Ratatouille : มันต่างกันน่ะ...ระหว่างขุดคุ้ยกับไขว่คว้า

ภาพของย่านคนจนซึ่งต้องหากินเยี่ยงหนูสกปรก ถูกกั้นกลางด้วยแม่น้ำให้ห่างออกจากย่านคนรวยผู้ระเริงชีวิตด้วยความศิวิไลซ์ ภาพข้างต้นกำลังบอกนัยยะสำคัญบางอย่างของหนังเรื่องนี้อยู่กลายๆ แน่นอนว่า Ratatouille เป็นหนังการ์ตูนที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้ชมเด็กๆ เป็นสำคัญ แต่ทว่าผู้ใหญ่อย่างเราจะดูถูกหนังเรื่องนี้ไม่ได้เลยโดยเฉพาะในส่วนของบทภาพยนตร์ มันไม่ได้ถูกเขียนด้วยสติปัญญาที่ไร้เดียงสาหากแต่เป็นระดับอัจฉริยะ ทั้งงดงามและลุ่มลึกเสมือนผลงาน ดราม่าหวังรางวัลเลยทีเดียว

ทั้งๆ ที่แอนนิเมชั่นเรื่องนี้ของ ค่ายพิกซ่าร์ มีดีอยู่เกินตัว แต่จากภาพหนังตัวอย่างที่ปล่อยออกมาก่อนฉาย กลับเป็นไปอย่างเรียบง่ายและถ่อมตน ถือเป็นอีกหนึ่งข้อดีที่ความบันเทิงของ Ratatouille ถูกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดภายใต้ฝาชีของการตัดต่อ ก่อนที่จะยกมาเสิร์ฟผู้ชมและอวดรสชาติชั้นเลิศเมื่อตอนได้สัมผัสเรื่องราวของหนังทั้งหมด ช่างแสนอิ่มตาอิ่มใจและมากถึงขั้นสะเทือนอารมณ์ได้ในหลายๆ ฉาก ความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่เคยชมการ์ตูนญี่ปุ่นจากค่ายจิบลิกลับมาเยือนผู้เขียนอีกครั้งจากการได้รู้จักกับ Ratatouille เรื่องนี้
ผู้กำกับปรุงแต่งเรื่องราวของหนังได้อย่างกลมกล่อม ถึงรสชาติและมีรสนิยม งานด้านภาพและเสียงน่าจะเรียกได้อย่างเต็มปากว่างดงามไร้ตำหนิ ( ในมาตรฐานปัจจุบันของงานประเภทนี้) บทบาทของตัวละครที่ค่อยๆ เร่งระดับความสำคัญขึ้นจนกระทั่งผูกพันกับผู้ชมได้ในที่สุดอันนำไปสู่ฉากตอนท้ายเรื่องที่ทรงพลัง เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของทีมผู้สร้างซึ่งอยู่เบื้องหลังที่ร่วมกันผลักดันแต่ละนาทีของเรื่องราวเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่นี้ให้สำเร็จลงได้อย่างน่าชื่นชม

เรื่องราวว่าด้วยชีวิตของเจ้าหนูเรมี่ที่มีนิสัยแหกคอกไม่ชอบกินเศษอาหารและขยะ มันมีรสนิยมเลิศหรูและปรารถนาว่าวันหนึ่งจะเป็นพ่อครัวชื่อดังแห่งกรุงปารีสให้ได้เหมือนกับเชฟออกัส กุสโต้ พ่อครัวผู้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เรมี่ เรมี่สนใจการทำอาหารเหมือนเขากำลังตกหลุมรักศิลปะแขนงนี้เข้าอย่างจังจนถึงขั้นถอนตัวไม่ขึ้น เขาเฝ้าลองผิดลองถูกจับโน่นผสมนี่เพื่อฝึกฝนวิธีการปรุงอาหารให้อร่อย จนวันหนึ่งเรมี่ก็ได้เป็นเจ้าของตำราอาหารของกุสโต้ เขาคว้าตำราเล่มนี้มาจากหญิงชราที่น่าจะไม่เคยเปิดอ่านมันเลยด้วยซ้ำ เรมี่พยายามศึกษาการทำอาหารจากตำราจนจำได้ขึ้นใจในทุกสูตร เหมือนเขาเตรียมพร้อมตลอดเวลาเพื่อที่โอกาสการพิสูจน์ฝีมือจะมาถึง ( ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าการหาความรู้จากการอ่านหนังสือสามารถเปลี่ยนชีวิตเราได้...)

เชฟออกัส กุสโต้ ผู้วายชมน์ กลายเป็นภาพในจินตนาการของเรมี่ที่ยังคงโลดแล่นอยู่ในชีวิตเขาเสมือนกุสโต้ยังมีตัวตนอยู่จริงๆ เป็นจินตนาการผู้คอยชี้แนะให้ลงมือ ยับยั้งเมื่อทำผิดและปลอบโยนให้กำลังใจ ศิลปะในการพูดของจินตนาการกุสโต้ เปี่ยมพรสวรรค์ไม่แพ้การปรุงอาหารของเขา หลายครั้งที่ผู้ชมจะรู้สึกว่าเหมือนกำลังได้รับการสั่งสอนจากครูผู้รู้ซึ้งชีวิตเป็นอย่างดี ( ทั้งที่กุสโต้เป็นเพียงแค่ตัวการ์ตูน )
กุสโต้ไม่เพียงเคยสร้างสรรค์อาหารให้มีรสชาติเลอเลิศเท่านั้น ความสามารถด้านการพูดให้กำลังใจของเขาก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะสร้างชีวิตคนให้ดีขึ้นมาได้เช่นกัน ดูได้จากผลงานการเปลี่ยนคนที่เคยผ่านชีวิตแย่ๆ มาก่อนอย่างเด็กไร้บ้าน นักโทษขี้คุก ผู้หญิงที่ถูกเหยียดเพศ กุสโต้สร้างโอกาสใหม่ให้พวกเขาโดยปรับเปลี่ยนทัศนคติให้ผู้ที่น่าจะเรียกได้ว่ามีความผิดเพี้ยนอยู่ในรสแห่งชีวิตนี้ได้กลับมามีชีวิตที่กลมกล่อมเยี่ยงคนปกติอีกครั้ง
บุคคลชายขอบเหล่านี้มีบทบาทสำคัญอยู่ในครัวของภัตตาคารกุสโต้ จิตใจที่เปิดกว้างของกุสโต้เป็นที่มาจากคติพจน์ที่เจ้าหนูเรมี่ยึดมั่นเป็นสรณะว่า Anyone can cook (ไม่ว่าใครก็ทำอาหารได้ทั้งนั้น)
หลังจากเรื่องราวได้จับพลัดจับผลูให้เจ้าหนูเรมี่ได้มาเป็นมิตรแท้ต่างสายพันธุ์กับหนุ่มน้อยชื่อว่า ลิงกวินี่ เด็กชายไร้ฝัน ไร้พรสวรรค์และดูเหมือนจะไร้ชีวิตชีวาในหลายๆ พฤติกรรม ลิงกวินี่มาทำงานเป็นเด็กเทขยะให้ภัตตาคารกุสโต้ภายใต้การนำของหัวเรือใหญ่คนใหม่ผู้มีบุคลิกต่ำเตี้ยไม่แตกต่างจากรสนิยมของเขา พ่อครัวตัวเล็กคนนี้แอบซ่อนแผนการใหญ่ที่จะฮุบกิจการภัตตาคารกุสโต้เป็นของตน แล้วเปลี่ยนรูปแบบร้านไปผลิตอาหารแช่แข็ง ( จำหน่ายอาหารสำเร็จรูปประเภทเดียวกับอีซี่โกที่เครือเจริญโภคภัณฑ์กำลังทำอยู่ )

จากความเซ่อซ่าของลิงกวินี่บวกกับความช่วยเหลือที่สามารถของหนูน้อยเรมี่ทำให้นักวิจารณ์อาหารชื่อดังเข้าใจผิดว่าลิงกวินี่คือพ่อครัวผู้มีรสมือเป็นเลิศ ชื่อเสียงของลิงกวินี่ภายใต้ความสามารถของเรมี่ดังกระฉ่อนไปไกลจนกระทั่งนักวิจารณ์อาหารชื่อดังที่สุดของเมืองชื่อว่า อีโก้ ต้องมาขอท้าชิม
อีโก้เป็นนักวิจารณ์อาหารที่เงียบขรึม เย็นชา และดูเหมือนไร้อารมณ์เป็นที่สุด แต่กระนั้นเขาก็เป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ด้านการทดสอบอาหาร ก่อนการทดสอบของอีโก้จะมาถึง ปัญหาความวุ่นวายต่างๆ ก็ระดมประดังกันเข้ามาพาให้เรื่องราวของหนังต้องเดินเข้าสู่ภาวะความ ตึงเครียดและกลายเป็นจุดวิกฤติ ก่อนที่จะคลี่คลายออกด้วยความฉลาดและน่ารักเป็นที่สุด ทั้งยังฝากฉากจบที่ทรงพลังให้ผู้ชมได้กลับไปคิดต่อเป็นการบ้านหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจบันเทิงในโรงภาพยนตร์แล้ว...
มันต่างกันน่ะ...ระหว่างขุดคุ้ยกับไขว่คว้า เจ้าหนูเรมี่คงคิดเช่นนั้นจึงได้ทำเช่นนั้นและเป็นเช่นนั้น โดยฐานะของตัวมันเองที่เป็นเพียงแค่หนู สัตว์สกปรกผู้ต่ำต้อย เรมี่อาจหาญคิดฝันเกินตัวและเดินตามความฝันนั้นไปด้วยความมุ่งมั่นและอดทน ฝ่าด่านความยากลำบากต่างๆ นานาแต่ที่ถือเป็นอุปสรรคใหญ่สุดคงได้แก่คำสบประมาทของผู้เป็นพ่อ ว่าให้เจียมตัวในความนึกฝันและสำเหนียกอยู่ตลอดว่าตัวเองนั้นเป็นใคร โชคดีที่เสียงปรามาสของพ่อยังไม่ดังไปกว่าเสียงให้กำลังใจจากจินตนาการของกุสโต้ เรมี่เดินตามความฝันของตัวเคียงข้างไปกับภาพจินตนาการที่สมมุติขึ้นมาเองจนกระทั่งประสบความสำเร็จในที่สุด เรมี่เกลียดการขุดคุ้ยเศษซากขยะเหลือทิ้งเหมือนที่พวกหนูชอบทำกัน อาหารที่หนูประทังชีวิตล้วนมาจากเศษเดนเหลือกินจากผู้อื่น เรมี่เลือกที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ต้องการขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรง เขาจึงเลือกกินเฉพาะอาหารที่ตัวเองเป็นผู้ปรุง แทนที่จะต้องไปขุดคุ้ย เจ้าหนูเรมี่ของเรามันเลือกที่จะไขว่คว้า...

มีภาษาภาพยนตร์ปรากฏอยู่มากมายในหนังเรื่องนี้และแตกออกได้เป็นหลากหลายประเด็น แต่ที่เด่นจริงๆ คงเป็นเรื่องความสำเร็จที่ต้องสร้างเอง (ไขว่คว้า) แทนการฉกฉวยความสำเร็จของผู้อื่นมาอย่างมักง่าย (ขุดคุ้ย) ประเด็นนี้ นอกจากจะสื่อผ่านพฤติกรรมหลักของพวกหนูขี้ขโมยแล้ว ยังสื่อผ่านพ่อครัวตัวเล็กที่คิดจะฮุบกิจการภัตตาคารที่กุสโต้สร้างมาด้วยหัวจิตหัวใจ , ชื่อเสียงที่ลิงกวินี่ได้รับก็เช่นกัน มันเป็นความสำเร็จของผู้ที่อยู่เบื้องหลังซึ่งก็คือเจ้าหนูเรมี่นั่นเอง , มรดกที่ลิงกวินี่ได้รับจากพินัยกรรมของผู้เป็นพ่อก็เป็นเพียงความสำเร็จของบรรพบุรุษ หาใช่ความสำเร็จที่ลิงกวินี่สร้างขึ้นมาด้วยตัวเองไม่ รวมไปถึงการหาชื่อเสียงของเหล่านักวิจารณ์อาหารที่โด่งขึ้นมาจากงานสร้างสรรค์ของคนอื่น

อีกนัยยะหนึ่งที่เหน็บแนมและกะเทาะเปลือกความเป็นฝรั่งเศสได้ถึงแก่นนั่นคือมหานครอันหรูหราของเหล่าศักดินาชนชั้นผู้ดีแห่งนี้มันถูกสร้างขึ้นจากน้ำแรงของชนชั้นไพร่ทาสผู้ยากจน ( สื่อผ่านชื่อ Ratatouille ที่เป็นผักต้มคล้ายๆ จับฉ่ายซึ่งเป็นอาหารของคนจนในฝรั่งเศส)
ก่อนที่หนังจะเลี่ยนไปกับความสำเร็จของเจ้าหนูเรมี่ที่เป็นซะยิ่งกว่าแฟนตาซี (ทั้งๆที่เป็นหนังการ์ตูนอยู่แล้ว) ความฉลาดของผู้เขียนบทและผู้กำกับได้แก้รสให้หนังกลับมามีความหนักแน่นขึงขังอีกครั้งในตอนท้ายของเรื่อง โดยใช้ตัวละครของอีโก้ นักวิจารณ์อาหารผู้เคร่งเครียดเป็นเครื่องมือหลัก อันทำให้ Ratatouille ได้ทำหน้าที่สะท้อนชีวิตในอีกมิติหนึ่งให้ผู้ชมได้เห็นถึงอีกมุมมองที่แตกต่างออกไปของความสำเร็จ
อีโก้ผู้สูงส่งและยิ่งใหญ่ บริโภคอัตตาของตัวเป็นอาหารหลัก ความสำเร็จในชีวิตของอีโก้นั้นได้มาอย่างไร หนังไม่ได้กล่าวถึง หากแต่นำเสนออีกแง่มุมของคนที่ประสบความสำเร็จแล้วแต่กลับลืมกำพืดของตัวเอง ลืมความเรียบง่ายของชีวิต ลืมความทรงจำอันงดงามในอดีตเพียงเพราะมัวหลงชื่นชมความสำเร็จของตนในปัจจุบัน

ปลายปากกาวิจารณ์ที่หล่นกระทบพื้นเมื่ออีโก้ได้ลิ้มรสชาติของ Ratatouille อันเป็นอาหารคนจน คือภาพที่แสนงดงามในหนังเรื่องนี้ อัตตาถูกปล่อยวาง ลิ้นที่เคยจ้องจับผิดได้รับการผ่อนคลาย รสชาติที่อีโก้สัมผัสนั้น ผู้เขียนเชื่อว่ามันไม่ใช่อาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตของเขาหรอก ( ก็เป็นนักชิมมือพระกาฬซะระดับนั้น) แต่อย่างหนึ่งที่มั่นใจได้อย่างแน่นอน อาหารคำนั้นทำให้อีโก้มีความสุขอย่างที่สุด เพราะมันได้ทำหน้าที่เปิดเผยพลังอันมีอิทธิพลมหาศาลต่อความเป็นเขาในปัจจุบัน เป็นพลังที่ซุกซ่อนอยู่ภายในซอกมุมของจิตใจเขา เสมือนหนูตัวเล็กๆ ที่นานแล้วยังไม่เคยโผล่ออกมาปรากฏตัว...
หนังเรื่อง Ratatouille นี้ถูกสร้างด้วยกรรมวิธีไม่ต่างไปจากการปรุงอาหาร มีการผสมรสที่แตกต่างกันอยู่เป็นระยะๆ ทั้งตลกขบขัน ตื่นเต้น และบรรยากาศของความรัก คลุกเคล้ากันจนลงตัวและกลมกล่อม ภาพที่ลงหมอกพอสวยงามแลดูชวนฝัน ดนตรีประกอบนุ่มนวลละมุนหูที่คลอเบาๆ อยู่ตลอดเรื่องสร้างความรู้สึกร่วมเหมือนผู้ชมกำลังนั่งทานข้าวอยู่ในภัตตาคารหรูของฝรั่งเศส
หนังเรื่องนี้ยังพาลให้ผู้เขียนนึกถึงหนังเรื่อง Sideway ของ อเล็กซานเดอร์ เพย์ ขึ้นมา ตะหงิดๆ ที่เคยเน้นภาพและงานดนตรีในลักษณะนี้ซึ่งให้อารมณ์เหมือนผู้ชมได้ร่วมดื่มไวน์ไปกับตัวละครในเรื่องด้วย ( เบลอภาพนิดๆ แบบชวนฝันหน่อยๆ)
Ratatouille จบลงด้วยความสุขตามสูตรอย่างที่ควรจะเป็น ผู้ชมอาจไม่รู้สึกจริงจังอะไรนักกับภาพเชฟกุสโต้ที่โลดแล่นเป็นจินตนาการอยู่ในหัวของเจ้าหนูเรมี่เพราะมันก็แค่ความเพ้อเจ้อของหนูหลงทางที่ต้องอยู่ตัวเดียว เหมือนกับที่อาจไม่ค่อยรู้สึกอะไรนักกับการที่เจ้าหนูเรมี่ต้องมาคอยเจ้ากี้เจ้าการอยู่บนหัวของลิงกวินี่เวลาทำอาหารนอกเสียจากความตลกขบขันที่ได้จากภาพเหล่านั้น แต่เชื่อเถอะว่า ในหัวของเรามีเจ้าตัวแบบนี้อาศัยอยู่จริงๆ บางวันมันก็นอนเซา บางวันมันก็ลุกขึ้นมาเต้นคึกคักสนุกสนาน ลองยกมือขึ้นไปแหวกผมที่กลางศรีษะของคุณดูซิ!

แล้วจะเจอว่ามี ความฝันอาศัยอยู่ในสมองของมนุษย์เราทุกคน เพียงแค่จะเก็บซุกซ่อนมันไว้ตลอดไปหรือจะเริ่มทำให้มันกลายเป็นความจริงซะที...............
Create Date : 12 พฤศจิกายน 2550 |
Last Update : 20 มีนาคม 2552 21:32:44 น. |
|
7 comments
|
Counter : 3169 Pageviews. |
 |
|