พิษเสน่หา 14
๑๔ พบปะในเวลาน้ำชา

การปรากฎกายของราเชน พร้อมด้วยคำประกาศข่มขู่ที่แฝงไว้ด้วยความดุดัน ทำให้เหล่าคุณชายที่คิดจะสั่งสอนเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ผู้หญิงจองหองอย่างสิริกัญญาได้อับอาย และไม่คิดจะทำท่าแข็งกร้าวใส่อีกต้องชะงัก แล้วหันไปมองผู้มาใหม่อย่างระมัดระวัง

“เจ้าปาเยนทร์...” บริมาสนั้นร้องยินดีออกมา เมื่อชายหนุ่มมาในช่วงที่พวกเธอกำลังย่ำแย่พอดี หญิงสาวรีบควงแขนเพื่อน ผ่านเหล่าคุณชายที่ดูเหมือนจะถูกดวงตาคมดุสาปใส่จนขยับไม่ได้เสียแล้ว

“ท่านมาได้ยังไงกันคะ”

“เจ้าชายชัยนเรนทร์วานให้ข้ามาตามพวกเจ้ากลับตำหนักอรินทรา ท่านชวนกินของว่างน่ะ” ราเชนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดู เพราะท่าทางของเธอช่างละม้ายกับมิรันตี น้องสาวของเขาเสียเหลือเกิน

“ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปกันดีกว่าค่ะ ข้าไม่อยากให้เจ้าชายรอนนาน” พูดไม่พูดเปล่า บริมาสยังแอบหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เหล่าคุณชายที่เมื่อครู่ยังทำตัวโตใส่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนตัวจะหดเล็กลงสองนิ้ว เมื่อราเชนก้าวเข้ามาช่วยพวกเธอไว้ได้อย่างทันท่วงที

“พวกเจ้าไปกันก่อนเถอะ ข้ายังมีธุระต้องจัดการอีกเล็กน้อย” ชายหนุ่มพูดพลางเหลือบมองเหล่าคุณชายที่พากันสะดุ้งเฮือกกันเป็นแถว กับดวงตาสีถ่านที่จับจ้องมาอย่างดุดัน

“พวกเข้ารอก็ได้นะคะ” ดวงตาสีมรกตพราวระยับขึ้นมาด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ ว่าเจ้าปาเยนทร์จะจัดการอย่างไรกับคุณชายขี้เบ่งพวกนี้ แต่กลับถูกดวงตาคมที่เปลี่ยนแววดุดันจนคนถูกมองแข้งขาสั่นเทา กลายเป็นอ่อนละมุนที่ทำให้หัวใจละลายแทน

“เป็นเด็กดีนะบริมาส ถ้าจะรอก็ไปรอตรงโน้น” นิ้วเรียวแกร่งชี้ไปยังสระน้ำใหญ่ที่ตอนนี้ไม่มีใครเล่นเรืออีกแล้ว ซึ่งทำให้คุณหนูจอมซนหน้าม่อยลง

“ก็ได้ค่ะ” บริมาสลากเพื่อนที่จนป่านนี้ยังไม่ยอมพูดยอมจาอะไรออกมาสักคำอย่างว่าง่าย และพอสองสาวเดินไปไกล ราเชนก็หันไปจัดการธุระที่คั่งค้างต่อ

“ข้าจำพวกเข้าได้ พงศกร บุตรชายเสนาบดีการคลังและเพื่อนพ้อง พ่อพวกเจ้าก็ดีอยู่หรอก แต่เลี้ยงลูกไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ชายหนุ่มพูดพลางกลั้วหัวเราะ แต่ก็ไม่ช่วยให้คนฟังใจชื้นขึ้นมาเท่าไร เพราะดวงตาสีถ่านยังทอแววน่ากลัวจนกลืนน้ำลายไม่ลง

“อย่าให้ข้าเห็นหรือมีใครมารายงานข้าว่าพวกเจ้ามายุ่งกับพวกนางอีก ข้าไม่ชอบขู่ใครหลายครั้งหรอกนะ” พูดเสร็จ ราเชนก็ผละจากบุตรชายเสนาบดีการคลังกับเพื่อนพ้อง ไปยังจุดที่หญิงสาวทั้งสองคนยืนรออยู่ทันที เพราะเขายังมีอีกคนที่ต้องจัดการ

“ทำไมต้องไปหาเรื่องพวกนั้น”

บริมาที่กำลังแย้มยิ้มเอ่ยขอบคุณพระเอกขี่ม้าขาว กะพริบตาปริบด้วยความงุนงงกับคำต่อว่านั้น แต่เมื่อได้เห็นว่าราเชนพุ่งเป้าสายตาไปยังใคร เธอก็ร้องอ้อขึ้นมาทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังต่อว่าสิริกัญญา ไม่ใช่เธอ

“คุณชายพวกนั้นต่างหากที่เข้ามาหาเรื่องพวกข้า”

รายนี้ก็แปลก...หญิงสาวมองการโต้ตอบของเพื่อนที่ไม่ชอบโต้คารมกับใครอย่างสงสัย ราเชนออกจะเป็นชายหนุ่มที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม ไม่น่าจะมีส่วนใดที่ทำให้สิริกัญญาไม่ชอบใจ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ เพื่อนของเธอออกจะมีนิสัยประหลาดอยู่เสียหน่อย ตรงที่ไม่สนใจผู้ชายอย่างผู้หญิงทั่วไป ดังนั้นคนเจ้าเสน่ห์จึงอาจไม่ต้องตาผู้หญิงแปลก

“แล้วจะต้องไปโต้คารมตอบเขาด้วยหรือไง ทำไมไม่หาทางปลีกตัวออกมา” ราเชนยังคาดโทษต่อไม่เลิก

“ท่านก็เห็นนี่คะว่าข้าทำได้หรือเปล่า” สิริกัญญาส่งยิ้มหวานจ๋อยที่มีแต่คนสนิทเท่านั้น ที่รู้ว่าพื้นอารมณ์ของเธอไม่ได้ดีตามรอยยิ้มนั้นด้วย

ราเชนถลึงตาดุใส่หญิงสาวที่ยิ้มระรื่นเกินเหตุ มันเป็นท่าทางที่เขาเดาได้ เพราะเคยเห็นท่าทางนี้จากปลายมาศตอนโดนต่อยปากมาแล้ว “เจ้าคิดลองดีกับข้างั้นหรือ สิริกัญญา”

“ข้าไม่หาญกล้าเช่นนั้นหรอกค่ะ”

ไม่หาญกล้า...อย่างน้อยราเชนก็ไม่คิดว่าสิริกัญญาจะเหมาะสมกับคำนี้ ตั้งแต่พบกันครั้งแรกแล้วที่เธอหาญกล้าปฏิเสธคำชวนของเขา แล้วก็มีครั้งสองตามมาในวันเดียวกัน มันทำให้ชายหนุ่มลงมือสั่งสอนคนดื้อถึงผลของการขัดใจเจ้าปาเยนทร์ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักหลาบจำ ยังคงคิดลองดีอยู่ร่ำไปเช่นเดียวกับครั้งนี้

“แล้วถ้าข้าไม่ออกมาช่วยล่ะ เจ้าจะทำยังไง”

“ข้าเป็นผู้หญิงอ่อนแอนะคะ จะไปทำอะไรได้” สิริกัญญาตอบพลางยิ้มหน้าซื่อที่ทำให้คนรู้ฤทธิ์ของคนพูดมาแล้วต้องทวนคำอีกครั้งราวกับฟังผิด

“อ่อนแอ?” ราเชนพูดพลางหันไปมองบริมาสที่ยิ้มฝืดเฝื่อนอย่างขอความเห็น “ตรงส่วนไหนของเจ้าที่อ่อนแอ” ประโยคถัดมานี้ชายหนุ่มหันไปถามคนที่บอกว่าตัวเองอ่อนแอ อย่างน้อยร่องรอยที่อีกฝ่ายทิ้งไว้บนใบหน้าของเขาก็ไม่ได้เบาเหมือนแรงอิสตรีผู้อ่อนแอบอบบางแน่

“ข้าอ่อนแอ” หญิงสาวย้ำคำเดิมด้วยท่าทีจริงจัง และปะทะกับดวงตาสีถ่านที่แสดงความไม่เชื่อโดยไม่ยอมหลบ ถ้าเธอแข็งแรงก็คงไม่ถูกผู้ชายตรงหน้านี้รังแกหลายต่อหลายครั้งหรอก

ดวงตาสีถ่านทอแสงอ่อนลง เมื่อสายตาพลัดไปมองผ้าปิดแผลบนแก้มนวลเนียน บางทีเธออาจจะอ่อนแอตามที่พูดก็เป็นได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกแม่เลี้ยงทำร้ายจนได้แผลไปแบบนั้น และเขาก็อยากยกมือขึ้นลูบรอยแผลนั้นเหลือเกิน หากไม่มีสายตาของคนที่สามอย่างบริมาสมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมา แล้วแสดงท่าทางยอมแพ้อย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน

“ข้าจะเชื่อเจ้าก็ได้ แต่เจ้าคงไม่อยากอ่อนแอไปแบบนี้ตลอดหรอกนะ สิริกัญญา”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


บรรยากาศแปลกประหลาดที่อบอวลอยู่รอบราเชนกับสิริกัญญา ทำให้บริมาสรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินอย่างไรพิกล หญิงสาวมองดูเพื่อนที่ทำหน้าเฉยไร้อารมณ์ทีหนึ่ง แล้วเหลือบไปมองอีกคนที่ทำสีหน้าไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก สองคนนี้ไม่ยอมพูดคุยกันอีกเลยหลังจากโต้คารมจบไปบทหนึ่ง

ท่าทีของสิริกัญญายังพอเดาได้ว่าเป็นเพราะอะไร เพื่อนของเธอบอกให้รู้หลายครั้งแล้วว่าไม่ชอบผู้ชาย ดังนั้นการจะแสดงท่าทางบอกบุญไม่รับก็คงไม่แปลกอะไร แต่ท่าทางของราเชนนี่สิที่ทำให้คุณหนูคนงามประหลาดใจนัก จากที่เธอเคยได้ยินเสียงร่ำลือ และเคยเห็นเขาแต่ไกล ชายหนุ่มคนนี้มักมีรอยยิ้มให้ผู้หญิงเสมอ ไม่เว้นแม้แต่เด็กหรือสตรีสูงวัย เขาไม่มีทางทำหน้าเฉยไร้อารมณ์อย่างที่เห็นนี้แน่

เมื่อหาคำตอบให้กับข้อสงสัยของตัวเองไม่ได้ บริมาสจึงโคลงศีรษะไปมา เพราะรู้ดีว่าสองหนุ่มสาวคู่นี้คงไม่มีทางบอกความจริงกับเธอแน่ แล้วเธอก็นึกภาพของเพื่อนที่ส่งยิ้มละมุนละไม แต่รอยยิ้มนั้นคงแช่น้ำแข็งเย็นเจี๊ยบจนไม่อยากแตะ ส่วนราเชนก็เบี่ยงประเด็นโดยการชวนคุยเรื่องอ่อนอย่างแนบเนียนจนคนถามลืมคำถามเดิมไปเลย

และมันก็ไม่ใช่แค่บรรยากาศแปลกประหลาดนี้เท่านั้นหรอกที่บริมาสสงสัย มันยังมีรอยแผลของคนทั้งคู่ที่ประทับอยู่ตำแหน่งเดียวกันราวกับจงใจ รอยมือบนใบหน้าของราเชนน่ะเดาได้ว่าคงเกิดจากมือของคนเกลียดผู้ชายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่รอยแผลบนริมฝีปากล่างเหมือนถูกขบกัดนี่สิ เรียกรอยยิ้มจากคุณหนูคนงามที่คิดอะไรไปไกลเกินกว่าใครจะห้ามได้

“ยิ้มอะไรน่ะ บริมาส” สิริกัญญาเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นรอยยิ้มของเพื่อนที่ชวนให้รู้สึกไม่ไว้วางใจเอาเสียเลย

คุณหนูคนงามแย้มยิ้มกว้าง ก่อนสวมกอดท่อนแขนเรียวบางของเพื่อนที่หรี่ตามองอย่างจังสังเกต “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าคืนนี้จะชวนเจ้าคุยเรื่องอะไรดี” แน่นอนว่าเธอไม่ยอมบอกตอนนี้หรอกว่าจะคุยเรื่องอะไร ขืนรู้ไก่ก็ตื่นก่อนพอดี

“ข้าเองก็มีเรื่องคุยกับเจ้ามากมายเลยล่ะ”

ท่าทางกระหนุกระหนิงของสองสาว ทำให้ราเชนทอดสายตามองด้วยท่าทางกึ่งเอ็นดู ชายหนุ่มเคยเห็นบุตรีเสนาบดีมหาดไทยออกงานสโมสรร่วมกับมารดาของเธออยู่บ่อยครั้ง และเขาก็เห็นว่าเธอมีมนุษยสัมพันธ์ให้กับคนอื่นเขาไปทั่ว เสียงหัวเราะมักมาจากเธอพร้อมกับเรื่องเฮฮาที่ไม่รู้ว่าไปสรรหามาจากไหนมากมาย

ส่วนสิริกัญญานั้นเขาเชื่อว่าคงไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไรนัก หรือบางทีอาจจะไม่มีเลยก็ได้ เพราะเธอหมกตัวอยู่แต่ในคฤหาสน์ ไม่ยอมออกมาร่วมสมาคมกับใคร และนิสัยของเธอเท่าที่เขาพอสังเกตเห็นนั้น ก็เป็นพวกประเภทมีโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยยอมให้ใครเข้าไปในโลกใบน้อยของตัวเอง นอกจากพี่ชายที่โตเกินวัย ซึ่งมีนิสัยคลับคล้ายกับน้องสาว

ตอนที่ราเชนรู้ว่าเจ้าหลวงทรงจับคู่สองสาวที่แตกต่างกันสุดขั้ว เขาก็นึกกังวลว่าพวกเธอจะเข้ากันไม่ได้ แต่เมื่อได้เห็นท่าทางของพวกเธอก็พอเบาใจลงได้บ้าง

ชายหนุ่มพ่นลมหายใจแผ่วเบา เขาไม่เข้าใจตัวเองเลยว่า จะเป็นห่วงหญิงสาวสีน้ำเงินคนนี้ไปทำไม ในเมื่อมีคนห่วงเธออยู่มากมาย เขาควรหันไปสนใจข่าวร้อนต่าง ๆ ที่ประเดประดังเข้ามามากกว่า แต่พอเผลอทีไรก็อดยุ่งเกี่ยวกับเธอไม่ได้ทุกที

แล้วราเชนก็เดินนำสองสาวไปยังห้องสำราญที่ดูเหมือนจะมีแขกเพิ่มขึ้นมาอีกพระองค์ แล้วชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเจ้าชายชัยนเรนทร์หลิ่วเนตรให้พระสหายด้วยท่าทางแฝงความนัยบางอย่าง ทั้งที่ตัวพระองค์เองที่เป็นฝ่ายขอให้เขาไปตามสองสาวคู่นี้มาทานของว่าง

“ว่าไงสองสาว ทำความรู้จักกันแล้วเป็นไงบ้าง” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสถามอย่างเอ็นดู หลังจากที่ทั้งคู่ถอนสายบัวพร้อมกัน และยังหันไปทำความเคารพกับเจ้าชายอีกสองพระองค์

“พวกเราเข้ากันได้ดีเพคะ” บริมาสเอ่ยตอบเสียงใส ในขณะที่สิริกัญญายิ้มตอบเพียงอย่างเดียว

“น่าจะเข้ากันได้อยู่หรอก ข้าเห็นว่าเจ้าช่างพูด ส่วนสิริกัญญาไม่พูดเลย” เจ้าชายตรัสพลางส่งเสียงสรวลเมื่อเห็นใบหน้างอง้ำของสาวน้อยตัวเก็งว่าที่พระชายาที่เจ้าหลวงทรงส่งมา

“หม่อมฉันไม่ได้พูดมากเสียหน่อย”

“ไม่พูดมากก็ไม่พูดมาก” พระองค์ยอมความอย่างง่ายดาย แล้วยกหัตถ์กวักเรียกคนที่ยังยืนให้มานั่งที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ “มานั่งเร็ว วันนี้ของว่างตำหนักอรินทราเป็นบัวลอยไข่หวาน ฝีมือคุณวรรณ แม่นมของข้าเชียวนะ”

คุณวรรณเป็นหญิงวัยหกสิบเศษที่ยังรักษารูปร่างหน้าตาไว้เหมือนคนอายุสี่สิบ เธอยิ้มให้หญิงสาวผู้มาใหม่สองคน แล้วโบกมือให้นางกำนัลจัดเตรียมถ้วยให้กับหญิงสาวทั้งสองทันทีที่นั่งประจำที่ หลังจากนั้นขนมหวานฝีมือคุณวรรณจึงถูกนำขึ้น โดยเจ้าชายชัยนเรนทร์ได้รับก่อนเป็นพระองค์แรก แล้วลดหลั่นตามลำดับอายุลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงปลายมาศที่คุณวรรณเป็นผู้ตักขนมบัวลอยให้เอง

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่ม พร้อมกับส่งยิ้มละมุนที่ทำให้นางกำนัลสาวรุ่นพากันหน้าแดงแทนคุณวรรณที่เพียงยิ้มรับตอบ โดยไม่แสดงท่าทางอะไรออกมา

“คุณวรรณนี่ลำเอียงจัง ตักให้ปลายมาศคนเดียว ไม่เห็นตักให้ข้าบ้างเลย”

“พระองค์ได้แล้วนี่เพคะ” คุณวรรณหัวเราะคิกกับตัดพ้อของเจ้าชายชัยนเรนทร์ ที่ไม่ได้แสดงสีพระพักตร์เช่นที่พูด ซ้ำยังทำแววเนตรวิบวับอย่างล้อเลียนอีก

“เจ้านี่โชคดีนะปลายมาศ คุณวรรณน่ะพอรู้ว่าเจ้าไม่กินหวาน ก็ลงมือทำขนมถ้วยนั้นเป็นพิเศษเลยทีเดียว” พอหยอกแม่นมเสร็จ เจ้าชายก็ทรงหันไปสัพยอกคนป่วยที่ดูท่าทางว่าคงไม่ได้พักผ่อนแล้ว หรืออาจเป็นแผนการของพระองค์เองนั่นแหละที่คิดจะเลี้ยงไข้ เพื่อกักตัวให้อีกฝ่ายอยู่ตำหนักนี้นาน ๆ

“แล้วเจ้าล่ะ สิริกัญญา ไม่กินหวานเหมือนพี่ชายด้วยหรือเปล่า”

“หม่อมฉันชอบของหวานเพคะ” หญิงสาวตอบเสียงหวานตามรายการขนม

“มิน่าถึงดุนัก” ราเชนพึมพำกับตัวเองเสียงเบา แต่ดูเหมือนเขาจะลืมไปว่าในนี้มีคนหูดีอยู่ด้วย

“เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะราเชน” เจ้าชายชัยนเรนทร์เลิกพระขนงขึ้น พลางแสยะโอษฐ์ด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์อย่างที่คนถูกถามไม่ชอบเท่าไรนัก

“เจ้าพี่นี่ทรงชอบแหย่คนอื่นไปทั่ว มิน่าพวกเสนาบดีถึงไม่ค่อยอยากพูดด้วยเท่าไหร่” เจ้าชายอินทรวิเชียรทรงพระสรวลกับคำหยอกเย้าของพระเชษฐาที่หากไม่ขัดขึ้นก่อน คงจะหาทางแหย่เหยื่อรายต่อไป ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นพระองค์เอง

“ทำไมพวกเจ้าคุณถึงไม่อยากพูดกับพี่ล่ะ”

“ก็เจ้าพี่ดันไปตรัสกับพวกเสนาบดีว่าทำงานมาจนแก่ มีแต่ปัญหากับปัญหา ตอนที่ไม่มีปัญหาคงมีแต่ตอนตาย” เจ้าชายทรงทวนคำตรัสของเชษฐาที่เคยทำให้เหล่าเสนาบดีพากันอึ้งและเงียบไปนาน จนมีเสียงพระสรวลของเจ้าหลวงนั่นแหละ ทุกคนถึงได้รู้สึกตัว แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครอยากเอาปัญหามาให้อีก เพราะกลัวจะโดนแดกดันด้วยคำตรัสทำนองเดียวกันนี้อีก

เจ้าชายชัยนเรนทร์ทรงพระสรวลอยากถูกพระทัย พลางดำริว่าที่ช่วงนี้พระองค์ว่างงานจนมีเวลาไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน เป็นเพราะพวกเสนาบดีไม่เอางานมาสุมให้นั่นเอง ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงมีใครบางคนทำหน้าหงิกแล้วบ่นว่างานหนักอีกล่ะ เจ้าชายได้แต่ถอนปัสสาสะออกมาเฮือกใหญ่ หลังจากหาคำตอบให้องค์เองได้ว่าเพราะอีกฝ่ายขยันเกินไปน่ะสิ

“แล้วเจ้าไม่มีงานทำหรือไง ถึงมาเที่ยวที่ตำหนักพี่”

“ชเยนทรชวนน้องมาเล่นเรือ แล้วก็แวะมาเยี่ยมปลายมาศด้วย” เจ้าชายอินทรวิเชียรผินพระพักตร์ไปยังคนป่วยที่มักมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ แม้ยามโกรธหรือหงุดหงิด ก่อนเบือนเนตรไปยังหญิงสาวสองคนที่ไม่รู้จักหน้าค่าตา แต่ทรงเดาได้ว่าเป็นใคร

“แล้วเจ้าพี่จะไม่ทรงแนะนำคุณหนูทั้งสองให้น้องรู้จักเลยหรือพระเจ้าค่ะ”

“ถึงไม่ทักก็คิดจะแนะนำให้เจ้ารู้จักอยู่แล้วน่า เจ้าอิน” เจ้าชายชัยนเรนทร์โคลงพระเศียรไปมา ก่อนยกหัตถ์ขึ้นผายไปทางหญิงสาวสีน้ำเงินเป็นคนแรก “คุณหนูคนนี้คือสิริกัญญา บุตรีท่านจินดาและน้องสาวของปลายมาศ” ตรัสจบก็ผายหัตถ์ไปยังคุณหนูคนงามที่ส่งยิ้มมาทั้งปากทั้งดวงตา แต่ก็หน้าง้ำลงหลังจากได้ยินประโยคแนะนำตัวเองของเจ้าชาย “ส่วนคุณหนูพูดมากคนนี้คือบริมาส บุตรีโทนของเสนาบดีมหาดไทย”

“หม่อมฉันไม่ได้พูดมากนะเพคะ” ไม่วายที่คนถูกแหย่จะร้องอุทธรณ์ออกมา

“เราเคยพบกันในงานเลี้ยงหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้พูดคุยกันเสียที ยินดีที่ได้รู้จักนะบริมาส” สุรเสียงทุ้มนุ่มและพระกิริยาดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่ ช่างตรงกันข้ามกับบุตรีเสนาบดีมหาดไทยที่ยังซุกซนเป็นเด็กไม่เลิก ทั้งที่พระองค์ก็มีพระชันษาเท่ากับอีกฝ่าย

แล้วเจ้าชายอินทรวิเชียรก็เบือนสายพระเนตรไปยังหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ที่มีท่าทีเงียบสงบเหมือนป่ายามสงัด อีกทั้งดวงตาสีน้ำเงินที่จ้องตอบกลับมาแน่วนิ่ง ก็แฝงไว้ทั้งความว่าง่ายและดื้อรั้นในคราวเดียวกัน เธอมีหลายอย่างที่คล้ายปลายมาศผู้เป็นพี่ชาย และมีอีกหลายอย่างที่ไม่เหมือนกันเลย

“ปลายมาศมีน้องสาวอยู่ไม่กี่คน และเราก็คิดว่าได้พบหมดทุกคนแล้วจนมาเจอเจ้า สิริกัญญา ดีใจที่ได้พบนะ”

“เป็นเกียรติของหม่อมฉันที่ได้มารู้จักพระองค์เพคะ”

“รู้จักฝ่ายหญิงแล้ว ก็ถึงฝ่ายชายบ้างล่ะ พวกเจ้าคงรู้แล้วว่าเขาคือเจ้าชายอินทรวิเชียร อนุชาคนที่เท่าไหร่ไม่รู้ของข้า” เจ้าชายชัยนเรนทร์ทรงพระสรวลเล็กน้อย เมื่อพระองค์มีพี่น้องมากมายจนเกินกว่าจะนับ แถมยังจำได้ไม่ครบทุกพระองค์

“ลูกจะลองแนะนำตัวเองกับคุณหนูทั้งสองไหม ชเยนทร” ดวงเนตรสีน้ำตาลไหม้ทอแววอ่อนละมุนลง เมื่อตรัสกับพระโอรสเพียงพระองค์เดียวที่กระแอมทันทีที่พระบิดาเปิดโอกาสให้

เจ้าชายน้อยมีดวงพักตร์พริ้มเพราเหมือนพระมารดา และรับเอาดวงเนตรกับเรียวโอษฐ์ของพระบิดาไว้ พระองค์ทรงแย้มโอษฐ์กว้าง ก่อนแนะนำองค์เองด้วยสุรเสียงชัดถ้อยชัดคำ อย่างที่ถูกอบรมบ่มสอนมาอย่างดีจากพระอาจารย์ที่นั่งยิ้มอยู่ด้านข้าง

“เราชื่อชเยนทร เป็นพระโอรสของเสด็จพ่อชัยนเรนทร์ ยินดีที่ได้รู้จักนะ พี่สิริกัญญา พี่บริมาส”

อย่างน้อยพระอาจารย์ก็สอนมาดีเกินไป โดยเฉพาะเรื่องมารยาทกับผู้ที่มีอายุมากกว่าที่ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ ดังนั้นเจ้าชายชเยนทรจึงเรียกทุกคนที่มีอายุมากกว่าว่าพี่หมด ไม่เว้นแม้แต่นางกำนัลในตำหนักของพระองค์เอง

พอเจ้าชายน้อยตรัสแนะนำองค์เองเสร็จ ก็หันพระพักตร์ไปยังปลายมาศด้วยแววเนตรที่ทุกคนอ่านออก ว่าต้องการให้พระอาจารย์ชม ชายหนุ่มจึงส่งยิ้มอ่อนโยน และยกมือขึ้นลูบพระเกศาสีน้ำตาลไหม้ ซึ่งเป็นอภิสิทธิ์พิเศษสำหรับเขาคนเดียวที่ทำได้

“ทรงเก่งมาก” พอได้รับคำชม เจ้าชายก็แย้มโอษฐ์กว้างขึ้นไปอีก และคงมีพระอารมณ์ดีไปจนกว่าจะเข้าบรรทม

“ปลายมาศนี่เป็นที่รักจังนะ” ไม่วายที่เจ้าชายชัยนเรนทร์จะหาเรื่องหยอกพระอาจารย์ของพระโอรสต่อ

“เขาเรียกว่าเป็นคนมีเสน่ห์ ใครเห็นใครก็รักพระเจ้าค่ะ” เจ้าชายอินทรวิเชียรทรงเสริมคำตรัสของเชษฐาต่อ และทรงพระสรวลที่ทอดพระเนตรเห็นที่รักของใครหลายคนหน้ามุ่ยลง

“รักน้อย ๆ หน่อยก็ดีพระเจ้าค่ะ รักมาก ๆ แล้วกระหม่อมปวดหัว”

เสียงหัวเราะที่สิริกัญญาไม่เคยคุ้นดังอยู่ตลอดเวลาที่มีบทสนทนา ซึ่งเป็นไปในทางหยอกเย้ากันเสียมากกว่า หญิงสาวมองพี่ชายที่ตกเป็นเป้ากลั่นแกล้งของเจ้าชายชัยนเรนทร์ด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นอีกมุมมองที่เธอไม่เคยเห็นมาตลอด พี่ชายในยามนี้ดูเหมือนชายหนุ่มธรรมดาที่แสดงอารมณ์ทางสีหน้าอย่างเปิดเผย ไม่เงียบขรึมเช่นตอนอยู่บ้าน เขาในตอนนี้ไม่ใช่วีรบุรุษในสายตาของน้องสาว เป็นเพียงแค่ชายหนุ่มธรรมดาเท่านั้นเอง

แม้จะน้อยใจที่ปลายมาศไม่เคยแสดงภาพลักษณ์ของคนธรรมดาให้เห็น แต่สิริกัญญารู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก พี่ชายของเธอได้หัวเราะมากกว่าตอนอยู่บ้านเสียอีก แล้วยังสดชื่นแจ่มใสเสียจนน่าอิจฉา เธอชักอยากให้พี่ชายอยู่ที่ตำหนักของเจ้าชายชัยนเรนทร์นาน ๆ เสียแล้วสิ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


หลังจากที่เวลารื่นเริงเล็ก ๆ ผ่านไป ปลายมาศก็ขอตัวกลับมาพักผ่อน เนื่องจากความอ่อนเพลียนที่โดนรบกวนตั้งแต่เช้า และสีหน้าของเขาคงดูซีดเซียวมาก เจ้าชายชัยนเรนทร์จึงทรงยอมปล่อยตัวคนป่วยให้กลับห้องพักตามลำพัง ซึ่งนั่นเป็นคำขอร้องของเขาที่ไม่อยากรบกวนใครเกินจำเป็น

และพอพ้นจากสายตาทุกคู่ ร่างที่เคยยืดตรงเสมอมาก็ทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างหมดแรง แต่โชคยังดีที่มีวงแขนของใครบางคนเข้ามาประคองจากด้านหลัง พอเขาหันไปมองก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น เมื่อได้เห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ

“ครูมานัย...”

“ยังพอมีแรงเดินไหม เดี๋ยวเจ้าชัยมาเห็นเจ้าล้มอีกได้วุ่นวายทั้งตำหนักแน่”

ปลายมาศระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ที่คนมาพบเขาหมดแรงไม่ใช่คนในตำหนักนี้ แล้วชายหนุ่มก็ถูกอาจารย์หิ้วกลับไปยังห้องพักด้วยสภาพอ่อนแรงเต็มที

ครั้นพอมานัยพาลูกศิษย์นอนลงที่เตียง เขาก็นั่งริมเตียง และค้นข้าวของบางอย่างจากกระเป๋าย่ามที่พกติดตัวตลอดเวลา ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าในนั้นมีอะไรอยู่บ้าง เพราะของแต่ละอย่างที่มานัยเอาออกมามักไม่ใช่ของที่คนทั่วไปพกกัน ซึ่งคราวนี้เขาหยิบหัวว่านสีดำรูปร่างหงิกงออันหนึ่งออกมา

“กินนี่เข้าไป มันคงพอทำให้อาการของเจ้าทุเลาลงได้บ้าง”

“มันคืออะไรหรือครับ” ชายหนุ่มถามอย่างไม่วางใจเท่าไรนัก เขายังจำได้ดีเลยทีเดียวว่าหลายครั้งที่มานัยเอาว่านรูปร่างประหลาดตามาให้เขาทดลองกิน เป็นต้องนอนซมไปหลายวันทุกที

“ลิ้นนาคี”

“ครูจะให้ข้ากินว่านพิษหรือครับ”

คนที่ต้องกินของอันตรายถามด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ เขาไม่รู้สึกอะไรหรอกที่ต้องมากินพืชมีพิษ เพราะชาชินเสียแล้ว อีกทั้งยังเป็นผลดีต่อเขาที่ถูกลอบวางยาพิษบ่อยครั้ง จากผู้ที่มีจิตใจดำมืดที่อยู่ในวังหลวงแห่งนี้ แต่โดนติดต่อกันก็ทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แล้วเขายังมีเรื่องต้องจัดการอีกมากมาย ไม่มีเวลามานอนซมเพราะยาพิษได้หรอก

“จะกินเองหรือจะให้ข้าบังคับ” มานัยถามพลางยิ้มกว้าง เมื่อเดาสายตาของลูกศิษย์ออกว่าคงไม่ยอมกินแน่ และริมฝีปากที่ปิดเม้มแน่นก็เป็นคำตอบที่เขาไม่คิดจะถามซ้ำ ดังนั้นเขาจึงเข้าประชิดคนดื้อเงียบที่จะขยับตัวหนีก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะไปไหนได้ แล้วบีบคางให้อีกฝ่ายอ้าปาก ก่อนยัดว่านพิษและบังคับให้กลืนลงไป

“สำหรับเจ้า ยาธรรมดาใช้ไม่ได้ผลหรอก”

ปลายมาศจำใจกลืนว่านสีดำลงไป เมื่อโดนมือเรียวของอาจารย์ปิดปากไม่ยอมปล่อย ครั้นมานัยเห็นว่าลูกศิษย์ว่าง่ายขึ้นแล้ว จึงยอมคลายมือออก พลางกลั้วหัวเราะแผ่วเบา สมัยก่อนตอนที่ชายหนุ่มรุ่นลูกโดนให้กินยาพิษครั้งแรก เขาก็ต้องบังคับแบบนี้นี่แหละ พอเจ้าตัวรู้ว่าถึงอย่างไรก็ขัดขืนไม่ได้จึงยอมกินพิษสารพัดชนิดอย่างจำยอม ซึ่งกว่าจะยอมได้ก็ต้องโดนบังคับอยู่ถึงหนึ่งปีเต็ม

“เลือดข้าคงกลายเป็นยาพิษไปแล้วกระมังครับ พอโดนยาธรรมดาเลยพาลจับไข้เอา”

ถ้อยคำกึ่งตัดพ้อกึ่งประชดประชันทำให้มานัยถอนหายใจเฮือก แต่เขาก็ไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ไม่ให้ลูกศิษย์งดกินยาพิษ และการฝึกให้ปลายมาศเก่งกาจทุกอย่างนั้น เป็นเพราะชีวิตของเขาต้องเสี่ยงอันตรายอยู่บ่อยครั้ง หากไม่ฝึกฝนเอาไว้ เห็นทีจะเอาชีวิตไม่รอด

มานัยมองลูกศิษย์ด้วยความสับสนเป็นครั้งแรก จินดาเคยบอกเขาว่าอยากให้ปลายมาศกับสิริกัญญาอยู่อย่างคนธรรมดา ไม่ต้องไปข้องเกี่ยวกับพวกสีน้ำเงินอีก เขาเองก็เกือบจะคล้อยตามคนใจดีคนนั้นไปเหมือนกัน แต่คนรอบข้างไม่เคยปล่อยให้สองพี่น้องคู่นี้อยู่อย่างสงบสุข

เขาจึงต้องขัดใจกับจินดา พาพี่น้องคู่นี้กลับสู่สิ่งที่ควรจะเป็น!




Create Date : 26 ธันวาคม 2550
Last Update : 26 ธันวาคม 2550 21:28:06 น.
Counter : 638 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog