พิษเสน่หา 17
๑๗ เพชร(พลอย)ในตม

เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับโกหก แต่เขาว่าเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ ดังนั้นสิริกัญญาจึงอดนึกเสียดายเวลาสามวันนี้ไม่ได้ เพราะเธอได้เพื่อนใหม่มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกหลานขุนนางที่เป็นลูกศิษย์ของปลายมาศ หรือกลุ่มของเจ้าชายชเยนทรที่ชอบชวนเธอกับบริมาสไปเล่นเรือด้วยกัน แล้วยังเจ้าชายอินทรวิเชียรอีกที่ทรงแวะเวียนมาตลอด จนมีข่าวลือออกมาว่าพระองค์ทรงพึงใจดอกไม้งามที่อยู่ตำหนักอรินทรา

ตอนที่เธอกับปลายมาศกลับบ้าน เจ้าชายน้อยทรงบ่นครวญไม่อยากให้พระอาจารย์กับเพื่อนใหม่ต่างวัยทั้งสองคนจากไป และเจ้าชายชัยนเรนทร์ยังทรงทำท่าหาเรื่องให้พวกเธออยู่ แต่ไม่รู้ทำไมถึงทรงเปลี่ยนพระทัยทันทีที่พี่ชายกระซิบอะไรบางอย่างกับพระองค์

“แต่งตัวเสร็จเร็วจังนะ สิรี”

เสียงกลั้วหัวเราะปนคำเอ่ยเย้าของคนที่เข้ามาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง เรียกสายตาที่มองเหม่อออกไปภายนอก ให้หันไปมองเจ้าของเสียงที่อยู่ในชุดที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย เพราะโดยปกติอีกฝ่ายมักจะอยู่ในชุดราบเรียบ โทนสีทึม ๆ เน้นไปทางสีน้ำเงินหม่น แต่วันนี้เขาอยู่ในชุดสีขาวล้วน ซึ่งเสริมให้ดวงหน้าและดวงตาสีฟ้าครามขับเด่นขึ้นมา

“สิรีไม่ต้องแต่งอะไรมากนี่คะ” สิริกัญญาตอบไปตามความเคยชิน แม้ว่าชุดใหม่ที่เธอใส่อยู่นี่จะจัดการยากอยู่เสียหน่อย แต่มันเป็นชุดที่เจ้าหลวงทรงประทานมา และกำชับให้เธอใส่เข้าวังวันแรก เธอจึงยอมเสียเวลาอีกสักเล็กน้อยเพื่อจัดการมัน

“แล้วไม่คิดจะผัดหน้าบ้างหรือไง” ปลายมาศถามพลางยิ้มน้อย และก็ได้รับการเบ้ปากเป็นคำตอบกลับมา

สิริกัญญาไม่เคยแต่งหน้าอย่างพวกลูกคุณหนูทั้งหลาย นอกจากการผัดแป้งเพื่อไม่ให้หน้าดูมันเกินไปนัก และริมฝีปากของเธอก็อมชมพูตามธรรมชาติอยู่แล้ว จึงไม่ต้องทาปาก เพื่อให้ริมฝีปากแดงขึ้นไปอีก แต่ดูท่าปลายมาศจะไม่ยอมปล่อยให้น้องสาวเข้าวังด้วยสภาพนี้แน่ เมื่อสายตาของเธอเหลือบไปเห็นกล่องใส่เครื่องแต่งหน้าของแม่บุญธรรมที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ในมือของพี่ชายได้อย่างไร

“ไม่นะคะ” หญิงสาวส่ายหน้าหวืด เธอไม่เคยแต่งหน้ามาก่อน มันคงดูตลกแน่ ถ้าพี่ชายจะให้เธอทำตามแบบพวกคุณหนูรักสวยรักงามเหล่านั้น

“ไม่มีพระพี่เลี้ยงคนไหนหน้าซีดขาวเหมือนศพเดินได้หรอกนะสิรี พี่จะสอนแต่งหน้าให้”

เรื่องที่ถูกจับแต่งหน้ายังไม่น่าตกใจเท่ากับการที่ปลายมาศบอกว่าจะสอนแต่งหน้า สิริกัญญาเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อว่าแม้แต่เรื่องนี้ พี่ชายของเธอก็ทำเป็น

“ทำหน้าเหมือนอยากถามอะไรเลยนะ”

คนที่อยากถามปัญหาคาใจ แต่ไม่มีความกล้ามากพอส่งยิ้มแหย แล้วแสร้งหันไปสนใจกล่องใส่เครื่องแต่งหน้าที่มีแต่ของไม่เคยคุ้น

“เมื่อหลายปีก่อนมีคดีฆ่าข่มขืนที่หญิงสาวพากันอกสั่นขวัญแขวน ไม่กล้าไปไหนมาไหนตามลำพัง และทางการก็ไม่มีร่องรอยอะไรที่จะตามหาผู้ร้ายคนนี้ได้ แล้วก็มีคนเสนอให้เจ้าหน้าที่ใช้แผนนางนกต่อดู แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนยอมเป็นนกต่อล่อคนร้ายให้กับทางการเลยสักคน”

สิริกัญญาเหลือบตามองพี่ชายที่เล่าไปพลาง แต่งหน้าให้เธอไปพลางด้วยความสนใจ เพราะคดีที่ชายหนุ่มพูดถึงนั้น เป็นคดีดังที่ทุกคนในปามะห์ให้ความสนใจมาก ตอนนั้นหญิงสาวใช้วิธีหาข่าว โดยการสอบถามจากพวกคนรับใช้บ้าง แอบฟังพวกพี่น้องพูดคุยกันบ้าง โดยเฉพาะเรื่องนางนกต่อที่เป็นสิ่งที่ทุกคนสนใจมากที่สุด

หญิงสาวยังจำได้ว่านกต่อที่ทางการจ้างวานให้ช่วยล่อคนร้าย เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ของตระกูลหนึ่ง เหล่าทหารที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นเล่าให้ฟังว่าเธอเป็นหญิงสาวร่างเล็กบอบบาง ชวนให้ทะนุถนอม ดวงหน้าหวานซึ้งและรอยยิ้มละมุนละไมที่ส่งให้ใครต่อใคร พาให้คนมองใจสั่นหวิว เธอเดินล่อคนร้ายอยู่นานเป็นสัปดาห์กว่าจะจับคนร้ายได้ และคนที่จับฆาตกรข่มขืนได้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนผู้นั้นคือคุณหนูสูงศักดิ์ ผู้ทุ่มผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์ให้ลงไปนอนนับดาวกับพื้นเพียงชั่วเวลาเสี้ยววินาที

“อย่าบอกนะคะว่านกต่อคนนั้นคือพี่”

ปลายมาศหลุดเสียงหัวเราะออกมา เมื่อเห็นน้องสาวทำสีหน้าประหลาด และคาดเดาเรื่องได้อย่างถูกต้อง “เราหาผู้หญิงไม่ได้เลยสักคน เลยต้องหาผู้ชายมาปลอมตัวเป็นผู้หญิงแทน แล้วพวกทหารก็มีแต่คนสูงโย่งบ้าง รูปร่างบึกบึนบ้าง พวกที่มีรูปร่างใกล้เคียงกับผู้หญิงหน่อยก็จับแต่งตัวไม่ขึ้น”

“แล้วพี่ปลายมาศไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไงคะ”

“เพราะเจ้าชายชัยนเรนทร์ทรงรับผิดชอบเรื่องนี้ หลังจากที่ผู้รับผิดชอบคนเก่าไม่สามารถตามหาคนร้ายได้น่ะสิ แล้วตอนนั้นพี่อายุแค่สิบสี่ ร่างกายยังไม่โตเต็มวัย หน้าตาก็พอกล้อมแกล้มไปได้ เลยโดนจับแต่งหน้าแต่งตัว ก่อนโดนส่งไปเป็นเหยื่อล่อ”

แต่ปลายมาศก็ไม่ได้บอกสาเหตุที่แท้จริงกับน้องสาวอีกนั่นแหละ ว่าที่โดนให้ไปทำงานเสี่ยงตายแบบนั้น มันเป็นผลมาจากที่เจ้าชายชัยนเรนทร์ต้องการแกล้งเขา หลังจากทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องชนิดไม่มีใครยอมใคร แล้วจะว่าไป เมื่อก่อนเขากับเจ้าชายศรศิลป์กินกันเสียที่ไหน ชายหนุ่มได้แต่นึกขำเรื่องราวในอดีตของตนเอง

“เรื่องที่พี่แต่งหน้าเป็นก็มาจากตอนนั้นนั่นแหละ ทีนี้หายสงสัยแล้วหรือยัง”

“สิรีไม่ได้สงสัยอะไรเสียหน่อย” หญิงสาวตอบกลับอย่างร้อนตัว แต่คนรู้ทันไม่เชื่อถือเลยสักนิด

ปลายมาศหัวเราะขบขันกับความปากแข็งของน้องสาว ก่อนจัดแจงสอนวิธีแต่งหน้า และทำความรู้จักกับเครื่องปรุงโฉมให้กับคนที่ไม่เคยแตะต้องกับของพวกนี้ด้วยท่าทางชำนาญ กว่าสิริกัญญาจะแต่งหน้าด้วยตัวเองเป็น ก็ได้เวลาที่พวกเขาต้องเข้าวังกันพอดี

ชายหนุ่มมองดูผลงานการด้วยความพอใจ และอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าพอจับน้องสาวแต่งตัวก็งดงามไม่ใช่เล่น เพราะตามปกติสิริกัญญาชอบสวมเสื้อผ้าธรรมดา จนบางทียังอดคิดเล่น ๆ ไม่ได้ว่าเหมือนลูกสาวชาวบ้านมากกว่าลูกองคมนตรีแห่งปามะห์ อีกทั้งนิสัยของเธอยังเป็นพวกชอบเก็บตัว จึงไม่มีใครสังเกตเห็นถึงความงามของไพลินเม็ดนี้เลย

“อืม...น้องพี่ค่อยดูเป็นลูกคุณหนูขึ้นมาหน่อย”

สิริกัญญาส่งค้อนให้พี่ชายที่หัวเราะขลุกขลักอยู่คนเดียว แล้วปลายมาศก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พลางโค้งคำนับให้กับสุภาพสตรีหน้ามนที่กึ่งยิ้มกึ่งบึ้งกับการกระทำของเขา

“เตรียมพร้อมเข้าวังแล้วหรือยังครับ คุณหนู”

“ได้เวลาแล้วนี่คะ ถึงไม่พร้อมก็ต้องไปอยู่ดี” หญิงสาวสะบัดเสียงใส่พี่ชายที่ไม่ค่อยแสดงท่าทางขี้เล่นให้เห็นบ่อยนัก ก่อนวางมือลงบนอุ้งมือเรียวที่ยื่นส่งมาตรงหน้า พลางลุกขึ้นยืนตามแรงดึง

“ไม่ใช่ว่าอยากไปจนแทบทนไม่ไหวแล้วหรอกเหรอ บอกไว้ก่อนนะว่าในวังหลวงน่ะ มีสัตว์ร้ายมากกว่าป่าปัจฉิมที่พี่พาไปเที่ยวเล่นด้วยกันบ่อย ๆ อีก”

“ก็ดีสิคะ สิรีจะได้ลองใช้วิชาที่พี่ปลายมาศกับครูมานัยสอนดูบ้าง มีวิชาติดตัวแต่ไม่ได้ใช้มันน่าเสียดายออก รับรองว่าจะใช้อย่างระมัดระวังค่ะ”

คำพูดที่แสดงถึงความมั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยม ทำให้คนฟังถอนหายใจเฮือก พอเขาบอกให้น้องไม่ต้องเก็บกด นิสัยจริงที่ถูกซุกซ่อนไว้ก็เริ่มเผยออกมาทีละอย่าง แล้วแม่ตัวดีของเขาดันไปจับคู่กับคุณหนูคนงามที่มีนิสัยซุกซนไม่แพ้กัน เขาก็เชื่อแน่ว่าตัวเองคงปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นเป็นสองเท่ากับการคุมประพฤติเด็กซน เขานึกอยากคืนคำพูดให้น้องสาวทำตัวสงบเสงี่ยมเหมือนเดิมขึ้นมาทันใด

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“ปลายมาศ”

สุรเสียงที่แม้ไม่อยากจำ แต่ก็จำได้ขึ้นใจ ทำให้เจ้าของชื่อมองไปทางต้นเสียง ที่โบกหัตถ์ทักทายให้เห็นแต่ไกล วันนี้เจ้าชายชัยนเรนทร์ทรงฉลองพระองค์ เครื่องแบบผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์สีน้ำตาลทองเต็มยศ เส้นพระเกศาที่เคยปิดพระนลาฎถูกเสยรวบขึ้นไป ส่วนที่ยาวปรกพระศอก็ถูกรวบมัดอย่างเป็นระเบียบด้วยเกลียวไหมสีทอง แต่วันนี้ราเชนไม่ได้ตัวติดกับเจ้าชาย ด้วยเขาถูกส่งให้ไปบูกิตแทนท่านจินดาที่ถูกสั่งให้ประจำการอยู่ในปามะห์อย่างไม่มีกำหนด

“ทำไมวันนี้พระองค์โผล่มาแต่เช้า”

สิริกัญญาหันไปมองปลายมาศที่ส่งคำถามห้าวห้วนออกไปอย่างตกใจ อีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าชาย แต่พี่ชายของเธอกลับพูดโดยไม่คำนึงถึงฐานะของตัวเอง และจะว่าไป ช่วงที่อยู่ในตำหนักอรินทรา เธอก็ได้ยินพี่ชายพูดกับเจ้าชายด้วยคำพูดทำนองเดียวกันนี้จนต้องสะดุ้งเสียหลายรอบ

“ข้าแค่อยากมาเห็นพระพี่เลี้ยงคนใหม่ แล้วนี่ไม่ได้มาพร้อมกับบริมาสหรือไง”

ดูท่าเจ้าชายชัยนเรนทร์จะถูกพระทัยคุณหนูคนงามไม่น้อย แต่ก็เป็นในแบบเอื้อเอ็นดูอย่างผู้ใหญ่กับเด็กเสียมากกว่า จึงไม่มีใครรู้เลยว่าความรู้สึกของพระองค์จะพัฒนาไปมากกว่านี้หรือไม่ แล้วพระองค์ก็ทรงสังเกตพระพี่เลี้ยงคนใหม่ที่ดูแปลกตาไปจากทุกวัน

วันนี้สิริกัญญาดูโดดเด่นด้วยชุดสีน้ำเงินขาว ซึ่งเดาได้ว่าคนที่เลือกชุดนี้ให้เธอคือเจ้าหลวงอย่างไม่ต้องสงสัย และดวงหน้าพริ้มเพราที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบา ทำให้เธอดูเป็นลูกคุณหนูมากขึ้น และคงไม่มีใครมองผิดเพี้ยนเป็นลูกสาวชาวบ้านอีกแน่

“เขาว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง นี่ท่าจะเป็นจริงแฮะ” เจ้าชายชัยนเรนทร์ทรงผิวโอษฐ์ดังฟิ้ว พลางส่งดวงเนตรแพรวพราวให้สาวงามที่ทำเพียงยิ้มรับคำชมโดยไม่มีทีท่าเหนียมอาย แต่การกระทำของพระองค์ก็ทำให้อาการหวงน้องของปลายมาศกำเริบ ชายหนุ่มกระแอมเตือนเสียงดัง เรียกเสียงสรวลจากเจ้าชาย ที่เพิ่งรู้สึกองค์ว่าเผลอส่งสายพระเนตรเจ้าชู้ไปเสียแล้ว

“ข้าว่าสิริกัญญาจะหาคู่ไม่ได้ เพราะความขี้หวงขี้ห่วงเกินเหตุของเจ้านี่แหละ ปลายมาศ”

“กระหม่อมหวงน้องเฉพาะคนบางคนเท่านั้น” คนถูกแขวะตอบกลับเสียงเรียบ โดยไม่ยอมเลิกทำท่าจงอางหวงไข่ใส่เจ้าชายผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์

“หวงแม้แต่กับข้าหรือไง” เจ้าชายเลิกพระขนงขึ้น พลางแย้มโอษฐ์อย่างยั่วเย้า

ไม่รู้ว่ามันกลับกลายเป็นสงครามฝีปากระหว่างเจ้าชายชัยนเรนทร์กับปลายมาศได้อย่างไร แต่หากขืนให้หนึ่งพระองค์กับหนึ่งคนเถียงกันไม่เลิกแบบนี้ มีหวังได้ไปเข้าเฝ้าเจ้าหลวงสายแน่ สิริกัญญารีบสะกิดแขนพี่ชายที่ไม่เหลือมาดสุขุมให้เห็นสักนิด ตอนนี้เขาเหมือนเด็กหนุ่มขี้โมโห ที่ถูกเด็กโข่งขี้แกล้งยั่วโทโสให้โกรธมากกว่า

“พี่ปลายมาศคะ”

เสียงของสิริกัญญาเป็นเหมือนระฆังพักยก ปลายมาศหันไปมองน้องสาว แล้วหลุดเสียงครางออกมา หลังจากนึกขึ้นได้ว่าตัวเองต้องพาน้องสาวไปเข้าเฝ้าเจ้าหลวง ชายหนุ่มหันกลับไปมองเจ้าชายชัยนเรนทร์ที่ยังแย้มโอษฐ์อย่างยั่วเย้าไม่เลิก แล้วตัดใจเลิกต่อล้อต่อเถียงกับคนชอบเย้าแหย่

“กระหม่อมต้องขอตัวพาน้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน คงอยู่เถียงด้วยไม่ได้” ไม่วายที่ปลายมาศจะเผลอกัดเจ้าชายในประโยคสุดท้าย แต่คนถูกกัดกลับแย้มโอษฐ์ร่า ไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดของคนที่ไม่ค่อยเก็บอารมณ์ยามอยู่กับพระองค์

“ไปส่งน้อง แล้วอย่าลืมมาช่วยข้าตรวจกองทหารล่ะ”

“กระหม่อมไม่ลืมหรอกพระเจ้าค่ะ”

“ไม่ลืมก็ดี พวกลูกศิษย์ในกรมกองของเจ้าคิดถึงอาจารย์ของตัวเองจะแย่อยู่แล้ว เล่นไม่โผล่หน้าไปตั้งครึ่งปี” เจ้าชายผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ทรงพระสรวลแผ่วเบา พลางทอดพระเนตรสองพี่น้องที่ค้อมตัวลาก่อนเดินจากไปอย่างขบขัน โดยคนพี่ไม่วายจะส่งสายตาเคืองตบท้าย

ครั้นลับหลังสองพี่น้องคู่นั้นไป ดวงเนตรที่เคยพราวระยับกลับขุ่นมัวลงอย่างน่าประหลาด อีกไม่นานพระองค์ต้องส่งคนเงียบขรึมไปต่างแดน ใจหนึ่งนั้นก็หวั่นว่าอีกฝ่ายจะได้รับอันตราย แต่อีกใจก็เชื่อมั่นว่าเจ้าตัวมีความสามารถมากพอที่จะเอาตัวรอดจากภัยร้ายรอบด้านได้ กระนั้นพระองค์ก็ยังลังเลที่จะปล่อยให้จากไป เพราะสังหรณ์บางอย่างบอกว่าอีกฝ่ายจะไม่กลับมา

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


สิริกัญญามองพี่ชายที่กลับไปทำตัวสุขุมตามปกติ และส่งยิ้มละมุนละไมให้คนที่เดินผ่านไปมาตามความเคยชิน ซึ่งท่าทางนี้ช่างตรงกันข้ามกับตอนที่อยู่กับเจ้าชายชัยนเรนทร์ลิบลับ ราวกับว่าเขาเป็นอีกคนที่ไม่ใช่ปลายมาศที่ทุกคนรู้จัก

“พี่มีอะไรแปลกหรือสิรี”

คำถามของปลายมาศทำเอาคนที่มองพี่ชายเพลินสะดุ้งโหยง และท่าทางนั้นก็เรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มที่ทำให้สิริกัญญาหนาวเยือกขึ้นมา หญิงสาวหันขวับไปมองทิศทางที่มีรังสีอำมหิตแผ่ออกมา แล้วเธอก็ปะทะเข้ากับสายตาหลายคู่ของเหล่าบุตรีขุนนาง ที่จับกลุ่มยืนคุยกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย พลางส่งสายตาอิจฉาริษยามาทางเธอเป็นระยะ

สิริกัญญาหันกลับไปมองพี่ชายที่ยังยิ้ม โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองได้ทำให้น้องสาวตกเป็นเป้าอาฆาต จากพวกผู้หญิงทั้งหลายไปหลายเรียบร้อย เพราะอีกฝ่ายนั้นสามารถพูดได้อย่างเต็มภาคภูมิว่ามีรูปเป็นทรัพย์ มันจึงไม่แปลกหากจะมีคนหลงปลื้ม หรือแอบชอบพอ

หญิงสาวถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ปลายมาศจะรู้บ้างไหมนะว่าตัวเองเนื้อหอมในบรรดาสตรีมากแค่ไหน และมันก็ทำให้เธอลำบากใจไม่ใช่น้อยกับการได้รับรอยยิ้มของพี่ชาย ซึ่งเธอเพิ่งรู้หลังจากเข้าวังมานี่แหละ ว่าเป็นรอยยิ้มที่อันตรายพอสมควร

“แปลกทุกอย่างเลยล่ะค่ะ พี่ปลายมาศทำตัวไม่เหมือนตอนอยู่บ้าน ยิ่งตอนอยู่กับเจ้าชายชัยนเรนทร์นี่เหมือนเป็นคนละคน” ...และเธอก็ชอบท่าทางนี้ของพี่ชายมาก เพราะเขาดูมีชีวิตชีวา อีกทั้งยังดูเข้าใกล้ได้ง่ายกว่าตอนทำตัวเงียบขรึม

คนทำตัวแปลกเบ้ปากเล็กน้อยกับคำบอกเล่าของน้องสาว ไม่รู้ทำไมเขาถึงเก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ยามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์เจ้าชายชัยนเรนทร์ ดูเหมือนพระองค์จะมีความสามารถในการยั่วยุอารมณ์คนอื่นให้ระเบิดขึ้นมาได้ หรืออาจเป็นเพราะความเคยชินที่ทะเลาะกับเจ้าชายพระองค์นี้มาโดยตลอด หลังจากที่รู้ธาตุแท้ของกันและกัน เลยทำให้เขาเผลอปล่อยตัวไปตามความเคยชินอันนั้น ซึ่งจะว่าไปแล้วเขามักจะทำท่าทางแบบนี้ยามอยู่ตามลำพังกับเจ้าชายมากกว่า

“เมื่อก่อนพี่กับเจ้าชายไม่ค่อยถูกกัน ตอนนี้ก็คิดว่ายังเป็นอย่างนั้นอยู่”

คราวนี้เป็นฝ่ายสิริกัญญาบ้างที่เลิกคิ้วมองพี่ชายด้วยความฉงน เธอดูไม่ออกเลยว่าเจ้าชายชัยนเรนทร์กับปลายมาศไม่ถูกกัน มันให้ความรู้สึกที่ตรงกันข้ามมากกว่า เป็นสายสัมพันธ์ที่สิริกัญญานึกอิจฉาไม่น้อย เพราะเธอไม่รู้ว่าจะมีเพื่อนที่สามารถทะเลาะกันได้โดยไม่โกรธกันได้หรือไม่

“ดีจังเลยนะคะที่มีคนให้ทะเลาะด้วย” หญิงสาวพึมพำออกมาแผ่วเบา แต่ก็ดังพอให้ปลายมาศได้ยินและเผยอยิ้มออกมา

“อยากหาคนมาทะเลาะด้วยงั้นเหรอ”

คนอยากหาเพื่อนทะเลาะส่ายหน้าไปมา พลางยิ้ม “กลัวว่าจะไม่มีสิคะ” และคนที่พอจะทะเลาะด้วยกันได้ก็เห็นจะมีแต่บริมาส ซึ่งเธอยังไม่อยากสูญเสียเพื่อนผู้หญิงที่สนิทที่สุด และมีอยู่เพียงคนเดียวไป

“แล้วบริมาสล่ะ”

“เคยทะเลาะกันแค่ตอนเป็นสิรี เพิ่งมาเลิกทะเลาะเมื่อตอนที่รู้ว่ายัยคุณหนูนั่นเป็นลูกใคร”

ปลายมาศกลั้วหัวเราะขบขันกับคำตอบของน้องสาว ก่อนยกมือขึ้นตบแผ่นหลังบอบบางแผ่วเบา “อย่าดูถูกมิตรภาพของคุณหนูคนนั้นสิ ถ้าสิรีคิดว่าเธอเป็นเพื่อนอย่างจริงใจ เธอก็จะเป็นเพื่อนที่ไม่ว่าจะหาอะไรมาแลกก็ทดแทนไม่ได้นะ”

คำพูดของปลายมาศทำให้ความหนักอึ้งต่าง ๆ ที่อยู่ในใจบรรเทาลง สิริกัญญาคลี่ยิ้มหวานตอบกลับไป และคราวนี้ก็เป็นฝ่ายของปลายมาศบ้างที่รู้สึกถึงรังสีอำมหิตทิ่มแทงหลัง ชายหนุ่มหันขวับไปมองทิศทางของรังสีทะมึน ก่อนได้พบกับสายตาอิจฉาริษยาของเหล่าข้าหลวง เขาหันไปมองน้องสาวสลับกับกลุ่มกระทาชายไปมา โดยฝ่ายหลังโดนสายตาเย็นยะเยียบแถมไปด้วย เลยพากันหลบตาวุ่น

ปลายมาศถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เห็นทีเขาคงจะไม่ได้เหนื่อยแค่การคุมประพฤติเด็กซนเพียงอย่างเดียว แต่คงต้องเหนื่อยกับการทำตัวเป็นคนหวงน้องไม่ให้ผู้ชายหน้าไหนมายุ่งด้วยเป็นแน่

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


สองพี่น้องเดินตามมหาดเล็กหน้าห้องเข้าไปยังห้องทรงพระอักษรที่ไร้ซึ่งวี่แววของเจ้าหลวง คงมีแต่ท่านจินดาที่อยู่ต้อนรับ ราวกับเป็นเจ้าของห้องด้วยรอยยิ้มนุ่มละมุน สิริกัญญาหันไปมองบริมาสที่มาถึงก่อนหน้าเล็กน้อย พลางยิ้มตอบคุณหนูคนงามที่ส่งยิ้มหวานจ๋อยมาให้ แล้วมองชายชราที่ยืนทำหน้าขรึมข้างเพื่อนตัวดี ซึ่งเขาพยักหน้าให้เล็กน้อยกับการทักทายของปลายมาศและเธอ

“คงต้องขอให้รอสักครู่ ตอนนี้ข้าให้คนไปตามฝ่าบาทอยู่”

“เดี๋ยวนี้ท่านจินดาเปลี่ยนตำแหน่งมาเป็นราชเลขาให้ฝ่าบาทแล้วหรือครับ หรือเพราะพระองค์กลัวท่านจะไปทำอะไรห่าม ๆ ให้เรื่องที่แย่อยู่แล้วแย่ลงอีก เลยกักตัวท่านไว้ที่นี่”

ท่านจินดายิ้มน้อย พลางระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา “ท่านภานุก็พูดเกินไป สังขารข้ามันร่วงโรยไปตามวัยแล้ว จะให้ทำอะไรห่าม ๆ เหมือนสมัยหนุ่มก็คงทำไม่ได้ หรือจะให้ไปตีฝีปากกับใครเขา ข้าก็ทำไม่เป็น ได้แต่ยืนบื้อให้เขากัดจนเนื้อเหวอะหมดแล้ว”

หนึ่งหนุ่มสองสาวมองบทโต้ตอบของสองผู้เฒ่าด้วยความสนใจ ดูเหมือนท่านเสนาบดีมหาดไทยจะโดนท่านจินดาหลอกด่าอยู่กลาย ๆ ซึ่งทำเอาบรรยากาศในห้องร้อนอบอ้าวขึ้นมาทันทีทันใด เหล่าผู้เยาว์ได้แต่มองหน้ากัน และนึกทึ่งความคมของท่านจินดาที่ซ่อนอยู่ในฝัก อย่างน้อยพวกเขาก็พอเข้าใจขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว ว่าทำไมเจ้าหลวงถึงทรงให้ท่านจินดาคอยรับหน้าเหล่าเสนาบดีผู้ใหญ่แทนพระองค์อยู่บ่อยครั้ง ยามที่มีเรื่องหรือปัญหาอะไรเกิดขึ้น

“แต่ที่ข้าเห็นคือเจ้ากัดภานุไปเต็มเขี้ยวเลยนะ จินดา”

สุรเสียงขบขันที่ขัดจังหวะขึ้นมา ทำให้ทุกคนหันไปทำความเคารพผู้เข้ามาใหม่ ท่านจินดาถอนหายใจเฮือกกับท่าทางยักคิ้วหลิ่วตาขององค์เหนือหัว ท่านโบกมือให้มหาดเล็กเตรียมอาหารเช้า ที่ยังไม่ได้ขึ้นตั้งตามเวลาไว้ทันที

“เจ้าก็ไม่รู้จักจำเสียทีนะภานุ รู้ทั้งรู้ว่าจินดามันดุยังจะไปแหย่อีก”

ประโยคถัดไปนี้ เจ้าหลวงทรงหันไปตรัสกับเสนาบดีมหาดไทย ที่ถอนหายใจออกมาอย่างจำนน แต่ไม่ว่าอย่างไร ท่านก็วางใจในตัวองคมนตรีผู้นี้ไม่ลงอยู่ดี เพราะตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เสนาบดีมหาดไทยก็ไม่เคยอ่านสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนของตาแก่หน้าซื่อผู้นี้ได้เลย

“เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องหลักกันก่อนดีกว่า” เจ้าหลวงตรัสพลางเสด็จไปยังโต๊ะทรงพระอักษรที่มีพระสุธารสกรุ่นไอร้อนรอวางไว้ ก่อนประทับนั่งลงบนขอบโต๊ะ แล้วตวัดดวงเนตรไปยังสองสาวที่ยืนอยู่คนละมุมห้อง

“ที่ข้าให้บริมาสกับสิริกัญญามาที่นี่ก่อน เพราะอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับพวกนาง” พระองค์ถอนปัสสาสะออกมาแผ่วเบา พลางแย้มพระสรวล “ข้าเลี้ยงแสงอัปสรมาแบบตามใจเกินไป นางเลยเสียคนไปแบบนั้น ดังนั้นข้าเลยอยากขอร้องพวกเจ้า ให้ช่วยสอนและพาลูกสาวตัวน้อยของข้าคนนี้กลับเข้าลู่เข้าทางที ข้าให้อภิสิทธิ์กับพวกเจ้าเต็มที่ในการลงโทษ หรือกำราบเด็กดื้อคนนี้”

“อำนาจหน้าที่ออกจะเกินตำแหน่งพระพี่เลี้ยงเกินไปหน่อยนะพระเจ้าค่ะ” เสนาบดีมหาดไทยเอ่ยท้วงอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก แม้จะรู้ว่าวิธีที่เจ้าหลวงตรัสเป็นหนทางเดียวในการดัดไม้อ่อนให้โค้งงอ แต่เขาเกรงว่าเจ้าหญิงแสงอัปสรจะไม่ทรงยอมรับ ตาดีตาร้ายอาจทำให้เรื่องยิ่งยุ่งเข้าไปอีก

“รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตีนะภานุ แต่ข้าว่าตรงนี้ก็มีพ่อตั้งสามคนที่สอนลูกไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร” เจ้าหลวงทรงพระสรวล พลางหลิ่วเนตรให้พ่ออีกสองคนสิ่งยิ้มจืดเจื่อนตอบกลับมา เพราะเมื่อนึกถึงลูกตัวเองแล้ว ก็ไม่ได้แย่ไปกว่าเจ้าหญิงแสงอัปสรเท่าไรนัก แต่ท่านจินดาดูจะหน้าซีดตามไปด้วย สาเหตุมาจากท่านปล่อยปละละเลยเรื่องราวในบ้าน จนผู้คนในนั้นเละเทะไปหมด

“ข้าไม่ได้ให้พวกนางเป็นพระพี่เลี้ยงเฉย ๆ หรอก ต้องมอบตำแหน่งที่จะทำให้แสงอัปสรยำเกรงบ้าง” พระองค์ทรงหันไปมองสองสาวที่คราวนี้พากันทำหน้าฉงน

“ข้าจะให้พวกนางไปเป็นอาจารย์พิเศษด้วย”

“อาจารย์พิเศษ!?”

เจ้าหลวงพยักพักตร์รับ พลางแย้มโอษฐ์กว้าง “ในแต่ละวัน แสงอัปสรจะต้องเรียนวิชาต่าง ๆ ตามหลักสูตรการศึกษาชั้นต้น และวิชาเฉพาะของพวกเชื้อพระวงศ์ พวกเจ้ามีหน้าที่ต้องเข็นนางเข้าเรียนตามเวลาให้ครบ แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่า หลังเลิกเรียนในแต่ละวัน พวกเจ้าต้องสอนแสงอัปสรทำการบ้านที่ได้รับมาจากอาจารย์ในแต่ละวิชา ซึ่งมีวิชาอะไรบ้าง ข้าได้จัดให้คนคัดลอกมาให้พวกเจ้าแล้ว”

“ถ้าเป็นการบ้านของพวกหลักสูตรชั้นต้น หม่อมฉันก็ไม่มีปัญหาหรอกเพคะ” บริมาสตอบเสียงอุบอิบ เมื่อเห็นมหาดเล็กส่งม้วนกระดาษ ที่พอคลี่เปิดดูก็พบกับรายการวิชาเรียนของเจ้าหญิงแสงอัปสร ที่ยาวเหยียดยิ่งกว่าหางว่าว

“แต่วิชาเฉพาะนี่...”

“พวกเจ้าก็เรียนด้วยไง จะได้เอามาสอนลูกข้าได้”

สิริกัญญาที่พอเดาคำตอบได้อยู่แล้ว ส่งยิ้มปลอบให้กับเพื่อนที่เบิกตากว้างอย่างตกตะลึงกับคำตรัสของเจ้าหลวง และหญิงสาวก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะยินดีที่ไม่ต้องเรียนคนเดียว หรือจะโศกเศร้ากับวิชาเฉพาะที่มีมากเกินกว่าวิชาหลักสูตรชั้นต้นดี

“พวกเจ้าตามมหาดเล็กของข้าไปตำหนักวิหคสุบรรณได้เลย ป่านนี้แสงอัปสรคงรอต้อนรับพวกเจ้าจนเนื้อเต้นแล้ว”

มหาดเล็กวัยประมาณยี่สิบปลาย เดินออกมาจากมุมห้องทันทีที่ได้ยินคำเรียก เขาโค้งให้หญิงสาวทั้งสอง ก่อนหมุนตัวเดินนำพวกเธอไปยังตำหนักวิหคสุบรรณตามคำสั่งที่ได้รับ สิริกัญญากับบริมาสถอนสายบัวให้กับองค์เหนือหัว แล้วหันไปทำความเคารพพ่อของตนเอง พลางเดินตามมหาดเล็กไปทันที

“ปลายมาศ วันนี้เจ้ามีตรวจกองทหารกับเจ้าชัยตอนสามโมงสินะ รีบไปเถอะ เดี๋ยวแดดจะแรงกว่านี้เสียก่อน เจ้าเพิ่งหายป่วยเสียด้วย ระวังไข้จะกลับอีกรอบล่ะ” เจ้าหลวงผินพระพักตร์ไปทางคนที่ค้อมศีรษะ แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ก่อนเบนไปทางเสนาบดีมหาดไทยที่ยืนหรี่ตามองพระองค์อย่างจับผิด

“อย่ามองข้าอย่างนั้นน่าภานุ ข้าไม่เบี้ยวประชุมตอนสี่โมงหรอก ขืนโดด ข้าได้โดนจินดาไล่ฆ่าแน่” ไม่วายที่เจ้าหลวงจะทรงหันไปกัดองคมนตรีเฒ่าที่ถอนหายใจรอบแล้วรอบเล่ากับการโดนกัดบ่อยครั้ง คำพูดของท่านมันผิดตรงไหนล่ะ ในเมื่อท่านโดนเจ้าหลวงกัดจนเนื้อเหวอะไปหมด

“ดังนั้น เจ้าก็รีบกลับไปเตรียมหัวข้อการประชุมของตัวเองได้เลย”

“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมขอทูลลา”

ครั้นทุกคนทยอยออกไปหมด จนเหลือแต่เจ้าหลวงกับท่านจินดา พระองค์ก็ทรงหันไปทางสหายเก่าแก่ที่ส่งสายตาเคลือบแคลงมาด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ “ข้าหิวแล้ว เราไปกินข้าวกันเถอะ จินดา”

“ให้เด็กพวกนั้นเรียนวิชาเฉพาะของเชื้อพระวงศ์ ทรงตั้งใจให้เป็นอย่างนี้อยู่แล้วสินะ”

และคำตอบที่ท่านจินดาได้รับ ก็มีเพียงเสียงสรวลของราชามากเล่ห์ที่บอกความหมายได้ดีกว่าคำพูด ทุกอย่างถูกควบคุมด้วยหมากตาเดียวของเจ้าหลวงแห่งปามะห์ ไม่มีใครขัดลิขิตของฟ้าที่อยู่เหนือแผ่นดินสีทองนี้ได้ ตัวท่านเองก็ทำได้แค่มองดู



จากตอนที่แล้ว เป็นบทของท่านจินดาที่ได้ออกไปเต็ม ๆ หลังจากที่แกโผล่มาวับ ๆ แวม ๆ อยู่ช่วงตอนแรกนิดหน่อย ก่อนหายต๋อมไปเลย มีคนบอกว่าท่านจินดากลัวเมีย เหอะ ๆ อันนี้ต้องตามดูต่อไปว่าสาเหตุที่แกทำท่าเหมือนกลัวเมียนั้นเป็นแบบไหน

โดยส่วนตัว ท่านจินดาเป็นคนที่ผิดคาดไปจากคาแรคเตอร์ที่วางไว้ตอนแรกมาก เพราะวางไว้ให้แกเป็นตาแก่ใจดีที่เอ๋อ ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวส่วนลึกเกี่ยวกับการแย่งชิงเมืองของพวกสีน้ำเงิน แต่ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นว่า แกนี่ล่ะที่เก็บซ่อนความลับเกี่ยวกับพวกสีน้ำเงินไว้มากที่สุด

ขอบคุณที่ตามอ่านอยู่นะคะ

รู้สึกว่าเรื่องเริ่มยืดยังไงไม่รู้แฮะ อยากจบไว ๆ แต่จบไม่ได้ เหมือนกับว่ายังมีเหตุการณ์สำคัญที่ยังไม่ได้ลงอีกมาก หากตัดไปก็เข้าทำนองว่ารักพี่เสียดายน้อง เอ๊ะ....เกี่ยวกับหรือเปล่า

ทนอ่านไปกับคนเอ๋อ ๆ หน่อยนะคะ



Create Date : 09 มกราคม 2551
Last Update : 9 มกราคม 2551 20:15:25 น.
Counter : 316 Pageviews.

2 comments
  


พระเอกเราหายไปไหนค่ะตอนนี้

น่าจะมาเจอ คนสวยซะหน่อย วันนี้วันพุธนี่นะ

เอาเป็นว่าเราจะรอทุกวันนะจ๊ะ ไม่เฉพาะแค่วันพุธ
โดย: nekojung IP: 58.9.76.191 วันที่: 9 มกราคม 2551 เวลา:22:04:49 น.
  
นั่นสิคะ พระเอกหายไปไหน น่าจะให้มาเห็นตอนนางเอกสวยๆบ้าง และก็อยากให้มีหวานกันเยอะๆหน่อยค่ะ ไม่งั้นไม่สมกับชื่อเรื่อง แล้วจะรอนะคะ
โดย: น้อง IP: 124.121.189.123 วันที่: 10 มกราคม 2551 เวลา:9:09:54 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog