พิมพ์เสน่หา 3
ตอนที่ ๓ หมาป่าที่ริอยากจะกินลูกแกะ

ความมืดโรยตัวลงมาปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แต่ปานแก้วก็ยังไม่เห็นเงาร่างของลูกสาวที่ออกไปเร่ขายพวงมาลัยเลย หัวใจของหญิงสาวรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาทันใด ในใจก็พาลคิดไปถึงเรื่องไม่ดีต่างๆ นานาที่อาจเกิดขึ้นกับลูกน้อย แล้วแสงไฟจากรถคันหนึ่งก็สาดมาทางที่หญิงสาวนั่งอยู่ เธอหรี่ตาลงด้วยสู้แสงไฟไม่ได้ ครั้นพอแสงไฟนั้นดับลง เธอจึงได้เห็นเงาร่างของคนสองคนลงมาจากรถ

“แม่จ๋า” เสียงเรียกขานที่คุ้นเคยดังมาจากหนึ่งในสองคนนั้น ปานแก้วก็จำเสียงของลูกสาวได้ เธอจึงถลาไปหาร่างเล็กที่เดินมาหาด้วยท่าทางกะโผลกกะเผลก

“ลูกจ๋า”

ร่างบอบบางถลาเข้าไปกอดร่างเล็กที่ส่ายหน้าซุกซบกับอกนุ่มนิ่มอย่างเคยชิน พลางเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือเรียวบางที่สัมผัสไปตามใบหน้าด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวสังเกตเห็นผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบข้อเท้า และเรียวขาเล็กของลูกที่บอกให้รู้ว่าเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้น

“ขาหนูเป็นอะไรจ๊ะ”

ไอศวราอึกอักไม่ยอมตอบ พลางเหลือบตาไปทางตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอบาดเจ็บ ปานแก้วจึงหันไปมองบุคคลที่สามตามลูกสาว

“แล้วนี่ใครกันจ๊ะ”

“อ่า...เขา...เขา...” เด็กหญิงอ้ำอึ้งตอบไม่ถูก เพราะจนป่านนี้เด็กหญิงยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร

“ศศินครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวเองเสียงนุ่ม พลางใช้สายตาสังเกตปานแก้วอย่างรวดเร็ว

รูปหน้าของหญิงสาวดูคุ้นตาของเขาอย่างไรพิกล และด้วยความรู้สึกส่วนลึกที่บอกว่าเขาต้องเคยเจออีกฝ่ายมาก่อนแน่ทำให้อดใจเอ่ยปากถามออกไปไม่ได้

“เอ่อ...พวกเราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่าครับ”

ปานแก้วกะพริบตาไปมา ก่อนคลี่ยิ้มให้ชายหนุ่มที่ทำท่าเหมือนจะรู้จักเธอ “หากคุณอยู่แถวนี้ น่าจะคุ้นตาดิฉันบ้างหรอกค่ะ เพราะดิฉันนั่งร้อยมาลัยขายอยู่ตรงนี้มาหลายปีแล้ว”

ศศินขมวดคิ้วและทำท่าไม่อยากเชื่อเท่าไร แต่รอยยิ้มของปานแก้วที่ไม่ได้แสดงพิรุธอะไรออกมาให้เห็น ชายหนุ่มยอมล่าถอยไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก “งั้นผมคงจำคนผิดไปเอง ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หน้าของดิฉันออกจะโหลอยู่เสียหน่อย เลยทำให้ถูกทักผิดบ่อย”

คำพูดของปานแก้วออกจะเกินจริงไปเสียหน่อย เพราะรูปหน้าของหญิงสาวนั้นโดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์มากเกินกว่าจะมีภาพพิมพ์ซ้ำ อีกทั้งกิริยาวาจาของเธอดูเหมือนคนที่ถูกสอนมารยาทมาอย่างดี ซึ่งหากบอกว่าเธอเป็นลูกผู้ดีที่จับพลัดจับพลูมาตกยากจะน่าเชื่อถือกว่าการจะบอกว่า เธอเป็นแม่ค้าขายพวงมาลัยมาแต่กำเนิดเสียอีก

“แล้วผมก็ต้องขอโทษอีกครั้งด้วยนะครับ” ศศินพูดพลางเหลือบสายตาไปยังร่างเล็กที่กอดเอวแม่แน่น ซึ่งพอเด็กหญิงได้สบกับดวงตาของคมวาวที่คล้ายจะส่งแววหยอกแหย่มาให้ เธอก็ย่นจมูกตอบกลับไป ชายหนุ่มจึงกระตุกยิ้มขึ้นมาวูบหนึ่งด้วยความขบขัน

“บังเอิญว่าผมเห็นลูกสาวคุณหกล้มตอนจะกลับมาที่นี่ และข้อเท้าของเธอบวมช้ำมาก ผมเลยตัดสินใจพาไปหาหมอก่อน โดยไม่มาบอกคุณแม่ให้หายห่วง ผมกลัวว่าแกจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้น่ะครับ”

ปานแก้วก้มลงมองลูกสาวที่หลบสายตาวูบอย่างคนมีชนักติดอยู่ที่หลัง ก่อนเบนสายตาไปมองศศินที่ยังยิ้มหน้าซื่อ ไม่มีพิรุธอะไรให้จับได้เหมือนลูกสาว

“หกล้มหน้ารถคุณหรือคะ”

คำถามของปานแก้วเรียกเสียงหัวเราะจากเจ้าทุกข์ที่เคยโดนไอศวราหลอกเอาเงินไป แต่จะว่าไป เขาก็ให้เงินส่วนนั้นไปด้วยความสนิทเสน่หาจึงไม่สามารถร้องบ่นอะไรได้

“เปล่าครับ ล้มไกลกว่านั้นมากทีเดียว”

อย่างน้อยศศินก็ไม่ได้โกหกล่ะ ชายหนุ่มแค่พูดความจริงออกไปไม่หมดเท่านั้นเองว่า เด็กหญิงล้มลงต่อหน้าเขาถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกคือตอนดักสกัดหน้ารถ เพื่อแลกเงินค่าทำขวัญกับพวงมาลัยส่วนที่เหลือของวันนี้ ส่วนอีกครั้งคือตอนที่กำลังวิ่งหนีเขาด้วยท่าทางที่เดาได้ว่าคงกลัวโดนเอาเรื่อง

“อา...ถ้าอย่างนั้นก็ขอขอบคุณมากนะคะที่พาลูกสาวของดิฉันไปหาหมอ เอ่อ...แล้วค่ายา...” ปานแก้วเริ่มมีท่าทีอึกอักเหมือนลูกสาว เธอรู้อยู่ว่าค่ายาของโรงพยาบาลไม่ได้ถูกเหมือนหมอตำแยที่เธอขอพึ่งพาอยู่บ่อยครั้ง ทั้งในเรื่องตอนคลอดลูก หรือตอนที่เริ่มรู้ตัวว่าไม่สบาย และคงทำให้เงินที่ได้จากการขายพวงมาลัยในวันนี้หมดเกลี้ยงกระป๋องแน่

“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ”

“แต่...”

“ถือเสียว่าผมชดใช้หนี้บางอย่างให้กับน้องเค้าแล้วกันครับ เนอะไอศวรา” ถ้อยคำสุดท้ายนี้ ศศินหันไปถามคู่กรรมของตัวเองที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ และเด็กหญิงก็เลือกที่จะหลบอยู่ด้านหลังของปานแก้ว โดยไม่โต้ตอบอะไรกลับไป

“เอาเป็นว่า ผมขอตัวลากลับเลยนะครับ แล้วนี่...” ศศินเว้นจังหวะการพูดไว้ พลางยื่นถุงใส่ยาให้ปานแก้วรับไป “ยาพวกนี้ผมกำชับบอกไอศวราไว้แล้วว่ากินตอนไหนบ้าง แกเป็นเด็กฉลาด เข้าใจอะไรได้ดี เสียอย่างเดียวคือดื้อไปหน่อย ผมกลัวว่าแกคงไม่ยอมกินแน่ ยังไงก็ฝากคุณแม่ช่วยกำชับให้เขาทานยาให้หมดนะครับ”

ปานแก้วรับถุงยามาด้วยท่าทางเงอะงะ หญิงสาวไม่เข้าใจเจตนาของศศินเลยว่าเขาทำแบบนี้ทำไม และเธอก็ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะทำโดยไม่หวังผล แต่ศศินไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีของหญิงสาวที่โอบกอดลูกสาวตัวน้อยไว้ในวงแขนด้วยท่าทางหวงแหน เพราะสายตาของชายหนุ่มคอยจดจ้องแม่หนูน้อยที่คอยเหลือบมองมาทางเขาเป็นระยะ ซึ่งพอได้สบตากันทีไรก็มักจะหลบสายตาให้วุ่นวายไปทุกครั้ง

“ไปก่อนนะไอศวรา ไว้โอกาสหน้าฉันจะมาเล่นด้วยใหม่”

ไอศวราอยากจะแยกเขี้ยวตอบกลับไป หากไม่ติดว่ามีสายตาของปานแก้วคอยจ้องมองอยู่ เด็กหญิงจึงทำหน้าง้ำ ทำท่าบอกว่าไม่อยากเล่นด้วยหรอก ก่อนหลบเข้าด้านหลังของแม่และไม่โผล่หน้าออกไปให้ชายหนุ่มเห็นอีก เธอได้ยินเสียงหัวเราะของเขาดังตบท้าย ก่อนที่เสียงรถจะขับเคลื่อนจากไป ทิ้งให้สองแม่ลูกได้ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด มีเพียงแสงจากดวงไฟหลอดเล็กเหนือแผงลอยขายพวงมาลัยที่คอยให้ความสว่างในค่ำคืนนี้





“ไง...วันนี้กลับมาซะดึกดื่นเชียวนะ แอบไปเถลไถลที่ไหนมาหรือซี” เสียงหวานเจือรอยดุเอ่ยขึ้นโดยไม่หันไปมองคนที่เดินเข้ามาในบ้านด้วยฝีเท้าเบากริบ เจ้าของชื่อหันไปมองพี่สาวคนโตที่ยกสองแขนพาดขอบโซฟาตัวยาว ดวงตาจดจ้องรายการข่าวในโทรทัศน์ด้วยท่าทางคล้ายสนใจเต็มที่

“ยังไม่ขึ้นนอนอีกหรือ พี่เอ”

“คุณสามีสุดที่รักของพี่ยังไม่กลับเลยนี่ แล้วจะให้พี่ขึ้นนอนได้ยังไง” ในน้ำเสียงของสุรางคนางค์มีรอยประชดประชันต่ออีกคนที่จนป่านนี้ยังไม่กลับถึงบ้าน “ฮึ่ม! อย่าให้รู้นะว่าแอบไปมีอนุเก็บไว้ที่ไหน ไม่งั้นได้มีรายการเลือดตกยางออกให้เห็นแน่” ประโยคสุดท้ายที่หลุดออกมาเล่นเอาคนฟังสะดุ้งโหยง และห่วงสวัสดิภาพของพี่เขยที่หากไม่รีบกลับบ้านเสียตั้งแต่ตอนนี้ เห็นทีเขาคงได้พาคนเจ็บเข้าโรงพยาบาลอีกเป็นรอบที่สอง

“แหม่ๆ แม่คุณทูนหัว แค่สามีสุดที่รักกลับบ้านช้านิดช้าหน่อยจะเล่นกันถึงเลือดถึงเนื้อเลยหรือจ๊ะ” เสียงกลั้วหัวเราะของคนที่หวุดหวิดได้ไปโรงพยาบาลดังมาจากเบื้องหลังของศศิน เสียงนี้เรียกสายตาสองพี่น้องให้หันไปมองชายร่างสูงกำยำในชุดเครื่องแบบนายตำรวจที่หอบหิ้วแฟ้มเอกสารเล่มหนาเข้ามาในบ้าน

“แล้วอย่ามากล่าวหาผมว่ามีอนุเชียวนะคุณคนางค์ ผมแค่ทำงานล่วงเวลาเท่านั้น”

“ทำงานอะไรถึงกับต้องเรียกน้องชายฉันลงมาจากเชียงใหม่”

ปรีดีฉีกยิ้มกว้าง พลางยกท่อนแขนข้างที่ว่าง โอบรอบบ่าน้องชายภรรยาด้วยท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านต่อสายตาจ้องจับผิดของภรรยานิสัยดุ “อย่างเจ้าซีจะช่วยทำงานอะไรให้ผมได้ ดีไม่ดีจะโดนล่อเข้าให้ก่อนสิไม่ว่า”

สุรางคนางค์ร้องเหอะอย่างไม่ใคร่เชื่อถือในคำพูดของสามีเท่าไร มีหรือที่เธอจะไม่รู้นิสัยของผู้ชายสองคนที่อยู่ตรงหน้า คนหนึ่งเป็นคู่ชีวิตที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียน วิ่งหนีไม้ตะพดของผู้ให้กำเนิดที่บังอาจมารักกับลูกสาวอยู่หลายครั้ง อีกคนเป็นน้องชายที่เลี้ยงมาเหมือนกับลูก คอยจับเปลี่ยนผ้าอ้อมและเฝ้าดูการเติบโต จนได้เห็นอีกฝ่ายเอาปริญญาบัตรมาอวดให้ชื่นใจ ซึ่งน้องชายคนนี้ก็แสนร้ายนัก ชอบทำตัวเกเร ทำท่าจะออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันเสียหลายรอบ เล่นเอาคนรอบข้างพานจะหัวใจวายตายตามกันไป

“ใครจะล่อใครกันแน่ คิดว่าฉันไม่รู้งั้นหรือว่าไอ้หน้าเซ่อซ่าของน้องชายฉัน มันห่มหนังจิ้งจอกเอาไว้ ขืนประมาทสิจะได้ตายไม่รู้ตัว”

“พี่เอก็พูดเกินไป ผมเป็นจิ้งจอกตรงไหนกัน” ศศินส่ายหน้ากับคำของพี่สาวที่กล่าวหาเขาเสียไม่มีดี พลางพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา “หน้าก็ไม่ได้บอกยี่ห้อเสียหน่อย มากล่าวหาผมได้นะ” แต่เสียงพึมพำของศศินก็ไม่ได้เบาจนสุรางคนางค์ไม่ได้ยิน หญิงสาวหัวเราะเสียงสูงและแฝงแววมาดร้ายไว้

“ไม่ใช่จิ้งจอก งั้นก็เป็นหมาป่าสินะ”

หากเป็นเมื่อก่อน ศศินคงหัวเราะตอบอย่างไม่อินังขังขอบต่อคำกล่าวหานั้น แต่ตอนนี้ชายหนุ่มชักจะหัวเราะไม่ออกกับสถานะของตัวเองที่คิดจะล่อลวงลูกแกะมาเลี้ยงดู เขาจึงส่งยิ้มจืดเจื่อนกลับไป

“เอาน่า คุณคนางค์ ตราบใดที่เจ้าซียังไม่ไปงาบลูกแกะที่ไหนก็ปล่อยเขาไปเถอะ น้องชายคุณโตแล้วนะ ไม่ใช่เจ้าตัวเปี๊ยกที่ยังสวมผ้าอ้อมไปวิ่งเล่น”

ศศินกระแอมในลำคอที่ถูกพี่เขยเล่นเข้าให้เสียแล้ว ปรีดีจึงหัวเราะและตบบ่าน้องชายเป็นการปลอบใจ ตัวเขาเองก็เหมือนภรรยานั่นแหละ เขาเห็นน้องชายคนนี้ตั้งแต่เจ้าตัวยังตีนเท่าฝาหอย และตอนที่เขานัดเที่ยวกับสาวคนรักในหลายต่อหลายครั้ง เจ้าหล่อนมักพาน้องเล็กมาเป็นไม้กันหมาทุกที ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็แสบไม่ใช่เล่น เพราะแม้จะยังไม่รู้ความอะไร ยังคอยขัดคอยขวางไม่ให้เขาทำตัวยุ่มย่ามกับสาวเจ้าได้

“พวกผู้ชายก็ดีแต่เข้าข้างกันอย่างนี้ประจำ” สุรางคนางค์บ่นพลางส่งเสียงชิชะในลำคอ “ใครจะไปรู้ว่าเจ้าซีไปงาบลูกแกะตอนไหน กว่าจะรู้คงเป็นเมื่อสายนั่นแหละ”

ปรีดีได้แต่หัวเราะอย่างขบขัน โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองได้จุดชนวนให้น้องชายเข้าเสียแล้ว ชายหนุ่มหันไปมองคนหน้าซื่อที่จะยิ้มก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่เชิง ก่อนยักไหล่อย่างไม่ใคร่สนใจ หรือถือเป็นจริงเป็นจังเท่าไรนัก “ไปนอนเถอะคุณคนางค์ ข่าวตอนดึกไม่ค่อยมีอะไรน่าดูหรอก”

“แล้วคุณล่ะ” สุรางคนางค์เหลือบสายตาไปทางสามีครู่หนึ่ง ก่อนหันไปมองน้องชายที่ไม่มีทีท่าจะขอตัวขึ้นไปพักผ่อนเสียที

“ผมมีธุระจะคุยกับซีนิดหน่อย แปบเดียวก็เสร็จแล้วจ้ะ” ปรีดีตอบกลับเสียงหวาน ซึ่งพอคนนอกอย่างศศินได้ฟังแล้วรู้สึกหวานเลี่ยนอย่างไรพิกล

“คุยเรื่องอะไร บอกฉันได้หรือเปล่า”

ปรีดีแย้มยิ้มแฝงเลศนัย ก่อนเอ่ยตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่มเหมือนคนที่เพิ่งจีบกันมาได้ไม่นาน “เป็นผู้ชายก็ต้องคุยเรื่องของผู้ชายสิจ๊ะ ส่วนคุณจะไปนอนรอผมที่เตียง หรือจะให้ผมอุ้มไปส่งถึงที่ดี ที่รัก”

สุรางคนางค์ส่งสายตาค้อนคว่ำกับตลกลามกของสามีที่แม้จะแต่งงานกันจนมีลูกหนึ่งคน ชายหนุ่มก็ยังไม่เลิกนิสัยเมื่อสมัยก่อน และคงไม่มีใครเชื่อแน่ว่าคนทะเล้นขี้เล่นอย่างนายปรีดีจะเป็นถึงสารวัตรมาดเข้มที่เหล่าลูกน้องพากันนินทาลับหลังเจ้านายให้เธอฟังอยู่บ่อยครั้งว่า โหดเหลือรับประทาน

“เชิญไปคุยเรื่องส่วนตัวของพวกผู้ชายกันให้สมอยากเถอะค่ะ แล้วคิดจะวางแผนมีอนุ หรือจะงาบลูกแกะที่ไหนก็บอกฉันด้วยนะ ฉันจะได้เตรียมไม้หน้าสามรอ”





หลังจากที่ปรีดีกับศศินต้องรบรากับผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตรองจากแม่เสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็ไปยังห้องทำงานของนายตำรวจอนาคตไกลที่เปลี่ยนท่าทางจากทะลึ่งตึงตังมาเป็นเงียบขรึมราวคนละคน

“หนึ่งอาทิตย์ที่นายไปดูลาดเลามาเป็นอย่างไรบ้างล่ะ พอได้อะไรบ้างไหมเจ้าซี”

“เท่าที่ผมสังเกตเห็น ตลาดโภคเจริญเป็นพื้นที่ของเอกชน เจ้าของที่ใช้มันทำเป็นตลาดแล้วเก็บค่าเช่าที่จากพ่อค้าแม่ขายที่ขายของในนั้น นอกจากค่าเช่าที่ ยังมีค่าคุ้มครองที่พวกเขาต้องจ่ายให้กับอันธพาลกลุ่มหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าพวกมันมีสมาชิกกันทั้งหมดกี่คน และมีใครคอยบงการอยู่เบื้องหลังอีกทอดหนึ่งหรือเปล่า แต่หัวโจกของอันธพาลกลุ่มนี้ชื่อนายเบิ้ม”

ปรีดีร้องอะฮ้าขึ้นมา เมื่อได้ยินชื่อผู้นำกลุ่มอันธพาลที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีดำของกรมตำรวจ ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะเล็กน้อย พลางมองน้องชายที่จ้องตอบกลับมาด้วยความงุนงง อีกฝ่ายยังไม่รู้เนื้อหาทั้งหมดของคดีที่เขากำลังรับผิดชอบ จึงไม่รู้ว่าคนที่ตัวเองกำลังเฝ้าจับตามองอยู่นั้นคือคนที่นายตำรวจกำลังต้องการตัวอยู่พอดี

“ซีเอ๋ย...นายต้องมีเทพธิดานำโชคเกาะติดตัวแน่เลยว่ะ”

“โชคร้ายหรือครับ” ศศินตอบกลับไปด้วยความขบขัน แต่ละงานของพี่เขยที่เอามาให้ชายหนุ่มทำ มีอันต้องโดนลูกหลงไปด้วยทุกที และเพราะอย่างนี้นี่แหละ สุรางคนางค์จึงไม่ชอบใจทุกครั้งที่รู้ว่าสามีเอาคดีที่ตัวเองกำลังทำมาให้น้องชายของเธอช่วยเหลือ

“นายนี่ชักจะติดนิสัยชอบขัดมาจากยัยวิราสินีแล้วนะ”

นายตำรวจหนุ่มแยกเขี้ยวใส่ พลางนึกไปถึงวิราสินี น้องสาวของภรรยาสุดที่รักที่มีนิสัยห้าวห้วนยิ่งกว่าผู้ชาย แต่ถึงกระนั้นยังมีบางส่วนที่เหมือนผู้หญิงอยู่บ้าง โดยเฉพาะในด้านความรัก เขาอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เมื่อนึกถึงแม่สาวทอมบอยที่ยอมทำตัวเป็นกุลสตรี เพื่อให้ผู้ใหญ่ทางฝ่ายผู้ชายยอมรับ ซึ่งอุปสรรคของน้องสาวคนนี้ถือว่ามีมากน่าดูชม เพราะฝ่ายนั้นมีฐานันดรเป็นถึงหม่อมเจ้าเลยทีเดียว

“เอาล่ะ เรามาพูดกันเรื่องนายเบิ้มที่นายพูดถึงดีกว่า” ปรีดีพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัว โดยมีศศินเดินมานั่งด้านตรงข้าม “นายเบิ้มคนนี้สำหรับพวกตำรวจแล้ว เป็นทั้งนายหน้าค้ายา และทำงานรับจ้างอุ้มฆ่า ตามคำสั่งของผู้มีอิทธิพลที่หนุนหลังมัน นั่นคือเสี่ยวิวัฒน์ หรือพี่ชายเจ้าของตลาดโภคเจริญที่พี่ให้นายไปเฝ้าสังเกตการณ์นั่นแหละ”

คำบอกเล่าของปรีดีทำให้ศศินเกร็งตัวขึ้นมาทันที เขาโน้มตัวเข้าหาโต๊ะทำงานของนายตำรวจหนุ่มราวกับเสือที่เตรียมจะจับเหยื่อในไม่ช้า ซึ่งท่าทางนั้นทำให้ชายหนุ่มกระตุกยิ้มขึ้นมา

“พี่คิดว่าคนในตลาดคงรู้จักชื่อเสียงของเสี่ยวิวัฒน์อยู่ไม่มากก็น้อย เขาเป็นตัวการแพร่กระจายยาบ้าผ่านทางนายเบิ้ม และด้วยความที่เขาเป็นพี่ชายของเจ้าของตลาด พวกเขาเลยมีอาการน้ำท่วมปาก พูดอะไรไม่ได้มาก เพราะเจ้าของที่ออกจะใจบุญผิดกับพี่ชายของเขาลิบลับ” ปรีดีทิ้งประโยคบอกเล่าของตัวเองไว้แค่นั้น แล้วมองปฏิกิริยาของน้องชายภรรยาที่กำลังเก็บข้อมูลใหม่ที่ได้รับเข้าสู่สมอง

“คนของพี่เคยเข้าไปสืบและล่อซื้อของจากพวกมัน แต่เหมือนฝ่ายโน้นจะไหวตัวทันตลอด ดูท่าพวกนั้นจะมีบัญชีรายชื่อของตำรวจเหมือนกันกระมัง ทางเดียวที่พี่พอนึกออกตอนนี้คือ หานกต่อที่จะเข้าไปใกล้ และล่อพวกมันให้เผยตัวออกมา”

“และนกต่อที่ว่าคือผม” ศศินเอ่ยต่อในสิ่งที่ปรีดีไม่เอ่ยถึง แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ชายหนุ่มพอเดาอนาคตของตัวเองออกเลยว่า ท้ายที่สุดแล้วคงไม่แคล้วต้องโดนลูกหลงเข้าจนได้

“โทษทีนะ พี่นึกได้แต่หน้านาย”

“ถ้าหากผมจะปฏิเสธงานนี้คงสายเกินไปแล้วใช่ไหมครับ”

ปรีดียกมือขึ้นเท้าคาง พลางเอียงหน้ามองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม แล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ว่านายเหมาะกับอาชีพตำรวจ มากกว่าจะเป็นเจ้าของไร่กับรีสอร์ทที่เชียงใหม่นั่นอีกซี”





ภารกิจแต่ละอย่างของปรีดี นายตำรวจชั้นสัญญาบัตรที่ชอบลงไปเล่นอยู่ในแนวหน้าพร้อมกับลูกน้อง ล้วนเป็นงานที่ทำให้ชายหนุ่มตายไวได้ทั้งนั้น ซ้ำร้ายเจ้าตัวยังชอบลากน้องชายภรรยาอย่างศศินที่เป็นเพียงคนธรรมดาให้ไปร่วมหัวจมท้ายกับงานเสี่ยงตายเหล่านั้น จนสะบักสะบอมมาแล้วทุกงาน และงานล่าสุดที่ศศินได้รับมอบหมายให้มาเป็นนกต่อทำให้ชายหนุ่มนั่งฟุบหน้าอยู่กับพวงมาลัยรถของตัวเอง

ปรีดีนึกว่าศศินเป็นหนุ่มนักบู๊หรืออย่างไรกันนะ พี่เขยคนนี้จึงได้ชอบมอบหมายงานอันตรายมาให้ชายหนุ่มเสียบ่อยครั้ง และเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธคำขอร้องกึ่งบังคับของอีกฝ่ายได้เสียที ด้วยเขายังมีหนี้มากมายที่ยังชดใช้ให้พี่ชายคนนี้ไม่หมด

ศศินได้แต่ถอนหายใจเฮือกกับความใจอ่อนของตัวเอง ก่อนเงยหน้าขึ้นจากพวงมาลัยรถ แล้วสายตาเจ้ากรรมก็ดันไปเห็นใครบางคนกำลังเอาหน้าชิดติดกระจก หัวคิ้วที่ขมวดยู่ย่นจึงถูกปลดเปลื้องลงทันที ชายหนุ่มคลี่ยิ้มน้อย เมื่อได้เห็นเจ้าของดวงหน้าจิ้มลิ้มอยู่เบื้องนอก เขาเฝ้าพิศเด็กหญิงด้วยสายตาเอื้อเอ็นดู เธอโผล่เข้ามาในช่วงเวลาที่หัวใจของเขากำลังเป็นสีดำ และเขาก็ไม่รู้ตัวเลยว่า เธอได้ช่วยชะล้างคราบดำเปื้อนในหัวใจของเขาให้ขาวขึ้นทีละน้อย

วันนี้ไอศวราไม่ได้มวยผมขึ้นกลางศีรษะเหมือนเช่นสองครั้งก่อน แต่ถักเป็นเปียยาวสองข้างที่เริ่มจะดูรกยุ่ง ซึ่งเดาได้ว่าคงเกิดจากความซุกซนของเจ้าตัวนั่นล่ะ แล้วริมฝีปากได้รูปก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา เมื่อเห็นสีหน้าหลากหลายของเด็กหญิง ดวงหน้านั้นมีทั้งความอยากรู้อยากเห็น และขัดอกขัดใจที่ไม่สามารถลอบมองดูคนในรถได้ โดยแม่หนูน้อยไม่รู้ตัวเลยว่าถูกเขาจับได้เสียแล้ว

ร่างเล็กเขย่งเท้าไปมาอยู่หน้าประตูรถฝั่งคนขับ ก่อนลงไปสำรวจด้านหลังด้วยท่าทางที่ยังสนใจไม่เลิก แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ

ชายหนุ่มลอบยิ้มกับตัวเอง พลางมองแม่ลูกแกะน้อยที่มีสัญชาตญาณระวังภัยต่ำ ก่อนเปิดประตูรถให้เกิดเสียงเบาที่สุด โดยคนที่มัวแต่สอดส่องดูสภาพภายในรถที่ด้านหลังไม่ได้รู้สึกตัวถึงประตูรถฝั่งคนขับที่ถูกเปิดออกมา พร้อมกับมือใหญ่ข้างหนึ่งที่ยื่นเข้ามาใกล้ ครั้นพอรู้สึกตัวอีกทีหนึ่ง เด็กหญิงก็ต้องหวีดร้องเสียงดังกับแรงดึงที่มาจากด้านข้างเสียแล้ว

“มาด้อมๆ มองๆ อะไรรถฉันหือ สาวน้อย” ศศินกระซิบถามแผ่วเบาที่ริมหูคนตัวเล็ก ก่อนกลั้วหัวเราะด้วยความขบขัน เมื่อคนที่ตกเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนหลับตาปี๋ แล้วหดคอหนีกับลมหายใจร้อนที่เป่ารดโดนซอกคอ

“หนูเปล่านะ!” ไอศวราปฏิเสธเสียงหลง พลางดิ้นขลุกขลักอยู่ในวงแขนแข็งแรง เพื่อให้หลุดพ้นจากการกอดรัดอย่างไม่ยอมแพ้

“เปล่าอะไร ฉันเห็นเธอแนบหน้าชิดติดกระจกรถอยู่ตั้งนานสองนาน”

“ก็...ก็หนูเห็นว่ามันเป็นรถของคุณนี่นา เลยเข้ามาดูว่าคุณอยู่ในรถหรือเปล่า” เด็กหญิงสารภาพเสียงอ่อย ก่อนปล่อยน้ำตาให้หยดแหมะลงบนท่อนแขนที่กอดรัดอย่างไม่เข้าใจในตัวเอง

ศศินชะโงกหน้าผ่านบ่าเล็กบอบบางด้วยความสงสัย เมื่อรู้สึกถึงหยาดน้ำที่หยดต้องท่อนแขน “อ้าว! อะไรกัน...แค่นี้ก็เป่าปี่แล้วหรือเรา”

“คุณดุหนู” เด็กหญิงตอบเสียงอู้อี้ พลางเบนหน้าหลบอุ้งมือใหญ่ที่พยายามปาดเช็ดน้ำตาให้

“ฉันดุเธอตรงไหน” ศศินถามกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนแสนงอนที่ย่นจมูกใส่ให้กับคำถามของเขา

“คุณดุ” เสียงเล็กเอ่ยย้ำหนักแน่น และเริ่มดิ้นไปมาอีกครั้ง เมื่อแรงกอดรัดรอบเอวผ่อนคลายลง

“ใครว่าดุ” ชายหนุ่มยังยืนยันคำเดิม ก่อนปล่อยร่างเล็กให้หลุดพ้นจากวงแขน

“ฉันแค่แหย่เล่น” ศศินพูดพลางลูบเรือนผมนุ่มแผ่วเบา ด้วยไม่รู้ว่าจะปลอบโยนอีกฝ่ายที่กำลังร้องไห้สะอื้นสะอื้นนี้อย่างไรดี

แม้เขาจะมีหลานสาวที่มีอายุไล่เลี่ยกับไอศวรา แต่ฝ่ายนั้นไม่ค่อยร้องไห้ให้เขาเห็นเท่าไร ยิ่งเป็นตอนที่ถูกน้าของตัวเองกลั่นแกล้งด้วยนิสัยที่เอ็นดูหลานจนเกินเหตุแล้วล่ะก็ เจ้าตัวจะงอนนานไปหลายวันเลยทีเดียว ตาดีตาร้ายก็หาเรื่องมาแก้แค้นให้เขาวุ่นวายเล่นเสียด้วยซ้ำ

“หยุดร้องไห้เถอะนะ ฉันไม่แกล้งเธอแล้วล่ะ ไอศวรา”




Create Date : 10 มีนาคม 2555
Last Update : 20 มกราคม 2557 16:12:23 น.
Counter : 254 Pageviews.

1 comments
  
ขอบคุณค่ะ :)
โดย: พลอย IP: 71.56.232.26 วันที่: 12 มีนาคม 2555 เวลา:13:52:17 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog