Da la Rey

Da la Rey


     ถ้าเอ่ยถึง ทวีปแอฟริกา คุณนึกถึงอะไร

     อาจจะหนีไม่พ้น สัตว์ป่า ซาฟารี ทะเลทราย ความแห้งแล้ง ความอดอยาก เมืองขึ้นยุคอาณานิคม สงครามกลางเมือง เหมืองเพชร โรคเอดส์ และคนดำในชุดประจำเผ่า

     เชื่อว่าน้อยคนนักจะนึกถึงคนผิวขาวชาวแอฟริกันที่เรียกตัวเองว่า แอฟริกันเนอร์ (Afrikaner) พวกเขาเป็นลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากพวกโบร์ (Boer) อันเป็นคำเรียกกลุ่มผู้อพยพจากยุโรปมาตั้งถิ่นฐานและตั้งตนเป็นประชาชนของทวีปแอฟริกา โดยส่วนใหญ่จะเป็นชาวดัทช์ และคนผิวขาวจากยุโรปอย่างพวกเยอรมันและฝรั่งเศส รวมถึงคนเชื้อชาติอื่นๆ เช่น มาเลย์ อินเดียใต้

     ในปี ค.ศ.1899 พวกโบร์ ซึ่งในภาษาดัชท์หมายถึง ชาวนา ได้เปิดศึกทำสงครามเพื่อปกป้องอิสรภาพและถิ่นฐานของตนกับกองกำลังของสหราชอาณาจักร ที่เรียกว่าสงครามโบร์ (The Boer war) แต่สุดท้ายน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ต้องพ่ายศึกถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมอังกฤษ

     ปัจจุบัน โบร์กลายเป็นคนกลุ่มน้อยที่วัฒนธรรมประจำตัวกำลังจะหายสาบสูญ ถึงขนาดที่ชื่อถนนและเมืองในภาษาแอฟริกาน (ภาษาของพวกแอฟริกันเนอร์) กำลังจะถูกเปลี่ยนเป็นภาษาอื่น หนุ่มสาวผิวขาวในแอฟริกาใต้กำลังไม่พอใจกับการถูกมองว่าเป็นปีศาจสกปรกจอมเหยียดสีผิวที่ไม่เคยทำอะไรถูก มีสิ่งต่างๆ กระตุ้นพวกเขาให้นึกถึงประวัติศาสตร์ “ที่น่าอับอาย”อยู่ตลอดเวลา ในหนังสือเรียนที่ใช้สอนตามโรงเรียนต่างๆ ในประเทศแอฟริกาใต้กล่าวถึงเรื่องสงครามโบร์ไว้เพียงสี่บรรทัด


     แต่ขณะนี้กำลังมีกระแสปลุกใจรักเชื้อชาติที่กำลังมาแรงในหมู่ชาวแอฟริกันเนอร์ พวกเขากำลังคลั่งไคล้บทเพลงเพลงหนึ่งที่ขับขานถึงตำนานวีรบุรุษผู้หนึ่งจากสงครามโบร์ซึ่งบรรพบุรุษของตนต่อสู้กับกองทัพอังกฤษ เพลงที่กล่าวถึงนายพล คูส์ เด ลา ไรย์ (Koos De La Rey) เพลงนี้ได้สร้างผลกระทบทางวัฒนธรรมต่อชุมชนชาวผิวขาวในแอฟริกาใต้ มีการพูดถึง "อัตลักษณ์ใหม่" ไปจนถึงลัทธิชาตินิยม

On a hill in the night
บนเนินเขายามราตรี
We lie in wait in the dark
เราซุ่มรอในความมืดมิด
In the mud and the blood I lie cold,
ในเลนและเลือด ข้านอนหนาวเหน็บ
Pack and rain clinging to me
เป้หลังและฝนหลั่งแนบร่างข้า


     เด ลา ไรย์ De La Rey บทเพลงที่ขับขานโดยศิลปินหนุ่ม บ็อก แวน เบลิก (Bok van Blerk) วัย 28 ปี ผู้มีชื่อจริงว่าหลุยส์ ดิปเปนาร์ ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยยอดขายสูงระดับดับเบิลแพลทติเนี่ยม ( 2 ล้านแผ่น) เพลงๆ นี้ถึงจะจัดอยู่ในประเภทร็อคแอฟริกันเนอร์ แต่เริ่มต้นเพลงด้วยทำนองเพลงมาร์ชทหาร

And my home and my farm burned to the ground so they can catch us
ทั้งบ้านและไร่นาข้าถูกเผาราบ เพื่อเปิดทางให้พวกมันจับตัวเรา
But those flames and that fire now burn deep, deep within me
แต่เปลวไฟนั่นและไฟนั้น บัดนี้แผดเผาลึก ลึกอยู่ในใจข้า


De La Rey, De La Rey, will you come to lead the Boers?
เด ลา ไรย์ เด ลา ไรย์ ท่านจะมานำเหล่าโบร์หรือไม่
De La Rey, De La Rey
เด ลา ไรย์ เด ลา ไรย์


     แล้วทำไมถึงต้องเป็นนายพลเด ลา ไรย์

     เพราะเด ลา ไรย์ เป็นตัวอย่างของวีรบุรุษคนดีที่แม้จะรักสงบ ไม่เห็นด้วยกับการทำสงคราม แต่เพื่อกองทัพของตน เขาเก่งกาจห้าวหาญสู้ไม่ถอย อีกทั้งยังมีจิตใจเปี่ยมมนุษยธรรม เขาเคยส่งตัวประกันทหารอังกฤษกลับคืน เพราะทหารผู้นั้นป่วยหนัก และมีเพียงการแพทย์ของอังกฤษเท่านั้นที่จะรักษาชีวิตไว้ได้

General, General as one man we shall fall about you
ท่านนายพล ท่านนายพล ท่านคือผู้เดียวที่เราจะตามมาช่วย
General De La Rey.
ท่านนายพลเด ลา ไรย์


     ถึงผู้แต่งเพลงคือ ฌอน เอลส์ กับโจฮัน โวสเตอร์จะปฏิเสธว่าไม่ได้ตั้งใจจะใช้เพลงนี้โปรโมทแนวความคิดทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก็มีคนตั้งคำถามขึ้นมากมาย

     "ความตั้งใจของเพลงนี้เป็นเรื่องทางวัฒธรรมล้วนๆ" เอลส์กล่าว "ตอนที่แต่งเรามองว่าชาวแอฟริกันเนอร์พร้อมแล้วที่จะรับเพลงนี้ เราเขียนขึ้นเพื่อคนที่เปิดใจกว้าง ที่เลือกนายพลเด ลา ไรย์ เพราะว่าเขาเป็นผู้ปราดเปรื่อง ต่อสู้ในสงครามจนถึงที่สุด ถึงแม้จะในใจจะไม่ชอบก็ตาม"

     นักสังคมวิทยาผู้หนึ่งให้ความเห็นว่าความโด่งดังของเพลงนี้ในทางสัญลักษณ์แล้วแสดงถึงความไม่มั่นคงปลอดภัยในจิตใจ แฟนๆ ที่ชื่นชอบเพลงนี้แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกอายุ 40-50 ปี ผู้ที่อาจจะรู้สึกขมขื่นเพราะไม่มีอภิสิทธิ์เหมือนคนในสมัยที่มีการแยกคนต่างผิวในแอฟริกาใต้ อีกกลุ่มคือหนุ่มสาวที่อายุน้อยลงมาที่กำลังหาอัตลักษณ์หรือภาพที่แสดงตัวตนใหม่ให้ตนเอง


     เพลงนี้สร้างกระแสใหญ่โตจนกลายเป็นหัวข้อเสวนา ณ สถาบันความสัมพันธ์ทางด้านเชื้อชาติ (Institute for Race Relations -SAIRR) หัวหน้าฝ่ายพัฒนาของสถาบันนี้กล่าวว่า คนแอฟริกันเนอร์ยุคหลังๆ กำลังหาเอกลักษณ์ใหม่ให้เชื้อชาติของตน และไม่รู้สึกข้องเกี่ยวกับตัวตนที่ได้รับสืบทอดจากการแบ่งแยกสีผิวในสมัยก่อน “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย และเป็นสิ่งดีสำหรับความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติ แต่ก็เสี่ยงว่าจะมีกลุ่มทางการเมืองยื่นเข้ามาฉวยโอกาสนี้ปลุกปั่นหาเสียง ชาวแอฟริกันเนอร์รุ่นใหม่มีความรู้สึกรุนแรงเพราะกำลังมองหาผู้นำที่แข็งแกร่ง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกตรงไหน”

Against the Kakies* who laugh ต่อต้านอังกฤษชุดกากีที่หัวร่อ
A handful of us against a whole great army พวกเราเพียงหยิบมือต่อกรกองทัพเกรียงไกร
And the crags at our backs, และหลังเราชนภูผา
They think it's all over. พวกมันคิดว่าจบสิ้นแล้ว


      สำหรับนักร้อง เขาหวังว่าจากบทเพลงๆ นี้ หนุ่มสาวชาวแอฟริกันเนอร์จะสามารถค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามระหว่างอังกฤษกับชาวโบร์ และประวัติศาสตร์โดยทั่วไปของพวกตนมากขึ้น

      “หนุ่มสาวผิวขาวในประเทศแอฟริกาใต้เติบโตขึ้นมากับความรู้สึกผิดในเรื่องการแบ่งแยกผิวในอดีต ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาภาคภูมิใจได้” นักร้องหนุ่มกล่าว “การกลับไปหาหนึ่งในบรรดาแม่ทัพในสงครามโบร์ที่ยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้องและการต่อสู้เพื่ออิสรภาพไม่ใช่สงครามเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการ นี่คือเหตุผลพวกเขาจึงชื่นชอบเพลงนี้ เพราะทำให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ได้รู้ว่าตนมาจากไหน มีหลักให้ยึดและรู้ว่าจะไปที่ใด”

But the heart of a Boer lies deeper and wider, they shall see it yet
หากหัวใจเหล่าโบร์สถิตอยู่ลึกล้ำและกว้างใหญ่กว่านั้น พวกมันจะได้เห็น
On a horse he is coming, the Lion of the West Transvaal.
อยู่บนอาชา เขากำลังมา สิงห์แห่งเวสต์ ทรานสวาล


     ความทะเยอทะยานทางดนตรีของบ็อกไม่ได้สูงส่งเลิศเลอ ก่อนที่จะออกเทปโด่งดังขนาดนี้ เขาเคยเล่นดนตรีรอบกองไฟให้ครอบครัวฟัง และทำงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นผู้จัดการไซต์งาน หลังจากนั้นเขาได้รับการติดต่อจากค่ายเทป และเริ่มทำงานดนตรีอย่างจริงจังจนออกอัลบั้มเพลงชุดแรกในชื่อ De la Rey เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว

     จากความสำเร็จอย่างล้นหลามเป็นที่รู้จักทั่วโลกทำให้คิวคอนเสิร์ตของเขาในปีนี้เต็มเหยียด มีตารางเล่นสดหกรอบต่อสัปดาห์ หลังจากเดินทางไปเปิดแสดงที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เดือนสิงหาคมนี้ เขาจะเดินสายจัดทัวร์คอนเสิร์ตในสหรัฐอเมริกา แคนาดา เนเธอร์แลนด์และออสเตรเลีย นอกจากนั้นยังได้รับการติดต่อให้ไปเล่นคอนเสิร์ตให้แฟนเพลงที่เป็นบรรดาทหารอเมริกันที่กำลังปฏิบัติการณ์อยู่ในอิรัก

     “ตอนที่ผมร้องเพลงเด ลา เรย์ คุณจะได้เห็นในดวงตาของพวกเขา คุณจะเห็นผู้คนที่ภาคภูมิใจ ยืนกำมือกุมหัวใจ และบางคนร้องไห้ เพลงๆ นี้เติมเต็มสิ่งที่พวกเขาปรารถนา”



Because my wife and my child lie wasting away in a camp*
เพราะลูกเมียข้านอนตายซากในค่ายกักกัน
and the Kakies' marrow runs over a nation which shall rise again.
และเลือดพวกสีกากีไหลนองทั่วแผ่นดินที่จะผงาดขึ้นอีกครา



* พวกโบร์เรียกทหารอังกฤษสมัยนั้นว่าพวกสีกากี จากเครื่องแบบที่สวมใส่
* ค่ายกักกันของอังกฤษในช่วงสงครามโบร์ มีชายหญิงและเด็กชาวโบร์ล้มตายจากความอดอยากและโรคภัยหลายหมื่นคน
เนื้อเพลงภาษาอังกฤษแปลจากภาษาแอฟริกานนำมาจากเวบไซต์ //www.answp.com




ที่มา : Sunday Times Online
ข้อมูลเพิ่มเติม : wikipedia.com
ขอขอบคุณ : สมาชิกห้องรวมพลนักแปลแห่งพันทิพดอทคอม สำหรับความช่วยเหลือในการปรับปรุงบทแปลเพลงในภาษาไทย








Create Date : 02 กรกฎาคม 2550
Last Update : 2 กรกฎาคม 2550 18:49:06 น. 0 comments
Counter : 3582 Pageviews.

Mutation
Location :
somewhere in Hong Kong SAR

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ฉั น คื อ ใ ค ร

     สาวพฤษภชาวแกลงแห่งเมืองระยอง ลอยละล่องเรื่อยไปจนปาเข้าสามสิบ กว่าจะได้พบอาชีพที่ต้องจริตจนคิดตั้งตัวเป็นนักแปลรับจ้างเร่ร่อนไร้สังกัด ปัจจุบันเปิดสำนักพิมพ์เล็กๆ ชื่อ "กำมะหยี่"

     จุดหมายในชีวิต หลังจากผันผ่านคืนวันมาหลายปีดีดัก ขอพักไม่หวังทำอะไรใหญ่โต ขอเพียงมีชีวิตสุขสงบ ได้ทำสิ่งที่ดีๆ ทำตามหน้าที่ของตนในทุกด้านอย่างดีที่สุด แค่นั้นพอ

      ฉันมีหวานใจ- สามี - สุดที่รักแสนดีชาวฝรั่งเศส แถมเรือพ่วงสองลำเล็กๆ ตอนนี้มาใช้ชีวิตกันอยู่ที่ฮ่องกง



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Mutation's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.