Devil Crisis ภารกิจพิทักษ์จอมมาร 1

การไต่สวนเริ่มมาพักใหญ่แล้วแต่ความเคร่งเครียดของเหล่าคณาจารย์ ยังคุกคามความรู้สึกของเขาได้น้อยกว่าท่าทางนิ่งเฉยของชายหนุ่มผมทองที่นั่งประสานมืออยู่บนโต๊ะฝั่งตรงข้ามเสียอีกเจ้าของดวงตาสีฟ้าครามคู่นั้นมักทอประกายวาววาบ ยามเหล่าคณาอาจารย์ไล่เรียงวีรกรรมที่ไม่ได้ตั้งใจก่อไว้มากมาย

นับตั้งแต่ฟีเดลเข้ามาเป็นนักศึกษาของที่นี่ก็มีเรื่องทะเลาะวิวาทบ่อยครั้งแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะไปหาเรื่องใครก่อนหรือสานเรื่องที่มีคนเข้ามาหาแต่อย่างใด สิ่งเดียวที่เขายอมรับผิดว่าตัวเองเป็นคนทำจริงคือการที่เขาเผลอถล่มอาคารเรียนไปโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเนื้อที่กำลังถูกมีดแล่เฉือนเป็นแผ่นบาง

“ใจเย็นน่า อันเซลยังไงก็ไม่มีคนตายไม่ใช่หรือไง”

“ท่านกำลังหวังให้เป็นอย่างนั้นอยู่ไม่ใช่หรือครับอาเบล”

ชายหนุ่มที่ดำไปทั้งตัวยกเว้นสีผิวขาวจัดกลั้วหัวเราะตอบกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้านเท่าไรนักซึ่งเขาได้ช่วยเหลือฟีเดลไม่ให้ขาดใจ ด้วยโดนดวงตาสีฟ้าครามที่คมดุจมีดจดจ้องตายไปเสียก่อนและยังเป็นต้นเหตุให้เด็กหนุ่มต้องมาอยู่ที่นี่ด้วยความไม่เต็มใจเท่าไร

หากเป็นเมื่อก่อนฟีเดลคงไม่รู้จักชายหนุ่มที่ดูจะถูกใจความวินาศสันตะโรที่เขาก่อขึ้นมาหรอก เด็กหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนเดียวกับอาเบลแฮมไชร์ ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกทวีปจากสงครามชิงดินแดน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งและควบตำแหน่งผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยอินาร่ารุ่นแรก

สถานศึกษาที่เปิดทำการมายาวนานถึงสามร้อยปีเต็มแห่งนี้ทำให้ฟีเดลไม่คิดว่าผู้ก่อตั้งจะมีอายุยืนนานเทียบเคียงรุ่นทวดและยิ่งคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยังหนุ่มฟ้อราวคนอายุยี่สิบต้นอย่างนี้!

เด็กหนุ่มนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะได้พบคนที่มีหน้าตาตรงกันข้ามกับอายุช่วงเวลานั้นเป็นตอนที่เขาเพิ่งผ่านพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ซึ่งหลังจากผ่านพ้นพิธีนั้นมา เด็กที่เข้าวัยหนุ่มสาวจะเริ่มหาที่เรียนกันตามความชอบหรือตามความตั้งใจของพ่อแม่

บางคนเลือกเรียนวิชาสามัญเพื่อต่อยอดพื้นฐานที่ร่ำเรียนกันมาตั้งแต่วัยเด็กก่อนไปประกอบอาชีพตามความถนัด หรือสืบทอดกิจการในครอบครัวของตน แต่บางคนที่มีความสนใจหรือมีความสามารถพิเศษก็จะเข้าเรียนในสถาบันผู้วิเศษซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงคนที่เลือกเรียนด้านนี้ ถ้าไม่ใช่นักเรียนทุน หรือมีผู้อุปถัมภ์เงินหนา ก็ไม่พ้นลูกหลานคหบดีหรือข้าหลวงของอาณาจักรต่างๆ โดยรวมไปถึงเหล่าเชื้อพระวงศ์ด้วย

แต่ในกรณีของฟีเดลค่อนข้างแตกต่างจากเด็กคนอื่นอยู่เสียหน่อยเพราะนับตั้งแต่จำความได้ แม่ก็พาเขาเดินทางระหกระเหเร่ร่อนมาโดยตลอด พวกเขาใช้ชีวิตกันไปเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมายปลายทาง และไม่มีความคิดที่จะตั้งรกรากที่ไหนแม่จึงเป็นผู้สอนสรรพวิชาแทนครูให้เขามาตั้งแต่เด็ก บางคราคนไข้ของแม่ที่มาอยู่ด้วยกันเพื่อพักรักษาตัวก็อาสาสอนสิ่งที่ตัวเองถนัดให้ จนเด็กหนุ่มรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องไปหาที่เรียนที่ไหนให้ยุ่งยากเพราะความรู้ของบรรดาอาจารย์ล้วนมีมากกว่าที่บรรจุอยู่ในสถาบันการศึกษาเสียอีก

ฟีเดลค่อนข้างพอใจชีวิตที่เป็นอยู่การเป็นคนไร้ราก โยกย้ายถิ่นฐานตามความพอใจของตัวเองไม่ได้ทำให้สองแม่ลูกรู้สึกลำบากแต่อย่างใดพวกเขาค่อนข้างสนุกเสียด้วยซ้ำเมื่อได้เห็นอะไรแปลกใหม่อยู่เสมอ ได้พบพานและลาจากเพื่อกลับมาต่อสายสัมพันธ์กับผู้คนที่ตนผูกพัน

จนวันหนึ่ง อาเบลก็มาเคาะประตูหน้าบ้านแม่ทำท่าตกใจก่อนที่แขกแปลกหน้าจะแนะนำว่าตัวเองเป็นใครเสียอีก ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่ต้องการพบแม่แต่ไม่รู้ว่าแม่มีใบหน้าค่าตาอย่างไรอาศัยเพียงคำบอกเล่าของคนรู้จักที่เคยเป็นคนไข้ของแม่เดาสุ่มมาเท่านั้น ซึ่งเป็นการเดาสุ่มที่แม่นยำเกินไปเสียหน่อยเด็กหนุ่มสังเกตเห็นท่าทีของแม่ และข้องใจในจุดประสงค์การมาของชายหนุ่มที่ดำมืดไปทั้งตัวเขาได้แต่เก็บงำความสงสัยนั้นไว้ในใจ แล้วเฝ้าดูท่าทีของทั้งคู่เงียบๆ

ทั้งคู่คุยกันไม่นานเท่าไรก่อนที่แม่จะบอกให้ฟีเดลรู้ว่า อาเบลมารับพวกเขาสองแม่ลูกให้ไปอยู่ที่อินาร่าและอยากให้เด็กหนุ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในสังกัด โดยไม่มีการทดสอบก่อนเข้าเรียนใดๆจนมีคนเอาไปลือว่านักศึกษาใหม่เข้ามาได้เพราะเส้นสาย แม้จะได้ยินข่าวลือในภายหลัง เขาก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าตัวเองเข้ามาด้วยเส้นที่ใหญ่อย่าบอกใครแถมยังมีความสัมพันธ์ชิดใกล้กับเจ้าของเส้นสายจนน่าตกใจเลยทีเดียว

อินาร่าเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในนครรัฐลีราวาของจักวรรดิเลาดีเซีย การปกครองของที่นี่ไม่ขึ้นตรงต่อพระมหาจักรพรรดิแต่เป็นการผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จ โดยอำนาจนั้นอยู่ที่ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยอินาร่ามหาวิทยาลัยการอาชีพเพียงแห่งเดียวในเลาดีเซีย

การที่มหาวิทยาลัยอินาร่าถูกเรียกแบบนั้นเพราะที่นี่ให้นักศึกษารับภารกิจ เพื่อฝึกทักษะและเก็บคะแนนภาคปฏิบัติ อีกทั้งยังมีค่าตอบแทนเมื่อปฏิบัติภารกิจสำเร็จซึ่งภารกิจของอินาร่าจะมีตั้งแต่ระดับหนึ่งดาวไปจนถึงห้าดาว สามระดับแรกมีเข้ามาบ่อยจนบางปีก็ล้นเกินจำนวนนักศึกษาที่มีอยู่ไปมากนานทีหนจึงจะมีภารกิจระดับสี่ดาวและห้าดาวเข้ามาและมีเกณฑ์การเลือกนักศึกษาที่จะรับภารกิจค่อนข้างสูงซึ่งหากนักศึกษาคนใดผ่านภารกิจสองระดับนี้ได้ก็เหมือนเป็นการประกาศจบการศึกษากลายๆ

ดังนั้นจึงมีคนหนุ่มสาวมากมายที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักศึกษาของสถาบันแห่งนี้เพื่อความก้าวหน้าในอนาคตของตัวเอง

คนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องการเข้าเรียนที่ไหนอย่างฟีเดลยังเคยได้ยินเรื่องมหาวิทยาลัยอินาร่ามาไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือ เรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานเดินได้อย่างผู้ก่อตั้งสถาบันที่เคยสร้างวีรกรรมน่าตื่นตาตื่นใจไว้หลายอย่างเขาเป็นทั้งปราชญ์ เป็นจอมคาถา เป็นพ่อมดผู้วิเศษเกินใครและเป็นวีรบุรุษในสงครามชิงดินแดนเมื่อสามร้อยปีก่อน

แต่ที่แย่ที่สุดคืออาเบล แฮมไชร์ เป็นตาแก่จอมวายร้ายที่ชอบรังแกเด็ก!

ฟีเดลยังจำวันแรกที่อาเบลพาเขามายังมหาวิทยาลัยได้ดีแม้เจ้าตัวจะบอกแม่ไปว่า ไม่มีการทดสอบก่อนเข้าเรียนเหมือนนักศึกษาคนอื่นที่มาสมัครสอบแต่ชายหนุ่มมีความอยากรู้อยากเห็นว่า บรรดาอาจารย์จำเป็นของเขาสอนอะไรไว้บ้างจึงส่งนักศึกษาระดับสูงมาเล่นกับเขาโดยเฉพาะ

การทดสอบแรกคือวิชาว่าด้วยเรื่องคาถาอาคม ผลที่ได้ไม่น่าปลาบปลื้มเท่าไรนักเพราะอาคมที่ร่ำเรียนมาจากอาจารย์จำเป็นให้พลังที่รุนแรงเกินไปหน่อยกระดาษอาคมที่ฟีเดลเขียนเลยส่งเสียงตูมตามให้ใครต่อใครขวัญหายและหวาดผวากันถ้วนหน้า

ครั้นพอไปทดสอบฝีมือเชิงดาบบ้างฟีเดลก็ทำให้บรรดานักศึกษาระดับสูงหมดความมั่นใจไปตามกัน เพราะแค่เด็กหนุ่มแสดงฝีมือไปเพียงสามในสิบส่วนยังไม่วายได้เฉาะหัวคู่ซ้อมที่หลบไม่ทันจนเลือดไหลโกรก เดือดร้อนไปถึงอันเซลผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยอินาร่าคนปัจจุบันที่พอรู้ว่า ใครเป็นอาจารย์สอนวิชาดาบให้เด็กเส้นที่มีสายเลือดเกี่ยวโยงกับตัวเองก็ห้ามไม่ให้อาเบลเอานักศึกษาของตัวเองมาเป็นคู่ซ้อมมืออีก

ส่วนเรื่องการปรุงยานี่คงไม่ต้องพูดถึงเขาเคยทดลองเป็นลูกมือช่วยแม่ปรุงยามาตั้งแต่วัยเด็กแต่แทนที่จะช่วยบรรเทาทุกข์ให้เหล่าผู้เจ็บไข้ได้ป่วย กลับกลายเป็นช่วยให้อีกฝ่ายพ้นทุกข์ชนิดหลับไม่ตื่นไปเลยซึ่งแม่บอกว่า ยาของเขาไม่เหมาะกับมนุษย์ แต่ก็ใช้ได้ดีกับมนุษย์ที่เยื้องย่างเข้าสู่หุบเขาเงามัจจุราช

อาเบลดูจะพออกพอใจความสามารถเกินผู้เกินคนของฟีเดลอยู่มากเพราะจะว่าไปบรรดาอาจารย์ของเด็กหนุ่มล้วนไม่ใช่มนุษย์ หรือเคยเป็นมนุษย์กันอยู่แล้วแต่แทนที่อีกฝ่ายจะปล่อยเขาให้ไปใช้ชีวิตในแบบของตัวเองชายหนุ่มกลับบรรจุเขาเข้าเป็นนักศึกษาพิเศษแล้วบอกให้เขาเรียนอะไรก็ได้ที่ตัวเองสนใจ

แม้ฟีเดลจะไม่สนใจเรื่องการเข้าเรียนในสถาบันไหนแต่เขาก็สนใจความรู้มากมายที่อยู่ในโลกใบนี้ มหาวิทยาลัยอินาร่าตอบสนองความต้องการของเขาได้มากเกินพอซึ่งวิชาที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ วิชาภาษาศาสตร์ ที่นี่มีสอนเกือบทุกภาษาทุกเผ่าพันธุ์เลยทีเดียว รองลงมาคือวิชาประวัติศาสตร์ของทุกเผ่าพันธุ์ที่ดำรงอยู่และสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปแล้ว รวมถึงตำนานของเหล่าเทพและหมู่มารที่ดูเหมือนห่างไกลความจริงแต่เชื่อได้เลยว่า หากลองได้พบเจอตำนานเหล่านั้นจะรู้เลยว่าสิ่งที่บันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ยังมีน้อยกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงเสียอีก

เด็กหนุ่มไม่รู้หรอกว่าตัวเองอยากทำอะไรในอนาคตแต่เขาสนใจด้านภาษาและประวัติศาสตร์ บางครั้งเขายังเคยคิดเล่นๆ เลยว่าหากได้ลงหลักปักฐานที่ไหนอย่างถาวร เขาอยากลองทำสวน ทำฟาร์มปศุสัตว์ไม่ก็เพาะพันธุ์นกเลี้ยงซึ่งแม่ก็ชอบหัวเราะขบขันยามที่เขาเล่าความชอบให้ฟังอยู่เสมอ

“เอาเป็นว่าพักการเรียนฟีเดลไปก่อนแล้วกันนะ”

“หา!?”หนึ่งในเสียงอุทานที่ดังลั่นห้องมีเสียงของฟีเดลปนอยู่ด้วยเด็กหนุ่มละจากการรำลึกอดีต แล้วเงยหน้ามองอาเบลที่แย้มยิ้มสนุก แต่ไอ้ดวงตาวิบวับน่ะบอกความหมายได้ว่าเรื่องไม่จบแค่พักการเรียนแน่

“ก็ทางคนที่ฟีเดลไปมีเรื่องด้วยเป็นลูกชายของลอร์ดเทอร์เรีย เขาร้องเรียนมาถึงข้าโดยตรงว่าควรจัดการอะไรสักอย่างกับคนที่ทำร้ายร่างกายลูกชายของเขามาแล้วหลายครั้ง”อาเบลอธิบายด้วยรอยยิ้มใสซื่อ แต่คนที่รู้จักรอยยิ้มของชายหนุ่มย่อมรู้ดีว่าเจ้าตัวกำลังคิดไม่ซื่อเหมือนที่แสดงออก บางทีอาจกำลังหาเรื่องมาให้คนรอบข้างเดือดร้อนด้วยก็ได้

“อีกอย่างหลานเราก็ไม่ได้เป็นฝ่ายไปหาเรื่องเขาก่อนข้าเห็นว่าแค่พักการเรียนคงเพียงพอแล้ว”

“เรื่องนั้นข้าไม่ขัดข้องหรอกครับแต่จะทำอย่างไรเรื่องที่เขาพังตึกเรียนของข้าไปล่ะ”อันเซลแยกเขี้ยวใส่คนที่ชมชอบความวุ่นวาย แม้คิ้วข้างขวาจะกระตุกเตือนให้รู้ว่า ตัวเองอาจต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนึกสนุกของอีกฝ่ายด้วย

“ก็ซ่อมแซมตึกไปสิหรือถ้ายุ่งยากนักจะสร้างใหม่ไปเลยก็ได้ เรามีช่างก่อสร้างเป็นคนแคระตั้งเยอะไม่เห็นยากอะไร”

ฟีเดลรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเส้นความอดทนของใครบางคนขาดผึงเขายกมือขึ้นอุดหูเหมือนเหล่าคณาจารย์ที่เดาได้ว่า ผู้อำนวยการคนปัจจุบันจะอาละวาดหลังจากได้ยินคำตอบที่ไร้ความรับผิดชอบของอาเบลอย่างไรบ้างพอรู้ตัวอีกที เด็กหนุ่มก็ถูกไล่ออกมาจากห้องประชุมพร้อมหนี้ก้อนโตเสียแล้ว

เด็กหนุ่มค่อนข้างหนักใจเรื่องหนี้สินที่ได้มาอย่างไม่ทันตั้งตัวแม้รายได้จากการเป็นหมอยาของแม่จะมีมากถึงขนาดใช้หนี้ให้ลูกชายก็ยังมีเงินเหลือเก็บอีกบานตะไทแต่เขาไม่อยากพึ่งพิงแม่เหมือนลูกแหง่ไม่ยอมโตอย่างที่ไอเวส ลูกชายของลอร์ดเทอร์เรียปรามาสไว้และเขาก็ยอมรับว่าตัวเองผิดที่ไปโมโหอีกฝ่ายตามคำยุแหย่ไร้สาระพวกนั้น

หนทางเดียวที่จะหาเงินมาชดใช้หนี้ได้ด้วยตัวเองคงไม่พ้นหาภารกิจจากในนี้ทำขัดดอกเบี้ยสุดโหดที่ไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดมาช่วยลดหนี้ให้เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือก เมื่อเดินมาถึงปลายทางที่ต้องการเขาแหงนหน้าดูอาคารโดมสูงตระหง่านตรงหน้าจนคอตั้งความใหญ่โตของมันเล่นงานเขาจนพูดไม่ออกทุกครั้งที่มาหยุดยืนอยู่หน้าอาคารยักษ์แห่งนี้

“หอสมุดเดวาลอน”คือชื่อของอาคารโดมที่นักศึกษาอินาร่าต่างมาใช้บริการกันอย่างเนืองแน่นที่นี่เป็นทั้งหอสมุดที่รวบรวมหนังสือจากทั่วโลกเป็นหอดาราศาสตร์ที่คอยสำรวจวิถีของดวงดาว เป็นลานฝึกวิชาการต่อสู้แทบทุกแขนงเป็นที่รวบรวมภารกิจจากทั่วทุกมุมโลก และผู้ดูแลของที่นี่ยังเคยโฆษณาไว้ด้วยว่ามันยังเป็นที่จัดหางานสำหรับคนที่อยากหางานทำหลังจบการศึกษาไปแล้วด้วย

น้ำหนักที่กดลงมาบนบ่าอย่างกะทันหันทำให้คนที่ยืนลังเลอยู่หน้าอาคารยักษ์สะดุ้งโหยงจนตัวลอย เขาหันไปมองเจ้าของเสียงหัวเราะก่อนส่งสายตากระหลับกระเลือกใส่เมื่อเห็นว่าคู่กรณีคือผู้ดูแลของที่นี่นั่นเอง

“ทำไมมายืนทำท่าหมดอาลัยตายหน้าหอสมุดของข้าล่ะครับท่านอาเบลแกล้งอะไรท่านอีกหรือครับ ท่านฟีเดล”

“อาเบลแค่สั่งพักการเรียนพร้อมมอบหนี้ก้อนโตให้ข้าเท่านั้นเอง รูเบอัส”

คำตอบของคนอ่อนวัยกว่าทำให้คนฟังเลิกคิ้วก่อนนึกขึ้นได้ว่าล่าสุดนี้ นักศึกษาพิเศษที่อยู่ตรงหน้าเพิ่งก่อเรื่องอะไรไปซึ่งหากเป็นสถานศึกษาอื่นที่โดนอิทธิพลของลอร์ดเทอร์เรียกดดันมาคงมีการเชิญนักศึกษาคนนั้นออก และคงไม่มีสถาบันไหนกล้ารับนักศึกษาคนนั้นเข้าเรียนอีก

แต่รูเบอัสเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้จักนิสัยอาเบลดีผู้ชายคนนั้นไม่เคยยี่หระต่ออำนาจของใครแม้คนผู้นั้นจะเป็นถึงมหาจักรพรรดิที่เป็นตำนานเดินได้เหมือนตนเองก็ตามชายหนุ่มจึงคิดว่า ตัวก่อปัญหาคงไม่ได้พักการเรียนฟีเดลตามแรงกดดันของลอร์ดเทอร์เรียโดยไม่หวังผลอะไรตอบกลับมาแน่

“ท่านเลยมาโต๋เต๋แถวนี้”

“ข้ามาหาภารกิจไปทำต่างหากท่านเคยบอกไม่ใช่หรือไงว่า หากข้าไม่มีอะไรทำก็มาเลือกภารกิจจากในนี้ไปทำแก้เบื่อได้”

ผู้ดูแลหอสมุดส่งเสียงครางราวกับนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเคยพูดไว้อย่างนั้นแต่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาหางานตามคำชวนของตัวเองจริงๆ เขาไม่รู้ว่าฟีเดลติดหนี้อยู่เท่าไรแต่ดูจากท่าทางเรื่อยเปื่อยที่เปลี่ยนมาเป็นกระตือรือร้นได้อย่างเฉียบพลันแบบนี้น่าจะเดาได้ว่ามากเอาการอยู่ และด้วยระดับฝีมือของเด็กหนุ่มก็สามารถรับภารกิจระดับสี่ดาวหรือห้าดาวได้อย่างสบาย

น่าเสียดายนักที่รูเบอัสต้องเก็บภารกิจเหล่านี้ไว้ให้นักศึกษาที่ทำเรื่องขอจบการศึกษาไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครจบจากไปที่นี่ไปอีกนานหลายปีเลยทีเดียว

“ข้าคงมอบภารกิจระดับสูงให้ท่านไม่ได้แต่ข้าคิดว่าท่านอาเบลน่าจะมีภารกิจที่ยังไม่ปล่อยออกมาทางนี้ให้ท่านนะครับ”ประโยคแรกของผู้ดูแลภารกิจดับความหวังฟีเดลได้อย่างรวดเร็ว และประโยคถัดไปก็ทำให้เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฎิเสธได้รวดเร็วไม่แพ้กัน

“ไม่เอา!”

“กลัวว่าท่านอาเบลจะเอาภารกิจสุดโหดหินมาให้ทำหรือครับ”รูเบอัสกลั้วหัวเราะถาม ชายหนุ่มรู้จากประสบการณ์ว่างานแต่ละอย่างที่ได้รับมาจากวีรบุรุษแห่งสงครามชิงดินแดนล้วนหนักหนาสาหัสขนาดไหนแต่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอางานยากเกินความสามารถของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีมาให้ทำ

จะว่าไปความสามารถของฟีเดลก็เกินอายุไปมากอยู่อาเบลอาจเอาภารกิจแบบที่เขาเคยได้รับมาให้เจ้าตัวทำก็ได้...ชายหนุ่มคิดในใจโดยไม่บอกให้อีกฝ่ายรับรู้ แต่เขาคิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าน่าจะรู้ตัวดีเหมือนกันจึงได้ปฏิเสธเสียงแข็งแบบนั้น

ฟีเดลยักไหล่ตอบเด็กหนุ่มรู้ดีทีเดียวถึงสายตามุ่งหวังยามได้สบตากันครั้งแรกประกายตานั้นบอกถึงความยินดี และซุกซ่อนแผนการที่ชวนให้สังหรณ์ไม่ดีเท่าไร บางทีเขาก็คิดว่าอาเบลอาจวางแผนไว้ตั้งแต่แรกปล่อยให้ไอเวสมาหาเรื่องเขาตอนที่ไม่มีพวกเพื่อนร่วมชั้นคอยขนาบข้าง เพราะหากทำอะไรพังความผิดยังหารกันได้ แต่นี่ดันเป็นฝีมือของเขาทั้งหมด หนี้เลยหล่นลงใส่หัวเขาเต็มๆทำให้เขาต้องดิ้นรนมาหาภารกิจระดับสูงทำเพื่อปลดหนี้

แต่เขาไม่ยอมวิ่งเต้นไปบนมือของใครแม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นตำนานที่น่าครั่นคร้ามอย่างอาเบลก็ตาม!

“ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่ภารกิจระดับหนึ่งถึงสามเท่านั้นจะลองเข้าไปดูก่อนไหมครับ”

“ขอไปนั่งเบื่อในนั้นก่อนได้ไหม”เด็กหนุ่มบ่นกระเง้ากระงอด เรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูจากผู้ดูแลหอสมุด

“ท่านจะมาซ้อมดาบแก้เบื่อกับข้าก่อนไหมครับ”

คำชวนของรูเบอัสทำให้ฟีเดลรีบลุกขึ้นยืนทันควันแล้วกระโดดหนีให้พ้นมืออีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เพราะนอกจากตำแหน่งผู้ดูแลหอสมุดเดวาลอนแล้วชายหนุ่มคนนี้ยังเป็นถึงเลขานุการส่วนตัวของผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยที่มากด้วยประสิทธิภาพ

เด็กหนุ่มยังจำฝังใจเมื่อนึกถึงตอนที่อันเซลส่งรูเบอัสมาเป็นคู่ซ้อมดาบได้ดี เขาเสียวสยองไม่หาย ยามที่ได้ประมืออีกฝ่ายเป็นครั้งแรกโชคดีนักที่ตอนนั้นเขารู้สึกระแวงท่าทางเชื่องซื่อเหมือนแมวนอนหวด จึงไม่ออมฝีมือไว้เหมือนตอนที่ซ้อมดาบกับพวกนักศึกษาระดับสูงไม่อย่างนั้นคงอาจถูกชายหนุ่มที่กำลังหัวเราะคิกคักตรงหน้านี้เพ่งกบาลจนเลือดอาบเหมือนคู่ซ้อมที่อาเบลจัดหามาให้ก็ได้

“ข้าไปเลือกดูภารกิจเลยดีกว่าจะขนไปทำทีละสิบก็ไม่ว่ากันใช่ไหม”

“ตามสบายเลยครับแต่ขอให้คละระดับกันไปหน่อย อย่างน้อยก็เหลือให้นักศึกษาของข้ามีภารกิจทำกันบ้าง”รูเบอัสกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางขยาดแขยงของคนตรงหน้าเขาไม่คิดว่าฝีมือดาบของอีกฝ่ายอ่อนด้อย หากเด็กหนุ่มมีเวลาฝึกดาบเป็นร้อยปีเชื่อได้ว่าคนที่โดนปราบจะเป็นฝ่ายเขาเอง




Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 13 มกราคม 2557 3:32:02 น.
Counter : 257 Pageviews.

1 comments
  
ฟีเดลเชื่อแล้วว่า อินาร่ารวบรวมภารกิจมาจากทุกมุมโลก เพราะกว่าเขาจะเลือกภารกิจที่ตัวเองสามารถทำได้จริงๆ ก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง แย่งชิงภารกิจที่เข้าตากับนักศึกษาคนอื่นราวกับแย่งซื้อของลดราคาในตลาดสด ซึ่งหากอินาร่าไม่ทุ่มทุนด้วยการสร้างประตูเชื่อมต่อไปยังอาณาจักรต่างๆ ภารกิจจากที่ห่างไกลคงกลายเป็นหมัน

“เป็นอย่างไรบ้างครับ ได้มาครบสิบอย่างไหม” รูเบอัสถามด้วยน้ำเสียงขบขัน เมื่อเด็กในปกครองของผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยมานั่งหมดสภาพอยู่หน้าโต๊ะทำงานของตัวเอง

“ได้มาแค่เก้าเอง ส่วนที่อื่นไกลไป ข้าไม่อยากอยู่ห่างจากท่านแม่นัก” เด็กหนุ่มตอบอย่างอ่อนแรง เขาเลือกภารกิจที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงอินาร่าเท่านั้น โดยคำนวณจากระยะเวลาที่ประตูเชื่อมต่อเปิดไปตามเมืองต่างๆ ซึ่งเมืองที่ต้องใช้เวลาเกินกว่าสัปดาห์จึงจะกลับมาอินาร่าได้อีกครั้งอยู่นอกโผของเขาไปโดยปริยาย

“ไม่ยอมอยู่ห่างจากท่านแอสเรียลแบบนี้ ไอเวสถึงได้ล้อท่านว่าเป็นลูกแหง่ไงครับ” ชายหนุ่มเห็นคู่สนทนาเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัยว่าเขาไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เขาจึงยิ้มแล้วเฉลยความให้ “เรื่องนี้เขาลือกันไปทั่วอินาร่าแล้วครับว่า ท่านทำไอเวสกลัวจนขี้ขึ้นสมอง เพราะไปล้อเลียนท่านว่าเป็นลูกแหง่ติดแม่” พอพูดถึงตรงนี้ ผู้ดูแลหอสมุดก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา

“ป่านนี้ทุกคนคงจำขึ้นใจว่าอย่าไปล้อเลียนท่านเรื่องนี้อีก ไม่อย่างนั้นอาจเละเหมือนตึกที่ท่านเพิ่งถล่มไปก็ได้”

“ไม่ขำเลยนะนั่น” คนที่เพิ่งก่อคดีอาชญากรรมไว้เบ้ปากเบี้ยว

“เมื่อสักครู่ท่านอาเบลติดต่อมา ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าท่านต้องมาที่นี่ เลยบอกว่าถ้าเสร็จธุระแล้วให้ไปหาเขาด้วยครับ” รูเบอัสเอ่ยถึงข้อความที่อดีตผู้อำนวยการฝากไว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวกลับ ซึ่งท่าทีของเด็กหนุ่มก็ไม่ผิดไปจากที่คาดเท่าไรนัก

“ข้าไปก่อนนะ รูเบอัส ขอบคุณมากที่ให้ข้ารับภารกิจพวกนี้”

ฟีเดลโบกมือลารูเบอัสที่ค้อมตัวลงรับคำโดยดุษณี แล้วรีบเผ่นแผล็วออกจากอาณาเขตของหอสมุดเดวาลอน เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอีกเฮือกด้วยความหนักใจ อาเบลไม่ยอมเหลือทางให้เขาเลือกเดินมากนัก ซึ่งไม่เข้าใจนักว่าอีกฝ่ายคาดหวังอะไรในตัวเขานักหนา หรือว่าอาเบลจะรู้เหมือนที่แม่ของเขาเองก็รู้เช่นกัน

สังหรณ์บางอย่างบอกว่าชีวิตของเขาจะไม่มีวันสงบสุข นับตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในอินาร่า หรือบางทีชีวิตของเขาอาจไม่เคยสงบสุขเลย เมื่อบางสิ่งที่อยู่ในสายเลือดกำลังดิ้นพล่าน ราวกับต้องการตามหาบางสิ่งบางอย่างตลอดเวลา และนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นจนไม่อาจระงับพลัง เผลอทำลายสิ่งรอบข้างเหมือนตอนที่ทะเลาะกับลูกชายของลอร์ดเทอร์เรียในครั้งล่าสุดนี้





ฟีเดลคิดถูกที่แวะมาหากลุ่มของซีซาฟาก่อนกลับบ้าน เพราะทุกคนยังติดเรียนวิชาสุดท้ายกันอยู่ ทำให้ยังไม่ได้แยกย้ายไปไหน เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มพลางกวาดตาสำรวจเพื่อนร่วมห้องที่นั่งเรียนด้วยท่าทางสบายใจเฉิบ แถมยังมีแยกเขี้ยวยิ้มใส่อาจารย์ผู้สอนที่ทำหน้าอยากเผ่นออกจากห้องใจแทบขาด ซึ่งก็น่าสงสารอยู่ไม่น้อย เมื่อแต่ละคนอยู่ในร่างครึ่งคนครึ่งสัตว์ พอถูกแยกเขี้ยวใส่ก็น่ากลัวไม่เบาเชียวละ

ระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ฟีเดลก็คลี่ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงตอนที่เจอพวกซีซาฟาครั้งแรก ตอนนั้นเขากำลังถูกไอเวสบังคับขู่เข็ญให้ไปเป็นลูกน้อง แต่เขาไม่บ้าจี้เล่นตามด้วยเลยถูกรุมซ้อม ซึ่งถ้ามองจากสายตาคนทั่วไปก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เขาเห็นว่าเรื่องที่พวกไอเวสทำเป็นเรื่องไร้สาระเลยไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป นอกจากหลบหลีกมือและอาวุธที่อีกฝ่ายใช้จนพวกนั้นเริ่มเหนื่อย และก่อนที่เขาจะตัดสินใจปลีกตัวออกมาจากวงล้อม พวกซีซาฟาก็โผล่เข้ามาพอดี

ทุกคนในมหาวิทยาลัยอินาร่าต่างรู้ดีว่า กลุ่มของซีซาฟากับกลุ่มของไอเวสไม่กินเส้นกันเท่าไรนัก ปะทะกันคราใดก็ทำให้ทุกคนต้องหนีห่างด้วยกลัวลูกหลงจากสองกลุ่มนี้มาโดยตลอด ยิ่งฟีเดลได้ยินมาว่าลอร์ดเทอร์เรียพยายามหาทางเข้ามามีอำนาจในอินาร่า คอยหามลทินให้ผู้ปกครองอินาร่าอยู่เสมอ ทำให้ตัวเองที่เกี่ยวพันกับผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จของอินาร่าถูกเพ่งเล็งโดยคนเป็นลูกชาย ยิ่งพอซีซาฟาเข้ามาช่วยเหลือและเป็นไม้กันหมาให้ตลอดเวลาแบบนี้ ไอเวสก็ดูจะผูกใจเจ็บเป็นพิเศษ และเพียรหาเรื่องมาถากถาง หรือถ้าเผลออยู่คนเดียวเมื่อไรเป็นได้ถูกยกพวกรุมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

มือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บแหลมคมของใครบางคนตะปบลงมาบนบ่า เรียกให้คนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ แล้วหันไปมองเจ้าของมือที่มีศีรษะเป็นเสือดำกำลังแยกเขี้ยวส่งยิ้มมาให้

“ไง ฟีเดล พวกอาจารย์ยอมปล่อยตัวเจ้าออกมาแล้วหรือ”

ช่วงที่เล่นน้ำยาเปลี่ยนร่างค่อนข้างชุลมุนอยู่ไม่น้อย ฟีเดลไม่ทันมองว่าใครแปลงร่างเป็นอะไรบ้าง เพราะอาคมที่เขาร่ายระหว่างปรุงยาไปนั้น ให้ยึดเอาตามสภาพนิสัยของแต่ละคนเป็นหลัก จนกระทั่งมีคนแปลงร่างเป็นมังกรแล้วพังห้องเรียนเละไปเป็นแถบนั่นละ พวกอาจารย์จึงได้แตกตื่นเข้ามาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนแยกตัวเขาออกมาจากกลุ่มเพื่อนที่ดูจะสนุกสนานมากกว่าตกใจที่เห็นเพื่อนร่วมชั้นแปลงร่างเป็นมังกร

“เสียงนี้...ซีซาฟาใช่ไหม” ฟีเดลทักหลังจากได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย แล้วเขาก็ได้คำตอบกลับมาเป็นกำปั้นมือเสือที่ทุบลงมากลางหัว “มาทุบหัวข้าทำไมเนี่ย” เด็กหนุ่มร้องหงุงหงิง พลางยกมือขึ้นคลำหัวตัวเองป้อย

“กำปั้นนี้ด้วยความหมั่นไส้ ทีหลังห้ามชี้นิ้วใส่หน้าคนอื่นอีกนะ” มนุษย์เสือดำ หรือซีซาฟาเอ่ยเสียงขรึม ก่อนขยับยิ้มราวกับรู้ว่าฟีเดลกลับมาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร “ข้ารู้ว่าเจ้าสงสัยเรื่องแลนติส”

แลนติสคือคนที่กลายร่างเป็นมังกรให้เหล่าอาจารย์ตกอกตกใจเล่น และตอนนี้ถูกแยกให้ไปอยู่อีกที่หนึ่ง เพื่อไม่ให้นักศึกษาคนอื่นแตกตื่นเมื่อได้เห็นมังกรที่หาได้ยากเต็มที ฟีเดลเดาว่าซีซาฟาน่าจะเพิ่งกลับจากการไปดูสภาพเพื่อนร่วมชั้นที่ยังไม่เริ่มคืนสภาพเหมือนคนอื่น ซึ่งเขาคิดว่าเพื่อนคนนี้รู้อะไรค่อนข้างมากเลยทีเดียว

“ข้าเป็นคนปรุงยานะ และข้าก็เพิ่งอ่านประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเลาดีเซียไป” ฟีเดลเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งเขายังจำฝังใจเรื่องที่คนไข้ของแม่เกือบตายเพราะยาของเขา จนไม่กล้าปรุงยาไปพักใหญ่

“น้ำยาเปลี่ยนร่างจะออกฤทธิ์ยาวนานสำหรับลูกครึ่ง” เด็กหนุ่มพูดพลางเหลือบมองเพื่อนร่วมห้องที่กลับคืนร่างเป็นมนุษย์กันหมดแล้ว ยกเว้นคนตรงหน้าที่ยังมีรูปร่างเป็นครึ่งคนครึ่งเสือดำเช่นเดิม

“ข้ากับแลนติสก็รู้มาแบบนั้นเลยคิดว่าไม่เป็นไรไง แต่ดูเหมือนว่าขอแค่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ต่อให้เจือจางมากแค่ไหนก็ให้ผลเหมือนกัน ซึ่งมันก็ดีนะ เพราะจะได้เข้าใจถูกกันเสียทีว่าถึงไม่ใช่ลูกครึ่งก็เจอปัญหาแบบเดียวกัน สำหรับข้าน่ะ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่สำหรับแลนติสค่อนข้างยุ่งยากอยู่เสียหน่อย ยาของเจ้าทำให้เรารู้เพิ่มว่าเขาไม่ใช่ลูกผสมเลือดเจือจางแบบข้า แต่เลือดเขาย้อนกลับไปเป็นแบบเดียวกับบรรพบุรุษ เป็นมังกรแท้ๆ เลยละ” ซีซาฟากลั้วหัวเราะในลำคอ พลางมองดูเพื่อนที่เริ่มไหวตัวด้วยท่าทางระแวดระวัง

“แล้วมาบอกข้าทำไม” ฟีเดลไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดที่กลับมาค้นหาความจริงแบบนี้ แต่ความคิดเขาเริ่มเอนเอียงไปทางอย่างหลังเสียแล้ว

ซีซาฟากลั้วหัวเราะในลำคอ ก่อนส่งยิ้มให้เพื่อนที่ซุกซ่อนความสามารถไว้ใต้ท่าทางอ่อนหัด จนทำให้หลายคนประมาท แต่ไม่ทันที่จะได้เดินเกมกดดันต่อ เขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยร่างของอาจารย์ที่เผ่นแผล็วออกมานอกห้องทันทีที่หมดคาบเรียน เขาชะงักไปแล้วเล็กน้อย แล้วพ่นลมหายใจด้วยความขัดใจ เมื่อเพื่อนร่วมห้องเริ่มสังเกตเห็นพวกเขาแล้ว

“กลับมากันแล้วเหรอ ซีซาฟา ฟีเดล”

“อ้าว! ไม่ได้เละกลับมานี่ ปล่อยให้ห่วงแทบแย่”

“ห่วงเจ้าหมอนี่ทำไมกัน ห่วงแลนติสดีกว่าว่าวันนี้จะคืนร่างเดิมได้หรือเปล่า เห็นอาจารย์บอกว่าหมอนั่นน่าจะแพ้ส่วนผสมอะไรสักอย่าง ขนาดซีซาฟาที่มีอาการแพ้ยาน้อยกว่ายังมีสภาพเป็นครึ่งคนครึ่งเสืออยู่เลย”

หลายเสียงที่บ่นระงมข้างหูบอกอาการกึ่งฉุนกึ่งขัน ไม่มีใครสักคนที่ทำท่าทุกข์ร้อนกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น ซึ่งฟีเดลสังเกตมาพักใหญ่แล้วว่า ผู้คนในมหาวิทยาลัยอินาร่าไม่ค่อยอินังขังขอบในทุกเรื่อง บางทีถ้าบอกไปว่าอีกไม่กี่วันจะถึงวันสิ้นโลก คนที่นี่คงทำแค่ยักไหล่ตอบกลับมากระมัง

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าโดนเรียกไปสังคายนาเรื่องวีรกรรมสุดโต่งนี่ยกใหญ่ พวกอาจารย์ว่ายังไงบ้าง”

“โดนพักการเรียนไปตามระเบียบน่ะ” ฟีเดลตอบพลางยิ้มแหย เด็กหนุ่มไม่ถนัดในการเป็นจุดสนใจใครเท่าไร และไม่ชอบการอยู่ท่ามกลางวงล้อมคนมากมายแบบนี้ แต่ยิ่งเขาแสดงท่าทางไม่คุ้นชิน พวกเพื่อนก็ยิ่งเข้ามากลุ้มรุมจนเจ้าตัวร้องหงิง

“สงสัยท่านอาเบลจะเก็บฟีเดลไว้เล่นคนเดียวแหงเลย ขาดเจ้าไปคนหนึ่งที่นี่ก็หมดสีสันไปเยอะ”

นี่เป็นอีกครั้งที่ทำให้ฟีเดลอดสงสัยไม่ได้ เด็กหนุ่มจึงเอ่ยถามด้วยความข้องใจ “พวกเจ้าชอบความวุ่นวายกันงั้นเหรอ” และคำถามของเขาก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างได้มากพอดู

“ข้าจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่งนะ” ซีซาฟาที่เงียบเสียงไปนานเอ่ยขึ้นมาแผ่วเบา แล้วทุกคนรอบกายก็พร้อมใจกันเงียบ ราวกับจะให้เขาเป็นตัวแทนการตอบคำถามนี้ “คนในอินาร่ามีนิสัยส่วนหนึ่ง...” เด็กหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อมีใครบางคนแย้งให้เขาเปลี่ยนจาก “นิสัย” เป็น “สันดาน” จะดีกว่า

“เอาเป็นว่า คนในอินาร่ามีสันดานอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ พวกเราชมชอบความวุ่นวาย ตื่นเต้นที่ได้แก้ปัญหาและจบมันด้วยมือของตัวเอง ถึงจะมีคนสอบเข้ามาในอินาร่ามากมาย แต่ก็มีคนลาออกเพราะเข้ากับแนวทางของเราไม่ได้ไปมากเช่นกัน”

คำตอบของซีซาฟาและการพยักหน้าหงึกหงักของคนรอบข้างทำให้ฟีเดลกะพริบตาปริบด้วยตามอารมณ์ชมชอบของคนในที่นี้ไม่ทัน แต่อย่างน้อยเด็กหนุ่มก็เข้าใจว่า ที่อินาร่าไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นระหว่างผู้มีพลังและไม่มีพลังเหมือนกับสังคมภายนอก ทุกคนต่างเกื้อหนุนค้ำชูกันจนต้องยอมรับว่า หากตัวเองต้องลาจากไป เขาคงเสียดายและเสียใจมากทีเดียว
โดย: ฌา วันที่: 13 มกราคม 2557 เวลา:3:33:11 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog