พิษเสน่หา 38
๓๘ ปรับความเข้าใจ

ในห้องทำงานของท่านจินดา ถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศน่าอึดอัด และสมาชิกในห้องนี้ก็มีเพียงเจ้าหลวงที่กอดอุระ พลางประทับนั่งบนขอบโต๊ะไม้สีน้ำตาลขนาดใหญ่ โดยมีท่านจินดาที่ใจโลดแล่นไปหาลูกสาวคนโต ส่วนตัวก็ถูกเจ้าชีวิตบังคับให้เป็นประจักษ์พยานในการสอบความครั้งนี้ ซึ่งคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็คือสิริกัญญาที่ได้รับการทำแผลมาเรียบร้อย กับบริมาสที่ยังเกาะเกี่ยวเพื่อนอย่างเหนียวแน่น ไม่มีทีท่าถอยห่างทั้งที่ถูกขับไล่ทางสายตา

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น สิริกัญญา”

เจ้าของชื่อไหวตัวต่อการถูกเรียกด้วยท่าทางหวาดหวั่น หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนพยายามกดเสียงให้ราบเรียบยามตอบคำถามกลับไป “เกิดเรื่องวิวาทระหว่างข้ากับท่านพี่อรัญญาตามปกติค่ะ”

“แล้วที่ไม่ปกติล่ะ”

“เรื่องที่ไม่ปกติก็คือข้าไม่ยอมให้ท่านพี่อรัญญาตบตีแต่ฝ่ายเดียว”

เสียงตบโต๊ะดังปังจนทุกคนในห้องพากันสะดุ้งโหยง สิริกัญญากุมมือเย็นเฉียบที่เริ่มสั่นเทาขึ้นมาอีกครั้งไว้แน่น ก่อนก้มหน้าหลบสายพระเนตรของเจ้าหลวงที่จ้องมาด้วยท่าทางดุดัน “ถึงข้าจะรักและเอ็นดูเจ้า ก็ใช่ว่าข้าจะมอบอภิสิทธิ์ทุกอย่างให้นะสิริกัญญา ข้ารู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่ที่ไม่รู้ก็คืออุบัติเหตุครั้งนี้เกิดมาจากอะไร ถ้าไม่พูดข้าจะให้คนมาโบยเจ้าจนกว่าจะพูด!”

“สิรีไม่ใช่นักโทษนะเพคะ” บริมาสแย้งขึ้นมา และเธอก็สะดุ้งกับเสียงตบโต๊ะของเจ้าหลวงอีกครั้ง

“หุบปาก! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”

“ได้โปรดพระทัยเย็นลงหน่อย พวกนางยังอ่อนเดียงสา...”

“พวกนางไม่อ่อนเดียงสาแล้วจินดา อย่าเข้าข้างลูกมากนัก” เจ้าหลวงข่มสุรเสียงให้ราบเรียบ ยามตรัสกับองคมนตรีเฒ่า ก่อนผินพักตร์ไปยังสองสาวที่ก้มหน้าลงมองพื้นด้วยท่าทางหวาดหวั่น ต่อพระอารมณ์ดั่งพายุที่เพิ่งประสบเป็นครั้งแรก

“ว่าไงสิริกัญญา เจ้ากับอรัญญาทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร”

ริมฝีปากเรียวบางเม้มเข้าหากันแน่น พลางกุมสร้อยที่เก็บซ่อนไว้ในอก อย่างไม่รู้ว่าจะเลือกตอบออกไปเช่นไร หญิงสาวจึงได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่เอ่ยอะไรออกไป เจ้าหลวงพยักพักตร์เมื่ออีกฝ่ายคิดลองดีด้วย พระองค์ผุดลุกขึ้นจากขอบโต๊ะ แล้วเสด็จไปเปิดประตูดังผลัวะ ก่อนตะโกนด้วยสุรเสียงดังลั่น

“ใครก็ได้เอาไม้โบยมาให้ข้าที!”

“สิรี! เจ้าหลวงทรงเอาจริงนะ” บริมาสเขย่าแขนเพื่อนที่เอาแต่ก้มหน้าปิดปาก ไม่ยอมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่

“ขอโทษนะบริมาส ข้าพูดไม่ได้”

“โธ่ ๆ สิรี ทำไมทำแบบนี้” คุณพระจันทร์อยากจะกรีดร้องและทึ้งผมตัวเอง กับท่าทีของเพื่อนที่ยามปากแข็งก็หาอะไรง้างออกได้ยาก แล้วหญิงสาวก็สะดุ้งโหยงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงตึงตังมาจากด้านหลัง

“อย่าตีสิรีนะเพคะ!” เสียงหวานกรีดร้องดังลั่น พลางอ้าแขนขวางระหว่างเพื่อนกับเจ้าหลวงที่ทรงได้ไม้โบยมาเรียบร้อย

“หลีกไป! บริมาส!” เจ้าหลวงตรัสเสียงดังลั่นไม่แพ้กัน พลางเงื้อง่าไม้โบยในหัตถ์ขึ้น เพื่อหวังตีเด็กปากแข็งที่ยังคงนั่งนิ่ง ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่ตัวเองกำลังจะโดน

“ไม่หลีก! หากจะตีสิรีก็ต้องตีหม่อมฉันด้วย...สิรีไม่ผิด!” หญิงสาวพูดพลางปล่อยโฮลั่น ก่อนหันไปกอดเพื่อนราวกับแม่นกที่เฝ้ากกไข่ และบรรยากาศอันร้อนระอุจากเพลิงอารมณ์ของเจ้าหลวง ก็กลายเป็นบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วนแทน

ท่านจินดาถอนหายใจเฮือก กับดวงเนตรสีน้ำตาลไหม้ที่ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมา ท่านนึกอยากสมน้ำหน้าคนต้นคิดนัก ที่ริจะใช้ไม้แข็งกับเด็กผู้หญิง ผลที่ได้ก็เป็นอย่างนี้ล่ะ

“จะประทับนั่งเพื่อดับอารมณ์ร้อนก่อนไหมพระเจ้าค่ะ”

เจ้าหลวงทรงถอนปัสสาสะอย่างโล่งพระทัย ที่องคมนตรีเฒ่ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ พระองค์แสร้งเดินตึงตังไปประทับนั่งบนเก้าอี้ข้างท่านจินดา พลางยกหัตถ์ขึ้นเท้าพระหนุ พลางทอดพระเนตรคุณหนูขี้แย ที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเพื่อน ที่ยังนั่งเงียบอยู่เช่นเดิม

“มันไม่สามารถบอกได้เลยหรือลูก ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ท่านจินดาเอ่ยถามขึ้นแผ่วเบา หลังจากปล่อยเวลาให้ผ่านไปสักพัก ซึ่งบริมาสได้หยุดร้องไห้แล้วเปลี่ยนมาเป็นส่งเสียงสะอึกสะอื้นแทน

สิริกัญญาเงยหน้าขึ้นมองบิดาที่ยังทอแววอ่อนละมุนดุจเดิม แล้วหญิงสาวก็หันไปมองเจ้าหลวง ที่ตวัดสายพระเนตรหันไปทางอื่น คล้ายไม่อยากสนพระทัยในตัวเธอเท่าไร “ถ้าลูกเล่าไป ท่านพ่อจะลงโทษลูกกับท่านพี่อรัญญาหรือเปล่าคะ”

ท่านจินดาคลี่ยิ้มตอบกลับไป พลางทอดเสียงให้ดูนุ่มนวลขึ้นกว่าเดิม “พ่อว่าพวกลูกได้รับการลงโทษมากพอแล้ว จะไม่มีใครได้รับการลงโทษอีก”

เมื่อได้ฟังคำตอบ สิริกัญญาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พลางนึกหาคำที่จะใช้บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ให้มันพาดพิงไปถึงเรื่องแหวนของราเชน “พี่อรัญญาอยากได้ของบางอย่างจากลูก แต่ลูกไม่ให้ เลยเกิดการแย่งกัน และกลายเป็นอุบัติเหตุอย่างที่ท่านพ่อเห็น”

“ของ? ของอะไร” เจ้าหลวงตรัสถามด้วยความสงสัย พลางทอดพระเนตรมองสิริกัญญาที่เม้มปากแน่น บอกอาการไม่อยากพูดอีกครั้ง

“แหวน...มันเป็นแหวนเพคะ” เมื่อสิริกัญญาไม่พูด บริมาสก็ตอบข้อซักถามให้เอง

“บริมาส!” สิริกัญญาร้องเสียงหลงที่คุณหนูพระจันทร์หลุดปากพูดออกไป

“เจ้าเกือบถูกตีเพราะมันเชียวนะ ข้าไม่ยอมช่วยปิดอีกแล้ว ถ้าเจ้าหลวงถาม ข้าจะตอบ!”

คำพูดเด็ดขาดของบริมาส ทำเอาสิริกัญญาอยากจะเป็นลมตายเสียให้ได้ แล้วเธอก็หันไปมองเจ้าหลวงที่ส่งเสียงหึในพระศอ ที่สามารถหาความจริงจากทางอื่นได้

“มันเป็นแหวนอะไรบริมาส”

บริมาสยิ้มแหยเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงอ่อย “แหวนอะไรนี่ก็ไม่ทราบเพคะ ต้องถามสิรี”

“เฮ้ย!” เจ้าหลวงอุทานลั่น และไม่รู้ว่าจะทรงพระสรวลหรือทรงพระแสงดี กับท่าดีทีเหลวของหญิงสาว

“แต่...” หญิงสาวรีบเอ่ยต่อ ด้วยกลัวว่าเจ้าหลวงจะเปลี่ยนพระอารมณ์ที่ดีขึ้นเป็นร้ายอีกครั้ง “แต่หม่อมฉันเห็นแหวนของสิรีแวบ ๆ นะเพคะ มันเป็นแหวนมรกตสีใสจนมองทะลุผ่านได้ แล้วก็มีลายอะไรบางอย่างคล้าย ๆ ลายดอกไม้ หม่อมฉันเองก็มองไม่ถนัด”

“แหวนมรกตลายดอกไม้” เจ้าหลวงครางในพระศอ ก่อนตวัดสายพระเนตรไปยังสิริกัญญาที่ยังก้มหน้านิ่ง “แหวนมรกตลายดอกไม้ที่ข้ารู้จักเห็นจะมีอยู่อันเดียว ซึ่งข้าก็เคยนึกสงสัยว่าเจ้าของไปทำมันหล่นหายที่ไหน เพราะมันเป็นถึงแหวนประจำตระกูลที่ตกทอดมาแล้วสี่รุ่น ที่แท้ก็มาอยู่ที่เจ้าเองหรือสิริกัญญา”

สิริกัญญาถอนหายใจอย่างอ่อนแรง ที่สุดท้ายแล้วเรื่องก็ถูกโยงไปถึงเจ้าของแหวนเข้าจนได้ หญิงสาวจึงพยักหน้าตอบกลับไปอย่างยอมจำนน

“เจ้านั่นให้เจ้ามางั้นหรือ”

“มันเป็นของแลกเปลี่ยนเพคะ” หญิงสาวตอบกลับแผ่วเบา โดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบเนตรกับเจ้าหลวง

“แลกเปลี่ยน? แลกเปลี่ยนกับอะไร”

“แลกเปลี่ยนกับคำสัญญาว่าจะมารับพระเจ้าค่ะ” เสียงที่ดังขึ้นจากเบื้องหลัง ฉุดสายตาทุกคู่ให้หันไปมอง โดยเฉพาะสิริกัญญาที่มีอาการเบิกตากว้างและตกตะลึงแถมมาด้วย

เจ้าชายชัยนเรนทร์ถอนปัสสาสะที่มาได้ถูกจังหวะพอดี แม้จะยังไม่ทรงทราบว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง พระองค์เสด็จเข้าไปด้านในพร้อมกับราเชนที่ยังสบจ้องกับดวงเนตรของเจ้าหลวงนิ่ง

“เมื่อสิบปีก่อน กระหม่อมเคยให้แหวนวงนั้นกับนาง เพื่อเป็นคำมั่นสัญญาว่าหากนางโตขึ้น จะมารับเข้าบ้านปาเยนทร์”

“ไม่ใช่เสียหน่อย! ท่านไม่ได้สัญญาแบบนั้น” สิริกัญญาโพล่งขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้ ที่เขาบิดเบือนคำสัญญาเมื่อเยาว์วัยของเธอ

ราเชนหันไปยิ้มพรายให้กับคู่สัญญาสมัยอดีต ก่อนส่ายหน้าไปมา “ตอนนั้นเจ้ายังเด็ก อาจจำผิดหรือจำพลาด แต่ข้าจำได้แม่นเลยทีเดียว สิริกัญญา”

“เดี๋ยวนะ...” เจ้าหลวงทรงขัดบทโต้ตอบของสองหนุ่มสาว และนั่นเท่ากับว่าเป็นการตัดโอกาสที่จะให้สิริกัญญาได้โต้แย้งคำสัญญาที่ถูกบิดเบือน ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่านี่เป็นการจงใจของพระองค์หรือไม่

“เจ้าบอกว่าเมื่อสิบปีก่อน เจ้าได้หมั้นหมายสิริกัญญาไว้ ตอนนี้นางอายุสิบแปด ดังนั้นก็หมายความว่าเจ้าหมั้นนางตั้งแต่แปดขวบ” เจ้าหลวงทรงเบิกเนตรกว้าง แล้วทอดพระเนตรอีกฝ่ายด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อ “เฮ้ย...ราเชน เจ้าผิดปกติอะไรหรือเปล่า รักกับเด็กแปดขวบนี่นะ”

“กระหม่อมก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะหลงรักเด็ก” ...แถมตอนนั้นสิริกัญญายังอยู่ในชุดเด็กผู้ชาย หน้าตาก็มอมแมมจนมองไม่ออกเลยว่าเป็นเด็กผู้หญิง ราเชนได้แต่คิด โดยไม่พูดตรงส่วนนี้ออกไป เพราะบางทีเขาอาจได้คำว่าโรคจิตแถมมาด้วยอีกคำ

“ข้าไม่เห็นจะรู้เรื่อง”

“จะรู้เรื่องได้ยังไงเล่าพระเจ้าค่ะ ในเมื่อกระหม่อมไม่ได้บอก กับสิริกัญญาก็ไม่ต้องพูดถึง นางปากแข็งจะตาย พระองค์ก็เห็น”

บริมาสที่ปิดปากเพื่อนไม่ให้ส่งเสียงอะไรออกไป รีบปล่อยมือทันทีที่สายตาทุกคู่หันมาจับจ้องพวกเธออีกครั้ง ส่วนตัวเจ้าของเรื่องก็ได้แต่หอบฮั่กด้วยความเหนื่อย กับการต่อต้านเรี่ยวแรงของคุณหนูพระจันทร์ ที่ไม่รู้ว่าไปขุดมาจากไหน หญิงสาวหันไปส่งสายตาขุ่นให้คนงามที่ยิ้มแฉ่ง ก่อนทำท่าอึดอัดกับสายตาที่จ้องมองมา

“ทำไมถึงต้องปิดบังล่ะ สิริกัญญา” เจ้าหลวงตรัสถามด้วยความสงกา และรอฟังเหตุผลจากหญิงสาวที่ถูกบังคับให้ลงเรือลำเดียวกับราเชน

“หม่อมฉันไม่อยากเป็นผู้หญิงหน้าไม่อาย ที่แย่งผู้ชายคนเดียวกับพี่น้องตัวเอง หรือผู้หญิงคนอื่น” แม้จะเป็นเหตุผลที่ไร้สาระไปหน่อย แต่สิริกัญญาก็ถือหยิ่งในเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเองมาก

“ข้าก็เห็นว่าเจ้าไม่ได้เข้าไปแย่งราเชนกับคุณหนูคนอื่น มีแต่ราเชนนี่ล่ะที่เข้ามายุ่มย่ามกับเจ้า”

ดวงหน้าขาวแดงเรื่อขึ้นมากับคำตรัสไม่มีน้ำของเจ้าหลวง ก่อนอุบอิบตอบออกไปให้เจ้าแผ่นดินสีทองได้ยิน “ถึงพระองค์จะเห็นอย่างนั้น แต่คนอื่นเขาไม่เห็นแบบพระองค์นี่เพคะ”

“โธ่...เรื่องแค่นี้เองนี่นะ” เจ้าหลวงพ่นลมผ่านนาสิกกับปัญหาจุกจิกของสิริกัญญา พระองค์เห็นว่าอีกฝ่ายมีความคิดอ่านเกินวัย และเป็นคนที่ยึดถือเหตุผลเป็นหลัก จึงไม่เคยคิดเลยว่าหญิงสาวจะคิดมากกับเรื่องพวกนี้ด้วย “ถ้าอย่างนั้นก็ประกาศหมั้นอย่างเป็นทางการไปเลย คนอื่นจะได้ไม่ต้องลือโน่นลือนี่ให้เข้าใจผิดอีก”

“ฝ่าบาท!”

“ไชโย!”

สองเสียงของสองสาวดังขึ้นพร้อมกัน ซึ่งคนที่สมควรดีใจต่อข่าวน่ายินดีนี้ น่าจะเป็นคนที่ร้องเสียงหลง ทำหน้าเหมือนกับว่าโลกจะล่มสลาย ไม่ใช่คุณหนูพระจันทร์ที่ทำหน้ายินดีปรีดา ราวกับว่ามันเป็นเรื่องของตัวเอง

“สิริกัญญาเป็นคนหมั้นนะ ไม่ใช่เจ้า” เจ้าหลวงตรัสด้วยท่าทางกึ่งขัน กับการแสดงออกที่ตรงกันข้ามของสองสาว

“หม่อมฉันดีใจแทนเพื่อนเพคะ” บริมาสตอบกลับด้วยท่าทางยิ้มแย้ม ที่การพยายามจับคู่ของเธอประสบผลสำเร็จเสียที “สิริกัญญาน่ะเป็นคนปากแข็ง ไม่ยอมพูดออกมาหรอกว่าตัวเองดีใจจนหัวใจแทบจะพองคับอกอยู่แล้ว หม่อมฉันเลยต้องดีใจแทนเพื่อน”

“ข้าไม่ได้เป็นแบบนั้นเสียหน่อย” คนปากแข็งโต้กลับทันควัน

“แน้! แล้วไอ้หน้าแดง ๆ นี่คืออะไรกันจ๊ะ” คุณหนูพระจันทร์จิ้มแก้มที่แดงปลั่งของเพื่อนไปมา พลางหัวเราะอย่างผู้ชนะที่อีกฝ่ายหาคำมาโต้ตอบไม่ได้ นอกจากทำตาประหลับประเหลือกใส่

“อย่าดีใจเร็วเกินไปนัก บริมาส” เจ้าหลวงรีบยับยั้งอาการฝันหวานของคุณหนูพระจันทร์เสียก่อน ด้วยทรงทอดพระเนตรเห็นอาการฝันยาว ที่ต่อให้ใครมาปลุกก็คงไม่ยอมตื่น “ถึงข้าจะจับสองคนนี้หมั้นกัน แต่ก็ต้องให้ผ่านการไว้ทุกข์ของบ้านพรหมเทวาไปก่อน ถึงจะจัดพิธีหมั้นได้”

“ถ้าอย่างนั้นจับแต่งไปเลยดีกว่าเพคะ หมั้นกันมานานตั้งสิบปีก็ไม่ต้องหมั้นซ้ำแล้ว จับแต่งงานไปเลย” บริมาสรีบเสนอความเห็นของตัวเองขึ้นมา เรียกเสียงสรวลจากเจ้าแผ่นดิน แล้วคุณพระจันทร์ก็ร้องโอดโอยลั่น เมื่อคนข้างกายบิดต้นแขนเธอเต็มแรง

“ใครสั่งให้มาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องนี้ ยัยเพื่อนทรยศ!”

“โอ๊ย! เจ็บนะ ใครก็ได้ช่วยที...”

สิริกัญญาไหวตัวหนีทันที เมื่อรู้สึกถึงการเข้ามาของราเชน แต่มือใหญ่ก็คว้าจับท่อนแขนเล็กไว้มั่น ก่อนหันไปทางสองผู้อาวุโสที่มองมาทางเขากับหญิงสาว ด้วยแววตาที่ตรงกันข้าม คนหนึ่งดูจะสนับสนุนกับความสัมพันธ์นี้ ส่วนอีกคนก็ยังคลางแคลง คล้ายไม่เห็นด้วยเท่าไร

“ถ้าอย่างนั้น กระหม่อมขอตัวว่าที่คู่หมั้นไปปรับความเข้าใจเป็นการส่วนตัวหน่อยนะพระเจ้าค่ะ บังเอิญว่าเราทะเลาะกัน และยังไม่ได้คืนดี”

“คุยกันดี ๆ นะ อย่าไปทำลูกสาวเจ้าของบ้านนี้ช้ำล่ะ” เจ้าหลวงตรัสพลางขยิบเนตรให้ แล้วทอดพระเนตรราเชนที่ค้อมตัวลา ก่อนลากสิริกัญญาที่พยายามขืนตัวหนีจากการยึดจับให้เดินออกไปด้วยกัน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ราเชนลากสิริกัญญาเข้าไปในห้องหนึ่ง ที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปมาเท่าไร ก่อนดึงร่างโปร่งระหงเข้ามาในวงแขน แล้วปิดประทับริมฝีปากเรียวบางที่ส่งเสียงร้องหยุดยั้งไม่ทัน หญิงสาวร้องอึกอักในลำคอ พลางทุบบ่าและอกกว้าง เพื่อประท้วงการกระทำของเขา แต่ชายหนุ่มไม่ยอมหยุด ซ้ำยังรุกรานร่างในวงแขนต่อไป จนกระทั่งร่างนั้นหมดแรงยืน ต้องทรุดฮวบลงไปโดยมีท่อนแขนแข็งแรงคอยช่วยพยุงไว้

ปลายนิ้วเรียวไล่สัมผัสไปตามวงหน้านวลผ่อง แล้วลากผ่านลำคองามระหง ต้นคออ่อนบางถูกเชิดรั้งให้เงยหน้าขึ้นรับสัมผัสรุกเร้าเร่าร้อน จนกระทั่งรู้สึกอิ่มเอมแล้วจึงผละจากเรียวปากที่ช้ำระบมจากรอยสัมผัส

“ทำไมถึงไม่บอกข้าว่าเจ้าเป็นเด็กคนนั้น” ชายหนุ่มพูดพึมพำกับกลีบปากแดงช้ำ สองมือที่ตระกองกอดรอบเอวบาง เปลี่ยนมาเป็นประคองใบหน้านวลเนียนไว้แทน

สิริกัญญากะพริบตาปริบ พลางพยุงกายตนเองไว้ให้มั่น ก่อนใช้สองมือปิดริมฝีปากสวยดั่งอิสตรี ที่ไม่มีทีท่าจะให้เธอพูดจาโต้ตอบ และชายหนุ่มก็กุมสองมือนั้น พลางพรมจูบแทนเรียวปากจิ้มลิ้มที่แดงระเรื่อ ชวนให้เขาอยากสัมผัสมันอีกรอบ

“ข้าไม่รู้ว่าเป็นท่าน” เจ้าของเสียงหวานนุ่มเอ่ยน้ำเสียงสั่นระรวย พลางดึงสองมือที่ถูกลวมลามออกมาจากการเกาะกุม “เมื่อก่อนท่านไว้ผมสั้น แล้วหน้าอ่อนกว่านี้”

“จะหาว่าข้าแก่หรือไง” ชายหนุ่มถามกลับด้วยน้ำเสียงปนขัน ก่อนวกจูบริมฝีปากแดงช้ำด้วยความหมั่นไส้

“ไม่ใช่...” หญิงสาวเบี่ยงหน้าหนี พลางใช้มือปิดริมฝีปากที่รุกไล่ให้เธอหายใจไม่ออกอีกครั้ง

“แล้วเจ้าไม่รู้หรือว่าดอกราชาวดีเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวข้า” ราเชนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ทั้งที่เขาจำได้ว่าสัญลักษณ์เจ้าปาเยนทร์น่าจะผ่านตาหญิงสาวอยู่บ่อยครั้ง

“ข้ารู้เมื่อตอนที่ท่านมารับไปตำหนักอรินทราครั้งแรก ข้าเห็นสัญลักษณ์เจ้าปาเยนทร์ที่รถม้า มันเหมือนกับแหวนที่ท่านให้มา”

ร่างสูงถอยห่างออกมา เพื่อมองดูอีกฝ่ายให้ชัดเจนขึ้น “นั่นล่ะที่ข้าสงสัย ในเมื่อเจ้าจำข้าได้แล้ว ทำไมถึงไม่บอกว่าเราเคยพบกัน”

หญิงสาวเบนสายตาหลบจากการถูกจับจ้อง พลางเม้มปากแน่นคล้ายไม่อยากพูดถึง มือหนาจึงจับดวงหน้าขาวให้หันกลับมา แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินที่แสดงความหวั่นไหวให้เห็นเป็นครั้งแรก

“ถ้าไม่พูดข้าจะจูบนะ จะจูบจนกว่าเจ้าจะยอมพูดออกมาเลยเชียว”

ดวงตาสีน้ำเงินชักสายตาขึงใส่ พลางยกสองมือขึ้นแกะมือหนาที่จับประคองใบหน้าออกด้วยท่าทางต่อต้าน เรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่ม ที่เกือบลืมไปแล้วว่านอกจากจะเป็นเด็กปากแข็ง หญิงสาวยังเป็นเด็กดื้ออีกด้วย

“หรือข้าต้องสาธิตให้เจ้าดูอีกรอบ ว่าหากดื้อกับเจ้าปาเยนทร์คนนี้แล้วต้องเจอกับอะไร” ชายหนุ่มพูดพลางก้มหน้าลงมาใกล้ แล้วก็ต้องร้องอู้ออกมา เมื่อหญิงสาวตีปากเขาเต็มแรง

“ก็ท่านเป็นแบบนี้!” สิริกัญญาตอบเสียงฉุน พลางตีปากเขาอีกรอบ “เมื่อก่อนท่านไม่มือไวกับข้าแบบนี้ ท่านเป็นคนนุ่มนวลและสุภาพ ไม่ใช่ผู้ชายที่พอเจอผู้หญิงก็บังคับเขาจูบดะไปหมด” และถ้าเธอบอกเขาไปว่าเป็นเด็กผู้ชายคนนั้น ไอ้ที่โดนลวมลามจนแทบจะตั้งรับไว้ไม่ไหว มิต้องโดนรุกหนักขึ้นไปอีกหรือ

“สิริกัญญา!” ราเชนร้องอย่างตกใจปนขัน อีกฝ่ายจำไม่ได้หรืออย่างไรว่าตอนนั้นปรากฏตัวให้เขาเห็นในสภาพไหน และเห็นทีเขาต้องฟื้นความจำให้เธอหน่อยเสียแล้ว

“ตอนนั้นเจ้าอยู่ในรูปของเด็กผู้ชายนะ ขืนทำรุ่มร่ามก็คงต้องทบทวนตัวเองแล้วว่าผิดปกติตรงไหนหรือเปล่า” ...และถึงจะพูดไปอย่างนั้น ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าตอนนั้นตัวเองอยากจะทำมากกว่าจูบซับน้ำตาเสียด้วยซ้ำ ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดให้อีกฝ่ายรู้

ดวงตาสีดำลึกล้ำที่มักฉุดใครต่อใครให้ลุ่มหลง ลดแววปรารถนาในดวงตาลง พลางจดจ้องคนที่พยายามหลบสายตา ไม่ยอมจับจ้องตรงมาดั่งเช่นเคย “มองตาข้าหน่อยได้ไหม มองตามองหัวใจของข้าที”

นิ้วเรียวดันปลายคางมนให้หันมาอย่างเชื่องช้า แล้วราเชนก็ได้เห็นรอยหวั่นไหวที่แอบซ่อนแววรักไว้ภายใน มันทำให้ชายหนุ่มหัวใจพองโตที่อีกฝ่ายก็มีความรู้สึกเหมือนกับเขา ใบหน้าคมคายเคลื่อนเข้าหาดวงหน้าพริ้มเพราทีละนิด พลางกระซิบถามแผ่วเบา

“รักข้าบ้างไหม”

ดวงตาสีน้ำเงินตวัดค้อนส่งให้คนที่ไม่ยอมเอ่ยคำว่ารัก “ทำไมข้าต้องบอกท่าน”

“ก็เพราะข้ารักเจ้าน่ะสิ ทั้งรักทั้งหลงเลยทีเดียว” ราเชนกลั้วหัวเราะในลำคอ พลางงับจมูกโด่งเล่น

สิริกัญญาเม้มริมฝีปากอย่างชั่งใจว่าจะตอบอะไรกลับไปดี แล้วหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นทาบเรียวปากกับริมฝีปากคู่สวย ด้วยสัมผัสผะแผ่วดุจสายลม ก่อนเบือนหน้าหนีด้วยความอับอาย ราเชนหัวเราะขบขันต่ออาการท่ามากของคนปากแข็ง ก่อนยื่นหน้าตามไปสานต่อรอยสัมผัสที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ที่ครั้งนี้ได้แปรเปลี่ยนลมหายใจของทั้งคู่ให้รุ่มร้อนดุจเงาเพลิง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ในขณะที่ท่านจินดาได้เห็นลูกสาวคนหนึ่งมีความสุข ท่านก็ต้องมองลูกสาวอีกคนทุกข์ทรมานด้วยความปวดร้าว แพทย์หลวงที่เข้ามารายงานท่านว่าจากการที่อรัญญาพลัดตกจากบันไดสูงที่โดมมณีเหลือง ทำให้หญิงสาวต้องแท้งลูก คำบอกเล่านั้นทำให้องคมนตรีเฒ่าตกใจมาก ด้วยไม่รู้เลยว่าบุตรีของตนเองตั้งครรภ์ แต่ที่ทำให้ท่านตกใจยิ่งกว่า คือการที่อรัญญายังตกเลือดไม่หยุด ซึ่งนั่นหมายความว่ามัจจุราชกำลังลงคมเคียวตัดลมหายใจลูกสาวของท่านแล้ว

ท่านจินดารีบเร่งผ่านประตูห้องเข้าไป และได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของลูกสาว ที่นอนเหงื่อโทรมกายอยู่บนเตียงกว้าง ใบหน้าที่เคยสดสวยดูซีดเซียวลงเหมือนคนไม่มีชีวิต ท่านเข้าไปนั่งขอบเตียง พลางยื่นมือไปปัดปอยผมเปียกชื้นบนใบหน้าขาวซีด และเรียกขานคนบนเตียงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“อรัญญา...”

ดวงตาสีแดงปรือเปิดขึ้น และทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของบิดา น้ำตาก็ไหลทะลักออกมาราวทำนบแตก และยิ่งท่อนแขนขององคมนตรีเฒ่า ที่ตวัดร่างเธอเข้ามาไว้ในวงแขน พลางลูบไหล่และหลังอย่างปลอบโยน ก็ทำให้หญิงสาวหลุดเสียงสะอื้นออกมาดังลั่น

“ข้าทรมานเหลือเกิน ท่านพ่อ...”

“จ้ะ...” ท่านจินดาเอ่ยเสียงเครือ พลางก้มหน้าลงจูบหน้าผากชื้นเหงื่อด้วยริมฝีปากสั่นเทา

“ข้ากลัว...กลัวเหลือเกิน”

“จะไม่มีใครทำอะไรลูกได้ ถ้าพ่อกอดลูกอยู่อย่างนี้” องคมนตรีเฒ่ากัดริมฝีปากไม่ให้หลุดเสียงสะอื้นออกมา พลางทอดสายตามองลูกสาวคนโตด้วยรอยยิ้มนุ่มละมุน

“จำได้ไหมตอนที่ลูกยังเด็ก มีอยู่ตอนหนึ่งที่ลูกร้องเรียกหาพี่เลี้ยง แต่ไม่มีใครมาสักคน”

“วันนั้นลูกไม่สบาย แล้วฝนก็ตก มีฟ้าผ่าส่งเสียงน่ากลัว” อรัญญาตอบกลับเสียงแหบ พลางซุกหน้าลงบนตักของผู้เป็นพ่อเหมือนเช่นวันนั้น “แล้วท่านพ่อก็มา และร้องเพลงปลอบลูก”

“แล้วลูกจำเพลงนั้นได้ไหม” ท่านจินดามองลูกสาวที่ส่ายหน้าไปมาโดยไม่พูดอะไร มือเย็นชื้นขยุ้มปลายเสื้อท่านแน่น ซึ่งท่านก็แกะมือนั้นออกแล้วกุมมันไว้แทน “ถ้าอย่างนั้นพ่อจะร้องเพลงอย่างวันนั้นให้ฟังนะ ลูกจะได้หลับสบาย และหายทรมาน”

โทนเสียงทุ้มแว่วทำนองเพลงหวานขึ้นแผ่วเบา มันเอ่ยด้วยภาษาแปลกถิ่นที่ไม่รู้ว่ามีความหมายเช่นไร แต่กระนั้นคนฟังก็รู้สึกได้ถึงท่วงทำนองอบอุ่น มันเหมือนกับว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ห้องที่มีบรรยากาศหนาวเย็นลามไล้ผิวกาย แต่เป็นทุ่งดอกไม้กลางแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิ

ท่านจินดาเอื้อนทำนองเพลงหวานเศร้า พลางลูบไล้ดวงหน้าที่เริ่มคลายความตึงเครียด ก่อนไล่เรื่อยไปยังไหล่บอบบางและแผ่นหลังที่ลดการสั่นสะท้าน ท่านชะงักลมหายใจไปชั่วขณะ และกัดฟันเพื่อไม่ให้เสียงอื่นที่ไม่ใช่เสียงเพลงหลุดออกมา แต่ท่านห้ามมิให้หยาดน้ำตาไหลหยดต้องดวงหน้าของลูกได้

อรัญญาเปิดเปลือกตาขึ้น พลางเงยหน้าขึ้นมองบิดาที่ปลดปล่อยน้ำตาให้รินไหล หญิงสาวคลี่ยิ้มน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความรัก และความห่วงหาอาทรที่เธอไม่เคยสัมผัสได้ ไม่สิ...มันเป็นตัวเธอเองต่างหากที่ปิดหูปิดตา ไม่ยอมรับว่าบิดาก็รักตนเช่นกัน

“จูบลูกหน่อยได้ไหม เหมือนวันนั้น” หญิงสาวพูดเสียงเบา พลางยึดมือผอมบางที่กอบกุมมือของเธอไว้แน่น แล้วเธอก็รู้สึกถึงริมฝีปากสั่นระริกที่บรรจงจูบที่หน้าผากและเนียนแก้ม

“ร้องเพลงที ร้องจนกว่าลูกจะหลับนะคะ ท่านพ่อ”

ท่านจินดากลืนก้อนสะอื้นลงคอ ก่อนกัดฟันตอบกลับไปแผ่วเบา “จ้ะ...พ่อจะร้องเพลงให้ลูกฟัง จนกว่านิรันดร์จะมาเยือน หลับเถิดคนดีของพ่อ หลับให้สบาย” พูดเสร็จ ท่านก็เอื้อนเอ่ยเสียงเพลงออกมาอีกครั้ง และท่านก็ร้องจนร่างในวงแขนหยุดอาการสั่นไหว หยุดกระทั่งลมหายใจรวยระริน

“อรัญญา!”

เสียงกรีดร้องของวโรดมเป็นเหมือนมีดกรีดเข้าไปในจิตใจของท่านจินดา ซึ่งท่านมิอาจเปล่งเสียงร้องเช่นนั้นได้ ร่างสูงใหญ่ของบุตรชายถลันพรวดเข้ามาชิดริมเตียง พลางคว้ามือของพี่สาวฝาแฝดไปกอบกุมไว้ ชายหนุ่มร้องโหยหวน คร่ำครวญทวงชีวิตเธอจากเทพเจ้า ซึ่งเป็นเหมือนการลงแผลซ้ำเป็นรอบที่สอง

“เจ้าจะไปจากข้าแบบนี้ไม่ได้อรัญญา เจ้าทิ้งข้าไปแบบนี้ ข้าจะอยู่ได้อย่างไร อย่าทิ้งข้าไป อรัญญา!”

“วโรดม...อรัญญากลับมาไม่ได้แล้ว” ท่านจินดาเอ่ยเสียงแหบ พลางแตะไหล่กว้างที่สะบัดตัวหนีจากการแตะต้องของท่าน

“ข้าไม่ยอม! ข้าไม่ยอมให้อรัญญาตายไปคนเดียวแน่ ใครที่ทำให้พี่สาวข้าตาย มันจะต้องตกตายไปตามกัน!” วโรดมตะโกนเสียงกร้าว พลางรวบร่างบอบบางที่ยังคงความอุ่นขึ้นมาไว้ในวงแขน ชายหนุ่มมองดวงหน้าขาวซีดที่หลับอย่างสงบด้วยสายตาอาลัยรัก ก่อนจุมพิตลงบนเรียวปากที่ปิดสนิทแผ่วเบา

“ข้าจะพาเจ้าไปที่ทุ่งดอกไม้นะอรัญญา เจ้าบอกว่าเจ้าชอบมันนี่ ข้าจะให้เจ้าหลับนิรันดร์อยู่ที่นั่น สวนของเราสองคน”

ท่านจินดาถลันลุกขึ้น เพื่อคว้าจับลูกชายที่หมุนตัวเดินจากไป แต่ท่านก็ต้องทรุดฮวบลงด้วยอาการปวดหนึบที่หน้าอก แล้วสติสุดท้ายของท่านก็ดับวูบลง ไม่รับรู้ถึงสิ่งใดอีกต่อไป




Create Date : 11 มีนาคม 2551
Last Update : 11 มีนาคม 2551 20:37:49 น.
Counter : 489 Pageviews.

1 comments
  
ใกล้จะจบแล้วใช่ไหมค่ะ รีบๆมาอัพให้อ่านไวๆนะค่ะ
โดย: ตัวเล็ก IP: 203.158.4.155 วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:21:03:39 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog