|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
ผมเคยมีความคิดว่าอยากจะสร้างงานสักเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับ “คนแก่” โดยมีความคิดว่าความรู้สึกนึกคิดของคนในวัยนี้ น่าจะมีสิ่งที่น่าสนใจศึกษาและเรียนรู้ อันเนื่องจากเป็นวัยที่ผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ มามากมาย และอยู่ในช่วงที่กำลังเผชิญกับบั้นปลายของชีวิต ช่วงที่ใกล้จะหมดเวลาสำหรับผู้ที่ยังหาความหมายของชีวิตไม่พบ และเป็นช่วงแห่งการพักผ่อนสำหรับผู้ที่พบแล้ว จนเมื่อผมมาได้อ่านงานเขียนของ ชาติ กอบจิตติ (นักเขียนที่ผมชอบในกลวิธีการเล่าเรื่องที่มีความน่าสนใจติดตามอยู่เสมอ) เรื่อง “เวลา” ที่จำลองเหตุการณ์ทั้งหมดให้เกิดขึ้นภายในบ้านพักคนชรา ในส่วนอาคารสำหรับคนแก่ที่มีอาการชราขั้นมากที่สุด คือวัยเฉียดฝั่งแม่น้ำมากที่สุดนั่นเอง โดยเนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะกล่าวถึงภาวะความนึกคิดและสภาพชีวิตของคนในวัยนี้ ซึ่งในนิยายเรื่องนี้ผู้เขียนสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีทีเดียว สิ่งแรกที่สะดุดตาผมและประทับใจในงานชิ้นนี้ก็คือ กลวิธีในการเล่าเรื่องของชาติ ที่ชวนติดตาม และการใช้สำนวนภาษาที่มีอารมณ์ขันแบบเสียดสี ไปจนถึงการแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่บีบคั้นและหดหู่ สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นมากในนิยายเรื่องนี้ก็คือ การสร้างบทสนทนาที่มีชีวิตชีวา รวมไปกับบทบรรยายที่สอดคล้องกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ สิ่งนี้นับเป็นประสบการณ์สำหรับนักเขียนที่มีชั่วโมงบินสูง ดังเช่น ตย. การวางโครงสร้างในตอนที่เด็กขายน้ำให้คนแก่ทานขนมโดยไม่คิดเงิน กับมุมมองของอุบลคนคุมบ้านพัก โดยผู้เขียนสามารถพลิกความคาดหมายของผู้อ่าน ให้กลับมานึกเห็นใจเด็กคนนั้น ที่ในตอนแรกผู้เขียนวาดภาพให้ออกมาดูจะเป็นเด็กเจ้าเล่ห์ หรือบทสนทนาในช่วงที่มีการมาเยี่ยมบ้านพักของครอบครัวผู้มีอันจะกิน ซึ่งบทสนทนาสามารถแสดงลักษณะของตัวละครตามภูมิหลังของตัวนั้น ๆ ได้อย่างเห็นความแตกต่างและเด่นชัด ส่วนในเรื่องของเนื้อหาที่นิยายเรื่องนี้พยายามถ่ายทอดออกมา ตามความคิดของผมสิ่งแรกที่สามารถสัมผัสได้ชัดเจนหน่อยของเรื่องนี้ก็คือ ชีวิตของคนเรานั้นล้วนตกอยู่ภายใต้อำนาจของเวลา ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือสังขารของตัวเรานั่นเอง มิว่าจะทำเช่นไรเราก็ไม่สามารถไปหยุดการเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักรเช่นนี้ได้ รวมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เรายึดถือและเชื่อมั่นอยู่ เมื่อถึงเวลาของมันจริง ๆ เราก็มิสามารถพามันติดตัวไปได้อย่างตราบนิรันดร อันนี้ผมเชื่อว่าเป็นมุมมองทางปัจเจกชนของผู้เขียน ซึ่งมีทัศนะในเชิงให้ความสำคัญกับมนุษย์ในฐานะของปัจเจกชนคนหนึ่ง ที่อยู่ใต้อำนาจของสภาพแวดล้อมที่เขาคนนั้นไม่สามารถไปบงการหรือแปรเปลี่ยนมัน เพียงแต่ต้องยอมจำนนกับมันไป ซึ่งผมเองออกจะไม่เห็นด้วยกับความคิดเช่นนี้ เพราะมันเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะที่เป็นปฏิปักษ์กันระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อม ผมคิดว่าเราควรจะทำความเข้าใจและแปรเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่างไรก็ตามลักษณะความคิดตามที่ผู้เขียนเสนอนั้น อาจจะเป็นภาวะที่เป็นเป็นอยู่จริง ๆ ก็ได้ของผู้คนในยุคนี้ ส่วนความเชื่อของผมอาจจะเป็นเพียงอุดมคติที่ยังมิได้เกิดขึ้นจริงเลยก็ได้ นอกจากประเด็นนี้แล้ว เรื่องนี้ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ผู้เขียนสอดแทรกเข้ามาในเรื่องเช่น สภาพความนึกคิดของผู้ที่กำลังจะถึงจุดจบของตัวเอง ซึ่งในเรื่องแสดงให้เห็นว่า เขาผู้นั้นจะมองเห็นสภาพที่เป็นอยู่เหมือนเป็นความฝันไป แต่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญกลับเป็นชีวิตในวัยเด็ก ไม่รู้ว่าจะเป็นความคิดในเชิงว่าจริง ๆ แล้ว จุดจบของชีวิตก็คือการเริ่มต้นใหม่นั่นเอง อีกอย่างหนึ่งก็คือการที่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ มองความตายว่าเป็นอย่างไร โดยในเรื่องนี้ผมมองเห็นว่าผู้เขียนพยายามเสนอออกมาว่า ท้ายที่สุดแล้วความตายนั้นก็คือร่างที่เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาเท่านั้น ส่วนสิ่งที่อยู่ภายหลังความตายนั้นคือความไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริง ๆ ตามที่ผู้เขียนเน้นไว้ในตอนจบ ท้ายที่สุดนี้ผมขอกล่าวถึงเทคนิคในการนำเสนอของผู้เขียนจากนิยายเรื่องนี้ ซึ่งผู้เขียนได้ปะปนเอารูปแบบต่าง ๆ กัน 3 รูปแบบมารวมกันคือ เทคนิคของหนังสือ ละครและภาพยนตร์ โดยตัวผู้เล่าเรื่องนั้นก็จะแบ่งเป็น 3 รายด้วยกัน คือผู้เขียน ตัวบทละคร และผู้กำกับภาพยนตร์ที่มาดูละคร ซึ่งผมคิดว่าเป็นเทคนิคที่ออกจะสับสนในการอ่าน ผมไม่สามารถเข้าใจสื่อที่ผู้เขียนต้องการสะท้อนออกมาจากเทคนิคอันนี้ ถ้าให้เดาเอาผมคาดว่าผู้เขียนอาจต้องการเสียดสีต่อผู้ทำละครและภาพยนตร์ที่เคยเอางานเขียนของเขา มาปรุงแต่งใหม่อย่างผิด ๆ จนผู้เขียนจึงต้องมาแสดงตัวอย่างให้ดูว่าอย่างไรจึงควรจะดีก็อาจเป็นได้
Create Date : 20 พฤษภาคม 2562 |
Last Update : 20 พฤษภาคม 2562 15:28:56 น. |
|
0 comments
|
Counter : 646 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|