พิษเสน่หา 9
๙ อสรพิษแดง

แสงไฟจากตะเกียงที่ตั้งอยู่ตามมุมห้องถึงสี่ดวง ทำให้ทั้งห้องสว่างไสวขึ้นมาเหมือนกลางวันไม่มีผิด และแสงเหล่านั้นก็พากันสาดกระทบร่างโปร่งบางที่นั่งเขียนหนังสือขยุกขยิกอยู่บนโต๊ะ โดยที่โสตประสาทยังคอยสดับฟังเสียงขู่คำรามของหนึ่งกล้าที่ดังต่อเนื่องมาตั้งแต่ตอนเย็น

สิริกัญญาวางปากกาลงอย่างกังวลใจ เจ้าหนึ่งกล้าสำเหนียกได้ถึงภัยบางอย่างที่อยู่ในบ้านหลังนี้ และสัญชาตญาณของมันก็ไม่เคยผิดพลาดเสียด้วย

ร่างโปร่งบางลุกขึ้นจากโต๊ะเขียนหนังสือออกไปนอกห้อง โดยถือตะเกียงออกไปด้วยหนึ่งดวง ความไม่รู้ทำให้หญิงสาวพาลคิดถึงเรื่องไม่ดีไปต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะเรื่องของรังสิมาที่เข้ามาเอาหนังสือที่บ้านในตอนเย็น เธอคิดว่าพี่สาวต่างมารดาคนนี้ออกจะมีนิสัยแปลกประหลาดเสียหน่อย เพราะไม่รู้ว่าภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ และเธอก็ไม่ค่อยมีความทรงจำดี ๆ กับพี่สาวคนนี้เท่าไรนัก ถึงแม้ปลายมาศจะบอกว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยมีพิษมีภัยกับพวกเธอสองพี่น้องก็ตาม

ไม่มีพิษมีภัย…ไม่ว่าอย่างไรสิริกัญญาก็นึกภาพตามคำพูดของพี่ชายไม่ได้ ก็รังสิมาน่ะชอบทำให้สองพี่น้องเดือดร้อนจากการกลั่นแกล้งของพี่น้องคนอื่นออกบ่อย ถึงจะไม่ได้ลงมือกระทำด้วยตัวเอง แต่ก็มีส่วนรู้เห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วมันจะทำให้เธอไม่ระวังได้อย่างไร

สิริกัญญาแขวนตะเกียงไว้บนกำแพงก่อนยื่นหน้าออกไปดูหนึ่งกล้าที่ยืนจังก้าอยู่หน้าบ้าน ทีท่าของมันเตรียมพร้อมจะเข้าโจมตีใส่อะไรสักอย่าง ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เธอไม่สบายใจจนถึงเดี๋ยวนี้ และอยากรู้ให้ได้ว่าภัยที่กำลังจะกล้ำกรายเข้ามาคืออะไร

แล้วเสียงหนูที่กรีดร้องอย่างโหยหวนทรมานก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ จนคนที่เผลอคิดอะไรเพลินสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ หญิงสาวเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างตั้งใจ เสียงนั้นลอยมาจากเรือนทางด้านขวา ซึ่งเป็นอาณาเขตของเธอเอง พร้อมกันนั้นเจ้าหนึ่งกล้าก็เห่ากรรโชกขึ้น คล้ายกับจับได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างที่อยู่ในบ้าน เธอเดินไปปลดล็อคประตูหน้าบ้านไว้ เผื่อยามฉุกเฉินจะสามารถเรียกสัตว์เลี้ยงคู่ใจให้เข้ามาได้ แล้วเธอก็รีบหาอาวุธใกล้ตัวที่สุด ซึ่งสิ่งที่คว้ามาได้คือไม้ถักนิตติ้งอีกชุดที่เอามาทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่นรวม

หนู…ไม่น่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่จะมาอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ และเสียงร้องของมันที่เกิดขึ้นยาวนานก่อนจางหายไปก็บอกให้รู้ว่าเกิดบางอย่างขึ้นกับมัน ซึ่งไม่น่าใช่เรื่องดีเท่าไรนัก ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปในอาณาเขตของตัวเองด้วยฝีเท้าเงียบกริบ สายตากวาดมองหาสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นทันที

มันคืออะไร ภัยที่จะคุกคามเธอ…สิริกัญญายกมือขึ้นกดหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจที่เต้นรัวเร็วขึ้นจนระงับไว้ไม่อยู่ สองมือรื้นชื้นไปด้วยเหงื่อที่ผุดขึ้นมาด้วยอาการตื่นเต้น เธอกำลังจะเป็นบ้า เมื่อไม่รู้ว่าภัยนั้นคืออะไร

แต่สิริกัญญาก็ไม่ต้องสงสัยนานนัก เมื่อเธอได้ยินเสียงขู่ฟ่อดังขึ้นมาแผ่วเบา พร้อมกับร่างสีแดงอย่างกับสีเลือดที่ยกตัวขึ้นจนเห็นว่ามันคืออะไร

ใจของสิริกัญญาตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม มือแทบปล่อยไม้ถักนิตติ้งให้ร่วงลงสู่พื้น หลังจากได้เห็นภัยที่หวาดระแวงอยู่ตรงหน้า มันคืออสรพิษสีแดงที่มีหัวแหลมเหมือนจิ้งจก มันกำลังยกตัวส่ายหัวร่อนไปมา และอยู่ห่างจากร่างโปร่งบางเพียงสามฟุต ซึ่งถือว่าใกล้มากจนน่าใจหายทีเดียว และทีท่าของมันก็เหมือนกับกำลังคลุ้มคลั่งคล้ายถูกกระตุ้นหรือถูกยั่วให้โกรธ

หญิงสาวหายใจไม่ทั่วท้องกับมัจจุราชสีแดงที่อยู่ตรงหน้า เธอไม่กล้าเปล่งเสียงเรียกหนึ่งกล้าออกมา เพราะกลัวว่าอสรพิษตัวนี้จะพุ่งเข้ามาฉกกัดเสียก่อน และถึงไม่ตะโกน มันก็พุ่งเข้าหาเธอเสียแล้ว

สิริกัญญาขยับตัวหนีตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด และเจ้าอสรพิษก็ไม่ใจดีให้เธอได้ตั้งตัวนานนัก หลังจากมันพลาดเป้าก็เอี้ยวลำตัวที่ทั้งหนาและยาวพุ่งเข้าพันท่อนแขนเรียวบางตามนิสัยของนักล่าที่ใช้ท้องเดิน หญิงสาวกรีดร้องอย่างตกใจ แล้วสะบัดแขนที่ยังไม่ถูกงูสีแดงพันรัดจนแน่นให้มันหลุดออกไปเต็มแรง แล้วร่างสีแดงก็ลอยหวืดไปชนเข้ากับผนังดังปังใหญ่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำให้มันเพิ่มความดุร้ายมากขึ้น

สัมผัสเลียบลื่นของเจ้าตัวร้อยที่พันอยู่รอบแขน ทำให้สิริกัญญาขนลุกชัน หากให้เผชิญหน้ากับสิ่งอื่นเธอคงพอสู้กับมันได้ แต่พอเจองูทีไรเธอมักจะอ่อนปวกเปียกจนไม่มีแรงทุกที หญิงสาวขบริมฝีปากที่สั่นระริกแน่น พลางมองสัตว์ร้ายที่ส่งเสียงขู่ฟ่อ และมองตรงมาทางเธออย่างมาดร้ายด้วยแข้งขาสั่นเทา

ร่างสีแดงพุ่งเข้าหาหญิงสาวอีกครั้ง ซึ่งร่างโปร่งบางก็เผ่นหนีอย่างไม่รอช้าเช่นกัน เธอกระโดดขึ้นเก้าอี้ แล้วกระโจนขึ้นบนโต๊ะ กวาดข้าวของใส่อสรพิษเท่าที่มือจะคว้าอะไรไล่ได้ แต่มันก็ยังไม่เลิกการไล่ล่า แม้จะโดนหนังสือที่หนาและหนักเขวี้ยงใส่ จนกระทั่งไม่มีของบนโต๊ะให้สิริกัญญาได้ขว้างใส่อีก มันจึงพุ่งเข้าหาหญิงสาวที่ผงะถอยอย่างตกใจ จนเสียหลักตกลงจากโต๊ะดังโครมใหญ่พร้อมกับเจ้างูร้ายที่ตามราวีไม่สิ้นสุด

สิริกัญญาหลับตาแน่น ไม่อยากรับรู้นาทีสุดท้ายของชีวิตตัวเอง จนกระทั่งมีท่อนแขนแข็งแรงของใครคนหนึ่งเข้ามาประคองเธอไว้ในอ้อมกอด เธอจึงลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้าเพื่อดูว่าเจ้าของวงแขนคู่นี้คือใคร และภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าก็ทำให้เธอเบิกตากว้างขึ้นอย่างคาดไม่ถึง

“ราเชน ปาเยนทร์”

“เจ้าโดนมันกัดตรงไหนหรือเปล่า สิริกัญญา” น้ำเสียงของราเชนแฝงแววห่วงใยไว้ พลางลูบไล้มือไปตามใบหน้าชื้นเหงื่อแผ่วเบา

คำพูดจุกตันอยู่ในลำคอจนหญิงสาวพูดไม่ออก แวบแรกเธอคิดว่าเจ้าของวงแขนนี้คือปลายมาศ แต่มันกลับกลายเป็นเจ้าปาเยนทร์ที่ไม่สมควรมาอยู่ที่นี่

“สิริกัญญา”

เสียงของชายหนุ่มปลุกสติเจ้าของชื่อให้กลับคืนมา หญิงสาวกวาดสายตามองหาอสรพิษแดงที่เกือบทำลายชีวิตเธอ มือเรียวเผลอกอดท่อนแขนแข็งแรงของราเชนไว้แน่น หลังจากที่สายตาเหลือบเห็นศัตรูคู่อาฆาตบิดตัวพันรัดมีดสั้นที่ปักตัวของมันตรึงกับพื้นอย่างทรมาน และแน่นิ่งไปที่สุด เธอมองมันอย่างระแวดระวัง ด้วยกลัวว่ามันจะดิ้นหลุดจากมีดเล่มนั้น แล้วพุ่งเข้าทำร้ายเธออีก แต่เมื่อได้เห็นว่ามันไม่ไหวติงแล้ว จึงหันมาสนใจเจ้าของอ้อมแขนที่ยังกอดเธอไว้ไม่ยอมปล่อย

“ท่านเข้ามาที่นี่ได้ยังไง” หญิงสาวพูดพลางดันตัวเองออกจากอ้อมแขนแข็งแรง หลังจากรวบรวมขวัญกลับมาได้ครบ

“ประตูหน้าบ้านเจ้าเปิดอ้าต้อนรับข้าให้เข้ามานี่” ราเชนตอบกลับด้วยน้ำเสียงขบขัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาจะขำไม่ออก หลังจากเข้ามาแล้วพบว่าหญิงสาวกำลังจะถูกงูกัดเข้าพอดี

จะเป็นเพราะเหตุผลกลใดก็ไม่อาจทราบได้ ที่ทำให้ราเชนนึกอยากเห็นหน้าสิริกัญญาขึ้นมาแบบปุบปับ เขาเลยลักลอบเข้าบ้านของท่านจินดามาตามใจปรารถนา และก็ได้พบกับสิ่งผิดปกติ นั่นคือเสียงเห่าหอนของสุนัขเฝ้ายามที่ส่งต่อกันมาเป็นทอด ชายหนุ่มรีบเร่งมายังบ้านพักของหญิงสาวที่เคยลักลอบมาบ่อยครั้งกับเจ้าชายชัยนเรนทร์ ซึ่งบุคคลที่พวกเขามาหาในตอนนั้นคือปลายมาศ พี่ชายของร่างโปร่งบางที่นั่งหน้าซีดปากสั่นอยู่ตรงหน้านี่เอง

ราเชนถอนหายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันช่างโชคดีเหลือเกินที่เขาช่วยเหลือสิริกัญญาได้ทัน แต่อดนึกภาพไม่ดีขึ้นมาเมื่อคิดว่าหากตัวเองไม่มาหาเธอแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้านี่

“ข้าเปิดให้หนึ่งกล้าเข้ามา” หญิงสาวตอบเสียงขุ่น พลางจ้องคนที่บุกรุกเข้าบ้านเธอด้วยสายตาไม่พอใจ

“มันเห่าอยู่นอกบ้าน ไม่ยอมเข้ามานี่ แล้วถ้าข้าไม่เข้ามาแทน ใครจะช่วยคุณหนูจากงูตัวนั้น” ราเชนพูดพลางยื่นมือหวังจะช่วยร่างโปร่งบางที่ยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างลำบาก แต่ดวงตาสำน้เงินที่ตวัดมองมาคล้ายเป็นเชิงเตือนว่าอย่าแตะต้องตัวเธอ ชายหนุ่มจึงต้องมองดูอยู่เฉย ๆ พร้อมกับอารมณ์บางอย่างที่คุกรุ่นขึ้นมา

สิริกัญญาหันกลับไปประจันหน้ากับราเชนที่เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาแต่งกายแปลกไปจากเดิม ชุดของเขาเป็นแบบรัดกุม และมีสีกลมกลืนไปกับความมืด ตรงลำคอมีผ้าสีเดียวกันพันทบอย่างหลวม ซึ่งเดาว่าก่อนหน้านี้เขาคงใช้เป็นเครื่องพรางหน้าไม่ให้ใครเห็น หญิงสาวสังเกตคนตรงหน้าอยู่ชั่วอึดใจ แล้วส่งยิ้มตามมารยาทออกมา

“ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอบคุณท่านที่เข้ามาช่วยเหลือ แต่เรื่องที่ท่านทำตัวเป็นขโมย แล้วลักลอบเข้าบ้านคนอื่นมาก็เป็นคนละเรื่องนะคะ”

ดวงตาสีดำราวถ่านวาววับขึ้นมาฉับพลัน ริมฝีปากสวยดั่งสตรีเผยอยิ้มขึ้นเล็กน้อยกับวาจาโต้ตอบของหญิงสาวตรงหน้า นอกจากมิรันตีแล้ว ไม่ค่อยมีหญิงสาวคนไหนชอบต่อปากต่อคำกับเจ้าปาเยนทร์นัก แต่จะว่าไปแล้วเขาไม่ค่อยเปิดโอกาสให้พวกเธอทำมากกว่า

และกับหญิงสาวคนนี้ ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะทำเหมือนกับสตรีคนใดด้วย

“แล้วคุณหนูไม่อยากรู้เหรอว่าข้าสักลอบเข้ามาบ้านท่านจินดาทำไม” ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะเล็กน้อย พลางยื่นหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายที่ยังสบตานิ่ง ไม่สะทกสะท้านต่อดวงตาอันคมกริบของเจ้าปาเยนทร์ นิ้วเรียวแกร่งไล้ไปตามแนวคางมน ก่อนคว้าจับข้อมือเรียวบางที่คิดจะปัดมือจาบจ้วงนี้ไป

“ข้าไม่ใช่เจ้าปาเยนทร์นี่คะ จะได้รู้ว่าท่านลักลอบเข้ามาในนี้ทำไม” หญิงสาวแค่นยิ้มออกมา พลางดึงมือของตัวเองให้หลุดจากการจับกุม แต่ราเชนยังยึดมือเธอเอาไว้แน่น

“กรุณาหลงตัวเองบ้างสักนิดเถอะนะคุณหนู จะได้ระวังภัยที่มาจากเจ้าปาเยนทร์คนนี้ขึ้นมาบ้าง”

“อ๊ะ!?”

สิริกัญญาอุทานออกมาแผ่วเบา เมื่อถูกฉุดให้เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงอีกครั้ง พร้อมกับคางมนที่ถูกเชิดขึ้นให้รับริมฝีปากเรียวบางที่ปิดทับลงมา หญิงสาวดิ้นขลุกขลักเพื่อให้หลุดจากพันธนาการอันน่าชัง แต่ราเชนกลับกระชับกอดร่างโปร่งบางในอ้อมแขนจนเรือนกายแนบชิดสนิทแน่นอย่างแยกไม่ออก

มือเรียวบางไล่ทุบตั้งแต่บ่ากว้างไปจนถึงท่อนแขน แต่ราเชนก็ไม่มีทีท่าคลายวงแขน นอกจากจะเพิ่มแรงกอดรัดขึ้นจนหญิงสาวหายใจแทบไม่ออก และในสติที่เริ่มกระเจิงหาย ความเจ็บแปลบบนริมฝีปากล่างก็ทำให้สติกลับคืนมา

เลือดที่ให้รสชาติเหมือนกับสนิทเหล็กล่วงผ่านลำคอไปเล็กน้อย เพราะส่วนที่เหลือถูกซึมซับด้วยริมฝีปากของราเชนที่พรมจูบบนรอยแผลนั้นอย่างไม่เบื่อ และมันก็ยิ่งทำให้ริมฝีปากของเขาแดงยิ่งกว่ากลีบกุหลาบ

ดวงตาสีน้ำเงินกะพริบปริบไปมาด้วยความงงงัน ลืมสิ้นเรื่องการดิ้นรนขัดขืนจากวงแขนที่กอดรัดจนแทบขาดอากาศหายใจ แล้วเสียงหัวเราะของราเชนก็ทำให้สิริกัญญาได้สติกลับมาเหมือนเดิม หญิงสาวผลักคนตัวสูงออกไป แต่กำลังของเธอก็ไม่อาจต้านคนที่มีเรี่ยวแรงมากกว่าได้

“ข้ามาคืนของที่คุณหนูฝากไว้ให้” ชายหนุ่มก้มหน้าลงใกล้ พลางกระซิบแผ่ว ดวงตาคมวาวที่จ้องตรงมากรีดลงบนใบหน้าของหญิงสาวจนเจ็บและชา

“คราวนี้เราก็มีรอยแผลที่เดียวกันแล้วนะ”

สิริกัญญาหน้าชาด้วยความโกรธ และก่อนที่เธอจะได้ประทุบร้ายเจ้าของวงแขนแกร่ง ราเชนก็ผลักเธอออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัว จนร่างโปร่งบางเซล้มลงไปจับกบกับพื้น เรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มที่ดังขึ้นอย่างไม่เกรงว่าจะมีคนเข้ามาได้ยิน หญิงสาวขบฟันกรอด ตวัดสายตาขุ่นเคืองใส่โดยที่ตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะขาเธอดันพลิกตั้งแต่หนีงูจนตกโต๊ะ ส่วนที่ลุกขึ้นยืนได้เมื่อครู่ก็มาจากทิฐิเท่านั้น

“อย่าทำสายตาแบบนั้นคุณหนู เพราะมันยิ่งทำให้ข้าอยากแกล้งมากขึ้นนะ”

คนถูกยั่วให้โมโหพยายามระงับอารมณ์ให้สงบราบเรียบดังเดิม ขืนเธอวิ่งเต้นไปตามแรงยั่วยุของราเชน เธอคงอกแตกตายก่อนเป็นแน่ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีที่สงบขึ้น

“ท่านมาด้วยเรื่องแค่นี้ใช่ไหมคะ”

ราเชนเลิกคิ้วขึ้นเมื่อหญิงสาวตรงหน้าระงับอารมณ์ได้ไวเกินคาด ริมฝีปากเรียวจุดรอยยิ้มขึ้นมาด้วยความพอใจ และนึกเสียดายที่แหย่สาวน้อยตรงหน้าไม่ขึ้น “เจ้าถามทำไม”

“ถ้าหมดธุระแล้วก็ขอเชิญกลับเถอะค่ะ ข้าได้แผลสมใจท่านแล้ว”

สมใจงั้นหรือ? คนฟังกลั้วหัวเราะกับประโยคที่ได้ฟัง ตอนแรกเขาไม่ได้คิดเรื่องรอยแผลบนริมฝีปากเสียด้วยซ้ำ แต่พอได้สัมผัสตัวเธอ สัญชาตญาณฝ่ายดิบก็พลุ่งพล่านขึ้นมาจนแทบระงับไว้ไม่อยู่ เขาอยากทะนุถนอมและอยากทำลายหญิงสาวคนนี้ไปในคราวเดียวกัน

ชายหนุ่มโคลงศีรษะไปมา พลางเดินไปยังจุดที่งูสีแดงถูกปักตรึงด้วยมีดสั้นไว้กับพื้น ก่อนก้มลงดึงมีดของตัวเองออกมาจากซากร่างไร้ชีวิต แล้วใช้ผ้าคาดเอวเช็ดคราบเลือดก่อนเก็บเข้าฝักตามเดิม “เจ้าจะจัดการยังไงกับงูนี่ ข้าไม่คิดว่ามันจะบังเอิญเข้ามาอยู่ในห้องเจ้าได้หรอกนะ”

คำถามของราเชนทำให้สิริกัญญานึกถึงรังสิมาก่อนเป็นอันดับแรก แต่พี่สาวต่างมารดาคนนั้นกลับรอดพ้นข้อกล่าวหาไป เพราะเธออยู่กับเจ้าของบ้านตลอดเวลาจนกระทั่งลากลับ ไม่มีช่องว่างหรือช่วงโอกาสเหมาะในการซุกซ่อนอสรพิษคลั่งเลยสักนิดเดียว ดังนั้นผู้ต้องสงสัยจึงเหลือสาวใช้นามจิตตีอยู่เพียงคนเดียว

ท่าทางผิดปกติของหนึ่งกล้าในตอนเย็นเป็นเหมือนตัวเฉลยว่าเหตุใดมันถึงทำท่าเป็นศัตรูกับจิตตี สัญชาตญาณอันฉับไวของมันได้สำเหนียกถึงสิ่งแปลกปลอมในตัวจิตตีนั่นเอง

แต่ทำไมสาวใช้คนนั้นถึงต้องเอางูมาปล่อยเพื่อทำร้ายสิริกัญญาด้วยล่ะ?

เหตุผลของจิตตีมีเพียงข้อเดียว คือทำตามคำสั่งของใครบางคน และนั่นทำให้สิริกัญญาต้องครางออกมาแผ่วเบา เมื่อรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังสาวใช้คนนั้น

แสงสุรีย์!

ไม่หรอก…ถึงแสงสุรีย์จะนิยมชมชอบงูขนาดสร้างห้องหนึ่งขึ้นมา เพื่อเก็บสะสมพวกมันไว้เกือบทุกสายพันธุ์ แต่แม่เลี้ยงของเธอไม่มีทางคิดแผนการที่จะให้คนอื่นชี้ตัวมาถึงได้หรอก ดังนั้นตัวเลือกที่เหลืออยู่ก็คือบรรดาลูกชายลูกสาวของแสงสุรีย์นั่นเอง

แล้วคราวนี้สิริกัญญาก็เดาได้ว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังจิตตี หญิงสาวกัดฟันกรอด พลางจ้องตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอเกือบตายเขม็ง นับตั้งแต่เขาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเธอ ชีวิตที่อุตส่าห์หลบเลี่ยงจากการกลั่นแกล้งของเหล่าพี่น้องในเรือนใหญ่มาได้ตลอดหลายปีก็มีอันวุ่นวาย

“ข้าคงเอาไปคืนเจ้าของ”

“เจ้าของงูคงไม่คิดให้เจ้าคืนเฉย ๆ หรอก” ราเชนกระตุกยิ้มกับคำตอบไร้เดียงสา พลางใช้เท้าเขี่ยร่างไร้วิญญาณบนพื้นไปมา “งูตัวนี้มีถิ่นอาศัยอยู่ในทะเลทรายเท่านั้น และรัฐเรามีกฎหมายห้ามนำเข้าสัตว์มีพิษทุกประเภท ส่วนโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนนั้นหนักพอสมควร รู้ไว้ก็ดีนะสิริกัญญา”

ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยกับข้อควรรู้ของเจ้าปาเยนทร์ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มอุตส่าห์เน้นเสียงย้ำให้เธอเข้าใจถึงอะไรบางอย่าง กฎหมายของปามะห์ถือว่าศักดิ์สิทธิ์เลยทีเดียว หากได้รับโทษใดก็ต้องถูกลงทัณฑ์ตามโทษนั้น โดยไม่มีการแบ่งแยกฐานันดร ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครอยากลองดีกับกฎหมายของปามะห์เท่าไร

“เป็นความรู้ใหม่สำหรับข้าเลยทีเดียว”

ราเชนกลั้นยิ้มไว้ไม่ให้หลุดเสียงหัวเราะออกมา เขาเห็นดวงตาของสิริกัญญาวาววาบขึ้นมาราวกับนึกอะไรออก แต่เขาเดาว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนักหรอก ดูจากแววตาก็รู้แล้วว่าเธอคงเอาคืนด้วยวิธีที่อีกฝ่ายไม่ชอบ และเขาก็อยากเห็นเหตุการณ์ที่ว่านี้เหลือเกิน

เอาเถอะ…ไว้พรุ่งนี้เขาค่อยถามก็ได้ว่าสาวน้อยคนนี้เล่นซนอะไรบ้าง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ติณยืนกระสับกระส่ายอยู่หน้าโรงครัว สายตาสอดส่ายหาหญิงสาวคนหนึ่งที่จนป่านนี้ยังไม่มาให้เห็น เขายกมือขึ้นบีบไปมาด้วยความว้าวุ่นใจ เมื่อนึกถึงตอนที่สิริกัญญามาดักรอเขาอยู่หน้าโรงม้า พร้อมกับรอยยิ้มหวานที่ให้ความรู้สึกประดุจหิมะ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวของเจ้านาย แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนักหรอก

“มาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าโรงครัวทำไมเจ้าติณ ไม่เข้าไปข้างในล่ะ”

คนถูกทักสะดุ้งโหยงกับแรงตบที่ทำเอาไหล่สะเทือน ชายหนุ่มหันไปมองหัวหน้าแม่ครัวที่ส่งยิ้มกว้างมาให้ด้วยใบหน้าเหยเก จนคนที่เข้ามาทักเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจกับอาการของคนตรงหน้า แต่ไม่นานเธอก็เดาได้ว่าต้องมีเรื่องเกี่ยวกับเจ้านายในเรือนหลังอีกแน่ เพราะเธอได้ยินมาว่าเมื่อวานปลายมาศไม่กลับบ้าน ด้วยสาเหตุที่ทุกคนในบ้านนี้รู้กันดี

“เกี่ยวอะไรกับท่านปลายมาศหรือ เจ้าติณ”

ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอกที่หัวหน้าแม่ครัวเข้าใจเขา “ไม่เกี่ยวกับท่านปลายมาศหรอกป้า เกี่ยวกับท่านกัญญาต่างหาก ท่านให้ข้ามาพาจิตตีไปหา ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า เมื่อวานข้าได้ยินเสียงพวกหนึ่งกล้าเห่าตลอดคืนเลย”

“จิตตีเหรอ!?” หัวหน้าแม่ครัวย้อนถามเสียงสูง พลางทำหน้าแปลกจนน่าสงสัย

“มีอะไรเหรอป้า”

“นังจิตตีมันโดนไล่ไปแล้ว”

“หา!?” ติณร้องเสียงหลง แล้วทำหน้าแหย เขาจะเอาเรื่องนี้ไปบอกเจ้านายสีน้ำเงินคนนั้นอย่างไรดี ตอนนี้อีกฝ่ายมีบรรยากาศน่าหวาดหวั่นไม่น่าเข้าใกล้อยู่ด้วย

“ได้ยินว่าเมื่อวานไปทำอะไรบางอย่างให้ท่านอรัญญาไม่พอใจน่ะ”

หัวหน้าแม่ครัวกลืนน้ำลายลงคอเมื่อนึกถึงเรื่องเล่าของเหล่าสาวใช้ที่ได้ยินมาเมื่อวาน จะว่าไปแล้วก็ไม่เชิงว่าจะถูกไล่ไปนักหรอก แต่ผู้หญิงคนนั้นถูกบังคับพาไปซ่องนางโลมมากกว่า ชะตาชีวิตของเหล่าสาวใช้ของอรัญญามักจบแตกต่างกันไป หากทำให้นายสาวไม่พอใจ บ้างก็ถูกทรมาน หรือถูกพาไปเป็นนางคณิกาอย่างรายของจิตตี

“ตาย…ตาย…แล้วข้าจะไปบอกท่านกัญญาว่ายังไงดีล่ะเนี่ย” ชายหนุ่มขยี้ผมไปมาจนยุ่ง

“ก็บอกไปตามนั้นนั่นแหละ ท่านกัญญาไม่ไร้เหตุผลจนไม่ยอมฟังอะไรหรอก”

คำปลอบของหัวหน้าแม่ครัวพอทำให้ติณใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่เธอคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เจ้านายในเรือนหลังอยู่ในสภาพที่ไม่น่าเข้าใกล้มากเพียงไร “ถ้าอย่างนั้นป้าไปกับข้าแล้วกัน บอกท่านกัญญาเหมือนกับที่บอกข้านะ” ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า เขาลากหัวหน้าแม่ครัวที่ร้องโวยวายลั่นไปตลอดทางเดินที่ทอดตรงสู่บ้านจันทร์กระจ่าง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“ท่านกัญญาขอรับ”

เสียงเรียกของติณปลุกสติของสิริกัญญาที่ล่องลอยไปไกลให้กลับคืนมาดังเดิม หญิงสาวกะพริบตาปริบ เพื่อไล่ความง่วงงุนที่รุมเร้า ก่อนหันไปมองหัวหน้าแม่ครัวที่ถูกคนสนิทของพี่ชายลากมาด้วยด้วยความแปลกใจ ริมฝีปากเรียวบางคลี่ยิ้มเล็กน้อย แต่ก็เรียกอาการขนลุกชันจากผู้มองได้เป็นอย่างดี

“เราบอกให้เรียกจิตตีมาไม่ใช่เหรอ”

ติณรีบสะกิดหัวหน้าแม่ครัวที่ทำหน้าเลิ่กลั่กกับสายลมสีน้ำเงินที่พัดแผ่วอยู่รอบห้อง เธอรู้แล้วว่าทำไมหนุ่มรุ่นลูกไม่ยอมมาคนเดียว “จิตตี…จิตตีโดนไล่ออกไปแล้วค่ะ”

“โดนไล่? ใคร?” คำถามสองข้อที่ตามมาแฝงความแปลกใจและขุ่นมัวไปพร้อมกัน

“ท่านอรัญญาเจ้าค่ะ เมื่อวานนางทำบางอย่างให้คุณหนูไม่พอใจ”

“อ้อ! ท่านพี่อรัญญาหรอกรึ” สิริกัญญาครางรับด้วยท่าทีสงบ เธอคาดคิดไว้แล้วว่าต้นเหตุของความเดือดร้อนเมื่อคืนต้องมาจากลูกสาวคนใดคนหนึ่งของแสงสุรีย์ และอีกฝ่ายก็ร้อนตัวให้เธอจับผิดจนได้

“แล้วจิตตีถูกไล่ให้ไปไหนล่ะ”

คำถามของสิริกัญญาทำให้หัวหน้าแม่ครัวกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ก่อนตอบออกไปเสียงแหบ “หอนางโลมแห่งใดแห่งหนึ่งในเขตคีรีบันเจ้าค่ะ”

ดวงตาสีน้ำเงินทอแววอ่อนลง หลังจากได้ฟังคำตอบที่น่าเศร้า เธอรู้เห็นการกระทำนี้ของอรัญญามาโดยตลอด แต่ก็นิ่งเฉยไม่ยอมทำอะไร เพราะกลัวจะเดือดร้อนไปด้วย

“ท่านแม่เดือนฟ้าเคยสอนเรา…” หญิงสาวหลุดคำพึมพำออกมาแผ่วเบา พลางเบือนสายตาไปเบื้องนอก เมื่อระลึกถึงแม่บุญธรรมที่สอนสิ่งต่าง ๆ ให้เธอมากมาย “การเป็นเจ้านายคนไม่ได้เป็นโดยง่าย ถึงเกิดเป็นลูกเจ้านาย ก็ใช่ว่าจะเป็นเจ้านายได้”

เสียงของสิริกัญญากังวานขึ้นท่ามกลางความเงียบ และตรึงคนฟังไม่ให้ขยับไปไหน “เราไม่คิดจะเป็นเจ้านายใคร แต่เพราะเกิดเป็นลูกเจ้านายจึงต้องระลึกถึงคนมากมายที่อยู่ใต้ปกครอง ท่านพ่อเป็นคนที่เราเคารพเทิดทูน ท่านเป็นเจ้านายที่ดี และมันทำให้ข้าอยากเป็นให้ได้เหมือนท่านสักเศษเสี้ยวหนึ่ง เสียดายที่เราเป็นลูกเจ้านายที่เลว หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง ไม่เหลียวแลพวกเจ้าที่อาจเจอเรื่องเลวร้ายยิ่งกว่าพวกเรา”

รอยยิ้มที่เหมือนกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ทำให้หัวใจของคนฟังเต้นตูมตามขึ้นมา พวกเขาไม่โทษสิริกัญญา เพราะรู้ดีว่าเธอต้องผจญกับความโหดร้ายของแม่เลี้ยงและลูก ๆ มาตลอด เธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กและยังเยาว์เกินกว่าจะรับภาระของคนหลายร้อยชีวิตที่อยู่ในนี้ได้

“ถึงจะพูดไป เราก็ไม่มีกำลังอะไรช่วยเหลือพวกเจ้า ช่วยเหลือจิตตีไม่ได้ ทั้งที่นางไม่ผิดอะไร” หญิงสาวถอนหายใจเฮือก พลางหันกลับมาจ้องผู้อยู่ใต้ปกครองของท่านจินดาอีกครั้ง

“เราคิดว่าตัวเองช่างน่าสมเพช”

“ท่านกัญญา…” ติณครางเสียงแผ่ว เขารู้สึกไม่ดีเท่าไรเลยที่ได้ยินเจ้านายสีน้ำเงินพูดแบบนี้

“เอาเถอะ เราจะทำตามใจบ้างแล้ว จะได้ไม่ต้องรู้สึกสมเพชตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้เสียที”

ติณมองหัวหน้าแม่ครัวที่ทำหน้าเหวอไม่แพ้กัน คำพูดของสิริกัญญาเหมือนเป็นสัญญาณบอกเหตุถึงความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้ พวกเขาไม่รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะทำอะไรบ้าง แต่ก็อดห่วงไม่ได้ เธอมีอยู่แค่คนเดียวจะไปต่อกรกับแสงสุรีย์ที่มีอำนาจปกคลุมไปทั่วคฤหาสน์หลังนี้ได้อย่างไร มันจะยิ่งทำให้เธอถูกทรมานหนักกว่าเก่าสิไม่ว่า

“ท่านกัญญา…” ติณส่ายหน้าไม่ให้หญิงสาวทำอะไรเกินตัว ปลายมาศอุตส่าห์ปกป้องเธอให้พ้นจากความโหดร้ายของแม่เลี้ยง โดยเอาตัวเองเข้าแลก เขาไม่อยากให้การกระทำของเจ้านายกลายเป็นสิ่งสูญเปล่า

“เรารู้ว่าเจ้าเป็นห่วง” สิริกัญญาระบายยิ้มเล็กน้อย พลางยืดหลังตรงอย่างที่ไม่เคยทำในคฤหาสน์หลังนี้ ศักดิ์ศรีของเธอถูกเหยียบย่ำมาตลอด โดยเฉพาะเจ้าปาเยนทร์ที่กระทืบศักดิ์ศรีของเธอเสียจมดิน

“แต่ถ้าไม่ทำอะไรเสียบ้าง ก็เสียทีที่เกิดมาเป็นลูกขององคมนตรีแห่งปามะห์

“โธ่…ท่านกัญญา”

“หยุดส่งเสียงครวญครางเถอะติณ แล้วเข้าไปเอาของบางอย่างในห้องของเราให้หน่อย ทุกอย่างกองอยู่บนพื้นแล้ว” หญิงสาวตัดบทเสียงเรียบ แล้วใช้สายตาสั่งกับคนสนิทของพี่ชายที่ทำท่าอิดเอื้อนไม่อยากไป

“ติณ…” พอเรียกครั้งที่สอง คนสนิทของพี่ชายจึงยอมเข้าไปในอาณาเขตของเธอตามคำสั่ง แล้วหญิงสาวก็หันไปมองหัวหน้าแม่ครัวที่ทำอะไรไม่ถูก

“กลับไปทำงานของตัวเองต่อเถอะจ้ะ แล้วก็ขอบใจที่มาบอกเรื่องของจิตตีนะจ๊ะ” หญิงสาวพูดพลางเมินมองไปทางอื่น เพื่อไม่ให้หัวหน้าแม่ครัวได้เอ่ยถามอะไร หญิงสูงวัยค้อมตัวลงเล็กน้อย แล้วจากไปอย่างอ้อยอิ่ง ซึ่งเธอก็ทันได้เห็นหนุ่มรุ่นลูกทำหน้าเหยเกพร้อมกับอุ้มห่อผ้าบางอย่างออกมา

“เรียบร้อยแล้วสินะ ไปกันเถอะ ไปเยี่ยมแม่เลี้ยงของเรากัน”




พูดคุยช่วงท้าย
ตอนนี้เป็นหวัดงอมแงม(อีกรอบ) ขอโพสต์อย่างเดียว แล้วยกยอดไปคุยรอบหน้านะคะ

แหะ ๆ กลับไปนอนต่อแล้ว



Create Date : 28 ตุลาคม 2550
Last Update : 28 ตุลาคม 2550 15:55:48 น.
Counter : 493 Pageviews.

2 comments
  
OK Ka
โดย: jintana IP: 76.198.227.8 วันที่: 29 ตุลาคม 2550 เวลา:7:50:07 น.
  
สนุกดีคะชอบ
โดย: nnbn IP: 203.113.17.162 วันที่: 26 มกราคม 2551 เวลา:21:43:41 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog