Group Blog
 
<<
มกราคม 2563
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
2 มกราคม 2563
 
All Blogs
 
INDIA…. กับโรตีที่หายไป ตอนที่ 2 (จบ) By ดช.จุ่น

เช้าวันนี้เรามีนัดต้องเดินทางออกนอกเมืองชัยปุระ เพื่อไปยังเมืองอัครา อย่าที่บอกไปว่าฤดูหนาวของ
อินเดีย ยามเช้าจะค่อนข้างเย็นสบายอุณหภูมิก็ประมาณเลขสิบต้น ๆ  ผมดื่มกาแฟอุ่น ๆ  พร้อมด้วยสาร
คาเฟอีนที่ซึมซับเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น (คอกาแฟคงรู้เรื่องนี้ดี 555)  หลังจากทานข้าวเช้า
เสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ออกเดินทางตรงตามกำหนดเวลา

                รถโค้ชนำพวกเราเดินทางออกจากโรงแรมที่พัก วิ่งไปตามเส้นทางเพื่อออกจากเมืองชัยปุระ สอง
ข้างทางยามเช้าเต็มไปด้วยผู้คนชาวอินเดีย ทั้งผู้ซื้อ และผู้ขายที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยกันแน่นเต็มพื้นที่ไป
หมด ผมพยายามมองหาสิ่งที่ผมอยากกินมากที่สุดเมื่อมาที่ประเทศนี้ นั่นคือ...คือ....โรตี..หนานุ่ม ราดด้วย
นมข้นหวาน แบบต้นตำรับก็ไหน ๆ ก็มาแล้วนิ จริงไหม... แต่มองหาจนทั่วตามสถานที่ท่องเที่ยว หรือบริเวณ
ใกล้โรงแรมที่พัก ผมก็หาไม่เจอครับ สรุปว่า อดแ...ก! จร้า   แต่ถึงหาเจอเราก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อรับ
ประทาน  ไกด์บอกว่าเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง (ซะงั้น)  คือเขาไม่แน่ใจในความสะอาดของอาหาร
ตามริมทางกลัวเราท้องเสียครับ

                รถวิ่งไปตามถนนของเมืองชัยปุระ ถนนเป็นแบบสองเลนสวน สลับกับถนนสี่เลน เป็นเรื่องที่น่า
แปลกแต่จริง! คนขับรถของเราเล่นบีบแตรตลอดทาง สั้นบ้าง ยาวบ้าง ผมก็ไม่เข้าใจว่าเขาจะบีบแตร
เพื่อ!!.... แต่ต้องยอมรับว่าคนอินเดียยังขาดระเบียบวินัยในการขับรถอยู่มาก คือนึกจะเลี้ยวก็เลี้ยว นึกจะ
เปลี่ยนเลนก็เปลี่ยนเลย ไม่ค่อยมีการส่งสัญญาณให้รถคันหลังรู้ อุบัติเหตุจึงเกิดค่อนข้างบ่อย คนขับแกเลย
ต้องบีบแตรเกือบตลอดทาง เพื่อบอกรถคันหน้าว่า เฮ้ย...กูอยู่ข้างหลังนะ  เรานั่งไปก็เสียวไปครับ 

                  ผมสังเกตเห็นสองข้างทางตลอดระยะทางที่เรานั่งรถข้ามเมืองนั้น  พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่
โล่งกว้าง มีป่าไม้สลับกับบ้านเรือนตามชนบท ที่ส่วนใหญ่เป็นบ้านที่สร้างยังไม่เสร็จ บ้างก็มีหลังคา บ้างก็ไม่มี
หลังคา แต่เขาก็พักอาศัยกันอยู่ตามบ้านเหล่านี้  มันสะท้อนความเหลื่อมล้ำระหว่างสังคมเมือง และชนบทได้
เป็นอย่างดี แต่มันก็เป็นวิถีชีวิตของแต่ละประเทศของใครของมัน ซึ่งเราคงต้องเรียนรู้กันต่อไปครับ

                  หลังจากนั่งรถมาหลายชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึง เมืองอัครา เมืองนี้เคยเป็นศูนย์กลางปกครอง
ของอินเดียสมัยราชวงศ์โมกุล อัคระ อดีตเมือง  หลวงของอินเดียในสมัยที่ยังเรียกว่า ฮินดูสถาน  เมืองนี้ตั้ง
อยู่ริมแม่น้ำยมนา ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ในรัฐอุตตรประเทศ และเป็นเมืองหลวงของรัฐอุตตร
ประเทศ มีประชากรทั้งหมด 1 ถึง 2 ล้านคน ถือเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในรัฐอุตตร-
ประเทศ ที่สำคัญคือ มันเป็นเมืองที่ตั้งของอนุสรณ์สถานแห่งความรัก ทัชมาฮาล ครับ  รู้สึกตื่นเต้น จะได้
เห็นทัชมาฮาลกับตาตัวเองละ  

                  หลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินทางไปยังสถานที่ High light ของการเดิน
ทางมาประเทศอินเดียในครั้งนี้  นั่นคือ  ทัชมาฮาล อนุสรณ์สถานแห่งความรัก ที่ได้รับยกย่องให้เป็น 1 ใน 7
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกใหม่ และให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 2550 ผมแค่มองเห็นไกล ๆ ด้านหน้า
ก็รู้สึกว่ามันสวยจริง ๆ  ไกด์เล่าประวัติของที่นี่ให้เราฟังว่า ทัชมาฮาลสุสานหินอ่อน สถาปัตยกรรมแห่งความ
รักที่สวยที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำยมุนา (Yamuna River) ที่นี่ถูกสร้างขึ้นโดยสมเด็จพระจักร
พรรดิชาห์ชะฮัน แห่งจักรวรรดิโมกุล เพื่อเป็นอนุสรณ์ความรัก พระองค์มีพระมเหสีพระนามว่า อรชุมันท์
พานุ เพคุม เจอกันครั้งแรกจักรพรรดิชาห์ชะฮัน อายุได้ 14 พรรษา พระองค์ทรงรัก และหลงใหลพระนางมาก 

                   ภายหลังจากนั้น 5 ปี ทั้งสองพระองค์ก็ได้อภิเษกสมรสกัน พระองค์ตั้งชื่อให้พระนางว่า
มุมตัช มาฮาล (Mumtaz Mahal) ทั้งสองพระองค์ทรงรักกันมาก เห็นจักรพรรดิชาห์ชะฮันเมื่อไหร่ก็จะต้อง
เห็นพระนางอยู่ข้างกายไม่ห่างกันเลย หลังจากพระนางให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14 ก็ตกเลือดสิ้นพระชนม์
จักรพรรดิชาห์ชะฮันทรงเสียพระทัยมาก จึงตัดสินพระทัยสร้างทัชมาฮาลขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ความรักต่อ
พระนางผู้เป็นที่รัก โดยได้สถาปนิก อุสตาด อาห์เหม็ด ลาเฮารี  เป็นคนออกแบบ และสรรหาช่างฝีมือดีอื่นๆ
จากทั่วทั้งอาณาจักรรวมไปถึงเอเชียกลาง และอิหร่าน (Iran) ใช้เวลาในการสร้างทั้งหมด 22 ปี โดยสิ้นเงิน
ไป 41 ล้านรูปี มีการใช้ทองคำประดับตกแต่งส่วนต่างๆ ของอาคาร หนัก 500 กิโลกรัม และใช้คนงานกว่า 20,000 คน  

                    เมื่อเราเดินเข้ามาในตัวอาคาร เราจะเห็นสีขาวบริสุทธิ์จากหินอ่อน ที่ประดับลวดลายด้วย
เทคนิคการฝังหินสีต่างๆ ลงไปในเนื้อหินอ่อน ที่ออกแบบโดยช่างจากเปอร์เซีย  มีอาคารตรงกลางจะเป็นรูป
โดม ซึ่งมีหอคอยสี่เสาล้อมรอบ ด้านในเป็นที่ฝังพระศพของพระนางมุมตัซ มาฮาล และ พระเจ้าชาห์จาฮัน
ให้ได้อยู่คู่เคียงกันตลอดกาล  ถ้าเพื่อน ๆ ได้รับฟังเรื่องเล่าจากไกด์ และได้อยู่ภายในทัชมาฮาลแห่งนี้ คุณจะ
อินสุด ๆ แบบผม เชื่อดิ ไม่ได้โม้..

 
ภาพ : ด้านหน้าของทัชมาฮาล
 



ภาพ : บริเวณรอบ ๆ ทัชมาฮาล  สวยงามตามท้องเรื่อง

                เพื่อน ๆ เห็นภาพแล้วก็คงคิดเหมือนผมว่ามันช่างงดงามจริง ๆ ใช่ไหมละ?  ผมเดินชมความ
วิจิตรของทัชมาฮาลอยู่สักพัก  เราก็เดินทางถึงริมอีกด้านหนึ่งซึ่งติดกับแม่น้ำ แม้ว่าแสงแดดสาดส่องยาม
สาย ๆ แบบนี้  แต่อากาศก็สดชื่นเย็นสบายดี บวกกับบรรยากาศของทัชมาฮาลที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่ง
ความรัก ผสมกลมกลืนกับความร่มรื่นของต้นไม้น้อยใหญ่ ที่มีอยู่ทั่วบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งนี้ มันช่างเป็น
อะไรที่สุดยอดเหลือเกิน....(ยิ้มอยู่ในใจ)   เสียดายได้เวลาที่เราต้องจากลาที่นี่แล้ว  แต่ไม่เป็นไรแค่ได้มาเห็น
กับตาตัวเอง มันก็คุ้มค่าที่เราจะบันทึกภาพความประทับใจเหล่านี้ลงในความทรงจำที่ดีของเราครับ

                O.k. ได้เวลาไปเที่ยวที่อื่นต่อกันแล้วครับ  ที่ต่อไปก็จำได้ว่ามันไม่ไกลกันมากนัก เพียง 2.5 กม.
นั่งรถไม่นานเราก็มาถึงแหล่งมรดกโลกอีกหนึ่งแห่ง ที่ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโก (UNESCO)
นั่นคือ ป้อมอัคราฟอร์ด  ตั้งอยู่ที่เมืองอัครา รัฐอุตตรประเทศ สร้างโดยพระเจ้าอัคบาร์มหาราชแห่งราชวงศ์
โมกุล  เมื่อปี ค.ศ. 1565 ติดกับริมแม่น้ำยมุนา สถาปัตยกรรมของอัคราฟอร์ท นับเป็นสถาปัตยกรรมที่ยิ่ง
ใหญ่ จากการก่อสร้างด้วยอิฐ  เมื่อเรามองมาจากภายนอกป้อมนั้น เราจะเห็นป้อมปราการขนาดใหญ่สีส้ม
อิฐ ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้า ดูแล้วช่างอย่างงดงามจริง ๆ ป้อมแห่งนี้ยังเป็นทั้งพระราชวังที่ประทับ และเป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันศัตรู ต่อมาพระโอรส คือ พระเจ้าชาฮันกีร์  และพระนัดดา (โอรสของพระเจ้าชาฮันกีร์) ,
 พระเจ้าชาห์จาฮานได้สร้างขยายต่อเติมป้อมและพระราชวังแห่งนี้อย่างใหญ่โตในภายหลัง 

ภาพ : ด้านหน้าของป้อมอัครา Cr.วิกิพีเดีย

                 เมื่อเราเข้าสู่ด้านในของป้อม ก็จะเป็นส่วนของพระราชวัง  ผ่านลานสวนประดับ อ่างหินทราย
สีแดงขนาดยักษ์สำหรับสรงน้ำ ด้านในพระตำหนักต่างๆ อาคารส่วนใหญ่ของป้อมสร้างในสถาปัตยกรรมแบบ
เบงกอล  และคุชราต  ส่วนสิ่งก่อสร้างเด่นๆ ของป้อมอัครา ก็จะเป็นพระราชวังชะฮันครี  พระราชวังเดียวที่
แยกตัวออกจากกำแพงป้อม สร้างโดยกษัตริย์อัคบาร์ หรือจะเป็นท้องพระโรงสำหรับออกว่าราชการทั่วไป
อย่างดิวัน อิ อัม ,ท้องพระโรงส่วนพระองค์อย่างดิวัน-อิ-กัส , มัสยิด



ภาพ : บริเวณภายในป้อมอัครา
 
                 High light ของป้อมนี้ คือตำหนักหินอ่อนชีชมาฮาล  และหอคอยแปดเหลี่ยมมูซัมมัน เบิร์จ 
ที่มีระเบียงหินอ่อนเปิดออก สามารถมองเห็นไปยังฝั่งทัชมาฮาลได้ ตำนานเล่าว่าจักรพรรดิชาห์ชะฮัน เคยถูก
คุมขังไว้ที่ บ้างก็บอกว่า 7 ปี บ้างก็บอกว่า 8 ปี!  โดยพระโอรสของพระองค์เอง เพราะกลัวว่าจักรพรรดิชาห์
ชะฮันจะนำเงินในท้องพระคลังไปสร้างหอคอยหินอ่อนสีดำตรงข้ามทัชมาฮาล ไว้ฝังพระศพของพระองค์เองเพิ่มอีก 




 
ภาพ : สถาปัตยกรรมภายในป้อมอัครา

                ผมเดินชมความงดงามของพระราชวังต่าง ๆ  ดูศิลปะที่ต่างสะท้อนถึงความรุ่งเรืองในสมัย
อดีตกาลของสถานที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี  บางครั้งก็รู้สึกว่าคนในอดีตกาลเขาสามารถทำงานศิลปะที่วิจิตร
งดงามแบบนี้กันได้อย่างไรกัน คุณคิดเหมือนผมไหม?  (คิดไป ผมก็ยิ้มไปด้วยครับ)

               เผลอแป๊บเดียว เราก็มาถึงที่เที่ยวสุดท้ายสำหรับทริปนี้กันแล้วครับ เพื่อน ๆ  แต่สถานที่แห่งนี้ก็มี
ความสวยงามไม่แพ้ที่อื่น ๆ ที่เราไปกันมา  ถ้ามองดูจากข้างนอก ก็คงเห็นเป็นแค่บ่อน้ำธรรมดา ๆ เท่านั้น
แต่เมื่อรู้ประวัติแล้วคงต้องทึ่งกันไปเลยครับ  บ่อน้ำนี้ชื่อว่า  บ่อน้ำจันเบารี ตั้งอยู่แคว้นราชาสถาน ทางตะวัน
ตกของอินเดีย เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 10 หรือพันกว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นแคว้นราชาสถาน
เป็นเส้นทางสายสำคัญในการเดินทางไปยังตะวันออกกลางได้ ทำให้เกิดการค้าขายขึ้น จึงทำให้เป็นแคว้นที่
ร่ำรวยมาก  แต่ด้วยภูมิประเทศของที่นี่เป็นทะเลทราย ที่มีความแห้งแล้งมาก ฝนที่ตกเพียงปีละไม่กี่ครั้งเท่า
นั้น  และก็ไม่มีที่กักเก็บน้ำ ซึ่งพอฝนตกก็จะซึมหายผ่านทรายไปอย่างรวดเร็ว  มหาราชาของแคว้นราชา
สถาน จึงมีดำริให้สร้างบ่อน้ำแห่งนี้ขึ้น  และพยายามหาวิธีสร้างบ่อน้ำเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ให้ได้นานที่
สุด  บ่อจะลึกถึงประมาณตึก 10 ชั้น หรือ 33 เมตร ตัวบันไดที่สร้างขึ้นมานั้นแบ่งเป็น 13 ชั้น มีขั้นบันได
รวมแล้วกว่า 3,500 ขั้น นับเป็นบ่อน้ำที่ลึกและใหญ่ที่สุดในอินเดีย  

  
ภาพ :  บ่อน้ำจันเบารี 

                  เห็นแล้วอึ้งใช่ไหมละ. ก็มีนักท่องเที่ยวพยายามเดินลงไปข้างล่าง แต่เหมือนคนเฝ้าบ่อน้ำที่นี่
เขาจะไม่อนุญาตให้เราลงไป เกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุครับ  เราอยู่ที่แห่งนี้ไม่นาน ก็ได้เวลากลับไปยังเมือง
ชัยปุระเพื่อพักผ่อนอีก 1 คืน พรุ่งนี้ก็คงได้เวลาบอกลาประเทศอินเดียกันแล้ว  
                  จริง ๆ แล้วประเทศอินเดียมีอะไรมากกว่าที่เราคิดนะ  ก่อนผมจะมาเที่ยวที่นี่ก็ไม่เคยคิดว่าจะ
ได้รับประสบการณ์ดี ๆ  แบบนี้เหมือนกัน  มันบวกมาด้วยความประทับใจในประวัติศาสตร์ของแต่ละสถานที่
ต่าง ๆ ที่เราได้มีโอกาสมาสัมผัสบรรยากาศจริง ๆ ไม่ใช่แค่เห็นตามภาพของสื่อต่าง ๆ  คิดว่าถ้าเพื่อน ๆ มี
โอกาสก็ลองมาเที่ยวกันนะครับ สำหรับทริปนี้ Bye ครับ!!!

เกร็ดควรรู้ 
ภูมิอากาศ   : อินเดียมี 3 ฤดูคือ ฤดูร้อน (เมษายน – มิถุนายน) ฤดูฝน (กรกฎาคม – กันยายน) ฤดูหนาว
(ตุลาคม – มีนาคม)  แนะนำให้ไปเที่ยวช่วงฤดูหนาวดีสุด ถ้าเป็นตามเมืองต่าง ๆ ก็ไม่หนาวมาก อุณหภูมิ
เฉลี่ยประมาณ 10-17 องศาC

อาหารการกิน :  อาหารส่วนใหญ่ของอินเดีย จะมี 2 รสชาติหลัก คือเผ็ด กับเค็ม และเต็มไปด้วยกลิ่นเครื่อง
เทศของอาหารอินเดีย  อาจจะไม่ถูกปากคนไทยอย่างเราๆ สักเท่าไหร่  ขนมปัง ของทานเล่น ก็ไม่ค่อยเห็น
นะ ส่วนใหญ่จะกินตอนอาหารเช้าที่โรงแรม ก็จะเป็นแป้งนานซะมากกว่า (ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องย่างแป้งนาน
ให้มันไหม้เกรียมด้วยอะ )  ฉะนั้นถ้าตอนเช้ามีเพื่อนร่วมทริปมาถามเราว่า “เอานานมั๊ย?” ก็อย่าไปโกรธเขา
นะครับ เขาไม่ได้ทะลึ่งอะไรกับเรา แค่อยากถามว่าจะกินแป้งนานมั๊ยเท่านั้นเอง จริง ๆ นะ 55

ห้องน้ำ  :  ห้องน้ำ ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ อย่าลืมทิชชูเปียกไปด้วย 

Shopping :  การ Shopping ก็มีให้ Shop ราคาไม่แพงมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นครีมทาส้นเท้า ผ้าสาหรีลายสวย ๆ เยอะเลยครับ
Cr.  Journey..เจอนั่น  By ดช.จุ่น


Create Date : 02 มกราคม 2563
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2564 11:50:12 น. 6 comments
Counter : 1246 Pageviews.

 
เคยไปมาแล้วเหมือนกันจ้า



โดย: หอมกร วันที่: 2 มกราคม 2563 เวลา:15:05:12 น.  

 
ประทับใจ และสนุกดีน่ะครับ


โดย: ดช.จุ่น IP: 110.168.54.99 วันที่: 2 มกราคม 2563 เวลา:16:27:01 น.  

 
น่าไปค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 2 มกราคม 2563 เวลา:16:35:35 น.  

 
ลองไปดูครับ ไม่ผิดหวัง


โดย: ดช.จุ่น IP: 124.122.94.160 วันที่: 2 มกราคม 2563 เวลา:20:54:21 น.  

 
น่าไปเที่ยวเหมือนกันนะครับ แต่ว่าไม่มีแถมรูปอาหารอินเดียที่ไปชิม(โรตี+แกง) หรือตามข้างทางที่ผ่านเลยนะครับ


โดย: ตนยังเบี้ย IP: 180.183.24.155 วันที่: 3 มกราคม 2563 เวลา:16:15:50 น.  

 
ขอโทษด้วยครับ พอดีเน้นถ่ายรูปแต่สถานที่เที่ยวครับ


โดย: ดช.จุ่น IP: 119.76.4.53 วันที่: 4 มกราคม 2563 เวลา:20:33:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 5499033
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ความสุขมีอยู่ทุกที่ อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง
New Comments
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 5499033's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.