เมื่อวานดูภาพยนตร์เรื่อง 1900จบจนได้ หลังจากดูต่อจากเมื่อคืนวานซืน หนังมีความยาวประมาณ 4ชั่วโมง ทำไมภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงใช้ความยาวมากมายเช่นนี้จึงเป็นคำถามที่น่าจะถามและถ้าคำตอบคือเพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการถ่ายทอดให้เห็นถึงรากฐานแห่งการแบ่งแยกทางชนชั้นว่ามีจุดกำเนิดมาจากไหน และมีพัฒนาการความเป็นมาอย่างไร จนพามาสู่การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อขจัดชนชั้นทางสังคมมนุษย์ให้หมดสิ้นไปคำถามนั้นก็คงจะได้รับคำตอบที่มีเหตุผลพอสมควรทีเดียว 1900 เป็นภาพยนตร์ปี ค.ศ. 1976ซึ่งเป็นยุคสมัยที่ความหวาดระแวงในการครองโลกของคอมมิวนิสต์ยังไม่จางหายไปเบอร์นาโด เบอร์โตลุคซี่ ผู้กำกับชาวอิตาเลียนกลับยิ่งตอกย้ำให้ความหวาดกลัวของพวกนิยมขวาหรือจักรวรรดิ์นิยมของอเมริกามีเพิ่มมากขึ้นโดยที่ในชีวิตจริงของเขาก็เคยมีส่วนร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ในอิตาลีดังนั้นสิ่งหนึ่งที่น่าสงสัยคือ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะสูญเสียความงามทางศิลปะลงไปหรือไม่เพราะการที่เขาตัดสินใจที่จะทำภาพยนตร์โดยมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองคือเลือกข้างแล้วโจมตีอีกฝ่ายที่เป็นเสี้ยนหนามอย่างไร้เหตุผลภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกจัดว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเป็นเครื่องมือของอุดมการณ์ทางการเมืองหรือไม่ ภาพยนตร์เปิดเรื่องจากเหตุการณ์ในท้องเรื่องคือวันแห่งอิสรภาพเป็นวันที่กลุ่มชาวนาพร้อมใจกันลุกขึ้นมาเพื่อต่อสู้การถูกเอารัดเอาเปรียบจากกลุ่มเจ้าของที่ดินและสถานที่สำคัญของพวกเจ้าของที่ดินที่มีตัวแทนคือ อัลเฟรโด (เดอ นิโร) คือคอกวัวที่อัลเฟรโดพูดกับเด็กลูกชาวนาคนหนึ่งว่า พ่อของฉันตายที่นี่จากนั้นเรื่องก็จะย้อนเวลากลับไปในวันที่อัลเฟรโดเกิดสถานที่คือคฤหาสน์หลังใหญ่ โดยมีพ่อและปู่ของเขาแสดงความดีใจอย่างพ่อทุกคนควรจะเป็นขณะเดียวกันที่บริเวณท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ก็มีเด็กอีกคนเกิดขึ้นมาโดยมีปู่ที่เป็นชาวนาหัวรั้นและเป็นที่เคารพของเพื่อนชาวนาด้วยกัน มีหลานชายที่ชื่อ อัลโม และ ณจุดนี้เองที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เริ่มเดินทาง และพยายามถ่ายทอดให้เห็นชีวิตของเด็กสองคนที่เกิดคนละสถานที่และคนละชนชั้นทางสังคมแต่อยู่บนแผ่นดินผืนเดียวกัน ความสัมพันธ์ของเด็กทั้งสองคนตั้งแต่วัยเยาว์ผ่านกาลเวลามาสู่วัยรุ่น และเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่แสดงให้เห็นถึงส่วนที่แตกต่างและคล้ายคลึงกันระหว่างโลกของเด็กสองคนนี้ ภาพยนตร์แบ่งเป็น 2 องค์องค์แรกคือชีวิตของเพื่อนสองคน องค์ที่ 2เป็นส่วนที่กว้างขึ้น คือถ่ายทอดถึงความเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยยังมีตัวละครหลักทั้งสองคนอยู่ร่วมในเหตุการณ์ ภาพยนตร์แบ่งออกเป็นช่วงเป็นตอนของการดำเนินเรื่องได้อย่างเป็นระบบระเบียบและแต่ละฉากจะมีความสมบูรณ์ในตัวมันเอง เพื่อส่งไปสู่อีกฉากอย่างต่อเนื่องกันตัวอย่างเช่นฉากสำคัญที่เป็นตัวเชื่อมจากช่วงเวลาหนึ่งไปสู่อีกช่วงเวลาหนึ่งคือรางรถไฟ ที่ในตอนจบของชีวิตวัยเยาว์ อัลโมสามารถแสดงให้อัลเฟรโดเห็นว่าเขามีความกล้าที่จะนอนบนไม้หมอนรางรถไฟ ให้รถไฟวิ่งผ่านไปได้และเขาก็ทำได้จริงๆ โดยสร้างความตะลึงให้กับอัลเฟรโด และในเวลาต่อมาอัลเฟรโดพยายามจะสร้างความกล้าให้เหมือนกับ อัลโมให้ได้ เขาจึงลองทำอย่างที่เพื่อนเขาทำแต่ครั้งนั้นขบวนรถไฟที่ที่วิ่งผ่านตัวอัลเฟรโด คือขบวนรถที่อัลโมอยู่ร่วมกับพลพรรคชาวนาที่รวมตัวกันด้วยอุดมการณ์เดียวกันคือคอมมิวนิสต์เดินหน้าไปสู่ท้องฟ้าสิทองอันสดใส ในส่วนแรกของภาพยนตร์เนื้อหาแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของอัลเฟรโดกับอัลโมซึ่งจะมีลักษณะของความเหมือนในความแตกต่าง (Dialectic) อัลเฟรโดมีนิสัยรักสนุกใช้ชีวิตผ่านไปวันๆและคิดว่าเงินมีอำนาจที่จะดลบันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไปตามที่ตัวเองมุ่งหวังแต่ในขณะที่อัลโม(เดอ ปาดิเออร์) เป็นคนที่มีความกล้าบ้าบิ่น ยอมทุ่มตัวเองลงไปเสี่ยงกับสิ่งอันตรายทั้งหลายโดยมีจุดมุ่งหมายคือเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมให้ดีกว่าที่เป็นอยู่แต่อย่างไรก็ตามในความแตกต่างของทั้งคู่ ยังมีช่องว่างให้ทั้งคู่ได้เติมสายใยแห่งความผูกพันต่อกันและกันไม่ว่าจะเป็นความสนุกสนานในชีวิตวัยเด็ก ในเรื่องการเรียนรู้ในเรื่องเพศเช่นที่อัลโมสอนอัลเฟรโดว่า การที่จะเป็นนักสังคมนิยมจะต้องมีรูที่กระเป๋ากางเกงเพื่อจับปืนอุ่น ของตนได้ หรือในช่วงวัยรุ่นที่ทั้งคู่สามารถร่วมสนุกกับผู้หญิงคนเดียวบนเตียงเดียวกัน แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่องค์ที่สอง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถูกฉีกออกจากกันโดยสภาพความเปลี่ยนแปลงทางสังคมคือการเติบโตของกลุ่มนิยมซ้ายคือพวกชาวนา กับการเติบโตของกลุ่มนิยมขวาหรือพวกฟาสซิสอัลโมกับอัลเฟรโดถูกสังคมจัดวางตำแหน่งให้อยู่กันคนละข้าง ทั้งคู่จะต้องต่อสู้หักล้างกันเพื่อที่อีกฝ่ายจะมีชีวิตที่ครอบครองอุดมการณ์ของตนต่อไปโดยภาพยนตร์ได้ใช้ตัวผู้หญิงชาวฝรั่งเศส ที่ใช้ชีวิตแบบเจ้าสำราญเป็นตัวแปรที่แสดงให้เห็นถึงดีกรีในความสัมพันธ์ของ อัลโมและอัลเฟรโดว่ามีเพิ่มขึ้นหรือลดลงไปเพียงใดเป็นเหมือนสายใยเส้นสุดท้ายที่จะขาดเมื่อใดก็ได้ จนในตอนท้ายที่เธอหายสาบสูญไปจึงเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นในการต่อสู้ของชายทั้งสอง และในบทสรุปตอนจบที่เหตุการณ์ย้อนกลับมาในตอนต้นเรื่องใหม่และแสดงให้เห็นถึงชัยชนะของกลุ่มชาวนา ที่ครอบคลุมตัวเองด้วยผ้าผืนแดงใบใหญ่จากนั้นภาพยนตร์ก็หาบทปิดท้ายให้กับตัวละครทั้ง 2 ตัวโดยการสร้างเหตุการณ์ซ้ำ ในสถานที่เดียวกัน แต่คนละกาลเวลา คือรางรถไฟที่คราวนี้อัลเฟรโดนอน แต่ไม่ใช่บนไม้หมอนรางรถไฟ แต่เป็นบนรางรถไฟให้ขบวนรถของอัลโมเดินทางต่อไป โดยสรุปความเป็นศิลปะของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่การถ่ายทอดและแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของชีวิตคนสองคนที่มีความแตกต่างกันทางฐานะ และแนวความคิด เป็นเหมือนตัวแทนของโลกสองโลกที่แตกต่างกันแต่อยู่บนผิวโลกใบเดียวกันชีวิตของคนทั้งสองยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพการคลี่คลายและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในยุคสมัยหนึ่งที่ความแตกต่างทางอุดมการณ์ สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดสงครามที่ต้องการจะหักล้างอีกฝ่ายให้หมดสิ้นไป หรือที่เรียกว่าสงครามทางชนชั้น ถ้าจะกลับมาถึงคำถามที่ตั้งไว้ตอนแรกว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถแสดงตัวเองออกมาเป็นผลงานที่มีความเป็นศิลปะได้อย่างเต็มภาคภูมิได้หรือไม่ผมขอแสดงทัศนะว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความงดงามอย่างยิ่งในการถ่ายทอดเรื่องราวและหาเหตุผลและความเป็นมาของมันได้อย่างน่าเชื่อถือ ความมีชีวิตชีวาของตัวละครทำให้ผู้ชมสามารถมีอารมณ์ความรู้สึกลื่นไหลไปกับการดำเนินเรื่องและมารู้สึกรันทดกับการที่ตัวละครจะต้องมาแตกแยกกันเพราะความแตกต่างทางสภาพแวดล้อมและถ้าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เลือกข้างคือกำหนดให้ฝ่ายใดถูกหรือผิดแล้วจะเป็นงานศิลปะชิ้นเอกในแขนงนี้ได้เรื่องหนึ่ง ยกเว้นว่าจะจัดว่าเป็นงานศิลปะเพื่อชีวิต
Create Date : 06 เมษายน 2561 |
Last Update : 6 เมษายน 2561 16:38:35 น. |
|
0 comments
|
Counter : 655 Pageviews. |
|
|