พิษเสน่หา 28
๒๘ สงคราม...ความรัก

วิชาการเรือนที่คฤหาสน์ปาเยนทร์ เป็นวิชาแรกที่ทำให้สิริกัญญานึกไม่อยากเรียนขึ้นมาจับใจ ซึ่งเมื่อหลายวันก่อน หญิงสาวไม่ได้เกิดความรู้สึกแบบนี้ จนกระทั่งถึงตอนที่มีคนมาขอร่วมทานอาหารเช้า ด้วยรอยยิ้มแฝงความนัยบางอย่าง ที่เจ้าของบ้านไม่ค่อยอยากต้อนรับเสียเท่าไร ซึ่งคนที่ร่วมโต๊ะอาหารเช้าในวันนี้ก็คือรังสิมา พี่สาวต่างมารดาที่เดาไม่ออกเลย ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ด้วยบางครั้งหญิงสาวก็รวมอยู่ในกลุ่มพี่น้องขี้แกล้ง บ้างก็ทำตัวเป็นผู้ชมอยู่วงนอก บ้างก็คล้ายจะให้ความช่วยเหลือ ที่กว่าจะรู้ก็เกือบสายเกินการ

“ทำไมวันนี้ปลายมาศไม่มาทานข้าวด้วยกันล่ะ” รังสิมาเอ่ยทักขึ้น หลังจากไม่เห็นวี่แววของปลายมาศโผล่มาให้เธอได้เห็นตลอดเวลาทานอาหาร ทั้งที่เธอมั่นใจว่าเขายังไม่ได้ออกไปไหน

“พี่ปลายมาศยังนอนอยู่ค่ะ เพราะวันนี้เขาไม่ต้องเข้าวัง”

“อ้อ! เจ้าเลยต้องเข้าวังคนเดียว”

สิริกัญญาคลี่ยิ้มรับโดยไม่ตอบคำถามอะไร เพราะตามปกติเธอต้องเข้าวังคนเดียวอยู่แล้ว และหลังจากที่เธอไปเป็นพระพี่เลี้ยงให้กับเจ้าหญิงแสงอัปสร ท่านจินดาก็มอบรถม้าส่วนตัวให้เธอหนึ่งคัน แยกต่างหากกับของปลายมาศ เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง

“ได้ยินว่าวันนี้เจ้าต้องติดตามเจ้าหญิงแสงอัปสรไปเรียนการเรือนที่คฤหาสน์ปาเยนทร์”

ไม่รู้ว่ารังสิมาไปเอาข่าวมาจากที่ไหน แต่ข่าวของพี่สาวคนนี้ทำให้สิริกัญญาร้อนได้เสมอ หญิงสาวไหวตัวด้วยความระแวงระวัง ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่จับสังเกตท่าทางของน้องสาวต่างมารดาตลอดเวลา

“ท่าทางเจ้าจะไม่ได้คบกับคุณหนูคนใด นอกจากคุณหนูบ้านมหาดไทยเลยสินะ” รังสิมาพูดพลางส่ายหน้าไปมา และทำสายตาราวกับว่าสิริกัญญาช่างเป็นคนที่ไม่มีมนุษยสัมพันธ์เอาเสียเลย “เจ้าควรพบปะสังสรรค์กับคุณหนูคนอื่นบ้าง หากยังคิดจะเป็นพระพี่เลี้ยงของเจ้าหญิงแสงอัปสรต่อไป และบางทีเจ้าอาจได้ข่าวที่น่าสนุกยิ่งกว่าการแอบฟังคนอื่นเขาพูดกัน”

สิริกัญญาคอแข็งขึ้นมาทันใด เมื่อรังสิมาพาดพิงมาถึงการกระทำของเธอ ยามอยากได้ข่าวบางอย่างจากพี่น้องในคฤหาสน์หลังนี้

“บางทีคุณหนูบ้านมหาดไทยคงยังไม่บอกเจ้า ว่านอกจากเจ้าหญิงแสงอัปสรแล้ว ยังมีเจ้าหญิงพระองค์ไหนไปคฤหาสน์ปาเยนทร์อีกบ้าง เรามาเรียนรู้การเข้าสังคมสำหรับคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ค่อนข้างน้อยสักหน่อยดีไหม”

รอยยิ้มของรังสิมาดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไร กับบทเรียนลัดที่เจ้าตัวนำเสนอ และต่อให้สิริกัญญาปฏิเสธอย่างไร พี่สาวต่างมารดาคนนี้ก็หาทางยัดบทเรียนนั้นโดยไม่สนใจเธออยู่ดี ดังนั้นหญิงสาวจึงใช้วิธีที่ถนัดที่สุด คือการปิดปากเงียบ และปล่อยให้รังสิมาพูดพร่ำไปคนเดียวตนกว่าเจ้าตัวจะพอใจ ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายทำตามใจตนเองเสร็จ ก็จะเลิกราวีน้องสาวสีน้ำเงินคนนี้ไปเอง

“คนที่เจ้าควรทำความรู้จักมักคุ้นไว้ คือเหล่าพระพี่เลี้ยงที่ติดตามเจ้าหญิงแต่ละพระองค์ ซึ่งทุกคนล้วนเป็นคุณหนูเชื้อสายขุนนาง บ้างก็เป็นลูกสาวคหบดีที่ต้องการความก้าวหน้า สงครามแย่งชิงอำนาจน่ะ ไม่ได้มีแต่ฝ่ายผู้ชายเท่านั้นหรอกนะ ฝ่ายผู้หญิงก็มี และอาจจะโหดร้ายกว่าด้วย”

รังสิมาหยุดพูดไว้แค่นั้น ก่อนกระตุกยิ้มขึ้น เมื่อน้องสาวไม่มีทีท่าแปลกใจกับประโยคสุดท้ายที่เธอเอ่ย หรืออาจเป็นเพราะได้เห็นตัวอย่างจากคฤหาสน์หลังนี้มามากมาย จึงไม่รู้สึกแปลกใจที่ว่าที่อื่นก็มีสงครามแย่งชิงความใหญ่ของพวกผู้หญิงอยู่ด้วย

หญิงสาวคลี่พัดที่ถืออยู่ในมืออย่างเชื่องช้า ก่อนหุบมันลงเต็มแรงจนเกิดเสียงดังฉับ “นับว่าเจ้าโชคดีที่ถูกแยกตัวมาอยู่ที่นี่ ไม่ต้องเจอกับการแก่งแย่งอำนาจของเหล่าผู้หญิงในบ้านใหญ่ ในนี้ก็เหมือนกับในวังที่เหล่าผู้หญิงต่างใช้มารยาที่มีติดตัวเป็นอาวุธ หรือเป็นเครื่องป้องกันตนเอง” แล้วหญิงสาวก็หลุดหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินข่าวการกลั่นแกล้งสารพัดชนิดของคุณหนูผู้โชคร้าย ที่ไม่อาจปริปากเรียกร้องอะไรได้

“และการที่เจ้าถูกพี่น้องกลั่นแกล้งมาตั้งแต่เด็ก ก็ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย เพราะนั่นหมายความว่าเจ้าสามารถรับมือกับการกลั่นแกล้งทุกรูปแบบที่มาจากคุณหนูที่ไม่ชอบหน้าเจ้า ยิ่งเป็นเจ้าในตอนนี้ที่ถูกปลดพันธนาการทั้งหมดออก ข้าว่าคงได้เห็นเรื่องสนุกมากมายเลยทีเดียว”

“ข้าไม่สนุกด้วยหรอกนะคะ” สิริกัญญาตอบกลับเสียงเรียบ และมีทีท่าไม่สนุกตามพี่สาวที่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะ พลางส่ายหน้าไปมากับคำพูดของเธอ

“เจ้าควรทำตัวให้สนุกเข้าไว้ หากยังเป็นพระพี่เลี้ยงให้กับเจ้าหญิงแสงอัปสรอยู่ ไม่มีคุณหนูคนไหนหรอกที่อยากคบกับคนที่ชอบทำหน้าบอกบุญไม่รับ” รังสิมาแย้มยิ้มหวาน เมื่อน้องสาวส่งสายตาดื้อดึง ไม่ยอมทำตามคำแนะนำของเธอ

“ไม่ใช่เพื่อตัวเองหรอกนะ สิริกัญญา แต่เพื่อเจ้าหญิงแสงอัปสรที่ต้องเสด็จสู่ที่สูงขึ้นไปอีก ความกว้างขวางของพระพี่เลี้ยง ถือเป็นฐานกำลังที่สำคัญของเจ้าหญิงที่อยู่ฝ่ายในเชียวนะ”

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวโยงกันไปหมด เพราะฐานะครอบครัวของคุณหนูแต่ละคน มีทั้งที่เป็นขุนนางและคหบดีที่มีฐานกำลังส่วนตัว ดังนั้นบางครั้งสิริกัญญาก็ได้ยินมาว่าคุณหนูบางคน หรือเจ้าหญิงบางพระองค์ต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ตนเองไม่เคยแม้แต่เจอหน้า ด้วยเหตุผลทางการเมือง หรือแท้ที่จริงก็คือเพื่อปูเส้นทางไปสู่สิ่งที่เรียกว่าอำนาจ และนั่นก็ทำให้หญิงสาวนึกถึงรังสิมาขึ้นมา เพราะจะว่าไปพี่สาวต่างมารดาคนนี้ ก็ต้องแต่งงานกับเจ้าชายที่ตนเองไม่รู้จัก ด้วยเหตุผลที่ไม่แตกต่างไปจากคนอื่นเท่าไร

“แต่ถึงข้าจะบอกให้เจ้าคบหากับคุณหนูพวกนั้น ข้าก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าจะทำได้หรือเปล่า” รังสิมากลั้วหัวเราะเล็กน้อย พลางเฝ้าคิดว่าน้องสาวต่างมารดาจะแสดงอาการเช่นไร หลังจากที่เธอพูดจบความ “เพราะคุณหนูที่ไปคฤหาสน์ปาเยนทร์ในวันนี้ล้วนเป็นคู่แข่งของเจ้าทั้งนั้น”

“คู่แข่ง?” สิริกัญญาทวนคำด้วยความงุนงง ว่ามันไปเกี่ยวอะไรกับการที่เธอไปเรียนการเรือนที่คฤหาสน์ปาเยนทร์

“อ้าว! นี่เจ้าไม่รู้หรอกรึ” รังสิมาขึ้นเสียงสูง พลางยกมือขึ้นทาบอก บอกอาการตกใจจนเกินเหตุ ซึ่งอาการนั้นต่อให้เป็นเด็กก็รู้ว่าเสแสร้งแกล้งทำ สิริกัญญาแค่นยิ้มและนึกอยากตอบกลับไปว่าหากเธอรู้ คงไม่ทวนคำถามนี้หรอก

“ตายจริง...” หญิงสาวคลี่พัดขึ้นปิดริมฝีปากที่กำลังแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พลางมองใบหน้าของน้องสาวต่างมารดาที่เริ่มแสดงสีหน้าไม่ชอบใจต่อความกำกวมของเธอ “นี่ล่ะผลของการที่เจ้าไม่คบกับคุณหนูคนอื่น ส่วนคุณหนูบ้านมหาดไทยก็ไม่ใช่พวกสนใจเรื่องทำนองนี้เสียด้วย เจ้าก็เลยไม่รู้อยู่คนเดียว”

สิริกัญญาขมวดคิ้วยุ่งกับเรื่องทำนองนี้ของรังสิมา แต่ถ้าให้เดาก็คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอเท่าไรนักหรอก เพราะพี่สาวต่างมารดาคนนี้มักสนุกยามเห็นเธอมีเรื่องวุ่นวายเข้ามาเป็นประจำ

“งั้นข้าจะบอกให้รู้แล้วกันว่าการที่เจ้าหญิงแต่ละพระองค์ต้องไปเรียนวิชาการเรือนถึงที่คฤหาสน์ปาเยนทร์ ไม่ใช่เพราะท่านผู้หญิงขาไม่ดีจนเดินทางเข้ามาสอนในวังไม่ได้เพียงอย่างเดียวหรอกนะ” รังสิมาหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ เมื่อเห็นน้องสาวสีน้ำเงินเริ่มอยู่ไม่สุขกับคำอธิบายที่เริ่มเผยความจริงออกมาทีละอย่าง

“แต่มันยังเป็นการดูตัวทางอ้อมของเจ้าปาเยนทร์ที่เจ้าหลวงทรงจัดให้ เพราะในวันเวลาเหล่านั้น มักเป็นช่วงที่เจ้าปาเยนทร์อยู่ที่คฤหาสน์ ดังนั้นคุณหนูทุกคนที่ไปคฤหาสน์ของเขาในวันนี้จึงเป็นคู่แข่งของเจ้า และเจ้าก็ควรระวังการถูกเขม่นหรือการกลั่นแกล้งเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเหล่าคุณหนูไว้ให้ดี เพราะมีข่าวลือแว่วมาว่าเจ้าปาเยนทร์กำลังสนใจในดอกไม้สีน้ำเงินของบ้านพรหมเทวาอยู่”

ใบหน้าที่มีสีของเครื่องสำอางแต่งแต้มบางเบา ถูกเลือดที่สูบฉีดอยู่ภายในละเลงบนเนียนแก้มจนเป็นสีแดงเข้ม ซึ่งมันเรียกเสียงหัวเราะอย่างไม่เกรงใจจากคนที่เฝ้าดูอาการของน้องสาวต่างมารดาตั้งแต่แรก

“ข้าไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้” สิริกัญญากัดฟันกรอด พลางนึกพาลไปยังคนที่แม้จะมาแค่ชื่อ ก็ยังหาเรื่องวุ่นวายใจมาให้เธอได้

“เจ้าไม่สนแต่คนอื่นเขาสนนี่” เมื่อนำเรื่องสนุกมาบอกเล่าให้น้องสาวสีน้ำเงินเสร็จ รังสิมาก็ลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวจากลาทันที โดยไม่ลืมส่งยิ้มหวานให้คนที่ไม่รู้ว่ากำลังโกรธหรืออายที่ถูกจับไปเป็นคู่ดูตัวกับเจ้าปาเยนทร์อยู่กันแน่ “ข้าลืมไปว่ามีธุระ ขอตัวเลยแล้วกันนะ แล้วก็...” หญิงสาวเว้นจังหวะพูดไว้ ก่อนก้มลงกระซิบริมหูอีกฝ่ายเสียงเบา

“ขอให้สนุกนะ กัญญา”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


หลังจากที่รังสิมาจากไปได้ไม่นานเท่าไร สิริกัญญาก็ผลุนผลันไปยังเขตของคนรับใช้ทันที เพื่อตามหาคนสนิทของปลายมาศ ที่ตอนนี้กำลังนั่งทานข้าวกับคนรับใช้คนอื่น และพอทุกคนเห็นคุณหนูแห่งเรือนหลังเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว ทุกคนก็ผุดลุกขึ้นยืนทำความเคารพทันที

ร่างโปร่งบางชะงักกึก เมื่อได้เห็นท่าทีของเหล่าคนรับใช้ หญิงสาวลืมไปว่าแม้ตัวเองจะเป็นเพียงลูกทาส แต่ก็มีฐานะเป็นถึงคุณหนูของบ้านนี้ด้วยเช่นกัน เหล่าคนรับใช้จึงต้องทำตามกฎเกณฑ์ของบ้าน ยามเจ้านายมาเยือน

“นั่งทานข้าวกันต่อไปเถอะ ข้ามาพบติณน่ะ”

เจ้าของชื่อรีบลุกขึ้นจากวงข้าวไปหาเจ้านายสีน้ำเงินด้วยความรวดเร็ว สิริกัญญาคลี่ยิ้มน้อย เมื่อเห็นอาการข้าวติดคอของคนสนิทพี่ชาย “ขอโทษทีที่มาขัดจังหวะทานข้าวนะ พอดีข้ามีเรื่องอยากให้ทำน่ะ ไว้ทานข้าวเสร็จไปหาข้าที่บ้านจันทร์กระจ่างก็ได้”

“ท่านกัญญาจะใช้ให้ข้าทำอะไรหรือขอรับ”

“ส่งจดหมายน่ะ แต่ข้ารีบร้อนไปหน่อย เลยลืมเขียน”

คำตอบของสิริกัญญาฟังดูแปลกไปหน่อยสำหรับคนฟัง แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีสิทธิ์ได้ถาม เมื่อหญิงสาวหมุนตัวเดินจากไปทันที ทิ้งให้คนรับใช้แต่ละคนพากันมองว่าคุณหนูสีน้ำเงินกินอะไรผิดสำแดงมา จึงได้แสดงท่าทางผิดแผกไปจากทุกวัน และคนที่ทำตัวแปลกก็กำลังบ่นกับตัวเอง ที่โดนพี่สาวต่างมารดาทำพิษเข้าให้เสียแล้ว

ถึงรังสิมาจะพูดว่ามันเป็นการดูตัวทางอ้อมของราเชน แต่ตอนนี้เขาก็คงไม่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาดูคู่ดูตัวของตัวเองหรอก แต่ต่อให้เขาไม่มีแรงลุกขึ้นมา สิริกัญญาก็ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นผู้ลงแข่งขันชิงตำแหน่งสะใภ้บ้านปาเยนทร์เด็ดขาด!

“อ๊ะ! มาอยู่นี่เองสิรี ข้าตามหาเจ้าตั้งนานแน่ะ”

“บริมาส!” สิริกัญญาร้องทักด้วยความแปลกใจ เมื่อเพื่อนมาหาเธอถึงบ้านตั้งแต่เช้า อีกทั้งยังไม่ได้มาคนเดียว คุณหนูพระจันทร์ยังพาเจ้าหญิงแสงอัปสร ที่ทอดพระเนตรมองปลายมาศด้วยความเกรงพระทัย ที่พระพี่เลี้ยงของพระองค์ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา เพื่อถามหาพระพี่เลี้ยงอีกคนที่ไม่ได้อยู่ในบ้าน

“ไปไหนมาหรือสิรี” ปลายมาศถามด้วยน้ำเสียงที่เจือความง่วงงุนไว้เล็กน้อย พลางปิดปากหาวราวคนที่ยังนอนไม่เต็มอิ่ม

“ออกไปหาติณค่ะ สิรีจะให้เขาไปส่งจดหมายลา” สิริกัญญาพูดพลางปรายตามองเพื่อนที่ยิ้มระรื่นเกินเหตุ มันทำให้หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าคุณหนูพระจันทร์จะรู้จุดประสงค์ของการไปเรียนวิชาการเรือนที่คฤหาสน์ปาเยนทร์ในครั้งนี้ด้วยหรือไม่

“จดหมายลา? ลาอะไรหรือสิรี” บริมาสถามเพื่อนอย่างสงสัย พลางลุกขึ้นมาเกาะแขนเพื่อนราวกับจะจับไว้ไม่ให้อีกฝ่ายได้หนีไปไหน

“วันนี้ข้ารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว” ...เพราะรู้สึกได้ถึงลางร้าย แต่ท่อนหลังนี่สิริกัญญาพูดกับตัวเองในใจ ก่อนมองเพื่อนที่ยังแย้มยิ้มหวาน ซึ่งหญิงสาวก็เหมาไปว่าคนงามก็เป็นหนึ่งในลางร้ายที่เธอไม่อยากพบเท่าไร “คิดว่าคงจะไม่สบาย เลยกะว่าจะให้ติณส่งจดหมายลาหยุดน่ะ”

บริมาสเบิกตามองคนที่ริป่วยการเมือง พลางยกมือขึ้นอังหน้าผากเย็นชื้นของอีกฝ่าย ก่อนหัวเราะคิก “ตัวไม่เห็นร้อนเลย ข้าว่าที่เจ้าครั่นเนื้อครั่นตัว คงเป็นเพราะเป็นความเครียดสะสมจากการทำงานมากกว่า เจ้าน่ะมันพวกชอบทำอะไรจริงจังไปหมด ต้องหาเรื่องผ่อนคลายทำเสียบ้าง”

“แล้วเรื่องผ่อนคลายที่เจ้าว่าน่ะมันเรื่องไหน” หญิงสาวมองคุณหนูพระจันทร์เขม็ง เพราะฟังดูแล้ว เจ้าตัวคงไม่ยอมให้เธอได้ลาหยุดแน่

“ก็อย่างเช่นการแกะสลักผลไม้ หรือทำของหวาน”

คนแกล้งป่วยอยากจะป่วยขึ้นมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อเรื่องผ่อนคลายเหล่านั้นอยู่ในบทเรียนที่จะต้องไปเรียนกับท่านผู้หญิงสรัสวดีในวันนี้ หญิงสาวหันไปมองพี่ชายอย่างขอความช่วยเหลือ แต่บริมาสกลับใช้สองมือจับใบหน้าเธอให้หันมาสบตาตอบ ก่อนกระซิบเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน

“แผนแกล้งป่วยน่ะ ข้าก็เคยใช้มาแล้วนะจ๊ะ แถมยังทำเนียนกว่าเจ้าด้วย”

“เจ้าก็พูดได้นี่” สิริกัญญากัดฟันกระซิบตอบกลับไป

“วิชานี้ต้องเรียนทั้งเจ้าหญิง ทั้งพระพี่เลี้ยง ข้าไม่ถนัดการเรือน เดี๋ยวเจ้าหญิงจะขายพระพักตร์เพราะข้า ช่วยข้าหน่อยนะ” บริมาสส่งสายตาวิงวอนไปยังเพื่อนที่ทำหน้ากึ่งจะร้องไห้ออกมา

“เจ้าเอาเจ้าหญิงมาขู่ข้านี่”

อย่างน้อย สิริกัญญาก็สู้เรื่องมารยาร้อยเล่มเกวียนกับบริมาสไม่ได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงต้องพ่ายแพ้ไปตั้งแต่ยกแรก และเห็นทีเธอต้องไปแก้ปัญหาที่คฤหาสน์ปาเยนทร์ว่าทำอย่างไร คุณหนูพวกนั้นจะไม่มองเห็นเธอเป็นคู่แข่ง!

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


รถม้าห้าคันพากันเรียงแถววิ่งผ่านประตูคฤหาสน์ปาเยนทร์เข้าไปด้านใน จนหยุดอยู่หน้าเรือนไม้ใหญ่ที่มีสตรีเจ้าของบ้าน ลูกสาวกับแม่นม และสาวใช้อีกสามคนยืนรอรับเสด็จเหล่าเจ้าหญิงที่ลงมาจากรถม้า โดยเป้าสายตาของท่านผู้หญิงสรัสวดี ตกไปอยู่ที่รถม้าคันสุดท้าย อันเป็นของเจ้าหญิงแสงอัปสรที่มีพระพี่เลี้ยงติดตามถึงสองคน ซึ่งพระพี่เลี้ยงคู่นี้กำลังเป็นที่กล่าวขวัญของหลายฝ่ายมากทีเดียว

คนหนึ่งถูกวางตัวให้เป็นว่าที่พระชายาของเจ้าชายชัยนเรนทร์ ส่วนอีกคนก็มีข่าวลือมาหลายกระแส บ้างก็ว่าอาจถูกถวายตัวเข้าเป็นนางห้าม บ้างก็ว่ามีเจ้าชายหลายพระองค์ต้องพระทัยในตัวหญิงสาวผู้นี้ โดยหนึ่งในบุรุษที่ต้องตาต้องใจดอกไม้สีน้ำเงิน ก็มีชื่อของลูกชายท่านผู้หญิงอยู่ด้วย แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ท่านผู้หญิงจ้องมองหญิงสาวสีน้ำเงินไม่วางตา คงเป็นเพราะสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกายของอีกฝ่ายมากกว่า

“บ้านปาเยนทร์ยินดีต้อนรับเจ้าหญิงทุกพระองค์เพคะ” ท่านผู้หญิงพูดพลางย่อตัวถวายบังคมอย่างแช่มช้าสวยงาม ซึ่งหากไม่มีไม้เท้าที่คอยค้ำยันร่างโปร่งระหงไว้ ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าขาของท่านพิการ

“ต่อไปนี้หม่อมฉันขอเรียกทุกพระองค์และพระพี่เลี้ยงว่านักเรียนตลอดการเรียนในช่วงเช้า” ท่านผู้หญิงสรัสวดีเอ่ยต่อไปอย่างรวดเร็ว พลางยิ้มให้กับนักเรียนบางคนที่คุ้นหน้า และนักเรียนใหม่ที่คุ้นตา “ขอให้นักเรียนทุกคนตามข้ามาค่ะ”

ทุกคนเดินตามอาจารย์เพื่อไปห้องเรียนอย่างคุ้นเคย ยกเว้นกลุ่มของเจ้าหญิงแสงอัปสร ที่เพิ่งมาเยือนคฤหาสน์ปาเยนทร์เป็นครั้งแรกเท่านั้น ที่พร้อมใจกันยืนมองเรือนไม้สักดำ ที่เชื่อได้ว่ามีอยู่หลังเดียวในปามะห์ด้วยสายตาตื่นตะลึง

“ข้าก็เคยได้ยินอยู่หรอกนะว่าคฤหาสน์ปาเยนทร์เป็นเรือนไม้ทั้งหลัง...” บริมาสกลืนน้ำลายลงคอดังอึกกับขนาดของเรือนไม้ที่ออกจะมโหฬารเกินไปเสียหน่อย “ดูสิ...เสาค้ำหน้าบ้านใหญ่ขนาดที่พวกเราสามคนโอบไม่มิดเลย”

“ในแคว้นเราไม่มีไม้สักดำ มันคงเป็นของนำเข้า ดูจากขนาดของไม้พวกนี้คงขนมาทางเรือ แต่ถึงขนาดเอาเข้ามาภาคกลางด้วยจำนวนมากมายแบบนี้ได้ คงเสียส่วยให้กับนายท่าที่พูงฆาห์ไม่น้อย” สิริกัญญาตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบเนือย เพราะสายตาของเธอกำลังจดจ้องอยู่กับดอกราชาวดีที่ติดอยู่บนจั่วหน้าคฤหาสน์

“ใครจะสนเรื่องที่เจ้าปาเยนทร์เสียส่วยให้พูงฆาห์เท่าไร ที่สนน่ะคือตัวเจ้าของบ้านต่างหาก”

สิริกัญญาทำหน้าหน่ายใจกับคุณหนูพระจันทร์ ที่วกเข้ามายังเรื่องของราเชนอีกจนได้ “เจ้าของบ้านน่ะ ตายไปตั้งหลายปีแล้ว ถ้าสนใจประวัติของเขา เจ้าจะยืมหนังสือของพี่ปลายมาศไปอ่านก็ได้นะ รู้สึกว่าข้าจะเคยเห็นผ่านตาอยู่” และมันอดไม่ได้ที่หญิงสาวจะสวนตอบกลับไป

“ข้าหมายถึงทายาทต่างหาก” บริมาสขึงตาใส่ให้ เมื่อเพื่อนจงใจเปลี่ยนเรื่อง

“เอ๊ะ! เจ้าสนเจ้าปาเยนทร์ด้วยหรือ แล้วพระอาทิตย์ของเจ้าล่ะ เอาไปเก็บไว้ตรงส่วนไหน”

เจ้าหญิงแสงอัปสรทรงทอดพระเนตรมองการโต้เถียงของสองพระพี่เลี้ยง ที่กลายเป็นการหาเรื่องชวนตีไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่ก็ทรงจับได้ว่าพระพี่เลี้ยงพระจันทร์กำลังลุ้นให้พระพี่เลี้ยงสีน้ำเงินที่ไม่ค่อยสนผู้ชายเท่าไร ให้หันมาชอบผู้ชายที่ถูกผู้หญิงนินทามากที่สุดในปามะห์ แล้วคราวนี้ทางฝ่ายหลังไม่เล่นด้วย จึงชอบย้อนกลับด้วยถ้อยคำบางอย่าง ที่ทำให้ทรงสงสัยหนักขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อคนไม่สนใจผู้ชายพูดราวกับว่าเพื่อนของตัวเองมีคนที่ชอบพออยู่แล้ว โดยคนผู้นั้นไม่ใช่เชษฐาของพระองค์

“บริมาสไม่ได้ชอบพี่ชัยนเรนทร์หรอกหรือ”

คำถามของเจ้าหญิงแสงอัปสรทำให้สองพระพี่เลี้ยงหยุดหาเรื่องชวนตี และเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่เวลาโต้เถียงกัน แต่กว่าจะรู้สึกตัว คนอื่นก็เดินลับหายกันไปหมดแล้ว

“ตายล่ะ สิรี คนอื่นเขาทิ้งเราไปหมดแล้ว”

“ก็ใครกันที่ชี้ชวนให้คนอื่นดูนั่นดูนี่” สิริกัญญาพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ พลางหันไปแย้มยิ้มกับเจ้าหญิงน้อยที่กะพริบเนตรปริบกับการเบี่ยงประเด็นอย่างแนบเนียนของสองพระพี่เลี้ยง “ขอประทานอภัยด้วยนะเพคะที่พวกหม่อมฉันเอาแต่เถียงกัน เลยทำให้พระองค์ไม่ได้เข้าเรียนพร้อมคนอื่น”

“เรื่องนั้นข้าไม่คิดมากหรอก” เจ้าหญิงแสงอัปสรตรัสตอบอย่างไม่ถือโกรธ พลางหรี่เนตรมองสองพระพี่เลี้ยงที่ทำเป็นลืมคำถามของพระองค์ ซึ่งทรงไม่ยอมแพ้ที่จะเค้นคำตอบจากพระพี่เลี้ยงพระจันทร์ให้ได้ “แต่เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยนะบริมาส เจ้าไม่ได้ชอบพี่ชัยนเรนทร์ของข้าหรอกหรือ”

สองพระพี่เลี้ยงลอบมองสบตากัน เมื่อเจ้าหญิงไม่ทรงปล่อยเรื่องของคุณหนูพระจันทร์ให้ผ่านเลยไป บริมาสทำท่ากระอักกระอ่วน พลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางสิริกัญญา ที่เริ่มเรื่องพระอาทิตย์ของเธอขึ้นมาก่อน คนก่อเรื่องจึงได้แต่ส่งสายตาขอโทษขอโพย แล้วก้มตัวลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าหญิง ที่ส่งสายพระเนตรมาว่าจะทรงกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อยแน่

“พระองค์เคยรักใครบ้างไหมเพคะ” สิริกัญญาชะงักคำพูดไปครู่หนึ่ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเจ้าหญิงน้อยแทบไม่ค่อยได้พบปะกับคนต่างเพศ และยังทรงพระเยาว์เกินกว่าจะเข้าใจว่าความรักนั้นเป็นอย่างไร หญิงสาวจึงแย้มยิ้ม แล้วเอ่ยแก้ประโยคใหม่ “...ไม่ต้องรักก็ได้เพคะ แค่ชอบหรือแอบปลื้มใครสักคน...คนที่ทำให้หัวใจเราพองโต เต้นผิดจังหวะอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใคร”

คำถามของสิริกัญญาเรียกสีเลือดจากพระปรางทั้งสองข้างของเจ้าหญิงน้อย และมันก็ตอบคำถามของหญิงสาวได้ดีกว่าคำพูดไหน “พระองค์อาจหาคำพูดมาบรรยายความรู้สึกนี้ไม่ได้ แต่พระหทัยของพระองค์ก็ทรงรู้และเข้าใจมันได้ดี และเมื่อทรงได้รักใครสักคน พระองค์จะไม่สนใจใครอีก แม้ว่าจะถูกคนอื่นขัดขวางก็ตาม”

“อย่างนี้เสด็จพี่ของข้าก็เป็นผู้ร้ายน่ะสิ”

เสียงทักท้วงจากเจ้าหญิงน้อยเรียกรอยยิ้มจากพระพี่เลี้ยงสีน้ำเงิน ให้แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าบางเบา “เจ้าชายไม่ได้เป็นผู้ร้ายหรอกเพคะ เพราะทรงเอ็นดูบริมาสแบบน้องสาว การพยายามจับคู่ของใครบางคนก็เลยไร้ผล”

เจ้าหญิงแสงอัปสรครางอือในพระศอ และไม่เข้าพระทัยเท่าไรว่าสองพระพี่เลี้ยงทำอย่างไรจึงรู้ว่าเจ้าชายชัยนเรนทร์ไม่ได้สนพระทัยในตัวของบริมาส ในเมื่อแต่ละครั้งที่ทรงแวะเวียนไปตำหนักอรินทรา พระเชษฐาก็มักจะถามไถ่ถึงคุณหนูพระจันทร์ก่อนเสมอ อีกทั้งยังหยอกล้อเล่นหัวกับพระพี่เลี้ยงของพระองค์ด้วยท่าทางไม่ถือองค์ ซึ่งไม่เคยกระทำกับสตรีคนใดมาก่อน แต่ความคิดของเจ้าหญิงก็หยุดชะงัก เมื่อเสียงของใครบางคนดังขัดขึ้นเสียก่อน

“ทำไมพวกเจ้าถีงไม่พาเจ้าหญิงของตัวเองเข้าไปข้างในเสียที!”

เสียงแหลมแสบแก้วหูที่บอกถึงความไม่สบอารมณ์ ทำให้สองพระพี่เลี้ยงมองเจ้าของเสียงนั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันไป ฝ่ายบริมาสนั้นจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรีของบ้านปาเยนทร์ ที่มีเสียงเล่าลือกันว่าหวงพี่ชายยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ บรรดาคู่รักบางคนของเจ้าปาเยนทร์ต้องหนีกระเจิดกระเจิงไป ก็เพราะการแผลงฤทธิ์แผลงเดชของแม่น้องสาวที่ถูกพี่ชายโอ๋เสียจนเคยตัว ดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยชอบเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าสามปีเสียเท่าไร เพราะอีกฝ่ายเป็นก้างชิ้นโตที่จะขวางทางรักระหว่างเพื่อนกับราเชน

แต่สำหรับสิริกัญญาที่เตรียมพร้อมรับความไม่เป็นมิตรก็ทำเพียงนิ่งเฉย แต่ไม่วายส่งสายตาเย็นชาตอบกลับไป ทำให้มิรันตีรู้สึกไม่ชอบใจท่าทางหยิ่งทะนงของหญิงสาวสีน้ำเงินคนนั้นมากขึ้นไปอีก เพราะเสียงเล่าลือของอีกฝ่ายที่ลอยมากระทบหูนั้น มีแต่เรื่องที่ทำให้เธอหงุดหงิดได้ทุกครั้ง

สำหรับเรื่องของราเชนที่ลือกันว่ากำลังสนใจดอกไม้สีน้ำเงินนั้น เป็นเรื่องที่มิรันตีชาชินเสียแล้ว และเธอก็คิดว่าถึงอย่างไรพี่ชายก็คงสนใจผู้หญิงคนนี้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ตามประสาคนที่ชอบลิ้มลองของแปลกใหม่ แต่ข่าวลือเรื่องที่เจ้าอินของเธอแวะเวียนไปหาอีกฝ่ายนี่สิ ที่ทำให้เธอไม่ชอบใจเอาเสียเลย

“เรามัวแต่ตกใจน่ะ เพราะเพิ่งเคยเห็นบ้านไม้ทั้งหลังแบบนี้เป็นครั้งแรก” เจ้าหญิงแสงอัปสรตรัสแทนสองพระพี่เลี้ยง ที่เอาแต่ส่งสายตาโต้ตอบกับลูกสาวเจ้าของบ้าน ซึ่งพออยู่ด้วยกันนานวันเข้า ก็ทรงรู้ว่าทั้งคู่มีนิสัยที่ตรงกันข้ามกับที่เห็นภายนอกมากนัก

มิรันตีย่อตัวให้เจ้าหญิงที่มีพระนิสัยแตกต่างไปจากข่าวลือที่ได้ยิน ก่อนแย้มยิ้มหวานตามมารยาท “ถ้าพระองค์ทรงสนพระทัย หม่อมฉันจะพาชมถวายเพคะ แต่ตอนนี้ท่านแม่ให้หม่อมฉันมาตามพระพี่เลี้ยงที่ยังไม่พาพระองค์เข้าไปด้านใน ให้เข้าชั้นเรียนได้แล้ว” พอพูดจบ ดวงตากลมโตก็ตวัดไปมองสองพระพี่เลี้ยงด้วยสายตากล่าวโทษทันที

“งั้นก็พาพวกเราไปเถอะ ป่านนี้คงทำให้คนอื่นคอยแย่แล้ว”

“เชิญเสด็จเพคะ” มิรันตีย่อตัวลงอีกครั้ง แล้วหมุนตัวกลับไป โดยไม่วายส่งสายตาเป็นอริกับพระพี่เลี้ยงสีน้ำเงินที่ส่งรอยยิ้มหวานตอบโต้

“ท่าทางเจ้าจะถูกเขม่นล่ะสิรี” บริมาสหันไปกระซิบกับเพื่อน พลางบุ้ยใบ้ไปทางมิรันตีที่มาแปลกไปจากทุกที ด้วยเจ้าตัวไม่เคยแสดงท่าทางเป็นอริกับใครอย่างชัดเจนเท่ากับที่ทำกับสิริกัญญา

“นางคงคิดว่าข้าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้หญิงที่จะมาแย่งพี่ชายของตัวเองไปกระมัง” สิริกัญญาตั้งข้อสังเกตที่ตัวเองไม่ค่อยอยากยอมรับเสียเท่าไร เพราะคนอื่นคงไม่คิดว่าเธอจะมาที่คฤหาสน์ปาเยนทร์ เพื่อเรียนวิชาการเรือนเพียงอย่างเดียว

“ไม่นะ...” คุณหนูพระจันทร์ท้วงอย่างไม่เห็นด้วย “ถ้านางคิดแบบที่เจ้าว่า ขั้นตอนแรกนางจะโปรยยิ้มหวานเพื่อให้เจ้าคลายความระมัดระวัง แล้วพอเผลอก็จะเล่นงานเจ้าเสียจนร้องไม่ออก” แล้วหญิงสาวก็บุ้ยใบ้ไปทางคนในหัวข้อสนทนาอีกครั้ง “แต่นี่มาไม้แข็งตั้งแต่ยกแรก หรือว่าเจ้าเคยพบนางมาก่อน แล้วไปทำอะไรให้ถูกเกลียดขี้หน้าเข้า”

“อยากเกลียดก็เกลียดไป เพราะยังไงข้าก็ชินกับสายตาพวกนี้อยู่แล้ว” หญิงสาวตอบกลับด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน พลางเงยหน้าขึ้นสบตาตอบดวงตาอีกหลายคู่ ที่แสดงความเป็นอริผ่านแววตาออกมาอย่างชัดเจน หลังจากที่มิรันตีพาพวกเธอมาถึงห้องเรียน และหนึ่งในนั้นก็มีคนที่เธอคุ้นเคยอยู่ด้วย

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจัดตารางแบ่งกลุ่มวิชาการเรือนของเหล่าเจ้าหญิง แต่อย่างน้อยก็เดาได้ว่ามีใครบางคนอยากเห็นพี่น้องทำการแย่งผู้ชายคนเดียวกัน ซึ่งสิริกัญญาอาจไม่รู้สึกอะไรกับเป้าหมายของคนที่อยู่เบื้องหลัง หากพี่น้องคนนั้นไม่เคยมีปัญหาเรื่องผู้ชายกับเธอ...อรัญญา!



Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2551 19:58:17 น.
Counter : 335 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog