คฤหาสน์ตุ๊กตา
ไอรดางัวเงียตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงแหลมกรีดร้องอยู่เหนือศีรษะ เธอควานหานาฬิกาเจ้าปัญหาที่น่าจะตั้งอยู่ตรงไหนสักแห่งบนหัวเตียง แล้วกดปิดเสียงปลุกแสบแก้วหูให้หยุดลง และซุกตัวในผ้าห่มผืนหนาอีกครั้ง ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่ในห้องพักใหญ่ ก่อนมีเสียงตึงตังดังมาจากข้างนอก พร้อมกับประตูที่เปิดผลัวะเข้ามา

“ไอ! เจ็ดโมงแล้วนะ ไม่ไปโรงเรียนหรือไง” เสียงตะโกนของน้องสาวแสบแก้วหูกว่านาฬิกาปลุกเสียอีก

ไอรดาครางอืออย่างรำคาญแล้วหดศีรษะเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่ม แต่อีกฝ่ายยังตามราวีไม่เลิก ดารินเดินเข้ามาในห้องพี่สาว ก่อนกระชากผ้าห่มลงไปปลายเตียง แล้วกระโดดขึ้นไปขย่มเตียงปลุกคนขี้เซาให้ตื่นขึ้นมา

“ไอ!!”

“โอย...อย่าขย่มได้ไหมริน” ไอรดาครางเสียงเบา พลางใช้เท้าเขี่ยผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวอีกครั้ง

“เจ็ดโมงแล้ว ไม่ไปโรงเรียนหรือไง” ดารินตะโกนกรอกใส่หูพี่สาว เธอมองคนที่ยังนอนสบาย แล้วสะดุ้งตกใจเมื่อไอรดาดีดตัวลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยท่าทางตื่นตระหนก

“เจ็ดโมง!” ไอรดาตะโกนเสียงดังลั่น ถลันพรวดลงจากเตียงแทบจะทันที พลางหันไปต่อว่าน้องสาวที่เป็นฝ่ายนั่งงงแทน “ทำไมรินไม่ปลุกพี่ให้เร็วกว่านี้ โอย...วันนี้พี่มีประชุมคณะกรรมการห้องแต่เช้าด้วย”

“เค้าปลุกพี่แล้วต่างหาก ตัวเองไม่ดีเองที่ไม่ยอมตื่น”

ไอรดาไม่ฟังคำบ่นของดารินอีก เธอไล่น้องสาวให้ออกไปนอกห้อง ซึ่งอีกฝ่ายสะบัดตัวเดินออกไปอย่างหงุดหงิดที่ถูกพี่สาวพาลหาเรื่อง ปล่อยให้เธอจัดการธุระของตัวเอง และลงมาข้างล่างที่ทุกคนนั่งอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าบนโต๊ะทานข้าวภายในเวลาอันรวดเร็ว

“มาทานอาหารเช้าก่อนไอ”

เสียงของแม่ทำให้ไอรดาที่เร่งรีบแต่งตัวและคิดจะตรงออกไปข้างนอกพอดีหยุดชะงัก เธอไม่อยากทานข้าวเพราะกลัวจะไปประชุม แต่นิสัยของแม่เป็นคนอ่อนนอกแต่แข็งใน หากแม่บอกให้ทำสิ่งใด ถ้าไม่ทำตามก็เหมือนกับเจอไต้ฝุ่นในฤดูร้อนดี ๆ นี่เอง ไอรดาจึงตัดสินใจเลี้ยวไปนั่งเก้าอี้ที่มีอาหารเช้าสไตล์อเมริกันรออยู่บนที่ของเธอ

ไอรดาเหลือบมองดารินที่นั่งละเลียดนมเกือบหมดแก้ว จานของน้องสาวพร่องลงไปมากแล้ว เหลือเพียงแครอทที่หั่นพอดีคำที่ไม่ยุบลงไปเลย ส่วนคนที่นั่งตรงกันข้ามคือพ่อที่ชอบนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ระหว่างทานอาหารเช้า บางครั้งเธอจะเห็นมือของพ่อยื่นออกมาหาแก้วกาแฟ

หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์วันนี้มีพาดหัวข่าวที่น่าสนใจกว่าทุกวัน ไอรดาจัดการกับมื้อเช้าของตัวเอง พลางอ่านข่าวพาดหัวที่เขียนตัวโตว่า ‘นักโทษแหกคุก ทำร้ายผู้คุมบาดเจ็บสาหัส ตำรวจระดมตามหาตัวนักโทษที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย...’ แล้วเธอก็เลิกสนใจข่าวนั้นไปทันที และหันไปสนใจกับอาหารของตัวเองต่อ

“ไอกับรินจะปิดเทอมวันไหนหรือ”

คำถามของแม่ทำให้สองพี่น้องเงยหน้าขึ้นมา รอยยิ้มของแม่ดูจะมีลับลมคมในบางอย่าง พ่อชะงักกับการยกกาแฟขึ้นดื่ม และรอฟังคำตอบด้วยความสนใจ ไอรดาหันไปมองดารินที่ยักไหล่ตอบกลับมา พลางบุ้ยปากให้เธอเป็นฝ่ายตอบแทน

“อีกสองอาทิตย์ก็ปิดเทอมแล้วค่ะ แม่ถามทำไมหรือคะ”

แม่ฉีกยิ้มกว้างขึ้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแม่มีจุดประสงค์อะไรบางอย่างถึงได้ถามเรื่องปิดเทอม “ไอกับรินจำป้าณัฐฐาได้ไหมจ๊ะ”

ป้าณัฐฐาเป็นพี่สาวของแม่ที่ดูจะไม่ค่อยเหมือนน้องสาวตัวเองเสียเท่าไร ไอรดาเกือบลืมไปแล้วว่าแม่มีพี่สาวอยู่คนหนึ่ง เธอจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่พบกันคือประมาณสี่ปีที่แล้ว ป้าณัฐฐามาเยี่ยมแม่พร้อมกับสามี แต่พอสามีตาย ป้าณัฐฐาก็ไม่เคยออกไปจากบ้านที่เคยมีสามีอยู่อีกเลย

ไอรดาคิดว่าป้าณัฐฐาเป็นคนแปลกและลึกลับ แม้เธอจะอายุ 40 แต่ยังดูสาวในสายตาของหลาน ๆ และเค้าโครงหน้าของป้าณัฐฐาไม่มีส่วนไหนเหมือนแม่เลยสักนิด จนเธอคิดว่าหากไม่รู้ว่าป้าณัฐฐาเป็นพี่สาวแม่ ต้องคิดว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นหรือไม่ก็รุ่นน้องของแม่แน่ ๆ

“ปิดเทอมนี้ ไอกับรินไปอยู่กับป้าณัฐฐานะจ้ะ” แม่พูดโดยไม่ต้องรอให้ไอรดาถาม

ไอรดาเบิกตาถลนซึ่งดารินก็มีอาการเดียวกัน พวกเธอรู้สึกไม่ค่อยดีกับป้าณัฐฐาเท่าไรนัก ป้ามีอะไรบางอย่างที่ดูลึกลับและไม่ค่อยน่าไว้ใจ รอยยิ้มของป้าต่างกับของแม่ สายตาที่มองมาทำให้พวกเธอรู้สึกเหมือนถูกแมงมุมแก่จ้องมองเหยื่อที่ดิ้นรนอยู่บนใยเหนียว ๆ ไอรดาจำได้ว่าตอนเป็นเด็กเคยร้องไห้เพียงเพราะถูกป้าจ้อง

“แล้ว...แล้วพ่อกับแม่ล่ะคะ” ไอรดาละล่ำละลักถาม เธอคงรู้สึกดีขึ้นหากพ่อกับแม่จะไปเยี่ยมป้าด้วยกัน

“พ่อกับแม่ถูกรางวัลได้ตั๋วไปเที่ยวออสเตรเลีย 7 วัน 8 คืน 2 ที่นั่ง” คำตอบของแม่ทำเอาความหวังของไอรดากับดารินพังครืน

“แค่อาทิตย์เดียวเองนี่คะ หนูกับไออยู่กันตามลำพังได้ ถ้าแม่ทิ้งเงินไว้ให้หน่อย” ประโยคนี้เป็นของดารินที่พูดออกมา ซึ่งตรงกับความคิดของไอรดาทีเดียว แต่แม่ส่ายหน้าพลางจุ๊ปาก

“แม่ไม่ปล่อยให้พวกลูกอยู่กันตามลำพังแน่ พวกลูกยังเป็นเด็กอยู่เลย”

“หนูจะขึ้นม.ปลายปีหน้าแล้วนะคะ” ไอรดาแย้งขึ้นมา เธออยากเรียนให้จบไว ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกว่าเป็นเด็กอีก แต่ดูเหมือนแม่จะยึดมั่นในความคิดของตัวเองมากทีเดียว ลำพังแค่เธอสองคนคงต่อกรกับแม่ได้ไม่ง่าย หากไม่มีพ่อที่นั่งเงียบมาตลอดช่วยเป็นทัพเสริมให้พวกเธอ

“ป้าณัฐฐาบอกว่าคิดถึงหลาน แม่เลยคิดว่าพวกลูกไปอยู่ที่นั่นมีผู้ใหญ่ดูแล และได้เที่ยวอีกด้วย พ่อเองก็ไม่คัดค้านอะไร แม่เลยสรุปให้เป็นไปตามนี้” แม่หันมายิ้มกว้างให้ลูกสาวสองคนที่มีสีหน้าเหมือนคนอกหัก แม่ได้ยึดเอากำลังสำคัญของพวกเธอไปเสียแล้ว

ไอรดากับดารินต้องไปอยู่กับป้าณัฐฐาอย่างไม่ต้องสงสัย

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แสงแดดแรงจ้าส่องลอดผ่านใบไม้ลงมา ช่วยบรรเทาความอบอ้าวของฤดูร้อนลงไปได้มาก ไอรดายกมือขึ้นปาดเหงื่อ พลางเหลือบมองดารินที่นิ่วหน้ากับล้อกระเป๋าที่ตกลงไปในหลุม เรวินเข้าไปช่วยดึงขึ้นมาแล้วอาสาลากมันแทน ซึ่งทำให้โยทกาผู้เป็นพี่สาวอดเหน็บน้องชายไม่ได้

“เรช่วยแต่ริน ไม่คิดจะช่วยพี่กับไอบ้างหรือไง”

“เรามีสองมือนะ” เรวินหันไปตอบเสียงหน่าย เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่เรียกร้องความสนใจที่ต้องการเพียงแค่แหย่น้องชายเล่นเท่านั้น

โยทกากับเรวินเป็นเพื่อนที่เล่นด้วยกันมาแต่เด็ก พวกเขาอยู่ข้างบ้านและไปมาหาสู่ด้วยกันบ่อย บางครั้งยังเคยมาทานอาหารที่บ้านของไอรดากับดาริน ตอนที่พ่อแม่ของพวกเขาไปทำงานต่างจังหวัด สองพี่น้องคู่นี้อายุมากกว่าไอรดาหนึ่งปีและเป็นรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกัน

เมื่อไอรดากับดารินรู้ว่าต้องไปพักอยู่กับป้าณัฐฐาแน่นอน พวกเธอจึงคิดถึงสองพี่น้องคู่นี้ขึ้นมา และขอร้องแม่ให้พวกเธอพาพวกเขาไปด้วย ตอนแรกแม่คิดจะปฏิเสธโดยอ้างสาเหตุว่าอาจจะรบกวนป้าณัฐฐา แต่โทรศัพท์จากคนที่เอ่ยถึงมาพอดีราวกับนกรู้ แม่จึงลองพูดกับพี่สาวดู

คำตอบของป้าณัฐฐาทำให้ไอรดากับดารินใจชื้นขึ้น พวกเธอไม่อยากไปอยู่กับป้าณัฐฐาที่จ้องมองมาด้วยสายตาที่ชวนให้รู้สึกอึดอัด อย่างน้อยการพาโยทกากับเรวินไป คงพอช่วยลดบรรยากาศที่ไม่น่าพิสมัยลงได้บ้าง

“เมื่อไรจะถึงจุดนัดพบที่ป้าเธอบอกเสียทีน่ะ ไอ” โยทกาพ่นลมหายใจดังพรืด พลางยกมือขึ้นกระตุกคอเสื้อให้เกิดลม

“เห็นแม่บอกว่าพอลงจากรถก็ให้เดินตรงไปเรื่อย ๆ แล้วเลี้ยวซ้ายที่ทางแยก จะเจอบ้านพักอาจารย์ที่เป็นของโรงเรียนมัธยมใกล้ ๆ ที่นั่นจะมีรถของป้าจอดรอ” ไอรดานึกทบทวนถึงสิ่งที่แม่เล่ารายละเอียดให้ฟัง แต่พวกเธอเดินกันมานานมาก แต่ยังไม่เห็นบ้านสักหลัง นอกจากต้นไม้ที่ขึ้นริมทาง พอให้ร่มเงาบดบังแสงแดดไม่ให้ใครในกลุ่มเป็นลมหมดแรงไปเสียก่อน

“ใช่บ้านพักพวกนั้นหรือเปล่า” เรวินชี้นิ้วไปทางบ้านพักชั้นเดียวที่เกาะกลุ่มกันอยู่ประมาณ 4-5 หลัง ทุกคนรีบหันไปมองทันทีแล้วร้องอุทานอย่างดีใจที่ถึงจุดหมายปลายทางเสียที พวกเขารีบเร่งเดินแล้วชะเง้อคอมองหารถของป้าณัฐฐาที่บอกจะมารับไปพลาง

“ไม่เห็นมีรถของป้าณัฐฐาเลย” โยทกาบ่นเมื่อมาถึงบ้านพักขนาดย่อม พลางวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ไม้ยาวสีน้ำตาลเข้มที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของบ้านหลังแรก

“อาจต้องรอมั้ง” ดารินที่ได้นั่งพักเท้าเอ่ยขึ้นมาบ้าง หลังจากเงียบไปเสียนาน

“ไม่ลองโทรไปถามป้าณัฐฐาล่ะว่าส่งคนออกมารับหรือยัง” คนขี้บ่นเอ่ยถามหลานเจ้าของบ้านที่จะไปพัก แต่ไม่มีใครตอบกลับมาสักคน

ไอรดานิ่วหน้าเมื่อมือถือของเธอไม่มีสัญญาณ เธอหันไปดูของดารินที่หน้าจอไม่มีเสาสัญญาณให้เห็นสักขีด ก่อนทำใจเก็บลงกระเป๋าไป พวกเธอคงติดต่อป้าณัฐฐาตามที่โยทกาว่าไม่ได้นอกจากรอ หรือไม่ก็ต้องหาตู้โทรศัพท์แถวนี้ ซึ่งทางที่ผ่านมาพวกเขาไม่เห็นตู้โทรศัพท์เลยสักอัน

เรวินลองตระเวนตามหาตู้โทรศัพท์ ในขณะที่อีกสามสาวนั่งพักเหนื่อยอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาว เขากลับมาในเวลาไม่นานพลางส่ายหน้าเมื่อหาตู้โทรศัพท์แถวนี้ไม่เจอ เขาหย่อนก้นลงบนริมฟุตบาท และเสยหมวกขึ้นมองดูพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นตรงศีรษะ

คนจากต่างถิ่นนั่งชะเง้อคอมองหาคนมารับ แต่ยังไม่เห็นวี่แววของอะไรสักอย่าง จนกระทั่งอาทิตย์ขึ้นตรงศีรษะพอดี พวกเขาจึงได้เห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างจากบ้านพักหลังสุดท้าย ไอรดาลุกขึ้นมองกลุ่มคนขนาดใหญ่ที่ต่างคนต่างสะพาย บ้างก็ถือกระเป๋าเสื้อผ้ามาทางจุดที่พวกเธอกำลังนั่งอยู่

คนที่เดินนำหน้าสุดหยุดชะงักเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เขาเป็นชายหนุ่มผิวเข้ม รูปร่างสูงใหญ่และท่าทางเหมือนพวกนักกีฬาบ้าพลัง เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วคลี่ยิ้มส่งให้คนอายุอ่อนกว่าอย่างคนมีอัธยาศัยดี “อ้าว! เด็กที่ไหนกันล่ะนี่”

“เอ๊ะ! มีคนแก่ปากหมาอยู่แถวนี้ด้วยหรือเร” โยทกาหันหน้าไปถามน้องชายที่ทำหน้าเบ้กับคำถามของพี่สาว ไอรดากับดารินมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วลอบสังเกตสีหน้าของคนแก่วัยกว่า แต่ดูท่าอีกฝ่ายจะเส้นตื้นไปหน่อย เขาหัวเราะเสียงดังจนสายตาหลายคู่หันมามองอย่างสนใจ

“ปากดีจริง สาวน้อย” หนุ่มผิวเข้มหยุดหัวเราะ พลางส่งยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวขาวเล็ก ๆ อยู่ด้านซ้าย “พวกพี่เป็นนักศึกษาจากชมรมศึกษาดาราศาสตร์ พวกเราขอยืมสถานที่ของโรงเรียนที่อยู่ด้านหลังมาสังเกตดวงดาวและกำลังจะกลับ” พูดพลางชี้นิ้วไปทางด้านหลังทิศทางที่ตัวเองเดินผ่านมา

“แล้วพวกน้องล่ะ มาขอยืมพื้นที่โรงเรียนนี้ทำกิจกรรมชมรมด้วยหรือเปล่า”

ไอรดากระตุกแขนโยทกาไม่ให้พูดอะไร แล้วเป็นฝ่ายตอบแทน “ไม่ใช่หรอกค่ะพี่ พวกเรามาเยี่ยมป้าที่อยู่แถวนี้”

คำตอบของไอรดาทำให้คนฟังเปลี่ยนสีหน้าไปฉับพลัน จากรอยยิ้มกว้างเปลี่ยนเป็นยิ้มแหย แล้วหันไปบอกเพื่อนร่วมชมรมที่มีอาการไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก บางคนถึงกับทำหน้าแตกตื่น และพูดบางอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์มาทางพวกเธอ หนุ่มผิวเข้มหันมายักไหล่ให้ แล้วเกาคางด้วยท่าทางลำบากใจ

ถ้าพูดถึงบ้านคนแถวนี้ก็มีอยู่หลังเดียว และเป็นที่ไม่ค่อยน่าพิสมัยเท่าไรนัก

“พวกน้องจะไปพักที่คฤหาสน์ตุ๊กตาหรือ”

“คฤหาสน์ตุ๊กตา!?” สี่เสียงเอ่ยออกมาอย่างฉงน

“มันเป็นคำที่พวกพี่ใช้เรียกคฤหาสน์หลังนั้นน่ะ พวกเราก็ไม่รู้รายละเอียดมากนักหรอก เพราะไม่ใช่คนแถวนี้เหมือนกัน แต่พอดีมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีกับคฤหาสน์หลังนั้นเท่าไร”

“ประสบการณ์อะไรน่ะ” โยทกาคนปากไวโพล่งถามออกไป หลังจากทนเฝ้าเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้

หนุ่มผิวเข้มทำหน้าลำบากใจ แล้วตัดสินใจเอ่ยปากเล่าประสบการณ์ของตัวเองกับเพื่อนร่วมชมรม “เอาอย่างย่อนะ...เมื่อคืนพวกพี่คิดจะเล่นทดสอบความกล้ากัน แต่บังเอิญว่าพวกเราได้ยินเสียงเหมือนคนกรีดร้องโหยหวนมาทางคฤหาสน์ ก็เลยเปลี่ยนโปรแกรมไปสำรวจต้นเสียงนั้นแทน”

“เข้าทำนองว่าสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน” โยทกากลั้วหัวเราะในลำคอ แต่ทำเอาคนได้ยินสะดุ้ง เธอรู้สึกไม่ถูกชะตากับหนุ่มผิวเข้มนับตั้งแต่เขาพูดคำว่า ‘เด็ก’ แล้ว

“แล้วไงต่อล่ะ”

หนุ่มผิวเข้มทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ฝีปากของโยทกาช่างบาดใจเขาเสียจริง แต่ชายหนุ่มยอมเล่าต่อโดยไม่ถือสาหาความคนอายุอ่อนกว่า พลางทำหน้าบิดเบี้ยวเมื่อนึกถึงคืนอันไม่น่าพิสมัย และเช้าอันน่าฉงนหลังจากพวกเขาโทรศัพท์แจ้งตำรวจ เพื่อรายงานความผิดปกติของคฤหาสน์หลังนั้น

“พี่กับเพื่อนที่บ้าพออีกสองสามคนแอบไปด้อม ๆ มอง ๆ แถวคฤหาสน์ ตอนแรกก็กลัวว่าคนข้างในจะจับได้อยู่หรอก แต่พวกเราต้องเผ่นออกมาแทบไม่ทัน...” ชายหนุ่มกลืนน้ำลายดังเอื๊อก แล้วมองคนที่จะไปพักคฤหาสน์สยองขวัญด้วยความเป็นห่วง

“พวกเราเจอชิ้นส่วนคนจากหน้าต่างบ้านไม้ที่อยู่ด้านหลัง ถึงมันจะมืดแต่เมื่อคืนเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง มันสว่างพอที่จะส่องให้เห็นข้างในว่ามีเลือดนองเต็มอยู่ที่พื้น แล้วยังมีกลุ่มคนประหลาดเดินพลุกพล่านไปมาอีก ทั้งที่เราได้ยินมาว่ามีคนอยู่ในนั้นแค่สองคน” เขาถอนหายใจเฮือกเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อเช้า

“พอรุ่งเช้าตำรวจมาตามโทรศัพท์ที่เราแจ้ง และไปสำรวจคฤหาสน์หลังนั้นด้วยกัน แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่พวกพี่เห็น ไม่มีชิ้นส่วนศพ ไม่มีเลือดนองพื้น ไม่มีคนเดินพลุกพล่าน นอกจากคนสองคนและตุ๊กตา”

“เหลวไหลน่า” เรวินไม่เชื่อเรื่องผีสาง ท่าทางของเขายังดูเรียบเฉย ผิดกับไอรดาและดารินที่มีอาการหวาดผวาตามคนเล่า ส่วนโยทกานั้นระริกระรี้เลยทีเดียว และหากเป็นไปได้หล่อนคงอยากโลดแล่นไปพิสูจน์ให้เห็นชัดกับตา

หนุ่มผิวเข้มหรี่ตามองคนไม่เชื่อ ก่อนถอนหายใจเฮือก เพื่อนร่วมชมรมคนอื่นเดินไปกันเกือบหมด เขาจึงหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าสะพายบ่า แล้วเดินไปตบบ่าผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม พร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “พวกน้องไปพักอยู่ที่นั่นก็ลองพิสูจน์ดูแล้วกัน ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ดีไป โชคดีนะไอ้น้องชาย”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


กว่าพวกของไอรดาจะมาถึงคฤหาสน์ของป้าณัฐฐาก็เข้าเวลาบ่าย รถเบนซ์สีดำโผล่มาจากเส้นทางที่ทอดตรงไปยังคฤหาสน์ตุ๊กตา คนที่มารับเป็นพ่อบ้านของป้าณัฐฐาชื่อทักษา เขาเป็นชายวัยประมาณสามสิบเศษ รูปร่างผอมสูง ใบหน้าด้านซ้ายของเขามีรอยแผลถูกของมีคมบาดลงมาตั้งแต่โคนผมจนถึงปลายคาง ผสมกับดวงตาคมดุทำให้พ่อบ้านคนนี้ดูน่ากลัวไปปริยาย

คฤหาสน์ตุ๊กตาถูกสร้างขึ้นตามสไตล์ยุโรป ด้านหน้ามีรูปปั้นเทวทูตที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองฟ้า สองมือประนมระหว่างอกอยู่ตรงประตูทางเข้า พอรถผ่านเข้าไปก็มาถึงลานน้ำพุที่มีรูปเทพเฮียรอสกำลังน้าวศรแห่งความรักขึ้นไปเบื้องบน แล้วรถก็มาจอดอยู่ตรงบันไดที่มีหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง ยืนหลังตรงในชุดกระโปรงยาวแบบคลาสสิคที่ทำให้เธอดูเหมือนเคาน์เตสผู้สูงสง่า

ไอรดาลงมาจากรถเป็นคนแรก ตามด้วยดาริน โยทกาและเรวิน เธอมองป้าณัฐฐาที่ดูเหมือนจะสวยขึ้นและไม่มีริ้วรอยของความแก่ชราให้เห็น ป้าณัฐฐาเดินตรงมาคว้าตัวหลานสาวคนโตเข้าไปกอดด้วยความคิดถึง แล้วผละไปยังหลานสาวคนเล็กที่ถูกสายตาของป้าตรึงไว้จนขยับหนีไม่ได้ ก่อนหันไปยิ้มให้กับแขกอีกสองคน

“ป้าดีใจที่พวกเธอจะมาพักที่นี่ เราเข้าไปข้างในกันเถอะ ป้าเตรียมอาหารกลางวันสำหรับพวกเธอไว้เรียบร้อยแล้ว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะและมีจังหวะเหมือนทำนองดนตรี แล้วหันไปทางพ่อบ้านที่ขนกระเป๋าของแต่ละคนลงมาจากรถ

“ทักษา เอากระเป๋าของพวกเด็ก ๆ ไปไว้ในห้องที่จัดไว้นะ”

“ครับ คุณผู้หญิง”

ป้าณัฐฐาเดินนำขึ้นไปแล้วเปิดประตูที่มีรูปใบหน้าของเทพเจ้ากรีกองค์ใดองค์หนึ่งเป็นที่จับ ไอรดาเดินผ่านเข้าไปเป็นคนแรกแล้วสะดุ้งโหยงเมื่อปะทะเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมา เธอถอยกรูดด้วยความตกใจเช่นเดียวกับดารินที่คว้าแขนพี่สาวกอดหมับด้วยความกลัวเช่นกัน

“มีอะไรหรือจ๊ะ” ป้าณัฐฐาหันมายิ้มถามเมื่อเห็นท่าทางแปลกประหลาดของหลานสาว

“มีคนอยู่ตรงนั้น” ไอรดาชี้นิ้วไปยังเจ้าของดวงตาที่ยังไม่ขยับหนีไปไหน ป้าณัฐฐาหันไปมองตามพลางหัวเราะคิก

“อ้อ! หล่อนคงทำให้หลานตกใจสินะ เดี๋ยวป้าจะแนะนำให้รู้จักแล้วกัน”

สักครู่ไฟในห้องโถงก็สว่างขึ้นมา ไอรดามองเจ้าของดวงตาที่จ้องมองมาด้วยความงุนงง มันเป็นตุ๊กตาหุ่นขี้ผึ้งที่เหมือนจริงมาก จนเธอเข้าใจผิดว่าเป็นคน และในห้องนี้ไม่ได้มีแต่ตุ๊กตาหุ่นขี้ผึ้งเพียงตัวเดียว ยังมีตุ๊กตาอีกหลายชนิดที่มีทั้งตั้งอยู่ในตู้โชว์และด้านนอก ทั้งตุ๊กตาเซรามิค ตุ๊กตาฝรั่งที่มีขนาดเล็กไปถึงใหญ่สุดที่มีส่วนสูงถึงเอว

นี่เองที่เป็นที่มาของชื่อคฤหาสน์ตุ๊กตา

“ขอแนะนำให้รู้จักกับคุณแสงดาวนะจ๊ะ หล่อนเป็นพนักงานต้อนรับของที่นี่ มาเถอะเราไปทานมื้อกลางวันกันก่อน แล้วป้าจะพาเที่ยวชมคฤหาสน์ และแนะนำให้รู้จักกับตุ๊กตาทุกตัว”

ไอรดาเดินไปพร้อมกับดารินที่เกาะแขนเธอไม่ปล่อย เธอมองตุ๊กตาที่ชื่อคุณแสงดาวอีกรอบอย่างไม่แน่ใจ เมื่อครู่ตอนที่ได้สบตากับคุณแสงดาว เธอรู้สึกเหมือนกับเห็นว่ามันกลอกตาได้ ไอรดาส่ายหน้าเพื่อลบภาพเมื่อครู่ออกไป สงสัยเพราะความกลัวจากที่ได้ฟังเรื่องของหนุ่มนักศึกษาคนนั้นจึงทำให้เกิดความระแวงจนเห็นภาพหลอนที่คิดไปเอง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ป้าณัฐฐาพาทุกคนทัวร์รอบคฤหาสน์ ยกเว้นที่หนึ่งเท่านั้นที่ป้าไม่ได้พาไป คือตึกไม้ด้านหลังที่หนุ่มผิวเข้มบอกว่าพบชิ้นส่วนมนุษย์ อีกทั้งป้ายังเตือนไม่ให้ทุกคนย่างกรายเข้าไป โดยมีกฎที่พวกเขาต้องปฏิบัติตามยามอยู่บ้านหลังนี้ คือห้ามไปไหนมาไหนตามสำพัง และต้องเข้านอนตอนสี่ทุ่ม

หลังจากนั้น ป้าณัฐฐาจึงพาทุกคนไปดูห้องพักซึ่งแยกเป็นห้องคู่สองห้อง เธอปล่อยให้พวกเด็ก ๆ คุ้นเคยกับห้องใหม่และนัดแนะเวลาทานอาหารเย็น เมื่อลับร่างเจ้าของบ้านไปแล้ว โยทกาก็ทิ้งตัวลงบนเตียงในห้องของไอรดากับดารินทันที

“เหนื่อยชะมัด” โยทการ้องเฮ้อออกมา พลางหลับตาพริ้ม

ไอรดาเดินไปหยุดยืนริมหน้าต่าง เธอเห็นพ่อบ้านที่ชื่อทักษากำลังลากถุงอะไรบางอย่างไปทางด้านหลัง ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านไม้ และดูเหมือนพ่อบ้านหน้าบากจะจับได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา เขาจึงเงยหน้าขึ้นปะทะกับสายตาของเธอเข้าพอดี

ดวงตาคมกริบคู่นั้นมีแววเตือนเหมือนไม่ให้เข้ามายุ่ง ไอรดาผงะถอยและหันกลับไปสมทบกับคนในห้อง ซึ่งโยทกากำลังพูดถึงเรื่องที่นักศึกษาหนุ่มคนนั้นพูดถึงคฤหาสน์หลังนี้

“เหลวไหลน่า” เรวินที่นั่งฟังอยู่บนเก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้งทำหน้ารำคาญกับเรื่องที่พี่สาวเล่า

“นายไม่เชื่อก็อย่ามายุ่งน่า” โยทกาพูดด้วยท่าทางรำคาญไม่แพ้น้องชาย แต่เป็นคนละประเด็น

“จะทำอะไรน่ะ พี่โย” ไอรดาถามอย่างระแวงเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เหมือนกับกำลังวางแผนอะไรบางอย่างของโยทกา

“แหม...เรื่องนี้มันต้องพิสูจน์หน่อยว่ารุ่นพี่พวกนั้นพูดจริงหรือเปล่า” เธอหัวเราะในลำคอ ดวงตาทอแววใส เมื่อนึกถึงการค้นหาซากศพในคฤหาสน์ลึกลับ

“จะบ้าหรือไง พี่โย อยู่ดีไม่ว่าดีทำไมต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วย ป้าณัฐฐาน่ากลัวจะตาย” ดารินพูดอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไร พลางจ้องเพื่อนเล่นแต่เด็กเขม็ง “อย่ายุ่งกับเรื่องของที่นี่เลยนะพี่โย ขอร้องเถอะ”

“ป้าณัฐฐาดูไม่น่ากลัวเท่าไรนะ” โยทกายกแขนขึ้นกอดอก พลางวิจารณ์ป้าของสองพี่น้องออกมาตามใจคิด “พี่คิดว่าป้าแค่ดูเหมือนพวกคุณหญิงจากตระกูลผู้ดี เลยวางตัวเหมือนเหินห่าง แต่ท่านก็ออกจะใจดี”

“เหมือนจะใจดีต่างหาก ไม่มีใครรู้หรอกว่าป้าเป็นคนยังไง” ดารินยังไม่วายเถียง เธอมีอาการขนคอลุกชันนับตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในคฤหาสน์ และรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองตลอดเวลาจากสายตานับสิบคู่

“ทำไมไอกับรินถึงกลัวป้ากันจัง” คนช่างสงสัยเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ ดวงตาคู่สวยมองสองพี่น้องที่หันไปมองหน้ากัน

“ป้าชอบมองด้วยสายตาแปลก ๆ เวลาแกมองแล้วพวกเรามักขนลุก มันเหมือนเหยื่อที่กำลังจะถูกล่า” ไอรดาตอบกลับไปด้วยเสียงเบาหวิว นับแต่เด็กจนโตสายตาของป้าณัฐฐายังเหมือนเดิม และทำให้พวกเธอกลัวได้ตลอดเวลา

“แต่พี่ไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นเลย” โยทกาพูดพลางเกาคาง แล้วเหลือบตามองน้องชายที่มักคิดมากกว่าพูด เรวินมองหน้าพี่สาวที่ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ไม่รู้สึกอะไร

“เธอน่าจะเป็นพวกความรู้สึกช้านะ โย” เรวินเอ่ยเสียงขรึม พลางถอนหายใจเฮือก “เรารู้สึกเหมือนถูกจ้อง แต่ไม่ใช่จากป้าณัฐฐาหรอกนะ แต่น่าจะเป็นสายตาของพวกตุ๊กตามากกว่า”

“พี่เรก็รู้สึกเหมือนกันหรือ” ดารินใจชื้นขึ้นเมื่อมีคนรู้สึกแบบเดียวกับเธอและพี่สาว

“ทำไมทุกคนถึงเป็นเหมือนกันหมดล่ะ เราไม่เห็นเป็นแบบนั้นบ้างเลย” โยทกาลุกขึ้นโวยวายเสียงดัง เรวินรีบดึงแขนพี่สาวที่ลุกขึ้นอาละวาดบนเตียงให้ลงมา

“อย่าเสียงดังสิ โย” เขาติงพี่สาวที่ทำแก้มอูมด้วยความไม่พอใจ

“คืนนี้พี่จะพิสูจน์ ถ้าไม่มีใครไปด้วย พี่ก็จะไปคนเดียว”

“พี่โย!!” สามเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เวลาโยทกาอยากจะทำอะไรแล้วก็รั้นไม่ยอมฟังใคร เรื่องนี้ก็เช่นกันที่คงจะดึงดันทำโดยไม่ฟังเสียงห้าม

“งั้นไอจะไปด้วย ไอจะไม่ปล่อยให้พี่โยไปเจอกับอะไรไม่รู้คนเดียวหรอก”

“ไอ!!” ดารินหันไปเรียกชื่อพี่สาวเสียงหลง เธอไม่รู้ว่าพี่สาวเกิดอาการผีเข้าหรืออย่างไรที่เสนอตัวไปเป็นคนแรกเช่นนั้น ทั้งที่ระดับความขลาดของไอรดาเท่ากับเธอ ดารินกัดริมฝีปากล่าง แล้วเอ่ยออกมาบ้าง

“ถ้าไอไป รินก็จะไปด้วย รินไม่ยอมอยู่ในห้องนี้คนเดียวหรอก”

“นี่พวกเธอเป็นบ้าอะไรกัน” ผู้ชายคนเดียวในกลุ่มร้องอย่างไม่ชอบใจ ผู้หญิงสามคนนี้พอถึงเวลาอยากทำอะไรแล้วรั้นกันทุกคน และนั่นทำให้เขาเหนื่อยแทบขาดใจกับการปกป้องสามสาวด้วยตัวคนเดียว

ดวงตาสามคู่หันมาจ้องเรวินเป็นจุดเดียว แววตามีประกายความหวังอยากให้เขาไปด้วย เรวินถอนหายใจเฮือกพลางนวดขมับที่ปวดตุบขึ้นมากะทันหัน ลองได้ลงเรือลำเดียวกันแล้วก็คงต้องไปด้วยกันให้ถึงที่สุด

“โอเค จะไปก็ไป เรามันเสียงข้างน้อยอยู่แล้วนี่”

“อย่าทำเป็นผู้ชายขี้ใจน้อยน่าเร มันไม่น่ารัก” โยทกาหัวเราะในลำคอ ก่อนกระโดดเข้าคว้าคอน้องชายหมับ แล้วขยี้ผมจนฟูยุ่ง

“ขอโทษนะพี่เร พวกเราทำให้ลำบากแท้ ๆ” ไอรดาเอ่ยเสียงเบา และมองเรวินที่หนีออกมาจากวงแขนพี่สาวได้สำเร็จ

“อย่าคิดมากน่า พวกเธอก็เป็นเหมือนน้องพี่ ถ้าน้องลำบากพี่ก็ต้องช่วย”

ไอรดายิ้มขอบคุณ ใจหนึ่งเธอไม่อยากไปนักหรอก ถ้าเมื่อครู่ไม่ได้เห็นพ่อบ้านลากอะไรบางอย่างเข้าไปในบ้านไม้หลังนั้น ความสงสัยผุดขึ้นมาว่าของในถุงกระสอบที่พ่อบ้านลากเข้าไปเป็นอะไร และใจหนึ่งเธอก็อยากรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของป้าณัฐฐาเป็นใคร

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เมื่อถึงเวลาสี่ทุ่มคฤหาสน์ทั้งหลังมืดสนิท คนที่คิดว่านอนหลับแล้วผุดลุกขึ้นด้วยเสียงนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือ ไอรดาปัดผ้าห่มให้พ้นตัว ลุกขึ้นเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้าหยิบเอาเสื้อหนาวออกมา แล้วโยนตัวหนึ่งให้น้องสาวที่ไม่ได้อยู่ในชุดนอน แต่เป็นเสื้อผ้ารัดกุมที่ทำให้เคลื่อนไหวไปไหนมาไหนสะดวก

“ดีแล้วหรือไอที่พวกเราจะทำแบบนี้” ดารินถามพี่สาวอย่างไม่มั่นใจ เธออยากให้ไอรดาเปลี่ยนความคิดเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเผชิญกับดวงตาไร้แววจนน่าขนลุกของพวกตุ๊กตา

“พี่อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับป้าณัฐฐา”

“แต่เราจะตายไม่รู้ตัวน่ะสิ” เธอตอบกลับด้วยใจวิตกกังวล

“อาจไม่ถึงขั้นนั้นมั้ง” ไอรดาตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ อย่างน้อยพวกเธอก็เป็นถึงลูกของน้องสาว ป้าณัฐฐาคงไม่ทำอะไรรุนแรงนักหรอก แต่ที่น่าห่วงมีแต่โยทกากับเรวินที่ไม่ได้เป็นอะไรกับคุณป้าที่ยังสวยและสาวไม่เปลี่ยน

เสียงเคาะประตูแผ่วเบาทำเอาคนในห้องสะดุ้งโหยง ไอรดาหันไปมองดาริน แล้วเดินไปเปิดประตูให้โยทกากับเรวินเข้ามาข้างใน ทั้งคู่มีเป้ใบเล็กสะพายอยู่ด้านหลังอย่างคนเตรียมพร้อมมาอย่างดี โยทกาถอดเป้สะพายแล้วเปิดซิบให้ดูของข้างใน ไอรดากับดารินอุทานออกมาเสียงเบา เมื่อของที่โยทกาเอาออกมาคือเทียนที่อยู่ในห้องอ่านหนังสือพร้อมครอบแก้วป้องกันลม

“พี่โยไปเอามาได้ยังไง” ไอรดาร้องเสียงหลง พลางมองใบหน้าคนที่ยิ้มเผล่ออกมา

“โธ่...แค่ขอยืมชั่วคราวเอง”

ไอรดาหันไปมองเรวินที่ทำหน้าหน่ายใจกับนิสัยของพี่สาว ก่อนพูดซักซ้อมตามแผนที่วางไว้เมื่อตอนเย็น พวกเขามุ่งความสนใจไปที่บ้านไม้หลังคฤหาสน์ โดยมีโยทกาอีกนั่นล่ะที่สืบหาว่าจะเอากุญแจได้จากที่ไหน แล้วอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ไอรดา ดาริน โยทกาและเรวินแอบย่องลงมาจากห้องนอน โดยมีเป้าหมายไปยังด้านหลังของคฤหาสน์ พวกเขาเกาะกลุ่มผ่านตุ๊กตาในห้องโถงชั้นล่างโดยมีเรวินเดินนำ ไอรดากับดารินขนลุกเกรียวกับสายตาของตุ๊กตา พวกเธอรู้สึกเหมือนกับถูกพวกมันจับจ้อง

“โอ๊ย! เร อย่าเหยียบเท้าเราสิ” โยทกากระชิบเสียงเบาเมื่อน้องชายถอยหลังมาเหยียบเท้าเธอ

“มันมืด มองไม่เห็น” เรวินกระซิบตอบกลับ

“จุดเทียนเลยดีกว่า” โยทกาควักเทียนที่แอบขอยืมมาจากห้องสมุดมาจุดกับไฟแช็คของเรวิน แสงสว่างส่องวูบวาบขึ้นมา เธอแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วส่องมองไปรอบตัว

“กรี๊ดดด!!!!......”

เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมากะทันหันของไอรดากับดาริน ทำให้โยทกากับเรวินหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว สองพี่น้องเข่าอ่อนลงไปนั่งกับพื้น ดวงตาเบิกโพลงราวกับได้เจออะไรบางอย่างที่น่ากลัว โยทกาส่องเทียนไปด้านที่ไอรดากับดารินมองไป แต่รอบด้านไม่มีเงาร่างของใครนอกจากตุ๊กตาที่ตั้งเรียงรายไปตามทางเดิน

“ไม่เห็นมีอะไรเลย” โยทกาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งเสียดาย ก่อนหันไปมองสองพี่น้องที่ยังไม่หายขวัญผวา “เมื่อกี้เห็นอะไรหรือ ไอ ริน”

“เมื่อกี้พวกเราเห็นตุ๊กตามันกลอกตา” ไอรดาตอบเสียงสั่น ยึดแขนเรวินที่เข้ามาลูบหลังปลอบคนละข้างกับน้องสาว

“ไม่เอาแล้ว....” ดารินสะอื้นไห้ หันไปมองสบตาพี่แต่ละคนที่จ้องมองเธอ “รินไม่เอาแล้ว กลับกันเถอะ ที่นี่น่ากลัว”

“ไม่มีอะไรหรอกริน” เรวินลูบหลังปลอบ พลางสบตาตอบกับอีกสองสาวที่มีสีหน้าลำบากใจ

“ว้าย! ดูสิ มันกลอกตาอีกแล้ว” ดารินโผเข้ากอดคอเรวิน และร้องไห้หนักขึ้นไปอีก

“อย่าเสียดังสิริน เดี๋ยวพ่อบ้านกับป้าณัฐฐาได้ยินหรอก”

โยทกาพูดไม่ทันขาดคำก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ ทุกคนสะดุ้งโหยงและมองหน้ากันเลิ่กลั่ก โยทกาตัดสินใจดับเทียนแล้วลากไอรดาไปยังประตูด้านหลัง เรวินอุ้มดารินขึ้นหลังพลางวิ่งตามพี่สาวไป

ลมเย็นยามดึกปะทะเข้ากับใบหน้า พร้อมกับกลิ่นเหม็นฉุนเหมือนทินเนอร์ลอยปะทะเข้ากับจมูก และกลิ่นนั้นมาจากบ้านไม้หลังที่พวกเขาต้องการเข้าไปดูว่าข้างในเป็นอะไร โยทกาวิ่งไปเปิดล็อคประตูแล้วเข้าไปเป็นคนแรก ตามด้วยไอรดาและเรวินที่อุ้มดารินขึ้นขี่หลัง เมื่อทุกคนเข้ามาหมดแล้ว โยทกาจึงปิดประตูดังปังและกดล็อค

ไอรดาหายใจหอบ พลางเหลือบตามองรอบห้องที่เห็นเพียงเงาตะคุ่มของสิ่งที่อยู่ข้างใน มือของเธอสัมผัสกับวัตถุบางอย่างที่ให้ความรู้เหมือนผิวหนังมนุษย์ อีกทั้งพื้นที่เธอนั่งทับยังเปียกแฉะด้วยคราบของเหลวบางอย่าง ไอรดาไล่นิ้วสัมผัสไปเรื่อย ๆ และสะดุ้งโหยงเมื่อถูกคว้าหมับด้วยอุ้งมือของใครบางคน เธอพยายามกรีดร้องแต่ไม่มีเสียงใดลอดผ่านลำคอ

“พวกคุณเข้ามาทำอะไรในนี้” เสียงแหบพร่าที่ดังขึ้นท่ามกลางความมืดทำเอาผู้บุกรุกสะดุ้งโหยง พร้อมกับมือประหลาดที่ปล่อยแขนของไอรดาออกไปอย่างรวดเร็ว

แสงเทียนสว่างขึ้นจากจุดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตู จนเห็นเงาร่างของพ่อบ้านตาดุที่จ้องมองราวกับจะฆ่าคน มือของเขาถือมีดเล่มโตที่เปื้อนไปด้วยเลือด อีกทั้งเสื้อผ้าของเขายังมีคราบเลือดเปรอะเต็มไปหมด พ่อบ้านเคลื่อนตัวเข้ามาด้วยท่าทางโงนเงน แล้วเงื้อง่ามีดขึ้นเหนือศีรษะ

เรวินที่สติดีกว่าใครกระโดดเตะเข้าที่อกของพ่อบ้านจนล้มลง แล้วฉุดสามสาวที่นั่งตัวแข็งทื่อให้ลุกขึ้น “หนีเร็วสิ เดี๋ยวก็โดนฆ่าหรอก” เสียงของเขาได้กระตุ้นเตือนให้ทุกคนรู้สึกตัว

โยทกาลุกขึ้นเปิดประตูแล้วกระชากดารินที่อยู่ใกล้ที่สุดให้ลุกขึ้นวิ่ง เรวินคว้าไอรดาและวิ่งตามพี่สาวออกไป พวกเขาวิ่งหนีเข้าไปในป่าด้านหลัง ไม่กล้ากลับเข้าไปในคฤหาสน์อีกด้วยกลัวว่าจะถูกฆ่า

“กรี๊ดดด!!!......” ไอรดาร้องเสียงหลงเมื่อถูกคว้าบ่าจนเสียหลัก เธอถูกรัดคอแน่นด้วยท่อนแขนของใครบางคน กลิ่นตัวของมันเหม็นสาบรุนแรงจนเธออยากจะอาเจียนออกมา

“ไอ!!” โยทกาหวีดร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นผู้ชายในสภาพหนวดเครารกครึ้ม เสื้อผ้าสกปรกมอมแมมถือมีดจ่อคอไอรดาอยู่

“ไอ้พวกเด็กจุ้น เมื่อกี้ข้าเกือบจะฆ่าไอ้พ่อบ้านนั่นได้อยู่แล้วเชียว”

“ทำร้ายคนของฉันไม่พอ ยังจะมายุ่งกับหลานของฉันอีกงั้นหรือ” เสียงที่เคยทุ้มนุ่มบัดนี้ฟังแข็งกร้าว ทุกคนหันไปยังคนที่เดินตรงรี่เข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาดูดุดันราวกับจะฆ่าคนได้

แสงจันทร์ที่ส่องลงมาบนพื้นทำให้พวกเธอพอเห็นว่าชุดของป้าณัฐฐาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ในมือของป้ามีปืนสั้นที่ยกขึ้นส่องไปทางแขกไม่ได้รับเชิญที่ตอนนี้จับตัวหลานสาวของเธอไว้

“ปล่อยข้าออกไป ยายแม่มด!”

“ปล่อยหลานของฉันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าไม่เตือน” ป้าณัฐฐาเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาแน่วนิ่งซึ่งผิดกับคนที่เฝ้ามองซึ่งหัวใจสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่นกันทุกคน

“ป้าณัฐฐา ช่วยพี่ไอด้วย” ดารินสะอื้นไห้ด้วยความกลัวที่ประดังเข้ามา เธอไม่สนแล้วว่าคนคนนั้นเคยทำให้ตัวเองขนลุกชันมาก่อน ตอนนี้เธอแค่ต้องการให้พี่สาวเพียงคนเดียวปลอดภัยเท่านั้น

ไอรดาเริ่มตาพร่าและหายใจไม่ออกเมื่อคนที่ล็อคคอเธออกแรงมากขึ้น มันพยายามลากเธอไปเพื่อเป็นหลักประกันชีวิต แต่ความตึงเครียดได้กดดันให้สติเริ่มหลุดลอยไป เหตุการณ์สุดท้ายที่ไอรดาจำได้คือเสียงปืนดังลั่นพร้อมกับอาการเจ็บที่แขนแล้วทั้งหมดก็กลายเป็นสีดำ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งและปวดศีรษะจนแทบระเบิด ไอรดารำพึงในใจว่าเธอตายไปแล้วทำไมถึงยังรู้สึกทรมานอยู่อีก ไอรดากะพริบตาเมื่อได้ยินเสียงเรียกของใครบางคน ท่อนแขนที่แนบอยู่ข้างลำตัวถูกเขย่าแรงขึ้น

“ไอ! ไอฟื้นแล้ว!!” ดารินยิ้มทั้งน้ำตานองหน้าเมื่อเห็นพี่สาวตื่นขึ้นมา เรวินกับโยทกาที่ยืนถัดไปชะโงกหน้าเข้ามาดูคนเจ็บที่ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า สีหน้าของเธอยังดูงุนงงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ไอ! ขอโทษนะเพราะความดื้อของพี่แท้ ๆ ที่ทำให้ไอต้องมาเจ็บแบบนี้” โยทกาเอ่ยเสียงเบา ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามามากขึ้นเมื่อได้เห็นอาการของไอรดา

“เกิดอะไรขึ้น…” ไอรดาถามเสียงแหบ พยายามนึกทบทวนสิ่งสุดท้ายก่อนหมดสติไป “ไอถูกป้าณัฐฐายิงใส่ไม่ใช่หรือ”

“ป้าณัฐฐาปกป้องเธอ” เรวินเป็นคนตอบคำถาม เขายังมีสภาพจิตใจปกติ แม้จะเพิ่งผ่านเรื่องหนักหนาสาหัสมา “เมื่อคืนไอถูกนักโทษแหกคุกจับเป็นตัวประกัน จำได้หรือเปล่า”

“จำได้ แต่มันเกิดขึ้นได้ยังไง” ไอรดาครางออกมา ภาพเมื่อคืนเริ่มหวนกลับมาเป็นฉาก ๆ

“ถ้าอย่างนั้นป้าเล่าให้ฟังเองดีไหมจ๊ะ” ป้าณัฐฐาเข้ามาข้างในตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครรู้ เธอเข้ามาพร้อมกับรถเข็นที่มีอาหารส่งควันหอมกรุ่น พลางจ้องมองเด็กสี่คนที่ก้มหน้าหลบสายตาของเธอ

“ที่ป้าไม่ให้พวกเธอไปไหนมาไหนตามลำพังและให้เข้านอนตอน 4 ทุ่ม เพราะมีนักโทษแหกคุกหลบหนีมา แต่พวกเธอก็ฝ่าฝืนคำสั่งจนต้องเป็นแบบนี้ รู้ไหมว่าพวกเธอทำให้ป้าเป็นห่วงมาก ถ้าป้าช่วยไอไม่ทันมันจะเกิดอะไรขึ้น”

“พวกหนูขอโทษค่ะ” ดารินตอบกลับไปอย่างสำนึกผิด สายตาของป้าไม่ได้มีแววตำหนิและน่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ป้าเองก็เป็นคนธรรมดาเหมือนพวกเธอที่มีอารมณ์ความรู้สึก

“แล้วคุณทักษาเป็นยังไงบ้างครับ” เรวินเอ่ยถามถึงพ่อบ้านอย่างเป็นห่วง เพราะความเข้าใจผิดที่คิดว่าเลือดนั้นเป็นของคนอื่นจึงถีบเข้าไปเต็มแรง โดยไม่รู้เลยว่ามันเป็นเลือดของเขาที่มาจากการถูกทำร้าย

ป้าณัฐฐาคลี่ยิ้มออกมาให้เรวินคลายความกังวล “อีกสองสามวันเขาก็ออกมาได้แล้วจ้ะ”

“แล้วตำรวจจับคนร้ายได้หมดหรือเปล่าคะ” โยทกาเป็นฝ่ายถามออกมาบ้าง

เมื่อคืนทุกอย่างฉุกละหุกไปหมด จนไม่รู้เลยว่ามันผ่านไปได้อย่างไร รวมถึงตอนที่ป้าณัฐฐายิงปืนใส่คนร้ายที่จับไอรดาเป็นตัวประกัน ทั้งที่คิดว่าคงโดนไอรดาแน่ แต่มันกลับเจาะแขนนักโทษจนต้องปล่อยตัวประกันทิ้งไว้และวิ่งหนีไปโดยไม่มีใครกล้าตาม ในตอนนั้นป้าณัฐฐาเป็นคนบอกว่าที่เหลือตำรวจจะจัดการเอง พวกเขาจึงกลับมาที่คฤหาสน์

“เรียบร้อยหมดแล้วจ้ะ”

ไม่รู้ว่าอุปาทานไปเองหรือเปล่า ไอรดาเห็นป้าณัฐฐากระตุกยิ้มที่ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกออกมา เธอเหลือบมองดารินที่คว้ามือพี่สาวมากุมแน่น ดูท่าน้องสาวของเธอจะเห็นเช่นเดียวกัน

“ตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แต่ป้าก็ยังอยากให้พวกเธอยึดถือกฎเดิมไว้ วันนี้พักกันให้เต็มที่นะจ๊ะ แล้วพรุ่งนี้ป้าจะพาไปเที่ยวในป่าด้านหลัง ป้าจะไม่กวนแล้วล่ะ ไปก่อนนะ” ป้าณัฐฐาลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว พอลับหลังเจ้าของบ้านไปแล้ว โยทกาก็ถอนหายใจออกมาเสียงดัง

“แย่....คิดจะตามหาผีแต่ดันเจอนักโทษแหกคุก”

“เธอไม่สำนึกผิดเลยหรือไงกัน” เรวินหันไปมองพี่สาวที่ตีหน้ามุ่ย

“สำนึกผิดสิยะ” โยทกาแยกเขี้ยวใส่แล้วถอนหายใจอีกเฮือก “แต่มันยังอดเสียดายไม่หาย ที่พี่พวกนั้นบอกว่าเจอชิ้นส่วนมนุษย์เอย เสียงร้องเอย พวกเราไม่ยักเจอ แล้วยังตุ๊กตากลอกตาได้ของไอกับรินอีก ไม่มีใครคิดจะถามป้าณัฐฐากันเลยหรือไง”

“พอเลยโย แค่นี้ก็ทำเอาไอเกือบตายแล้ว” เรวินปรามพี่สาวเสียงดุ

โยทกาเบ้ปากแต่ก็ยอมรับปากแต่โดยดี “โอเค เราไม่ไปไหนมาไหนตอนกลางคืนคนเดียวหรอก และจะไม่ลากพาใครไปเดือดร้อนอีกแล้วด้วย”

“ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายเลยยิ่งดี”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


วันสุดท้ายในคฤหาสน์ตุ๊กตาดูฉุกละหุกเล็กน้อย แต่ก็รวดเร็วว่องไวสำหรับคนที่อยากออกไปจากที่นี่เต็มแก่ แม้พวกเขาจะสนุกกับการได้เที่ยวในป่า แต่ไม่ได้ทำให้คนที่กลัวคฤหาสน์หลังนี้อยากอยู่ต่อเท่าไรนัก ไอรดากับดารินขนกระเป๋าตามเรวินกับโยทกาลงมาชั้นล่าง โดยมีป้าณัฐฐากับพ่อบ้านยืนรออยู่

ป้าณัฐฐาเข้ามากอดหลานสองคน รวมถึงเรวินกับโยทกาด้วย “เสียดายที่เวลาผ่านไปไวเหลือเกิน ป้าหวังว่าพวกเธอคงจะแวะเวียนมาที่นี่อีก”

“ถ้ามีโอกาสค่ะ” ไอรดาตอบเสียงเบา พลางหิ้วกระเป๋าออกไปด้านนอกที่มีรถจอดรออยู่

ทักษาไม่ได้เป็นคนไปส่งเพราะยังบาดเจ็บจากการถูกทำร้าย ป้าณัฐฐาจึงจ้างคนขับรถจากข้างนอกให้ไปส่งถึงกรุงเทพฯ เรวินขึ้นนั่งด้านหน้า โดยให้สามสาวนั่งอยู่ด้านหลัง รถเคลื่อนตัวออกไปอย่างเชื่องช้า ชะลอเวลาให้ไอรดากับดารินหันหลังกลับไปมองป้าณัฐฐาที่โบกมือลาด้วยรอยยิ้มสวยแต่ดูลึกลับ

“ไอ...” ดารินกระตุกแขนพี่สาวชี้ให้ดูหน้าต่างชั้นบน

สองพี่น้องตัวชาวาบเมื่อเห็นเงาร่างของใครบางคนยืนอยู่ริมหน้าต่าง พวกเธอจำได้ดีว่ามันเป็นตุ๊กตาที่ชื่อคุณแสงดาวที่อยู่ในห้องโถงชั้นล่าง มันอ้าปากคล้ายจะส่งยิ้มมาให้ แต่คนมองกลับรู้สึกขนลุก และนั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำเอาไอรดากับดารินตะลึง พวกเธอเห็นตุ๊กตาอีกตัวหนึ่งที่อยู่ด้านหลังคุณแสงดาว แม้พวกเธอจะไม่เคยเห็นมันแต่เดาได้ว่าตุ๊กตาอีกตัวนั้นคือใคร

ตุ๊กตาที่อยู่ด้านหลังคุณแสงดาวสวมชุดสกปรกมอมแมม ใบหน้ารกครึ้มด้วยหนวดเคราและมีสีหน้าทรมาน ในมือของมันมีมีดที่ยกขึ้นเงื้อง่าจะฟันใครสักคน ทั้งคู่รีบหันกลับไปเพื่อลืมภาพที่เห็น แต่มันคงเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนไปอีกนานทีเดียว







Create Date : 06 เมษายน 2550
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 16:54:24 น.
Counter : 279 Pageviews.

1 comments
  
อ่านแล้วสยองมากๆ อึ๋ย!
โดย: น้อง IP: 124.121.190.111 วันที่: 26 มีนาคม 2551 เวลา:13:27:04 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog