนั้นถูกลูกธนูปักเข้าเฉียดไหล่ซ้ายเป็นแผลลึก มันถึงกับร้องอย่างเจ็บปวด แม้แต่กังโส่วหู่ที่เป็นขโมยโดยอาชีพก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก ยิ่งมันเสียเลือดจากการถูกแทงบนป้อมเมืองยิ่งไปกันใหญ่


หรือทั้งสองคนจะตาย ณ ที่แห่งนี้!



แต่พวกทหารพลันหยุดยั้งมือลงเสียก่อน ที่แท้พวกมันใกล้เข้าสู่เขตหวงห้ามแล้ว แม้ไม่ยินยอมล่าถอย ก็จำเป็นต้องล่าถอยจากไป
พวกกังโส่วหู่ทั้งสองพาร่างอันสะบักสะบอมมาจนอยู่เบื้องหน้าวัดหลิงอิ่นจนได้ แต่เมื่อมาถึงจุดหมายกลับทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นแทบจะทันที
ในทางเข้าวัดนั้นปรากฎมีไต้ซือวัยกลางคนรูปหนึ่งกำลังร่ำสุราอยู่เพียงลำพัง เมื่อเห็นพวกกังโส่วหู่ทั้งสองก็มาพยุง นำพาร่างของทั้งคู่หายเข้าไปในหมอกยามเช้า


“ท่านพ่อ ท่านแม่”


จางฝานพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงตะโกนดังลั่น เหงื่อกาฬของมันไหลอาบเต็มทั้งใบหน้า ถึงกับหอบหายใจหนักๆ หลายครา เนื่องเพราะมันฝันเห็นบิดามารดาถูกทหารฆ่าตาย ครอบครัวของมันล้วนถูกสังหารจนหมดสิ้น ตึกตระกูลเฉินพังพินาศอยู่ในกองเพลิง นั่นยังไม่เพียงพอให้มันสะดุ้งตื่นอีกหรือ?


จางฝานหันไปมองรอบๆ ข้างตัวอย่างเชื่องช้า พยายามปรับสภาพภายในตาของมันให้พอมองเห็นได้ถนัดถนี่กว่านี้ ที่แท้มันกำลังอยู่ในห้องๆหนึ่ง ส่วนกังโส่วหู่นั้นนอนสลบอยู่เบื้องข้างไม่ห่างจากมันมากนัก พวกมันทั้งสองอยู่บนกองฟางกองหนึ่งของห้องนั้น ตามร่างกายถูกพันด้วยผ้าหลายชั้น ครั้นขยับตัวแรงๆ ก็ยากลำบากพอดู
แสงสว่างของดวงอาทิตย์ยามสายสาดส่องลอดเข้ามาตามรูกำแพงไม้กลางห้อง แสงนั้นถึงกับแบ่งห้องออกเป็นสองด้าน


จางฝานพยายามปรับสภาพแสงที่พร่ามัวภายในตาของมันอีกครั้งเพื่อสำรวจให้รอบห้องกว่านี้ กลับได้ยินเสียงดื่มกินสุราดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศเสียก่อน เสียงดังกล่าวนี้มาจากนักบวชท่านหนึ่งที่นั่งประจำอยู่บนกองฟืนตรงกันข้ามพวกมันนั่นเอง ที่แท้ห้องนี้ก็เป็นห้องเก็บฟืนห้องหนึ่งเท่านั้น ไต้ซือท่านดังกล่าวแต่งกายซอมซ่อ ใส่หมวกเก่าๆ ขาดๆ เหมือนกับเสื้อผ้าของท่าน แต่สีหน้าตากลับเปล่งปลั่งไปด้วยรัศมีของผู้บรรลุธรรมขั้นสูง นี่นับว่าขัดแย้งกันเหลือเกิน


นักบวชท่านนี้มือข้างหนึ่งจีบพัดไปมาเหมือนกับในห้องนั้นร้อนรุ่มเต็มทนก็ปาน อีกข้างหนึ่งก็ถือกระบอกไม้ไผ่สุรา ยกขึ้นกำลังจะดื่มกิน เมื่อท่านไต้ซือเห็นจางฝานตื่นขึ้นจึงร่ำร้องขึ้นคราหนึ่ง


“ท่านตื่นก็ดีแล้ว มาๆ มาร่ำดื่มสุรากัน”


กล่าวจบก็ยื่นกระบอกสุราส่งให้แก่จางฝานบ้าง กลิ่นสุราในกระบอกนั้นเมื่อกระทบกับกลิ่นไม้ไผ่ถึงกับมีความหอมหวนเป็นอย่างยิ่ง อบอวลเป็นอย่างยิ่ง
อนึ่ง มันนั้นเคยได้กลิ่นสุรามาก็มาก กลับไม่เคยเห็นสุราที่หอมหวนชวนรับทานเช่นนี้มาก่อน และมันยิ่งไม่เคยเห็นนักบวชที่เหมือนท่านผู้นี้มาก่อนอีกด้วย เนื่องเพราะส่วนมากนั้นต้องถือศีลกินเจเป็นอาจิณ ไม่ใช่มาร่ำสุราเยี่ยงนี้



เมื่อจางฝานรับสุรามาแล้วก็กรอกใส่ปากคราหนึ่ง มันนั้นแม้จะเคยดื่มกินสุรามาบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับชมชอบเท่าใดนัก จึงรับทานไปแต่เพียงน้อยนิดเท่านั้น จากนั้นจึงเอื้อนเอ่ยขึ้นมา


“ขอบพระคุณไต้ซือที่ช่วยชีวิต”


“ไม่ต้องเกรงใจอาตมา ดื่มอีก ดื่มอีก เอาให้เมาไปเลย เอิ๊ก”


ไฮ้! นักบวชเยี่ยงนี้ก็มีด้วยหรือ? จางฝานแม้ไม่ชมชอบใจจะดื่มกินเท่าใดนัก แต่ก็จำใจต้องรับทานตามนั้น เมื่อผู้มีคุณรับสั่งประการใดมันล้วนทำตามมิขัดข้อง จึงดื่มสุราเข้าไปอีกสองสามอึก


“ฮาฮา สุรานี้รสชาติเป็นเยี่ยงใด”


“นุ่มละมุนคอยิ่ง กลืนกินไปแล้วรสชาติเยี่ยมยอดทีเดียว ทำให้อดข้าพเจ้าหวนคิดถึงสุราที่บ้านเกิดมิได้”


“เช่นนั้น สุราที่บ้านเกิดท่านก็คงนุ่มละมุนคอเช่นกัน? ฮาฮา”


นักบวชขี้เหล้าป้อนคำถามอีกครา


“ก็นับว่านุ่นละมุนคอ แต่คงเทียบกับเหล้าของท่านไต้ซือมิได้กระมัง”


“ฮาฮา นั่นนับว่าแน่นอน อาตมาย่อมค้นหาเหล้าดีมาดื่มกิน”


ขณะจะไต้ซือจะกล่าวต่อ กังโส่วหู่ที่เพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ก็เข้ามาคำนับคารวะขอบคุณที่ช่วยชีวิต จากนั้นบอกกล่าวชื่อเสียงเรียงนามของทั้งสองคนออกไป จึงถามบ้างว่าท่านไต้ซือนั้นมีสมณะนามว่ากระไร


“อาตมามีนามทางธรรมว่า เต้าจี้ [1]


“ขอบพระคุณเต้าจี้ไต้ซือ บุญคุณครั้งนี้ข้าพเจ้าทั้งสองมิว่าจะตอบแทนเยี่ยงไรก็คงมิหมดสิ้น”


“ฮาฮา กล่าวหนักไปแล้ว อาตมาเพียงช่วยเท่าที่จะทำได้เท่านั้น”


เต้าจี้ไต้ซือหัวเราะร่วน ชวนให้เป็นที่แปลกใจของคนทั้งสอง พระอะไรเพี้ยนจริงๆ นี่คงเป็นความในใจตอนนี้ของพวกมันเป็นแน่แท้ จากนั้นเต้าจี้ไต้ซือจึงกล่าวต่อไป


“ประเดี๋ยวอาตมาจะไปขโมยอาหารในวัดนำมาให้พวกท่านทั้งสองรับทาน”


ยิ่งมายิ่งเพี้ยนหนัก ถึงกับจะไปขโมยของในวัดตัวเองเชียว? พวกกังโส่วหู่ทั้งสองแม้จะสงสัยแต่ก็ไม่กล้าไถ่ถามความอันใดอีก
ไต้ซือเพี้ยนจากไปแล้ว ทิ้งไว้เหลือเพียงพวกกังโส่วหู่ทั้งสองเท่านั้น


กังโส่วหู่จึงถามจางฝานว่าไปได้ไข่มุกแห่งราชันย์มาได้ยังไงกันแน่ จางฝานบ่งบอกโดยไม่ปิดบัง ตั้งแต่ครั้งที่ไต้ซือชราเข้ามาพักโรงเตี๊ยมแล้วหายไป จากนั้นมันก็นำติดตัวเรื่อยมา โดยมิทราบว่าจะเป็นไข่มุกสุดวิเศษเยี่ยงนี้
เมื่อจางฝานเล่าจบ กังโส่วหู่ก็ทำตาโตสุกสกาวโดยทันที ตอนนี้ดวงตาของมันที่กลมใสอยู่แล้ว กลับลุกวาวเป็นอย่างยิ่ง ชวนลุ่มหลงเป็นอย่างยิ่ง จางฝานซึ่งคลุกคลีกับกังโส่วหู่มาช่วงระยะเวลาหนึ่ง อีกทั้งยังร่วมผจญภัยอีกด้วย เมื่อเห็นดังนั้นก็เข้าใจโดยบัดดล


ที่แท้หากกังโส่วหู่หากต้องตาของสิ่งไหน หรือกำลังอยากได้ของสิ่งใด มันย่อมทำประกายตาดังนี้
สหายอยากได้สิ่งของประการใด จางฝานย่อมมิขัดข้องอยู่แล้ว มันล้วงเอาไข่มุกเม็ดนั้นออกจากอกเสื้อโดยทันที พร้อมบอกกล่าวว่าจะมอบให้กังโส่วหู่ แต่กังโส่วหู่กลับปฎิเสธออกมาเสียดื้อๆ ย่อมทราบนิสัยมันเป็นเช่นไร ก็เป็นเยี่ยงนั้นเอง มันไม่ยินยอมฉกฉวยของรักของสหายเป็นอันขาด เพียงแต่ยื่นมือไปรับลูบคลำดูคราหนึ่ง ก็ส่งมอบคืนให้แก่จางฝาน
จากนั้นจางฝานจึงบอกเล่าถึงฝันประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเอง พลันไต้ซือเพี้ยนส่งเสียงฮือฮาอยู่ข้างๆ แม้ทั้งสองคนจะเห็นท่านจากไป แต่ก็ไม่เห็นว่าท่านเข้ามาเมื่อใด
พวกมันตกใจยิ่งนัก นึกว่าท่านเป็นภูตผีปีศาจอันใดเสียอีก เต้าจี้ไต้ซือเห็นทั้งสองงุนงงตกใจต่อการเข้ามาของท่าน จึงทำท่าทีเปลี่ยนเรื่องมาพูดถึงเหตุการณ์ฝันประหลาดของจางฝานแทน


“ที่ท่านเห็นนั้น คงเป็นจักรวาลของเรากระมัง”


“ข้าพเจ้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”


กังโส่วหู่อดสอดคำขึ้นมามิได้


“อย่างนั้นแสดงว่า โลกของเราก็เป็นทรงกลมน่ะสิ”


คำพูดของมันทำให้ทั้งสามต่างครุ่นคิดกันยกใหญ่ หลังจากเงียบงันไปนาน เต้าจี้ไต้ซือก็หัวร่อขึ้นทำลายบรรยากาศอึมครึมคราหนึ่ง พวกกังโส่วหู่ทั้งสอง พลันสงสัย ถึงกับโพล่งขึ้นเกือบพร้อมๆ กัน


“ท่านไต้ซือหัวเราะอะไร”


“อาตมาคิดว่า หากท่านทั้งสองนำเอาหลักการของการหมุนของจักรวาลมาดัดแปลงเป็นวิชาปล่อยพลัง น่ากลัวจะร้ายกาจพอดูทีเดียว”


จางฝานรีบสอดคำพูดขึ้นมาในบัดดล


“ทำยังไงหรือขอรับ”


มันนับเป็นผู้หนึ่งที่คลั่งไคล้วรยุทธ์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินเต้าจี้ไต้ซือพูดดังนั้น ยิ่งสนใจใคร่รู้เป็นอย่างมาก แม้แต่กังโส่วหู่ที่ไม่ค่อยจะสนใจวรยุทธ์เท่าใดนัก ได้ยินเข้าถึงกับทำหูผึ่งขึ้นมาทันที ต้องทราบตอนนี้พวกมันกำลังหลบหนีการไล่ล่าอยู่ หากได้วิชาฝีมือมาเพิ่มกำลังของตนเอง ความคิดที่จะหลบหนีย่อมง่ายขึ้นกว่ากันเยอะ


“ท่านทั้งสองได้ร่ำเรียนวิชาของกำลังภายในมาบ้างหรือไม่”


ทั้งสองส่ายศีรษะกันหงึกหงัก เต้าจี้ไต้ซือเห็นดังนั้นก็หัวเราะชอบใจขึ้นมายกใหญ่ จากนั้นจึงกล่าวต่อ


“จุดตานเถียน พวกท่านคงไม่รู้จักกระมัง งั้นอาตมาคงต้องอธิบายเสียยกใหญ่แล้ว ในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วยสิบสองเส้นชีพจรหลัก แถมยังมีเส้นชีพจรพิเศษอีกแปดเส้น เส้นเหล่านี้ที่เองที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังของมนุษย์ทุกผู้นาม”


กังโส่วหู่อดสงสัยมิได้ ในที่สุดก็โพล่งออกมา


“เช่นนั้น อย่างข้าพเจ้าก็คงมีกำลังภายในเยี่ยงว่านั้นน่ะสิขอรับ”


เต้าจี้ไต้ซือถึงกับยิ้มแย้มออกมาคราหนึ่ง เมื่อถูกถามเช่นนี้



“นั่นต้องนับถูกต้อง แต่ว่าการฝึกยุทธ์ของท่านนั้นเป็นแบบกำลังภายนอกเข้าสู่ภายใน เมื่อใดท่านฝึกยุทธ์เพลงมวยนอกได้ถึงระดับหนึ่ง กำลังภายในก็จะเกิดขึ้นตามมาเอง โดยที่ท่านไม่รู้ตัว แต่หากผู้ที่ฝึกกำลังภายในมาก่อนแล้ว ย่อมดัดแปลงให้เป็นวิชากำลังภายนอกได้โดยง่าย เช่นเยี่ยงนี้”


เต้าจี้ไต้ซือว่าพรางกระทำพราง ท่านสูบลมหายใจเข้าไปในร่าง บีบอัดพลังออกมา ผลักดันพลังนั้นไปเบื้องหลังกำแพงไม้ด้วยฝ่ามือ กำแพงนั้นถึงสั่นไหวไปมา พวกจางฝานทั้งสองเห็นดังนั้นก็โห่ร้องดีใจยิ่งนัก


“จุดที่เก็บพลังอันนี้ เรียกว่าตานเถียน (จุดเก็บพลัง) มีอยู่สามจุดด้วยกัน คือ จุดตานเถียนล่าง บน และกลาง”


จางฝานได้ยินดังนั้นก็เข้าใจโดยปรุโปร่ง ที่แท้จุดที่พลังอัดแน่นร่างกายในฝันนั้น คือจุดตันเถียนล่างนี่เอง ครั้งหนึ่งเคยได้ยินชนชาวนักเลงที่มาพักโรงเตี๊ยมกล่าวถึงจุดตันถียนอยู่ตั้งนานนม เข้าใจว่าจุดตันเถียนมีอยู่เพียงจุดเดียว ที่ไหนได้กลับมีถึงสาม!


“ในการโคจรพลังแบบต่างๆ ในวงพวกนักเลงนั้น ส่วนใหญ่มักจะเก็บพลังไว้ที่จุดตันเถียนล่าง ซึ่งอาจารย์บางท่านในวงพวกนักเลงบอกกล่าวเอาไว้ว่าอยู่ที่จุดท้องน้อย บางอาจารย์ก็บอกอยู่ที่จุดสะดืออันเป็นศูนย์กลางแห่งธรรมชาติของมนุษย์”


เต้าจี้ไต้ซือหยุดนิดหนึ่ง ก้มลงหยิบสุราขึ้นมาดื่มอีกอึกสองอึก


“พลังภายในที่โพยพุ่งออกมานี้ เรียกกันว่า จิ้ง (พลังทำลาย) ซึ่งจะออกมาในลักษณะแหลมคม ตรงดิ่งไล่ตามจุดลมปราณทั้งเจ็ดจุด นอกจากท่านจะนำไปใช้ในการต่อสู้ได้แล้ว ท่านยังสามารถรักษาโรคภัยได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้อื่น หรือตัวท่านเอง แต่ที่อาตมาเห็นท่านเล่าถึงฝันของท่านนั้น พลังการปล่อยออกมาอันนี้ ย่อมต้องเป็นพลังที่ลี้ลับเป็นอย่างยิ่ง เข้มแข็งเป็นอย่างยิ่งประการหนึ่ง”


กังโส่วหู่มิวายสงสัยอีก


“หากพวกข้าพเจ้าจะฝึกต้องใช้เวลานานเท่าใดขอรับ”


เต้าจี้ไต้ซือโยนคบไฟถามทางได้ผล ก็ยิ้มแย้มขึ้นอีกคราหนึ่ง แต่ก็มิวายจะต้องหยิบกระบอกไม้ไผ่สุราขึ้นมาดื่มอีกหลายอึก


“นั่นท่านต้องศึกษาคัมภีร์เล่มนี้”


ว่าพราง เต้าจี้ไต้ซือ ก็ล้วงเอาคัมภีร์เล่มหนึ่งออกมาจากอกจีวร ที่แท้คัมภีร์เล่มนี้กลับเป็น ตำราแพทย์เก่าแก่คร่ำครึอันหนึ่งไปได้นี่!


พวกกังโส่วหู่เงียบงันอยู่เนิ่นนาน จะอย่างไรเสียพวกมันก็เป็นชาวยุทธ์ธรรมดาประเภทหนึ่ง ไม่ใช่แพทย์เทวดาสูงส่งประการใด จะไปศึกษาหาความรู้จากตำราแพทย์แล้วจะได้วิชาฝีมืออันสูงส่งมาประดับนั้นคงจะกระทำมิได้
ในที่สุดจางฝานอดทนไม่ได้อีกต่อไป ร้องโพล่งออกมาด้วยความโมโห


“ท่านไต้ซือให้ตำราแพทย์แก่พวกข้าพเจ้า คงเป็นการหยอกล้อพวกข้าพเจ้าเล่นกระมัง เช่นนั้นท่านก็อย่ากระทำเป็นช่วยเหลือพวกเราเลย”


เต้าจี้ไต้ซือกลับไม่เพียงไม่โกรธเท่านั้น ถึงกับหัวเราะดังๆ ออกมาอีกหลายครากลับอธิบายด้วยความแจ่มชัดอย่างยิ่ง เยือกเย็นอย่างยิ่ง


“ฮาฮา พวกท่านคงเข้าใจอะไรบางประการผิดไปกระมัง ข้าพเจ้าให้ตำราแพทย์ไว้ เพื่อให้พวกท่านเข้าใจลึกซึ้งถึงจุดเส้นลมปราณภายในร่างกายต่างหาก นั่นนับเป็นประโยชน์แก่พวกท่านว่าจะศึกษาเยี่ยงไร กระทำเยี่ยงไร ให้พลังภายใน (ชี่) ที่ออกมานั้น เป็นพลังหมุนวนได้ต่อไป”


ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง จางฝานได้ฟังคำอธิบายอันนี้ก็หายใจโล่งคอขึ้นเยอะ ฟังจบก็ยื่นมือไปรับเอาตำราแพทย์เล่มนั้นมา
การส่งพลังอันนี้ เต้าจี้ไต้ซือบอกกล่าวว่าวิธีการของท่านนั้นได้ศึกษาจากคัมภีร์แพทย์ของจีนนั่นเอง โดยเทียบเคียงเอากับคัมภีร์ชี่กง วิธีการที่ท่านสอนให้เริ่มจากการสมมติจุดตันเถียนล่างขึ้นมาจุดหนึ่งเสียก่อน เมื่อเพ่งจิตจินตนาการถึงไออุ่นกลุ่มหนึ่งภายในจุดที่สะดือได้แล้ว ก็ให้โคจรไออุ่นไปที่เก็บไว้ที่จุดฮุ่ยอิน จากนั้นก็โคจรพลังนั้นมาเก็บไว้ที่จุดมิ่งเหมิน ไล่ขึ้นมาที่จุดเสิ้นจู่ ต้าจุ้ย หยูเจิ้น ไป๋ฮุ่ย อิ่นถัง(หยินต๊ก) ส่านจ้ง และตู้ฉี ตามลำดับ จากนั้น จึงหมุนกลับมาที่จุดตานเถียนล่างอีกครั้ง ทำซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าพลังจะอยู่ตัว และเน้นย้ำว่าอย่าหมุนทวนทิศเป็นอันขาด เพราะอาจจะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ได้ พวกจางฝานทั้งสองเปิดพลิกตำราแพทย์เทียบไม่ทัน รีบร้องบอกให้เต้าจี้ไต้ซือกล่าวให้ช้าลงอีกหน่อย



เต้าจี้ไต้ซือยิ้มแย้มขึ้นคราหนึ่งจึงกล่าวทวนอีกครั้ง จนทั้งสองจดจำขึ้นใจ ขนาดที่กังโส่วหู่จะร้องถามวิธีเดินพลังขับเคลื่อนออกไปนั้นทำเช่นไร พลันเสียงท้องของจางฝานดังโกรกกรากขึ้นมาเสียก่อน มันรีบก้มหน้าเขินอายทันที


เต้าจี้ไต้ซือและกังโส่วหู่ถึงกับหัวร่อชอบใจออกมาคราหนึ่ง เต้าจี้ไต้ซือจีงบอกกล่าวว่าจะเข้าไปขโมยอาหารมาให้รับทานอีก เมื่อท่านเดินออกไป พวกกังโส่วหู่จึงลองเดินพลังตามวิธีการอย่างเงียบงัน
ตอนนี้ทั้งสองคนต่างนั่งลงหลับตากันหมดสิ้น ไม่มีใครมองผู้ใดอยู่อีกเลย ทั้งสองกำลังเข้าสู่ภวังค์แห่งวิชากำลังภายใน เพื่อเรียกรวมพลังไว้ที่จุดตันเถียนล่าง


จางฝานนั้นฝีมืออ่อนด้อยกว่ากังโส่วหู่มากนัก มันจึงลอบเร่งเร้าพลังให้บังเกิดขึ้นโดยเร็ว ในที่สุดก็เริ่มรับรู้ว่าพลังเริ่มก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่างแล้ว จากนั้นมันจึงลองบังคับให้พลังหมุนวนต่อเนื่องภายในร่างตามวิธีการดู
เมื่อพลังเริ่มเดินไปได้เพียงน้อยนิดก็ขยับขยายให้เส้นเลือดภายในร่างกายพองใหญ่ขึ้นมา นั่นกลับทำให้มันรู้สึกสบายตัวเป็นอย่างยิ่ง อาการปวดเจ็บบาดแผลก็ทุเลาเป็นอย่างยิ่ง
แต่ไม่ช้าไม่นาน เมื่อมันโคจรพลังมาถึงจุดฮุ่ยอิน พลันเกิดความกำหนัดขึ้น ร่างกายร้อนรนขึ้น อีกทั้งรู้สึกว่าร่างกายนั้นพลิกหมุนแทบสิ้นเชิง ที่แท้จุดฮุ่ยอินถึงกับร้อนระอุแทบจะลุกไหม้ขึ้นมาให้ได้


นี่คืออาการใดกัน!



เต้าจี้ไต้ซือเข้ามาถึงเนิ่นนานแล้ว แต่เมื่อพบเห็นบุคคลทั้งสองกำลังฝึกปรือวิชากำลังภายในกันอยู่ ก็นั่งลงที่กองฟืนตรงกันข้าม เพื่อไม่ให้รบกวนสมาธิของทั้งสองจนลมปราณแตกซ่าน เพราะนั่นเท่ากับว่า นอกจากอาจจะพิการแล้ว ยังอาจจะไม่สามารถรวมลมปราณได้อีกเป็นครั้งที่สองด้วย แต่เมื่อนั่งไปได้สักพักหนึ่ง กลับสังเกตเห็นสีหน้าของจางฝานนั้นมีสีแดงผิดปกติ จากนั้นมันก็ร้องครางเสียงดังออกมา


กังโส่วหู่ตอนนี้เริ่มใกล้ตื่นจากภวังค์วิชาแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเรียกปลุกเช่นนี้ ไหนเลยจะทานทนได้ มันรีบโพล่งตาขึ้นมาดูโดยทันที
เต้าจี้ไต้ซือเห็นดังนั้น จึงบอกกล่าวแก่มัน ให้มาช่วยจับร่างของจางฝานเบื้องหน้าเอาไว้ไม่ให้ดิ้นรนอีก จากนั้นท่านก็เดินไปเบื้องหลังของจางฝานทาบฝ่ามือเข้าไปที่จุดเสิ้นจู่ ปล่อยผ่านกำลังภายในเพียงบางเบาเพื่อปรับสภาพลมปราณของจางฝาน ที่แท้อาการดังนี้คืออาการธาตุไฟเข้าแทรกนั่นเอง


เนื่องจากจางฝานนั้นร้อนใจฝึกวิชา เมื่อโคจรพลังมาถึงจุดฮุ่ยอินซึ่งเป็นธาตุไฟเหมือนกันเข้า ยิ่งทำให้พลังนั้นกระตุ้นอาการให้กำเริบออกมา
เต้าจี้ไต้ซือปล่อยผ่านพลังอย่างแผ่วเบาออกไปเรื่อยๆ พลันรู้สึกถึงพลังที่อัดแน่นอยู่ในกายของจางฝานอีกสายหนึ่งกระแทกเข้ามาประทะกับพลังของท่านทันที เต้าจี้ไต้ซือเห็นดังนั้นจึงรีบปล่อยพลังออกไปมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว แต่ก็กดพลังอันนั้นไว้ไม่อยู่ ในที่สุดก็จำเป็นต้องปล่อยพลังออกมาเกือบครึ่งของพลังที่ฝึกมาทั้งชีวิตออกไปต่อสู้กับพลังมหาศาลนั้น ที่ไหนได้พลังของท่านกลับยังสู้กับพลังนั้นไม่ได้เสียอีก


นี่มันกระไรกันแน่!


เต้าจี้ไต้ซือไม่รอคอยอีกแล้ว พลันกระแทกพลังออกไปทั้งหมดสิบสองส่วนเต็มๆ ท่านยื้อหยุดฉุดกระฉากกับพลังพิสดารอันนั้นจนเหงื่อกาฬเริ่มไหลออกมาเต็มทั้งใบหน้า กังโส่วหู่ที่อยู่ใกล้ๆ กันถึงกับเหม่อมองด้วยความลุ้นระทึก ตอนนี้มันเริ่มเข้าใจถึงหลักของวิชากำลังภายในดีขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว อาจจะเป็นเพราะมันได้ฝึกฝนวิชาการต่อสู้มาเนิ่นนาน อีกทั้งพลังฝีมือก็มิได้ต่ำทรามประการใด ประสบการณ์ย่อมทำให้มันทราบถึงคุณค่าของวิชานี้ได้เป็นอย่างดี


ท่านไต้ซือต่อสู้กับพลังพิสดารนั้นมาได้ถึงช่วงก้านธูป ในที่สุดก็เริ่มอ่อนแรงลงจนได้ นั่นมิเท่ากับเปิดโอกาสให้พลังอันนั้นพุ่งเข้ามากระแทกไปถึงอวัยวะภายในอย่างถนัดถนี่หรือ? แต่เต้าจี้ไต้ซือไหนเลยจะถอนตัวออกตอนนี้ได้ ไม่พิการก็ตาย!



ที่ไหนได้ พลังอันนั้นกลับไม่ทำลายอวัยวะภายในแต่ประการใด กลับกลายเป็นพลังของจางฝานถ่ายทอดกลับคืนให้เต้าจี้ไต้ซือเสียได้นี่!
เพียงไม่นาน เต้าจี้ไต้ซือก็ล้มตัวลงกับกองฟาง ที่ล้มมิใช่เพราะอะไรเลย แต่เนื่องเพราะท่านรู้สึกในอกอัดแน่นไปด้วยลมปราณสายหนึ่งที่ไม่ธรรมดาไหลเวียนอยู่ในตัวต่างหากเล่า


ข้างจางฝานก็เช่นเดียวกัน เมื่อพลังพิสดารอันนั้นปล่อยพลังออกไปบางส่วนก็รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเป็นอย่างยิ่ง เส้นลมปราณทั้งหลายล้วนเดินสะดวกเป็นอย่างยิ่ง มันพลันลืมตาขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉง




เกร็ดความรู้


[1] เต้าจี้ไต้ซือ หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “จี้กง” นั้น มีการตีความไปต่างๆ นาๆ บ้างก็อ้างว่าท่านเป็นนักพรตสำนักเต๋า อีกฝ่ายก็อ้างว่าท่านเป็นนักบวชพุทธนิกายชยาน (เซ็น) แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลประการใด ท่านก็เป็นที่นับถือของชาวจีนเสมอมา


ตอนที่ท่านออกบวชนั้น ท่านได้ฉายาทางธรรมจากอาจารย์ว่า “เต้าจี้” แต่ด้วยพฤติกรรมอันบ้าบอคอแตกของท่าน ทำให้ท่านได้รับฉายาทางโลกอีกอันว่า “พระเพี้ยน” (กรุณาอย่าจำสับสนกับ หลวงจีนเฟิงโป้ ที่มีฉายาว่า “พระบ้า”)


นอกจากท่านจะเชี่ยวชาญในเรื่องธรรมะแล้ว ท่านยังเชี่ยวชาญในเรื่องตำราแพทย์ และเต๋าเต็กเก็งอีกด้วย


หมายเหตุ



- การเดินลมปราณที่บอกกล่าวในเรื่องเป็นการเดินลมปราณแบบธรรมจักร
- ในเรื่องลมปราณ ยังไม่มีผลยืนยันอย่างเป็นทางการจากวงการวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงยังเป็นเพียงเรื่องที่ยังคงค้นคว้ากันต่อไป


ภาพเส้นลมปราณภายในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับชี่กง







Create Date : 01 ตุลาคม 2551
Last Update : 1 ตุลาคม 2551 18:17:32 น. 1 comments
Counter : 230 Pageviews.

 

ยาจกเงา เคยผ่านมาทางนี้

ขอคารวะท่าน กระบี่เก้าเดียวดาย 3 ชามใหญ่



โดย: ยาจกเงา IP: 125.27.142.193 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2551 เวลา:18:00:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กระบี่เก้าเดียวดาย
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




...ฟังพิรุณบนหอน้อยเพียงเดียวดาย..
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
1 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add กระบี่เก้าเดียวดาย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.