11. เซ็นต์ ปีเตอร์เบริกส์ กับ พระราชวังฤดูหนาว
วันที่ 11 กันยายน 2554
ฟ้าใส อากาศดี
เซนต์ ปีเตอร์เบริก
เขามองจ้องลงมาอยู่อย่างนั้น ส่งสายตาเหมือนจะบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดที่เขาเคยเห็น...หรือแค่เค้าเพียงแต่หว่านเสน่ห์ไปทั่วกันแน่นะ?
ถ้าใครอยากสัมผัสความรู้สึกพิเศษ ว่ามีหนุ่มกรีกโบราญหน้าตาหล่อเหลาขนาดไหน ขอเชิญทางนี้เลยค่ะ ที่ี่พระราชวังฤดูหนาว ณ เซนต์ปีเตอร์เบิรก บริเวณชั้นที่๑ ห้องที่เท่าใหร่จำไม่ได้หรอกค่ะ แต่ว่าเขาคนนั้นจะยังรอคอยอยู่ ตลกดีที่เราตกหลุมรักนิดๆกับ หนุ่มรุปปั้นกรีกโบราญ
ย้อนกลับไปเมื่อรุ่งเช้า เกือบจะแปดโมงเช้าแล้ว ฟ้าที่เซนต์ปีเตอร์เบิรกยังไม่สว่างเลยซักนิด เซ็นต์ปีเตอร์เบริกพระอาทิตย์ขึ้นช้าเหลือเกิน เราเดินแบกเดินลากกระเป๋าอย่างอ่อนล้าไปยังโฮสเทลที่จองเอาไว้ เดินวนเวียนอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ เพราะหาที่พักไม่เจอ อ่อนล้าพร้อมกับมีความต้องการเข้าห้องน้ำเป็นอย่างมาก จะว่าไปแล้วนี่อาจจะเป็น ครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราปวดชิ้นฉ่องมากขนาดนี้ ย้อนคิดกลับไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทนไปได้ยังไง
เราก็ตั้งใจใช้มุขประหยัดเหมือเดิมคือ ฝากกระเป๋าไว้ก่อน แล้วออกไปหาข้าวหาปลากิน เดินย่อยชมวิว จากนั้นค่อยกลับมาcheck in ตามเวลาที่โฮสเทสกำหนดไว้ คือหลังบ่ายสองโมง แต่ก็โชคดีอีกแล้วที่เจอรีเซฟชั่นใจดี บอกว่าให้เข้าพักได้เลย เพราะมีเตียงว่างอยู่แล้ว เราเลยจัดการอาบน้ำ หลังจากที่ไม่ได้อาบมาหลายวันมาก เราก็เล่นอาบซะนาน พอออกมาก็เจอรีเซฟชั่นอีกคน เราเข้าไปพูดคุยทักทายกับเธอ เธอคนนี้เป็นชาวรัสเซียเชื้อสายเกาหลีที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้สองรุ่นแล้ว และอาจเพราะว่าเราอาจจะคิดถึงคนเอเชีย เราเลยนั่งคุยกับเธอนานเสียหน่อย แล้วเธอก็บอกว่า "รู้มั๊ย ชั้นรู้สึกสนิทกับเธอเป็นพิเศษเลยนะ เพราะว่าเธอหน้าตาคล้ายพี่สาวชั้นเลย" ไม่อยากจะเชื่อเลย แม้มาเยือนรัสเซียก็ยังมีคนมาทักว่าเราหน้าโหล
เราออกไปเดินเล่นด้านนอกได้แค่เดี๋ยวเดียวก็รู้สึกล้า แม้พระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว แต่ฟ้าก็ยังไม่สว่างเพราะมีเมฆมาคลุมอยู่ เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง
แถมอากาศยังขมุกขมัวไม่สดใสอีกด้วย และความขี้เกียจ เราเลยตั้งใจว่าจะพักอยู่ในห้องไม่ทำอะไรซักพัก เติมพลังให้กลับมาอึดและถึกเหมือนเดิม
แต่พอนั่งสักพักใหญ่ๆก็มีแสงแดดอุ่นๆสาดเข้ามาภายในห้องนั่งเล่นเหมือนจะเตือนให้โบจำว่า "เวลาก็เหมือนแสงแดด ถ้าไม่ใช้ก็หมดไป ไม่มีอะไรอยู่รอเราตลอด" โบเลยมีแรงแข็งขันขึ้นมาแล้วพร้อมจะออกเดินทางอีกครั้ง
พระราชวังสีเขียวอ่อนแห่งนี้ตั้งอยู่ในกลางกรุงเซนต์ปีเตอร์เบิรก ความรู้สึกผูกพันธ์ที่เรามีกับพระราชวังนี้คือ วังในการ์ตูนเรื่องอานาเตเชีย ขอสารภาพว่าในตอนแรกเราไม่คิดว่าจะมีอะไรพิเศษเกี่ยวกับพระราชวังนี้ แน่นอนว่าภายในตัวพระราชวังเองคงสวยงามอลังการตามแบบฉบับของเซนต์ปีเตอร์
เมืองที่พระเจ้าซาร์สร้างตั้งใจสร้างให้สวยงามทัดเทียมกับประเทศอื่นๆในทวีปยุโรป แต่กระนั้น เราก็ยังมีความรู้สึกเรียบเฉยต่อพระราชวังนี้อยู่ดี
แต่พอได้เข้าไปสัมผัสภายในสักพักจึงเข้าใจว่า พระราชวังแห่งนี้ นอกจากจะมีความสวยงามในตัวเองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมแล้ว ด้านในยังเป็นพิพิธภัณฑ์และห้องแสดงผลงานศิลปะในยุคและประเทศต่างๆ
เราเริ่มจากชั้นที่หนึ่งที่เล่าเรื่องราวของศิลปะยุคก่อนคริสศักราช มีงานศิลปะของอียิปแสดงผ่านข้าวของเครื่องใช้สมัยที่ครั้งอียิปยังรุ่งเรือง รวมทั้งยังจัดแสดงมัมมี่ตัวจริงเสียงจริงอีกด้วย
ถัดไปอีกห้องหนึ่งในชั้นเดียวกันเป็นจัดแสดงรูปปั้นกรีกโรมันโบราณ เราจมอยู่กับห้องนี้เป็นเวลานานพอสมควร เพราะนอกจากจะแอบตกหลุมรักเล็กๆ กับรูปปั้นหนุ่มแล้ว เรายังหลงไหลและทึ่งถึงความเป็นอัจฉริยาทางด้านศิลปะ ว่าทำไมรูปปั้นมีสีขาวเหล่านี้ถึงสามารถบอกเล่าเรื่องราวถ่ายทอดอารมณ์ความรูสึกออกมาได้ดีมากขนาดนี้ ถ้ามีใครเคยดูหนังฝรั่งเรื่อง lie to me ที่ได้บอกว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้ามีความมัหศจรรย์ที่สามารถบอกอารมณ์ ความรู้สึก และถ้าถูกฝึกให้จ้องมองดูดีๆ เราจะมีความสามารถบอกได้ว่าคนอื่นมคิดอะไรอยู่ แต่การศึกษากล้ามเนื้อบนใบหน้าคงมีมานานแล้ว ผ่านทางจิตรกรอัจฉริยะเหล่านี้ รูปปั้นเหล่านี้จึงแสดงสีหน้าได้ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ขึ้นไปชั้นที่๒ เป็นห้องจัดแสดงผลงานศิลปะต่างๆแบ่งตามประเทศในทวี ยุโรป รวมทั้งยังมีผลงานรูปถ่ายที่ออกจะอาร์ตๆหน่อยอีกด้วย เหมาะสำหรับเอาใจคนรักศิลปะทุกรสนิยม
สิ่งที่ทำให้เราตกตลึงไม่ได้มีแต่เพียงผลงานศิลปะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมทั้งตัวห้องที่จัดแสดงผลงานเองก็สวยงามจัดเป็นงานศิลปะเสียเองด้วย
สุดท้ายเราใช้เวลาจมขลุกอยู่ในพระราชวังไปเกือบห้าชั่วโมงแต่ก็ยังรู้สึกอยู่ได้อีกเรื่อยๆไม่เบื่อเสียที ถ้าจะให้เราอธิบายความสวยงามของห้องต่างๆ เราคงอธิบายได้ว่า "สง่างาม เพลิดเพลิน เจริญตา เจริญใจ สวยงาม" ถ้ายังคิดไม่ออกว่าอ่านแล้วควรจะรู้สึกยังไงดี ขอแนะนำว่าให้ลองค้นหาภาพในกูเกิ้ลดูเพราะภาพแทนความหมายได้ดีกว่าคำพูดมาก หรือดีกว่านั้นลองมาสัมผัสด้วยตัวเองเลยน่าจะดีกว่า
เซนต์ปีเตอร์เบริก ยังเป็นที่สถิติของรูปพระแม่คาซาน (พระแม่มารียา) ที่ขุดขึ้นมาจากเมืองคาซานตามความบอกเล่าจากความฝันของเด็กหญิงคนหนึ่ง
เด็กหญิงคนนี้ฝันว่ามีรูปพระแม่ฝังอยู่ใต้ดินในเมืองคาซานให้รีบไปขุดขึ้นมา ไม่อย่างนั้นไฟจะไหม้เมืองคาซาน ชาวเมืองก็ไปขุดกันขึ้นมา และก็พบว่ามีรูปภาพนี้อยู่จริงๆตามคำบอกของเด็กหญิงคนนั้น ซึ่งรูปนี้เอง มีความศักดิ์สิทธิ์ตรงที่ จะถูกเชิญไว้บนเรือยามที่เรือต้องออกทำการสงครามและนำชัยชนะมาให้เสมอ
ซึ่งรูปนี้ก็ถูกเชิญมาไว้ที่เซนต์ปีเตอร์ฯ ครั้งที่ยังเป็นเมืองหลวงเก่าส่วนโบสถ์ที่ดูคล้ายกับโบสถ์หัวหอมในมอสโคเป็นจุดที่พระเจ้าซาร์ถูกลอบปรงพระชนค่ะเลยมีการสร้างโบสถ์ทับไว้ตรงจุดนี้