พิษเสน่หา 8
๘ ข่าวสารจากต่างแดน

“ท่านราเชนขอรับ”

เสียงของคนสนิทปลุกสติของราเชนให้ตื่นขึ้นมา ชายหนุ่มขยับกายเล็กน้อยโดยยังไม่ลืมตาขึ้น จนกระทั่งรถม้าหยุดชะลอลง แล้วเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงปิดประตู หลังจากนั้นรถม้าที่เขานั่งอยู่ก็ออกตัววิ่งอีกครั้ง

“ออกมาได้แบบนี้ แสดงว่าหมอหลวงทำยาแก้พิษให้ปลายมาศได้แล้วสินะ”

“ข้าคิดว่าจะได้หมอหลวงคนใหม่แล้วเสียอีก ท่าทางแกจะหวงตำแหน่งน่าดู” สุรเสียงทุ้มเอ่ยกลับอย่างขบขัน และมันทำให้เจ้าชายนึกถึงคำบ่นของเจ้าหลวงที่กล่าวหาว่าพระองค์กลั่นแกล้งคนแก่

“แล้วเขาได้สติหรือยัง”

คำถามนี้ทำให้พระขนงของคนถูกถามขมวดเข้าหากัน ถึงเจ้าชายจะพอพระทัยที่หมอหลวงทำยาแก้พิษได้แล้ว แต่คนถูกพิษดันมาจับไข้เพราะพิษบาดแผล อาการเลยยังไม่ทุเลาลงแต่อย่างใด ซ้ำยังมีท่าทางทรมานจนน่าเป็นห่วง

“เขามีไข้ เลยยังไม่ได้สติ”

ราเชนลืมตาขึ้นมองเจ้าชายชัยนเรนทร์ที่นั่งกอดพระอุระ พลางทำพักตร์มุ่ยทุกครั้งที่อะไรก็ไม่เป็นไปตามใจคิด แล้วดวงเนตรสีน้ำตาลไหม้ก็ทอแวววาววาบขึ้นมา พร้อมกับโอษฐ์เรียวที่แย้มสรวลขึ้นอย่างมาดร้าย

“แต่ไม่ได้สติอย่างนั้นก็ดี พวกเราจะได้เล่นสนุกให้เต็มที่เสียหน่อย”

“จะเล่นอะไร” ราเชนเลิกคิ้วขึ้นคล้ายถาม ทั้งที่รู้ดีว่าการละเล่นอันแสนโปรดปรานของเจ้าชายชัยนเรนทร์นั้นคืออะไร

“เล่นเป็นขโมย”

คำตอบของเจ้าชายเรียกรอยยิ้มจากคู่หูที่รู้ว่าจะไม่พลาดการละเล่นชิ้นนี้ด้วยแน่ โดยเฉพาะเป้าหมายที่เดาได้ว่าพระองค์หมายมาดใครให้เป็นเหยื่อ ราเชนกลั้วหัวเราะอย่างสนุกที่จะได้เห็นหัวหน้ากองพันทหารราบพบกับความอับอายอีกครั้ง

“แผนการล่ะ”

เจ้าชายชัยนเรนทร์ทรงพระสรวลอย่างอารมณ์ดี พลางยื่นพักตร์เข้าไปใกล้พระสหาย แล้วกระซิบเสียงเบาราวกับว่าจะมีใครมาแอบฟัง “วันนี้วโรดมจะไปที่หอมวลบุปผา พร้อมด้วยพลพรรคของมัน แต่ที่น่าสนใจคือพวกมันพูดถึงเรื่องทาลางทูรจะรวบอำนาจกูราให้เป็นของตัวเอง ข้าอยากรู้รายละเอียดเรื่องนี้ด้วย เลยเท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”

คนฟังขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวความเป็นไปของกูราเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครทราบเท่าไรนัก ด้วยว่ารัฐนั้นเป็นรัฐกึ่งปิด คนที่ผ่านแดนนั้นเข้าไปโดยส่วนใหญ่มักเป็นพวกพ่อค้า หรือคนจรที่บางทีก็เป็นสายลับจากรัฐต่าง ๆ เข้าไปดูลาดเลาความเป็นไปของรัฐหลังไพรทึบ แล้วข่าวที่ได้กลับมาก็เป็นเพียงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนที่ดูสงบสุขขึ้นมาก หลังจากผ่านวิกฤตสงครามกลางเมืองเมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่มีเรื่องราวของเจ้าหลวงแห่งกูรา ที่ทรงกอบกู้บ้านเมืองมาจากเหล่าผู้คิดคดทรยศเลยสักเรื่องเดียว

“การรวบอำนาจกูราไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอกนะ”

“มันเกี่ยวพันถึงมเหสีของเจ้าหลวงแห่งทาลางทูร” ดวงเนตรสีน้ำตาลไหม้หรี่ลง เมื่อนึกถึงแผนการของทาลางทูรที่สามารถกุมจุดอ่อนของกูราไว้ได้

“สายเลือดงั้นเหรอ” ราเชนถามกลับอย่างรู้เท่าทันเช่นกัน

เจ้าชายพยักพักตร์ตอบรับ “กูราถือสายเลือดสำคัญกว่าสิ่งใด และเชื้อพระวงศ์ของกูราก็กระจัดกระจายไปจนตามรอยไม่ได้แล้ว ตอนช่วงทำสงครามแย่งชิงบัลลังก์กลับมาก็มีเจ้าหลวงองค์ปัจจุบันที่เป็นสายเลือดที่เหลืออยู่พระองค์เดียว จึงถูกเชิญให้สถาปนาตนขึ้นเป็นองค์เจ้าหลวง แต่ความจริงแล้วใจของทุกคนในขณะนั้นก็อยู่ที่พระองค์ทั้งหมด คนที่พลีใจพลีกายกอบกู้กูรากลับคืนมาจากพวกกบฎ”

ราเชนระบายยิ้มลงบนใบหน้าเล็กน้อย พลางโคลงศีรษะไปมา “ข้าคิดว่าเจ้าหลวงแห่งกูราเคร่งครัดในธรรมเนียมประเพณีของราชวงศ์มากไปหน่อย ทาลางทูรคงใช้จุดนี้บีบสินะ ช่างเจ้าเล่ห์จริง ๆ”

“ข้าคิดว่านิสัยอย่างเขาคงไม่ยอมให้ใครมาชุบมือเปิบได้ง่ายนักหรอก” เจ้าชายชัยนเรนทร์พึมพำกับองค์เอง แล้วสบเนตรกับพระสหายที่รู้ใจ “เจ้าคิดอย่างข้าไหมราเชน”

“ตามหาสายเลือดที่ใกล้ชิดยิ่งกว่า แต่มันจะง่ายอย่างนั้นเชียวหรือไง”

รอยแย้มสรวลจากเจ้าชายทำให้เจ้าของคำถามชะงัก แล้วหรี่ตามองเจ้าที่น่าจะอมพะนำเรื่องบางอย่างที่เขาไม่รู้ไว้ “เจ้าชัย ถ้าเป็นเพื่อนกันก็ไม่ควรปิดบังกันนะ”

น้อยครั้งนักที่ราเชนจะเรียกเจ้าชายชัยนเรนทร์ว่า ‘เจ้าชัย’ เพราะด้วยน้ำพระทัยที่มีต่อพระสหายสนิทเพียงคนเดียว เจ้าชายจึงกึ่งบังคับให้ราเชนปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะคนธรรมดาสามัญเช่นสมัยเรียน ไม่ว่าจะเป็นทั้งคำพูดหรือกิริยา

“ดูท่าข่าวทางข้าจะมาไวกว่า” เจ้าชายชัยนเรนทร์ส่งเสียงสรวลอย่างผู้ชนะ ก่อนแย้มข่าวที่มาไวกว่าให้คู่หูฟัง “ทั้งกูราและทาลางทูรกำลังแข่งกันตามหาสายเลือดใกล้ชิดที่สุด เจ้าคงจำได้ว่าอดีตองค์เจ้าหลวงฑิคัมพรทรงมีพระราชธิดาอีกองค์หนึ่งที่หนีรอดมาจากการกวาดล้างได้ ไม่ต้องพูดถึงฝ่ายมเหสีกับพระโอรสที่ถูกปลงพระชนม์ไปแล้วนะ เพราะข้าคิดว่าทั้งสองพระองค์ไม่สายเลือดของตัวเองไว้อีกแล้ว”

ราเชนพยักหน้ารับ พลางนึกถึงอดีตที่ทั้งเขาและเจ้าชายชัยนเรนทร์ชอบออกท่องเที่ยวไปทั่ว ในตอนนั้นพวกเขามีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวภายในของกูรามาก จึงได้สืบเสาะเรื่องราวพวกนี้ด้วยตนเอง จนเกือบถูกมือพิฆาตของทางฝ่ายกองทัพรัฐประหารจัดการเสียหลายครั้ง

กูรามีความเชื่อเกี่ยวกับสายเลือดของเทพเจ้า องค์เจ้าหลวงคือโอรสที่สวรรค์ประทานลงมาปกครองพื้นพิภพ เพื่อมอบความสงบสุขแก่ผู้คนบนผืนดิน และสายเลือดของโอรสสวรรค์ก็สืบทอดต่อลงมาจนถึงยุคสมัยที่เกิดรัฐประหาร โดยผู้นำรัฐประหารในครั้งนั้นคือพลเอกสิงหนาท

จอมพลคนนั้นได้ทำการล้มล้างระบอบกษัตริย์ที่ปกครองแบบสมมติเทพ ด้วยกองกำลังของตัวเองที่ซ่องสุมมานานหลายปี และเขาก็รู้ว่าถึงแม้จะยึดบัลลังก์ของกูรามา ก็ไม่อาจลบศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสายเลือดเทพเจ้าได้ เขาจึงทำการกวาดล้างสายเลือดนั้นให้สิ้นซาก เพื่อทำลายศรัทธาของประชาชน

สายเลือดสีน้ำเงิน!

"จะบอกว่าทรงหนีมาได้งั้นเหรอ"

"ใช่ หนีเข้ามาในปามะห์" คำตอบของเจ้าชายชัยนเรนทร์ทำให้ราเชนนึกถึงใครบางคนขึ้นมา

"สายข่าวของทั้งสองฝ่ายตามมาได้ว่าทรงหนีเข้ามาในปามะห์ แล้วหายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย แต่รู้ไหมว่าพระองค์ทรงเอาอะไรติดมาด้วย" เจ้าชายตั้งคำถามร้อยแปดขึ้นมา แต่ราเชนทำสายตาไม่ยอมเล่นด้วย พระองค์จึงถอนปัสสาสะออกมาแล้วยอมเอ่ยต่อ

"พระองค์ทรงเอาสมบัติอย่างหนึ่งที่เป็นศูนย์รวมศรัทธาของปวงชนมา ข้าไม่รู้หรอกนะว่าของชิ้นนั้นมีรูปลักษณ์เป็นอย่างไร แต่เห็นเขาว่ากันว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของผู้สืบทอดเชื้อสายโอรสสวรรค์"

"อ้อ! สองฝ่ายเลยรีบหาสัญลักษณ์เพื่อบอกว่าตัวเองคือผู้ถูกเลือกสินะ"

ราเชนพ่นลมหายใจดังพรืด และนึกถึงเรื่องวุ่นวายที่จะตามมาหลังจากนี้ ปามะห์คงจะมีสายลับของทาลางทูรกับกูรามาเพ่นพ่านมากมาย บางทีอาจรวมไปถึงกองทหารขนาดย่อมที่ไม่รู้ว่าจะมาในรูปแบบไหนบ้าง ถ้าเป็นอย่างนี้ปามะห์จะอยู่เฉยได้อย่างนั้นหรือ

"แล้วตาแก่ของเรารู้เรื่องนี้หรือยัง" ชายหนุ่มถามถึงเจ้าหลวงแห่งปามะห์ที่ตอนนี้ลดบทบาททางการเมืองการปกครองลงไปมาก หลังจากรู้ว่าทรงประชวรด้วยโรคมะเร็ง

"อาจจะ แต่เดี๋ยวก็ทรงหาทางรู้เองแหละ เรื่องของกูราท่านไม่ยอมพลาดหรอก"

เจ้าปาเยนทร์หัวเราะหึกับคำตอบของเจ้าชาย อย่าว่าแต่องค์เจ้าหลวงเลย เจ้าที่ประทับอยู่ตรงหน้าเขาก็มีพระนิสัยเฉกเดียวกัน และไม่ใช่แต่ทั้งสองพระองค์เท่านั้นที่สนใจเรื่องของกูรา แม้แต่เขาก็ถูกเสน่ห์ของความลึกลับนั้นตราตรึงเข้าให้เสียแล้ว

เสน่ห์ของพวกสีน้ำเงิน...

"ได้ข่าวมาตั้งมากขนาดนี้ แล้วจะไปเอาข่าวอะไรจากวโรดมอีก" ราเชนถามปนขำ เขาว่า 'เจ้าชัย' จะไปหาเรื่องอีกฝ่ายมากกว่าจะไปสืบข่าว

เจ้าชายชัยนเรนทร์ทำเสียงจิ๊จ๊ะ พลางแย้มสรวลกว้าง "ข้าอยากรู้ว่าวโรดมมันรู้อะไรนอกเหนือจากที่ข้ารู้บ้าง ถ้าได้ความมากก็อาจจะผ่อนปรนโทษให้เบาลงหน่อย ถ้าได้ความน้อยเห็นทีว่าจะปล่อยไว้ไม่ได้"

คนที่รู้นิสัยของเจ้าชายรักสนุกกลั้วหัวเราะอย่างขบขัน ต่อให้วโรดมพูดมากความหรือน้อยความ โทษที่เจ้าชายจะมอบให้ก็มีเพียงสถานเดียว ชายหนุ่มได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ลองไม่มีตัวห้ามอย่างปลายมาศมารั้ง ก็เดาได้ว่าฝ่ายนั้นคงคางเหลืองแน่นอน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


หลังจากวางแผนการจัดการวโรดมกับพวกพ้องเป็นที่เรียบร้อย เจ้าชายชัยนเรนทร์ก็ขอตัวไปจัดเตรียมสถานที่ทันที โดยปฏิเสธคำเชิญทานอาหารเย็นร่วมกับสมาชิกบ้านปาเยนทร์ ราเชนจึงต้องกลับบ้านไปคนเดียว พร้อมกับปัญหาใหม่ที่เจ้าชายเอามาให้

ทาลางทูรกับกูรา...

หากทั้งสองรัฐจับมือกันเห็นทีปามะห์จะลำบาก ชายหนุ่มรู้อยู่ว่าการที่ทาลางทูรปล่อยให้ปามะห์อยู่อย่างสงบสุขมาได้ถึงห้าสิบปีเต็ม ทั้งที่มีกองกำลังทางทหารมากกว่าหลายเท่านั้น เป็นเพราะพระอัจฉริยะภาพขององค์เจ้าหลวง

นอกจากการที่องค์เจ้าหลวงจะเป็นนักปกครองที่ดีเยี่ยมแล้ว ยังเป็นนักรบและนักวางแผนชั้นยอด ยิ่งมีเสนาธิการอย่างเจ้าปาเยนทร์คนก่อนคอยกลบช่องโหว่แผนป้องกันเมือง ทาลางทูรจึงไม่เคยตีรัฐปามะห์แตกได้เสียที ซ้ำยังเสียไพร่พลทหารไปมากมาย ทางฝ่ายนั้นจึงได้แต่คอยก่อกวนตามตะเข็บชายแดน ทำสงครามเย็นกับปามะห์มาตลอดห้าสิบปี

ตอนนี้ปามะห์สูญเสียเสนาธิการผู้ยิ่งยงไปแล้ว องค์เจ้าหลวงก็มาประชวรด้วยโรคร้ายที่รักษาไม่หาย ฝ่ายขุนนางเริ่มแบ่งฝักฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด ผลักดันเจ้านายของตัวเองเพื่อกุมอำนาจสูงสุด ซึ่งมันทำให้ราเชนรู้สึกหนักใจได้ทุกครั้งที่นึกถึง

การปกครองของปามะห์ไม่เหมือนกูราที่ถือสายเลือดเป็นสำคัญ แล้วก็ไม่เหมือนกับทาลางทูรที่ให้เจ้าชายรัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ต่อ การขึ้นเป็นเจ้าหลวงของปามะห์ได้นั้นถือที่อำนาจและความสามารถเป็นสำคัญ ถึงจะมีการแต่งตั้งลำดับเจ้าชายรัชทายาทขึ้น แต่มันก็ไม่มีความสำคัญอะไรมากมายนัก เพราะเจ้าหลวงองค์ปัจจุบันยังเป็นรัชทายาทลำดับที่หก และยังใช้กำลังขึ้นครองอำนาจเสียด้วย

มันจึงไม่แปลกหรอกหากเจ้าชายรัชทายาทของพระองค์จะกระทำตามบ้าง

และมันก็เป็นช่วงที่พอเหมาะพอเจาะเหลือเกินที่ทาลางทูรเริ่มเคลื่อนไหว แต่คราวนี้เป้าหมายไม่ได้พุ่งตรงมาที่ปามะห์เหมือนอดีต เป้าหมายในการยึดอำนาจของทาลางทูรอยู่ที่กูรา แล้วมีทีท่าว่าจะเป็นไปด้วยดี เมื่อมเหสีเอกของเจ้าหลวงแห่งทาลางทูรเป็นเชื้อพระวงศ์ของกูรา และมีสายเลือดชิดใกล้กับโอรสสวรรค์มากยิ่งกว่าเจ้าหลวงของกูรา

เรื่องของกูราทำให้ราเชนรู้สึกหนักใจไม่น้อย ทาลางทูรคงสืบรู้เช่นเดียวกับปามะห์ว่ารัฐลึกลับที่อยู่หลังม่านไพรทึบนั้นซุกซ่อนกองกำลังที่แข็งแกร่งไว้ แม้จะมีจำนวนพลที่เทียบเท่าไม่ได้กับรัฐทางเหนือ แต่กำลังทางทหารของกูราก็มีประสิทธิภาพเทียบเท่า หรืออาจมากกว่ากองกำลังทั้งหมดของแคว้นปัญจปุระเลยทีเดียว และถ้าสองรัฐรวมกำลังกัน ต่อให้ปามะห์มีเสนาธิการถึงสิบคนก็อาจรักษาเมืองไว้ไม่ได้

สัตย์ที่สาบานด้วยเลือดทำให้ราเชนไม่อาจนิ่งนอนใจได้ เมื่อปามะห์กำลังมีภัย ปาเยนทร์ก็ต้องออกมาเป็นโล่ห์กำบัง

รถม้าของเจ้าปาเยนทร์เริ่มชะลอความเร็วลงแล้วจอดนิ่งเป็นสัญญาณบอกว่าถึงที่หมาย ราเชนก้าวเท้าลงจากรถเมื่อคนสนิทเข้ามาเปิดประตูรถให้ โดยไม่ลืมประคับประคองห่อผ้าขนาดเท่าท่อนแขนของเขาลงมาอย่างทะนุถนอม ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้า เพื่อซึมซับบรรยากาศของปาเยนทร์ที่ห่างหายไปเกือบสามเดือน แล้วเขาก็แย้มยิ้มกว้าง เมื่อเห็นร่างคุ้นตาของใครคนหนึ่งวิ่งตรงมาหา

"ท่านพี่ราเชน!"

ร่างบอบบางของเด็กสาวคนหนึ่งกระโจนเข้ากอดคนตัวสูงแน่น พลางซุกไซ้หน้าไปมากับแผ่นอกกว้างด้วยความคิดถึง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองดวงตาพราวระยับของผู้เป็นพี่ชายด้วยสายตาแพรวพราวไม่แพ้กัน แต่แล้วเด็กสาวก็ผละจากร่างสูงด้วยท่าทางปั้นปึ่งเมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

"เป็นอะไรไป มิรันตี" ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นกับท่าทางที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของน้องสาว

"ฮึ!" เด็กสาวเชิดหน้าหันไปอีกทางหนึ่ง แล้วเหล่หางตาไปมองคนเจ้าเสน่ห์ที่ส่งยิ้มละมุนมาให้

"โกรธอะไรพี่เหรอ สาวน้อย"

"เฮอเฮอะ โกรธอะไรงั้นเหรอ" มิรันตีทำท่ายึกยักไปมา ซึ่งในสายตาของราเชนแล้วจัดว่าน่ารักน่ามองมากกว่าน่าเกลียด "กลับมาจากต่างแคว้นตั้งแต่สามวันที่แล้ว แทนที่จะกลับบ้าน แต่ดันไปหาแม่สาว ๆ พวกนั้น ท่านพี่คงลืมไปแล้วมั้งว่ามีบ้านอยู่ที่นี่"

"พี่จะลืมบ้านที่มีน้องสาวน่ารักอย่างเจ้าไปได้ยังไง" ราเชนยอน้องสาวเสียงหวาน

"หึ!"

"พี่มีของจากต่างแคว้นมาฝากด้วยนะ" เมื่อคำหวานใช้ไม่ได้ ชายหนุ่มจึงยกของฝากมาล่อ และคนชอบของฝากก็เหลือบแลมาอย่างไว้ท่า จนเขาต้องกลั้นหัวเราะไว้ก่อนที่จะโดนพาลโกรธเอา

มือเรียวแกร่งปลดห่อผ้าที่เฝ้าถนอมตั้งแต่ลงจากรถให้คนท่ามากได้ดู มันเป็นหินเซรามิคสีชมพูรูปม้าที่กำลังเยื้องย่างอยู่บนเกลียวคลื่น ลวดลายของมันสลักเสลาได้เหมือนของจริงทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่เต็มแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ หรือขนคอกับขนหางที่สะบัดพลิ้วราวกับกำลังต้องลม แล้วยังเกลียวคลื่นที่ม้วนตัวเข้าหาอาชาผยองก็คล้ายจะชักนำคนมองให้เข้าสู่โลกจินตนาการ

"งามจัง"

ราเชนหัวเราะขึ้นแผ่วเบา พลางยื่นรูปปั้นเซรามิคให้ร่างบอบบางรับไป คนที่มัวแต่ตะลึงงันไปกับความงามของหัตถศิลป์เผลอรับของชิ้นนั้นมา โดยหลงลืมความโกรธที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ชายหนุ่มยิ้มน้อยเมื่อเห็นน้องสาวถูกใจกับของฝาก แต่เขาก็หุบยิ้มทันทีที่ได้ยินคำเอ่ยเลื่อนลอยของร่างบอบบาง

"เจ้าอินคงชอบ"

"เจ้าอิน?"

มิรันตีชะงักกึกเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป เด็กสาวรีบปรับสีหน้าเป็นเคร่งขรึมตามเดิม แล้วเมินมองสายตาของพี่ชายที่ส่งคำถามมาอย่างข้องใจว่าคนที่น้องสาวพูดถึงคือใคร

"เจ้าอินคือใคร มิรันตี" ราเชนถามเสียงเรียบ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเจ้าของชื่อนี้ไม่ใช่ผู้หญิงแน่

"เพื่อน" เด็กสาวตวัดเสียงรัวเร็วคล้ายไม่อยากบอก

"เพื่อนที่ไหน ไปพบกันได้ยังไง"

"ท่านพี่จะถามไปทำไมเล่า" เสียงเล็กหวานเริ่มสูงปรี๊ดขึ้น เมื่อเห็นทีท่าว่าพี่ชายจะถามไม่เลิก

"พี่ถามก็เพราะอยากรู้ เพื่อนเจ้าคนนี้เป็นใคร ทำไมต้องปกปิดด้วย" ชายหนุ่มเริ่มร้อนรุ่ม เมื่อรู้ว่าน้องสาวที่ตัวเองคอยดูแลมาอย่างทะนุถนอมเริ่มคบหากับผู้ชาย

มิรันตีตีหน้ายุ่งใส่พี่ชายที่มีอายุห่างกันมากกว่าสิบปี พลางแยกเขี้ยวใส่ "อย่ามาเค้นถามเหมือนจับผิดข้านะ ทีท่านพี่ไปมีสัมพันธ์รักกับใครข้ายังไม่เคยถาม"

"คนละเรื่องแล้วนะ มิรันตี"

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


บทโต้เถียงของสองพี่น้องดังก้องไปตามระเบียงที่ทอดยาวสู่ห้องโถงด้านในสุดที่มีสตรีสวยสะคราญคนหนึ่งนั่งจิบชาอยู่ เธอชะงักมือที่ถือถ้วยชากระเบื้องเคลือบที่เพนท์ลายเถากุหลาบสีชมพูอ่อนเล็กน้อย ก่อนเบือนสายตาไปยังต้นเสียงที่มาก่อนตัว

"ราเชนกลับมาแล้วสินะ"

"ได้ครู่หนึ่งแล้วเจ้าค่ะ แต่ดูจากเสียงแล้วคงมาถึงที่นี่ช้าหน่อย"

เสียงหัวเราะคิกดังขึ้นแผ่วเบาจากอีกคนหนึ่งที่นั่งร่วมโต๊ะ สองสาวต่างวัยต่างฐานะหันไปมองเด็กหนุ่มที่สวมชุดเก่าซีดแต่ดูสะอาดสะอ้าน

"มีอะไรน่าขันนักหรือเจ้าอิน" สตรีที่มีอำนาจสูงสุดในคฤหาสน์ปาเยนทร์เอ่ยถามเสียงละมุน

ดวงตาสีอำพันที่หลุบลงเพื่อปิดรอยขบขันต่อบทสนทนาของสองพี่น้อง เหลือบขึ้นสบตากับสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้า พลางยิ้มพราย "เจ้าปาเยนทร์คงกลัวว่ากรรมที่เคยทำไว้กับหญิงสาวมากมายจะมาลงที่มิรันตี เขาเลยตั้งท่ากีดกันผู้ชายทุกคนที่เข้ามาเกาะแกะน้องสาวของเขา"

สองสาวที่ได้ฟังพากันหัวเราะกับคำตอบที่ได้รับ และอดเห็นพ้องด้วยไม่ได้ ทุกคนในคฤหาสน์หลังนี้ต่างรู้กันอยู่ว่าพฤติกรรมเกี่ยวกับผู้หญิงของราเชนเป็นอย่างไร

เจ้าอินลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เมื่อเสียงของสองพี่น้องดังเข้ามาใกล้ทุกขณะ ก่อนค้อมคำนับให้กับหญิงสูงวัยทั้งสองด้วยท่วงท่าสวยงามราวกับพวกลูกหลานขุนนางผู้ใหญ่ "ข้าอยู่ที่นี่คงไม่ดีเท่าไรนัก ต้องขอตัวลาก่อน"

"ไม่ลามิรันตีหน่อยหรือ เจ้าอิน" สรัสวดีเอ่ยถามอย่างเอื้อเอ็นดู เธอพอดูออกว่าลูกสาวมีใจปฏิพัทธ์ต่อเด็กหนุ่มตรงหน้า และเขาเองก็มีความรู้สึกไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก

"นางคงเข้าใจ" เด็กหนุ่มตอบด้วยถ้อยคำสั้น แล้วเดินจากไปทางระเบียงอีกด้านที่ต่อกับสวนกว้างของคฤหาสน์ ทิ้งให้หญิงทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าจะเห็นด้วยกับคำพูดนั้นดีหรือไม่ เพราะทุกคนก็รู้อยู่ว่าคุณหนูบ้านนี้เป็นอย่างไร

"ท่านแม่! นม! ท่านพี่ราเชนแกล้งข้า"

ลับร่างเจ้าอินไปไม่ทันไร สองพี่น้องที่ส่งเสียงดังก้องระเบียงจนถึงห้องพักผ่อนก็เข้ามา มิรันตีวิ่งตรงไปหาผู้เป็นแม่ โดยในมือตระกองกอดเซรามิครูปอาชาผยองไว้อย่างทะนุถนอม พลางบุ้ยใบ้ไปยังชายหนุ่มที่ตีหน้ามุ่ยตามหลังมา แต่เธอต้องชะงักเมื่อไม่เห็นอีกคนที่อยู่ในห้อง

"เจ้าอินไปไหนแล้วคะ"

"กลับไปแล้วจ้ะ" สรัสวดีตอบเสียงนุ่ม พลางปรายตามองลูกชายที่ตาลุกวาวเมื่อได้ยินชื่อของคนที่น้องสาวไม่ยอมตอบว่าเป็นใคร

"กลับไปแล้ว!" เด็กสาวร้องด้วยความผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายกลับไปโดยไม่ลา ก่อนตวัดสายตาขุ่นเคืองไปยังพี่ชายที่ตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งห้อง

"เพราะท่านพี่ราเชนทีเดียว"

"พูดให้ดีนะสาวน้อย พี่ไม่ได้ทำให้เจ้าอินของเจ้าหนีกลับไปเสียหน่อย"

"ก็เพราะท่านพี่นั่นแหละทำให้เจ้าอินรีบกลับ ข้ายังไม่ได้คุยอะไรกับเขาเลย"

"เจ้าอินมีธุระเลยรีบกลับจ้ะ" สรัสวดีช่วยไกล่เกลี่ยให้ลูกชายที่โดนน้องสาวฟาดงวงฟาดงาใส่ เธอรู้ดีว่ามิรันตีติดเด็กหนุ่มคนนั้นมากเพียงไร เพราะเขาถือได้ว่าเป็นเพื่อนคนแรกของคุณหนูบ้านปาเยนทร์เลยทีเดียว

มิรันตีทำหน้าอูมเมื่อมารดาไม่ช่วยเหลือเธอเช่นเคย เด็กสาวหันไปมองพี่ชายที่เลิกคิ้วขึ้น แล้วแยกเขี้ยวใส่คนตัวโต ก่อนวิ่งออกจากห้องไปโดยมีของฝากของอีกฝ่ายติดมือไปด้วย คนถูกพาลส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ พลางเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงข้ามมารดาที่เจ้าอินเคยนั่ง

"โดนตามใจจนเคยตัว" ชายหนุ่มบ่นพึมพำ แล้วก้มลงมองเบาะนั่งเมื่อรู้สึกว่านั่งทับอะไรบางอย่างไป

ราเชนหยิบป้ายทองแดงทรงห้าเหลี่ยมที่นั่งทับขึ้นมาดู ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งกับสิ่งที่ตัวเองเก็บได้ แล้วผูกปมที่หัวคิ้วแน่นขึ้นไปอีก เมื่อได้เห็นลายดันนูนรูปม้าทรงเครื่องยุทธภัณฑ์ครบครัน เขาถอนหายใจเฮือก และเดาได้แล้วว่าเจ้าอินที่น้องสาวกล่าวถึงคือใคร

"เดี๋ยวนี้ทุกคนหันมานิยมม้ากันแล้วหรือไงนะ"

สรัสวดียิ้มละมุน พลางพยักหน้าให้คนสนิทที่เป็นทั้งพี่เลี้ยงของตัวเอง และแม่นมของลูกชายกับลูกสาวให้ไปหยิบของสิ่งหนึ่งมา "ม้าคือสัญลักษณ์ของปามะห์ เช่นเดียวกับเต่าที่เป็นสัญลักษณ์ของกูรา" เธอพูดพลางรับสร้อยเงินเส้นหนึ่งมาจากคนสนิท มันสะท้อนกับแสงไฟ เผยให้เห็นสายดันนูนเหมือนกิ่งเถาวัลย์โยงใยไปตามสายสร้อยจนถึงจี้รูปเต่าขนาดหนึ่งฝ่ามือที่ทำมาจากโลหะเงินเช่นเดียวกัน

"สายสร้อยที่ขาดไปแม่หาช่างฝีมือดีมาซ่อมแซมให้เหมือนเดิมแล้ว แต่อาจไม่ดีเท่าของเก่าหรอกนะ"

ราเชนรับสร้อยห้อยจี้รูปเต่ามาจากมารดา แล้วถือไว้อย่างทะนุถนอม สรัสวดีมองลูกชายที่ทอดสายตาอ้อยอิ่งราวกับสร้อยเส้นนั้นเป็นของรัก เธอไม่รู้ว่าเขาไปเอาสร้อยเส้นนั้นมาจากไหน และตั้งแต่เมื่อไร ตอนที่รู้ว่าเขามีเครื่องประดับสัญลักษณ์ของกูรา ก็เป็นตอนที่อีกฝ่ายมาบอกเธอให้หาช่างซ่อมสายสร้อยที่ขาดไป

"ได้แค่นี้ก็ดีแล้วครับ" ชายหนุ่มตอบเสียงละมุน พลางเอาสร้อยคล้องคอตามความเคยชิน แล้วเก็บมันไว้ใต้เสื้อไม่ให้ใครเห็นอีก

"ใครเป็นเจ้าของน่ะราเชน"

คำถามของมารดาทำให้ราเชนไพล่นึกไปถึงเจ้าของสร้อย แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี แต่เขายังจำเจ้าของสร้อยเส้นนี้ได้อย่างแม่นยำ ภาพของเด็กชายหน้ามอมที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้างริมธารน้ำเล็ก โดยมีแสงตะวันชิงพลบสาดส่องร่างนั้นจนดูเหมือนว่าอีกฝ่ายอยู่คนละโลก...โลกที่มีแสงอัสดงเป็นฉากกั้น

"มีเด็กซุ่มซ่ามคนหนึ่งทำมันหาย ข้าเลยช่วยตามหา"

ความเอ็นดูเกิดขึ้นฉับพลันนับตั้งแต่ได้เห็นเด็กชายหน้ามอมคนนั้น เขาต้องใช้เวลาตะล่อมอยู่นานกว่าอีกฝ่ายจะยอมเปิดปากพูดว่าเหตุใดจึงร้องไห้ พอรู้เขาก็ช่วยตามหาสร้อยเส้นสำคัญจนถึงกับยอมจำนำแหวนประจำตระกูล เพื่อค้ำประกันว่าเขาจะไม่ลักเอาของสำคัญของเด็กคนนั้นไปเป็นของตัว แต่พอเจอสร้อยห้อยจี้รูปเต่า เจ้าของสร้อยก็หายตัวไปเสียแล้ว

ราเชนเคยแวะเวียนไปยังจุดเดิมที่พบกับเด็กชายหน้ามอมคนนั้นหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้พบกับเด็กคนนั้นจนกระทั่งเวลาล่วงผ่านมาเกือบสิบปี

สรัสวดีมองความอ่อนโยนที่ถูกระบายไปทั่วใบหน้าคมคายด้วยความแปลกใจ เธอไม่ค่อยเห็นลูกชายแสดงสีหน้าเช่นนี้ยามพูดถึงคนอื่นนอกจากมิรันตี มันจึงอดไม่ได้ที่จะคิดว่าราเชนเกิดความรู้สึกพิเศษกับอีกฝ่ายขึ้นมา

เอาเถอะ...ก็สุดแล้วแต่ใจของเจ้าปาเยนทร์ที่รู้ใจของตัวเองดีที่สุด เธอได้แต่หวังว่าเขาจะรู้หน้าที่ของตัวเองว่าควรทำอย่างไรกับกูรา




Create Date : 27 กันยายน 2550
Last Update : 27 กันยายน 2550 18:16:38 น.
Counter : 414 Pageviews.

9 comments
  
ที่คุณ nekojung บอกว่าเนื้อเรื่องเครียดนั้น ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเครียดอะไรมากมายนักหรอกค่ะ แต่ไม่รู้ทำไมเจ้าตัวคนเขียนถึงเกิดอาการจิตตก ยิ่งเขียนไปหลายตอนเข้าก็เริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังสู่ด้านมืดเข้าทุกที ดูท่าทางว่าถ้าไม่เขียนแนวรักหวานแหวไปเลย ก็คงจะเขียนแต่แนวรักรันทด กว่าจะสมหวังในรักก็คงน่วมอย่างที่ คุณ pumpan ว่าไว้

เฮ่อ ๆ ตอนหน้าสิริกัญญาไม่น่วมหรอกค่ะ แค่ขาพลิกกับปากแตก แต่อย่างหลังนี่ราเชนเป็นคนทำนะคะ


แล้วก็มาถกประเด็นเดิมกับคุณ ninja ต่อ ลองไปปีนต้นไม้มาดูแล้วล่ะค่ะ ผลที่ได้คือแผลถลอกปอกเปิกไปทั้งตัว ค่าที่ตอนลงเหยียบพลาดเล็กน้อย เลยไถลลงมารวดเดียวถึงพื้น ไม่ต้องเสียเวลาปีนลงเลย

จากที่ได้สัมผัสกับตัวเองจริงๆ แล้วก็ได้รู้ในสิ่งที่ควรจะรู้เสียตั้งแต่แรก นั่นคืออุ้มคนลงมาแบบที่ราเชนทำไม่ได้ แต่ถ้าให้ขี่หลังมา ดูจากบุคลิกของสิริกัญญาแล้ว คุณเธอคงไม่ยอมขี่หลังเขาง่ายๆ หรอก

ตั้งใจไว้แล้วว่าจะแก้ไขจุดนี้ตั้งแต่โดนทัก แต่ยังไม่รู้ว่าจะแก้เป็นอะไรดี พอดีตัวเองไปพิสูจน์แล้วได้เรื่อง ก็เลยเอาเรื่องที่ตัวเองตกต้นไม้นี่แหละมาเขียน เพราะดูจากนิสัยของเจ้าปาเยนทร์แล้ว ลองได้แหย่ก็จะแหย่จนถึงขีดสุด เขาคงยั่วโมโหสิริกัญญา แล้วพากันแข่งลงจากต้นไม้ว่าใครจะถึงพื้นก่อนกัน ด้วยความที่สิริกัญญาแกเหมือนจะสติแตกที่โดนยั่ว แถมราเชนยังยั่วขึ้นคนเดียวด้วยนะ หุหุ ก็เลยไม่ยอมให้เขาลงไปได้ก่อนแน่ เลยไถลพรวดลงมาจากต้นไม้เอาตอนใกล้ถึงพื้น เลยได้มาทั้งแผลถลอกกับความอายระคนเจ็บใจ โดนหัวเราะเยาะอีกต่างหาก

เฮ้อ....เขียนไปเขียนมา นิสัยของราเชนน่าจะเป็นพวกชอบแกล้งคนที่ชอบนะ (ตอนแรกไม่คิดเลยว่าจะให้เป็นคนชอบแกล้ง)

เฮ่อ ๆ เดี๋ยวคงมีตอนหน้าที่อาจจะโดน คุณ ninja ทักอีกก็ได้ เพราะพออ่านก็ยังรู้สึกทะแม่งอยู่

ถามสักนิดนะคะ สำหรับคนที่ผ่านไปมาในหน้านี้ หากรู้ว่ามีอันตรายอยู่ตรงหน้าคุณจะทำอย่างไร ระหว่างหนีกับเข้าหา และถ้าเข้าหา มีตัวเลือกอีกสองช้อย ไปคนเดียวหรือเอาหมาไปด้วย (ในที่นี้คงให้เป็นหนึ่งกล้า)

แต่ต่างคนต่างจิตมั้ง เพราะนิสัยของตัวคนเขียนเองแล้ว เป็นพวกดันทุรัง(ในมุมมืด) รู้ว่าอันตรายก็ยังจะไป แล้วยังไปเดี่ยว ๆ เสียด้วย
โดย: ฌา วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:18:35:46 น.
  
นึกครึ้มเอารูปเจ้ปาเยนทร์มาให้ดูค่ะ รูปนี้ได้มาโดยบังเอิญตอนเข้าเวบของ mangaart ความจริงก็อยากลบตัวอักษรออกเหมือนกัน เพราะบดบังทัศนียภาพที่กลมกลืน แต่เอาออกไม่เป็น เลยติดแบนของเวบมาด้วย

ราเชนผู้นี้ถูกใจเจ้าตัวมาก ถ้าตาดำกว่านี้อีกหน่อยก็แจ๋ว

โดย: ฌา วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:18:43:48 น.
  

รูปไม่ขึ้นอะ
โดย: ฌา วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:18:45:39 น.
  

จริงๆ แล้วอ่านได้ทุกแบบแหละค่ะ เรื่องนี้ก็เนื้อเรื่อง

แปลกดี แบบแนวย้อนยุค นางทาส อะไรประมาณนี้

ก็นางสงสารนางเอกกับพี่ชายนะค่ะ เมื่อไรราเชนกับเจ้า

จะไปช่วยนางเอกเราค่ะ



โดย: nekojung IP: 58.9.81.149 วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:19:49:18 น.
  
I'd like to see pic AAA.
โดย: jintana IP: 72.68.231.115 วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:23:18:20 น.
  
there're lots of mystery in this story nah. it's getting exciting more and more.

and again, i've a skeptic about this; "ถูกพิษดันมาจับไข้เพราะพิษบาดแผล อาการเลยยังไม่ทุเลาลงแต่อย่างใด" i think, plaimart still gets sick due to residual poison nah. so his illness shouldn't be because of hand injured (broken fingers or hands...??) especailly, his symtom takes a few days while he has been treated by the doctor already. just my thought nah.
โดย: ninja IP: 137.224.235.22 วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:0:44:57 น.
  
เยิ่นเย้อไปนิดนึงค่ะ ดูเหมือนบรรยายบุคลิกตัวละครมากเกินไปจนเหมือนคนเขียนลุ่มหลงตัวละคร ทำให้เนื้อหาเริ่มอ่อนไป
โดย: Jane IP: 99.231.15.170 วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:8:24:00 น.
  
ตัวละครในเรื่องนี้เยอะมากจริงๆค่ะ ถึงแม้ว่าจะมีตัวละครเอกเป็นตัวดำเนินเรื่องอยู่ 3-4 คน แต่คนอื่นที่ถูกพูดถึง หรือว่า แทรกมาเป็นแขกรับเชิญ ก็เยอะจน จะจำไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ
ตอนหน้าสิริกัญญาจะเป็นยังไง ยังเป็นห่วงอยู่เลยค่ะ ตราบใดที่ยังไม่มาอยู่ในความคุ้มครองของเจ้าชัยนเรนทร์
โดย: pumpam IP: 58.8.69.202 วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:11:29:44 น.
  
ตอบปัญหา=> ถ้ารู้ว่ามีอันตรายอยู่ครงหน้า ข้อเลือกแรก เผ่นฮ่ะ นอกจากว่าจะไม่มีทางหนีพ้นจริงๆ อาจจะหันมาสู้ตาย แบบหลังชนฝาน่ะ
อันนี้ตอบตามประสาคนขี้ขลาดนะ คนอื่นอาจจะไม่มีพฤติกรรมเยื่ยงนี้ก็ได้ 555...ว่าแต่จะเอาไปใช้กับใครเหรอคะ คำตอบข้อนี้ใช้กับพระเอกไม่ได้หน่า เสียแมนหมดเลย
โดย: Pink Owl วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:18:35:48 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog