พิษเสน่หา 16
๑๖ ความทุกข์ใจของผู้เป็นพ่อ

เจ้าของบ้านจันทร์กระจ่าง ล้วนแต่แปรฐานไปพำนักอยู่ที่ตำหนักของเจ้าชายชัยนเรทร์จนหมดสิ้น แต่หากมีคนเดินผ่านมาแถวนี้สักคน จะเห็นได้ว่ามีแสงสว่างเล็ดรอดออกมาจากช่องหน้าต่างบานหนึ่ง ซึ่งตำแหน่งนั้นเป็นบริเวณห้องหนังสือของปลายมาศ ที่เจ้าของห้องไม่มีทางมาอยู่ที่นี่ได้เลย

หนึ่งกล้าและพลพรรคของมันอีกเก้าตัว กระจายกันอยู่รอบตัวบ้าน และไม่มีทีท่าทุกข์ร้อนเลยว่าขณะนี้มีผู้บุกรุกอยู่ในบ้าน พวกมันยังคงทำตัวเป็นยามเฝ้าบ้านที่ดี อารักขาทั้งบ้านและคนที่อยู่ด้านใน ไม่ให้ใครย่างกรายเข้ามาได้

แต่แล้วหนึ่งกล้าก็ผงกศีรษะขึ้นจากขาหน้าที่หนุนนอน เมื่อประสาทรับรู้ของมันสำเหนียกได้ถึงการมาเยือนของบุคคลหนึ่ง หัวหน้าอารักษ์สี่ขาแยกเขี้ยวคมและส่งเสียงคำรามในลำคอ เพื่อขู่ให้อีกฝ่ายถอยหลังกลับไป จนเมื่อผู้มาเยือนผิวปากส่งสัญญาณแสดงตัวไม่ให้สุนัขดุที่กำลังเข้าเวรพุ่งทำร้าย และสัญญาณนี้ก็ทำให้อารักษ์รอบบ้านอยู่ในอาการสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นดังเดิม

ผู้มาใหม่ถอนหายใจเฮือกกับความดุเกินเหตุของเหล่าอารักษ์ จะว่าไปแล้วทุกคนในบ้านนี้ก็โดนพวกมันแยกเขี้ยวใส่กันมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง คนที่ไม่เคยโดนเลยก็เห็นจะมีแต่ท่านจินดากับปลายมาศเท่านั้น ขนาดสิริกัญญาที่พวกมันคุ้นเคยด้วยที่สุด ยังต้องใช้เวลาเกือบสองอาทิตย์ กว่าจะทำให้อารักษ์ดุพวกนี้เชื่องด้วยได้

คนที่ปรากฏกายขึ้นมานี้คือคนสนิทของท่านจินดา ที่ติดตามเจ้านายตัวเองอยู่ทุกฝีก้าว เขามีรูปร่างสูงกำยำ และยังแข็งแรงเหมือนชายฉกรรจ์ทั้งที่อายุอานามล่วงเข้าหกสิบปี เขาก้าวผ่านประตูบ้านจันทร์กระจ่างเข้าไป แล้วตรงไปยังห้องที่เจ้านายของตัวเองกำลังรออยู่ทันที

ท่านจินดากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกตัวใหญ่ ที่หันหน้าไปทางรูปวาดของสตรีสูงศักดิ์ สองมือกุมประสานอยู่บนหน้าตัก ดวงตาปิดสนิทคล้ายอยู่ในห้วงภวังค์ลึก และแสงตะเกียงที่จุดขึ้นดวงหนึ่งนั้นได้สาดกระทบลงบนเสี้ยวหน้าของท่าน ทำให้เห็นริ้วรอยบางอย่างที่ท่านไม่เคยแสดงให้เห็นยามรู้สึกตัว นั่นคือรอยทุกข์ระทมต่ออดีตที่ไม่อาจหวนคืนมา

แต่รอยนั้นก็ปรากฏขึ้นเพียงวูบเดียวแล้วจางหาย ดวงตาที่ปิดสนิทกะพริบไปมา ก่อนปรือเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า เมื่อท่านจับได้ว่ามีบุคคลอื่นเข้ามา

“มาแล้วเหรอ” ท่านจินดาเอ่ยขึ้นแผ่วเบา พลางขยับกายเล็กน้อย โดยไม่เบือนสายตาไปมองคนสนิทที่ค้อมตัวลงต่ำ

“ปลายมาศกับสิริกัญญาเป็นยังไงบ้าง”

“ท่านทั้งสองสบายดีขอรับ และท่านมานัยได้ไปพบกับท่านปลายมาศแล้ว”

คำตอบของคนสนิททำให้ท่านจินดาถอนหายใจเฮือก ท่านรู้ดีว่าผู้แสวงบุญคนนั้นมีจุดประสงค์อะไรในการกลับมา และหากเป็นแค่การพาลูกชายออกบำเพ็ญธรรมโดยไม่มีนัยอะไรแอบแฝง ท่านก็คงไม่ร้อนรนอะไร แต่นี่ท่านไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อหลายฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว และมีแนวโน้มว่าจะซ้ำรอยกับอดีต ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านไม่อยากประสบพบเจออีก ความตายของเหล่าบุคคลที่รัก เป็นรอยแผลที่หนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับคนที่มีจิตใจอ่อนไหวเช่นท่าน

“แล้วปลายมาศตอบท่านมานัยกลับไปว่ายังไง”

คนถูกถามทำสีหน้าเห็นใจเจ้านายของตัวเองเล็กน้อย ก่อนตอบออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบดุจเดิม “ท่านปลายมาศจะออกแสวงบุญกับท่านมานัยเป็นเวลาสามปีขอรับ ระหว่างนี้ท่านฝากบอกมาว่าอำนาจของท่านภายในบ้านหลังนี้ทั้งหมด จะถ่ายโอนไปให้ท่านสิริกัญญาเป็นผู้รับผิดชอบ”

“รวมถึงหัวหน้ากองกำลังรักษาความปลอดภัยด้วยหรือ”

“ตรงส่วนนี้ท่านปลายมาศขอส่งอำนาจบัญชาการ คืนให้นายท่านรับผิดชอบเหมือนเดิมขอรับ”

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความเผลอเรอของท่านทั้งหมด ท่านไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าหลวงที่ทรงเอ่ยคำสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องบุตรีสีน้ำเงินให้คนอื่นทราบ จะอาศัยช่องว่างของคำสัญญาเอาเรื่องนี้บอกกับบุตรชายของตัวเองแทน จนคนที่มีนิสัยอยากรู้อยากเห็นพยายามค้นหาความลับที่ถูกปกปิดจนได้เรื่อง ท่านจึงจำเป็นต้องบอกเล่าความลับบางส่วนไป เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกชายไปแตะต้องส่วนอันตราย

และที่น่าเจ็บใจตัวเองที่สุด คือการที่ปล่อยให้เจ้าปาเยนทร์มาพบกับสิริกัญญา ฝ่ายนั้นมีความสนใจเรื่องสายเลือดสีน้ำเงินไม่แพ้เจ้าแผ่นดิน พอได้มาเห็นลูกสาวที่ท่านเก็บซ่อนไว้ คนหนุ่มจึงเริ่มเคลื่อนไหว โดยไม่รู้เลยว่าตนได้เดินไปตามหมากที่ราชามากเล่ห์คอยกำกับ

ความซื่อของท่านจินดาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเจ้าหลวง เหตุผลของเจ้าแผ่นดิน ทำให้ข้ารองบาทมิอาจขัดขืน แต่ใจของผู้เป็นพ่อเล่าจะร้อนรนเพียงไร เมื่อรู้ว่าลูกของตนต้องเสี่ยงอันตรายกับสงครามที่มิมีสิ้นสุด

อดีตแต่หนหลังสมัยที่ท่านจินดายังเป็นเด็กย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง ในตอนนั้นเหล่าเจ้าชายจากทั้งสามรัฐยังเป็นมิตรสนิทยิ่งกว่าปัจจุบัน แต่เพราะราคะ โลภะ โทสะและโมหะทีเดียวที่ทำให้เกิดการแตกแยก แล้วมันก็กลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อมานานเกินครึ่งศตวรรษ

“สงครามไม่มีอะไรดีนอกจากกัดกร่อนทำลายทุกสรรพสิ่ง ใจและกายข้าแหลกสลายไปนานนับตั้งแต่สงครามครั้งที่แล้ว ข้าสูญเสียคนที่รักไปมากมาย โดยที่ตัวเองไม่อาจช่วยอะไรพวกเขาได้ ครั้งนี้ข้าก็มิอาจทำอะไรได้เช่นกัน ถูกจับให้ปิดหูปิดตาเป็นตุ๊กตานั่งตู้” ท่านจินดารำพันทุกข์ที่อัดอั้นจนคับอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วมองภาพวาดสตรีสูงศักดิ์ที่ส่งยิ้มคล้ายจะปลอบความหมองเศร้าของท่าน

“ศศิประภากับสร้อยแสงจันทร์จะตำหนิข้ามากแค่ไหนนะที่ข้าไม่ได้ปกป้องลูกเลย”

“นายท่านปกป้องท่านทั้งสองเสมอ”

คำปลอบของคนสนิทไม่ได้ทำให้ท่านจินดารู้สึกดีขึ้น แต่กระนั้นท่านก็หันไปยิ้มขอบคุณให้คนสนิทที่ติดตามรับใช้ท่านมาตั้งแต่รุ่นหนุ่ม แล้วท่านก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเป็นห่วงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสถานที่ที่ท่านส่งคนสนิทลักลอบเข้าไปหาลูกชายนั้นอันตรายเพียงไร

“แล้วเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ข้าลืมไปว่าช่วงที่ลูกทั้งสองคนของข้าอยู่ที่ตำหนักโน้น เจ้าชายชัยนเรนทร์ได้จัดการวางเวรยามใหม่ ข้าเลยส่งให้เจ้าไปลำบาก”

คำถามของท่านจินดาจุดรอยยิ้มจากคนสนิทขึ้นมาบางเบา แล้วตอบกลับด้วยท่าทางไม่อินังขังขอบ “พวกนั้นฝีมือดีมาก น่าเสียดายที่เป็นคนของเจ้าชายชัยนเรนทร์ ไม่อย่างนั้นข้าคงดึงพวกเขาให้เข้าหน่วยพิฆาต”

ไม่รู้ว่าท่านจินดาจะยิ้มหรือร้องไห้ดี คำตอบของคนสนิทบ่งบอกว่าได้ปะทะฝีมือกับทหารยามรักษาตำหนักของเจ้าชายชัยนเรนทร์มาแล้ว เชื่อได้เลยว่าพรุ่งนี้เจ้าหลวงคงมาแขวะท่านอีกเป็นแน่ ยิ่งช่วงนี้ท่านมีปากมีเสียงกับเจ้าชีวิตบ่อยครั้ง และยังไปมีปัญหาขัดแย้งกับมานัยอีก ยิ่งปลายมาศกับสิริกัญญายอมไปเป็นหมากให้คนมากเล่ห์ใช้เดิน ท่านเลยรู้สึกโดดเดี่ยว

“สำนึกครูฝึกของเจ้ายังติดตัวอยู่ตลอดเวลาเลยนะ ทั้งที่เจ้าเกษียณอายุออกมาแล้วแท้ ๆ” ท่านจินดาคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา “เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกหน่อย”

หลังจากที่คนสนิทค้อมตัวลาจากไป ท่านจินดาก็กลับเข้าสู่ภวังค์ของตนอีกครั้ง หลายปีที่ผ่านมา ท่านปิดหูปิดตาไม่ยอมรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด พอลืมตาขึ้นมองความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกือบจะสายเกินแก้ไปเสียทุกเรื่อง และท่านก็โทษใครไม่ได้นอกจากโทษตัวเอง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เจ้าหลวงทรงถอนปัสสาสะออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อองคมนตรีที่ควบตำแหน่งเป็นพระสหายแวะเวียนมาหาพระองค์ตั้งแต่เช้า ยิ่งได้ทอดพระเนตรเห็นขอบตาแดงช้ำ อันเกิดจากการไม่ได้นอนของอีกฝ่าย ก็ยิ่งเหนื่อยหน่ายพระทัย

นับวันตาเฒ่าคนนี้ยิ่งจิตตกลงทุกวัน และหาเรื่องมาทะเลาะกับพระองค์ได้เสมอ อีกทั้งพระนิสัยของพระองค์ ไม่ใช่พวกชอบตรัสคำพูดซ้ำซาก บวกกับได้รับรายงานจากเจ้าชายชัยนเรนทร์เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เลยทำให้ทรงเผลอพลั้งโอษฐ์กัดองคมนตรีเฒ่าไป

“ได้ยินว่าเมื่อคืนเจ้าส่งคนไปทดสอบฝีมือทหารของเจ้าชัยงั้นหรือ คิดจะหาคนเข้าหน่วยพิฆาตเพิ่มหรือไง จินดา”

“กระหม่อมอยากพบลูก” ท่านจินดาเอ่ยเสียงเบาหวิว นับตั้งแต่ปลายมาศกับสิริกัญญาไปอยู่ที่ตำหนักอรินทรา ท่านก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้พบหน้าลูกทั้งสองเลย

“ไม่อนุญาต” เจ้าหลวงตรัสกลับโดยไม่ตริตรอง พระองค์รู้ดีว่าขืนให้ท่านจินดาพบกับลูกคนใดคนหนึ่ง หมากที่พระองค์เริ่มออกเดินต้องมีอันปั่นป่วนแน่

“พระองค์ไม่สงสารกระหม่อมเลยหรือ”

น้ำเสียงสั่นเครือของท่านจินดาทำให้เจ้าหลวงทรงงุ่นง่านพระทัย พระองค์ไม่เคยจัดการกับนิสัยเจ้าน้ำตาของตาเฒ่าคนนี้ได้เลย นอกจากทำพระทัยแข็งใส่ “เฮ้ย! ร้องไห้มาตั้งแต่เด็กไม่เบื่อหรือไง แก่แล้วยังร้องไห้อีก มันไม่น่ารักหรอกนะ”

“พระองค์ทรงเปลี่ยนตัวให้กระหม่อมเป็นเหยื่อแทนลูกเถอะ อย่างไรเสียคนแก่ก็ต้องตายอยู่แล้ว...”

“ไม่อนุญาต!” เจ้าหลวงตรัสเสียงดังลั่น พร้อมกับทรงตบโต๊ะดังปังใหญ่ จนคนที่ยังพูดไม่ทันจบความสะดุ้งโหยง

“ข้าว่าเราน่าจะคุยกันรู้เรื่องแล้วนะจินดา เจ้าไม่ไว้ใจข้าหรือไง”

“กระหม่อมอยากให้ลูกเป็นเพียงคนธรรมดา” ท่านจินดาตอบเสียงอู้อี้ พลางสูดจมูกดังฟึดฟัด

คำตอบของพระสหายเก่าทำเอาเจ้าหลวงส่ายเศียรด้วยความหนักใจ เรื่องนี้พระองค์ตรัสจนปากเปียกปากแฉะ องคมนตรีเฒ่าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงแนวความคิด จนพระองค์ไม่ทราบแล้วว่าจะทรงจัดการกับตาเฒ่าหัวดื้อคนนี้อย่างไรดี

“จินดา...จินดา...” ทรงตรัสเรียกคนเจ้าน้ำตาไปมา พลางถอนปัสสาสะออกมาอีกเฮือก “ลูกเจ้าเป็นคนธรรมดาได้แน่ หากพวกนั้นยอมวางมือจากเลือดสีน้ำเงิน” แล้วเจ้าหลวงก็ยกหัตถ์นวดเศียรไปมากับอาการปวดจี๊ดที่แล่นริ้วไปทั่ว

“เจ้าก็เห็นว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกนั้นยอมปล่อยวางจากเลือดสีน้ำเงินหรือไม่ แล้วล่าสุดนี่ลูกเจ้าฑัญญะมันก็ออกคำสั่งฆ่าล้างบางพวกสีน้ำเงิน ต้องให้ข้าบอกเหตุผลด้วยไหมว่าเป็นเพราะอะไร”

ท่านจินดาปิดปากเงียบ ไม่ยอมโต้ความอะไรออกไป และนั่นก็ทำให้เจ้าหลวงตรัสต่อ “ที่ซ่อนที่เจ้าหาให้กับพวกสีน้ำเงิน สักวันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป แม้แต่บ้านของเจ้าที่มีการป้องกันแข็งแกร่งที่สุดในปามะห์ก็ไม่ปลอดภัย เมื่อคนในชักนำภัยเข้าไป” ประโยคท้าย ๆ เจ้าหลวงตรัสเสียงอ่อนกับคนหัวดื้อ และพระองค์ก็ทรงได้รับความเงียบตอบกลับมาอีกครา

“จินดา...ยอมรับความจริงเสียทีเถอะ ตราบเท่าที่ยังมีคนยึดติดกับมันอยู่ เจ้าก็ไม่สามารถไปลบล้างสายเลือดนั้นได้ อย่าปิดกั้นและกล่าวโทษตัวเองกับอดีตที่ผ่านมา เจ้าทำดีที่สุดแล้ว ถ้าฑิคัมพรยังมีชีวิตอยู่ก็คงไม่พอใจเหมือนข้านั่นแหละ”

และประโยคนี้ก็ทำให้องคมนตรีเฒ่าน้ำตาคลอเบ้า ท่านสูดจมูกเสียงดัง โดยไม่พูดอะไร แต่ท่าทางดื้อดึงนั้นดูอ่อนลงมากแล้ว ถึงกระนั้นเจ้าหลวงก็ยังไม่ทรงวางพระทัย คนอย่างท่านจินดา แม้ดูภายนอกแล้วจะเป็นคนหัวอ่อน แต่ภายในนั้นใจแข็งไม่ใช่เล่น

“พระองค์คิดว่าสงครามที่ยืดเยื้อมานานจะจบลงจริงหรือ” ท่านจินดาเอ่ยถามขึ้นแผ่วเบา หลังจากทำเสียงฟึดฟัดโดยไม่พูดอะไรอยู่นาน

ดวงเนตรสีน้ำตาลไหม้ทอแววอ่อนลงเล็กน้อย คนอ่อนไหวไม่ชอบเรื่องสงครามและความตาย แต่พระองค์ก็ชักนำอีกฝ่ายให้ต้องประสบกับสิ่งที่เจ้าตัวไม่ชอบอยู่บ่อยครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน

“ฑิคัมพรตาย ฑัญญะตาย ราชิตตาย และข้ากำลังจะตาย แต่ก่อนตาย ข้าจะต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้น อย่าห่วงเลยจินดา ข้าจะเอาสันติสุขมาให้เจ้าด้วยสองมือนี้เอง”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


คำตรัสของเจ้าหลวงยังดังก้องอยู่ในห้วงคำนึง และท่านจินดาก็ทราบดีว่าเจ้าชีวิตต้องกระทำตามคำที่ลั่นวาจาไว้ได้แน่ แต่กระนั้นท่านก็อดห่วงกังวลต่ออันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับนายเหนือหัวของตัวเองไม่ได้

หลายวันที่ท่านจินดามัววิ่งวุ่นกับแผนการของเจ้าหลวง ท่านได้ทราบแผนลอบปลงพระชนม์เจ้าหลวงเข้าโดยบังเอิญ แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่สามารถสืบได้ว่าผู้วางแผนนี้เป็นใคร เพราะผู้คบคิดล้วนแต่เป็นคนนอกแคว้น นั่นทำให้ท่านนึกหวั่นถึงภัยอันใหญ่หลวงที่กำลังย่างกายเข้ามา

ยุคสมัยนี้เป็นยุคที่การล่าอาณานิคมกำลังเฟื่องฟู และแคว้นปัญจปุระเป็นเพียงแคว้นเล็ก อีกทั้งยังมีปัญหาแก่งแย่งอำนาจเกิดขึ้นมาอีก การลอบโจมตีจากรัฐต่างแคว้นจึงเกิดขึ้นได้โดยง่าย หากรัฐทั้งห้าไม่จับมือกันผนึกกำลังป้องกันแคว้น ต่อให้มั่นใจในแสนยานุภาพของกองกำลังทางทหารมากแค่ไหน ก็มีแต่ต้องเสียแคว้นตัวเองให้พวกมหาอำนาจไป

เสียงไอโขลกของคนบนเตียง ฉุดสติของท่านจินดาให้กลับคืนมา ท่านมองใบหน้าซีดเซียวของลูกชายที่บัดนี้ซับสีแดงเข้มด้วยพิษไข้อย่างสงสาร พลางยกมือขึ้นซับเหงื่อเม็ดเล็กที่ผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผากให้คนป่วยบนเตียงอย่างเบามือ

แสงอรุณเป็นหนึ่งในผู้รับเคราะห์ต่อแผนการอันยาวนานของแสงสุรีย์ ความรักของท่านไม่อาจลบล้างสิ่งที่เธอคิดจะทำได้ และท่านก็ปล่อยให้ภรรยาเอกทำตามใจอยู่นานหลายปี โดยไม่ขัดขวางอะไร เพื่อชดเชยต่อความรู้สึกผิดที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ท่านบังคับขืนให้เธอมาแต่งงานด้วยทั้งที่เธอไม่ได้รักท่าน

แต่ท่านจะไม่ยอมให้แสงสุรีย์ได้พรากเอาคนที่ท่านรักจากไปเหมือนครั้งที่ผ่านมาอีกแน่!

เปลือกตาที่ปิดสนิทปรือเปิดขึ้น เมื่อสัมผัสได้ถึงมือเย็นของใครบางคน แตะไปตามใบหน้าและลำคอ แล้วภาพของท่านจินดาที่ส่งยิ้มนุ่มละมุนก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของแสงอรุณ ชายหนุ่มขยับริมฝีปากคิดจะเรียกขานบิดา แต่ลำคอนั้นแห้งผากจนเสียงเรียกขานเป็นเพียงเสียงครางครืดคราดเท่านั้น

“พ่อปลุกให้ตื่นหรือ”

แสงอรุณส่ายหน้าเล็กน้อย พลางเผยอริมฝีปากรับน้ำที่ท่านจินดารินใส่จอกชาด้วยความกระหาย พอลำคอชุ่มชื้นด้วยน้ำที่เจือรสหวาน ชายหนุ่มจึงกระแอมเล็กน้อย แล้วเอ่ยออกไปเสียงเบา “วันนี้ท่านพ่อต้องไปบูกิตไม่ใช่หรือครับ”

ท่านจินดากลั้วหัวเราะกับข่าวสารของลูกชาย ผู้ชอบหมกตัวอยู่แต่ในห้องส่วนตัว นี่เป็นผลพวงของสิ่งที่ท่านชดเชยให้ลูกชายคนนี้ นั่นคือมอบทักษะการหาข่าวสาร พร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งที่ถูกฝึกให้ชำนาญกับทักษะนี้ให้อยู่ใต้บัญชาการถึงสิบคน ซึ่งตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ท่านก็ได้ข้อมูลจากคนของลูกชายนี่ล่ะ ที่ทำให้รู้ถึงการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในแคว้นปัญจปุระ

“โดนห้ามไม่ให้ไปแล้ว”

“เจ้าหลวงคงทรงกลัวว่าท่านพ่อจะไปทำแผนของพระองค์พัง”

คนถูกดักทางโคลงศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจ ก็มันน่าให้ท่านจินดาพังแผนการนั้นไหมล่ะ เจ้าหลวงเล่นทรงวางแผนให้ลูกท่านเป็นเหยื่อล่อปลา มีพ่อที่ไหนบ้างเล่าจะทนได้ ครั้นขอเป็นเหยื่อเองก็โดนห้ามเด็ดขาดด้วยเหตุผลที่ทำให้ตื้นตันใจ พระองค์ทรงให้ความสำคัญและห่วงใยสหายเก่าที่เอาแต่ใจคนนี้มากทีเดียว

“แต่ท่านพ่อคงไม่ทำตัวดี ๆ ตามคำสั่งของพระองค์ใช่ไหมครับ”

ท่านจินดาหัวเราะอย่างถูกใจกับคำพูดของลูกชาย แต่น่าเสียดายที่เจ้าหลวงก็ทรงเดาได้ว่าท่านไม่ยอมทำตัวสงบเสงี่ยม จึงทรงออกคำสั่งให้ท่านเป็นราชเลขาคอยช่วยงานชั่วคราว พร้อมทั้งโยนงานสารพัดอย่างที่ทำให้มั่นพระทัยได้ว่าองคมนตรีจอมดื้อเงียบ จะไม่มีเวลาพักผ่อนหายใจแน่

“ถึงอยากทำก็ทำไม่ได้อยู่ดี พ่อโดนจับตาทุกฝีก้าวเลยทีเดียว”

“ท่านพ่อจะให้ข้าทำอะไรไหมครับ”

“ทำตัวไปตามปกตินั่นแหละ แล้วยาตัวใหม่เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือแย่ลง” ท่านจินดาเปลี่ยนเรื่องถามถึงสุขภาพของลูกชายทันที พลางเอื้อมไปหยิบถ้วยยาที่บรรจุของเหลวสีเขียวขุ่นไว้ครึ่งถ้วย

“ก็ไม่ดีไปกว่ายาตัวอื่นหรอกครับ”

“ทนหน่อยเถอะนะ การจะตบตาแสงสุรีย์ว่าเจ้าเจ็บกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เด็กก็มีแต่วิธีนี้ สองผสมก็ใช้กับเจ้าไม่ได้แล้ว เลยมีแต่ต้องคิดยาตัวใหม่ไปเรื่อย ๆ เท่านั้น” องคมนตรีเฒ่าพูดพลางจิบยาตัวใหม่ แล้วเบ้ปากเบี้ยว รสชาติของยาในถ้วยที่ท่านถือขมยิ่งกว่าบอระเพ็ดเสียอีก ท่านว่าที่ลูกชายมีสีหน้าซีดเซียว คงไม่ใช่เพราะพิษถ้วยนี้เสียแล้ว แต่คงเป็นรสชาติยอดแย่ของมันมากกว่า

“แล้วอีกประมาณเดือนหรือสองเดือนนี้ พ่อจะจัดฉากตายอย่งสงบให้”

หากมีคนอื่นมาได้ยินประโยคนี้ของท่านจินดาคงจะสะดุ้งเป็นทิวแถว เพราะมันช่างตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ของชายชราใจดี นิสัยซื่อที่ทุกคนคุ้นเคย แต่นี่ก็เป็นบุคลิกอีกด้านหนึ่งที่ท่านไม่เคยแสดงให้ใครเห็น นอกจากผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่าน ซึ่งลูกน้องของท่านคือเหล่าจารชน มือสังหาร และมือพิฆาตสองร้อยคนที่ขึ้นชื่อว่าเก่งกาจที่สุดในปามะห์

แสงอรุณหรี่ตามองบิดาอย่างจับสังเกต ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่หลายฝ่ายต่างเคลื่อนไหว มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจินดาจะทำอะไรโดยไม่มีนัยแอบแฝง “แล้วศพของข้าจะถูกฝังไว้ที่ไหนหรือครับ”

“บูกิต”

และนั่นก็เป็นคำตอบว่าทำไมท่านจินดาถึงยังทำท่าทีไม่ทุกข์ร้อนที่ถูกเจ้าหลวงเฝ้าจับตามอง จนแทบกระดิกกระเดี้ยวไม่ได้ เพราะท่านจะส่งลูกชายให้ไปทำงานแทนตัวเองด้วยวิธีที่แม้แต่ราชามากเล่ห์ยังคาดไม่ถึง

คนอย่างท่านจินดาถึงจะดูซื่อ แต่ใช่ว่าจะหลอกใครไม่เป็น อย่างน้อยเรื่องของแสงอรุณก็ตบตาผู้คนได้ทั้งรัฐ คงมีแต่ท่านกับสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าลูกชายของท่านไม่ได้สุขภาพอ่อนแอตามที่หลายคนเข้าใจ กว่าทุกคนจะรู้ก็หลังจากนั้นอีกหลายเดือน และได้แต่พกพาความเจ็บใจไว้โดยไม่สามารถทำอะไรตาเฒ่าคนซื่อนี้ได้เลย

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ไม่รู้ว่าท่านจินดาถอนหายใจไปกี่เฮือกแล้วสำหรับวันหนึ่งวันที่แสนยุ่งเหยิง และท่านต้องวุ่นวายกับงานที่เจ้าหลวงทรงเอามาสุมกองเต็มโต๊ะ จนจำไม่ได้ว่าวันนี้ท่านได้พักทานอาหารแล้วหรือยัง กว่าจะรู้ตัวว่ายังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เที่ยง ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีไปเรียบร้อย

ท่านจินดาวางปากกาลง แล้วผลักเอกสารตรงหน้าออกไปอย่างอ่อนแรง สังขารที่ร่วงโรยไปในแต่ละวัน เฝ้าย้ำเตือนท่านว่าไม่สามารถโหมงานหนักเหมือนสมัยหนุ่มได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นจากโต๊ะ พลางบิดขี้เกียจไปมาจนเสียงกระดูกดังลั่น ก่อนเดินตรงไปยังอีกด้านหนึ่งของฉากกั้นที่เป็นส่วนทรงงานของเจ้าหลวง แต่ดูท่านายเหนือหัวของท่านจะโดดงานไปเสียแล้ว และเดาได้ว่างานที่ท่านทำก็คืองานที่เจ้าหลวงต้องทรงทำในวันนี้นี่เอง

ตาเฒ่าคนซื่อโดนหลอกใช้งานเสียแล้ว แต่คนถูกหลอกก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะวันนี้ท่านหวังอยากจะให้เจ้าหลวงทรงโดดงาน เพื่อที่ท่านจะได้จัดการปัญหาอีกเรื่องหนึ่งให้แล้วเสร็จ โดยไม่มีสายตาช่างสังเกตของเจ้าหลวงคอยจับจ้อง

ท่านจินดาดับไฟในห้องทำงาน แล้วออกจากห้องโดยไม่ลืมทักทายทหารยามหน้าห้องด้วยรอยยิ้มใจดี ท่านเดินทอดน่องไปตามระเบียง พลางส่งยิ้มทักทายทหารยามที่เพิ่งมาประจำ นับตั้งแต่ท่านจินดามาเป็นราชเลขาชั่วคราวให้เจ้าหลวงไปตลอดทาง และช่วงเวลาหนึ่งที่ทุกคนเผลอเรอ องคมนตรีเฒ่าก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


สายลมที่พัดวูบเข้ามาในห้อง ทำให้สิริกัญญากับปลายมาศหันไปยังประตูระเบียงกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งสองไม่แปลกใจเท่าไรนัก ที่เห็นคนสนิทของท่านจินดาเปิดประตูริมระเบียงเข้ามา แล้วนำพาเจ้านายที่มองซ้ายมองขวาด้วยความสนใจ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าท่านสนใจการตกแต่งห้อง หรือการลอบปีนระเบียง เพื่อมาพบหน้าลูกสาวกับลูกชายของคนสนิทกันแน่

สองพี่น้องได้รับทราบข่าวอย่างลับ ๆ แล้วว่าท่านจินดาจะมาพบ ทั้งคู่จึงรออยู่ในห้อง และแสร้งทำทีเป็นขอเวลาส่วนตัวตามประสาพี่น้อง โดยลากบริมาสให้มาเป็นบุคคลที่สาม เพื่อให้คุณหนูคนงามเป็นพยานเท็จว่าไม่มีใครแอบลักลอบเข้ามาตามที่จะถูกสงสัย เพราะดูเหมือนเจ้าชายชัยนเรนทร์จะทรงได้รับคำสั่งจากเจ้าหลวง ไม่ให้ท่านจินดาเข้าพบลูกทั้งสองท่าน ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตาม

บริมาสมองตาค้างกับการปรากฏตัวอันสุดแปลกประหลาดของท่านจินดา เธอรู้ว่าองคมนตรีเฒ่าจะลักลอบมาพบกับสองพี่น้อง แต่ก็คิดไม่ออกว่าท่านจะมาพบด้วยวิธีไหน ตอนแรกเธอยังคิดพิเรนทร์เลยว่าท่านจะโผล่มาทางระเบียงตามนิทานผีดูดเลือดของชนต่างแคว้น แต่เธอไม่คาดเลยว่าท่านจะมาทางระเบียงจริง ๆ

“สวัสดียามดึกจ้ะ เด็ก ๆ” ท่านจินดาพูดพลางเดินมานั่งริมเตียงของคนป่วย โดยคนสนิทของท่านตรงไปยืนประจำอยู่ที่ประตูอย่างรู้หน้าที่ แล้วท่านก็หันไปยิ้มให้คุณหนูคนงามที่ยังไม่เลิกมองท่านด้วยสายตาตกตะลึง

“ว่ายังไงบริมาส ท่านเจ้าคุณมหาดไทยยังหัวหมุนกับความซุกซนของเจ้าไม่เลิกอยู่หรือเปล่า”

คำทักทายกึ่งยั่วเย้าทำให้บริมาสหน้าแดงเรื่อด้วยความอาย ถึงแม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าพฤติกรรมที่เหมือนนางฟ้าแต่เปลือกนอก แต่ภายในนั้นร้ายแสนร้ายแค่ไหนร่ำลือไปทั่ววังหลวง แต่ก็ยังรู้สึกระดากกระเดื่องทุกครั้งที่ถูกผู้ใหญ่ทัก

“ไม่ต้องเกร็งมากนักหรอก พ่อแค่มาเยี่ยมปลายมาศ และพูดธุระแป๊บเดียวก็กลับ” องคมนตรีเฒ่ากลั้วหัวเราะกับท่าทางของบริมาสอย่างเอ็นดู ก่อนเบือนสายตาไปยังลูกชายที่มีสีหน้าซีดเซียวด้วยความห่วงใย

“อาการเป็นยังไงบ้าง ปลายมาศ”

“ดีขึ้นมากแล้วครับ”

คำตอบของปลายมาศพอทำให้ท่านจินดาเบาใจลงไปได้บ้าง ครั้นพอถามลูกชายเสร็จ ท่านก็หันไปทางลูกสาวที่ดูสดชื่นยิ่งกว่าตอนอยู่บ้าน มันทำให้ท่านอดสะทกสะท้านใจไม่ได้ที่ตัวเองเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้ลูกอยู่อย่างทุกข์ทรมาน

“แล้วสาวน้อยของพ่อล่ะ อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง สุขสบายดีไหม”

“เจ้าชายทรงดูแลอย่างดีค่ะ” สิริกัญญายิ้มน้อย โดยไม่บอกเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า นอกจากจะถูกดูแลอย่างดีแล้ว เจ้าชายชัยนเรนทร์ยังทรงยัดเยียดสาวใช้ประจำตัวให้ด้วยอีกคนหนึ่ง ราวกับว่าเธอจะมาอยู่อย่างถาวร

ท่านจินดาทอดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและลำบากใจ ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ยังคงยืนกรานที่จะให้ลูกสาวกลับบ้านอยู่ดี เพราะท่านไม่ต้องการให้ลูกสาวของท่านต้องตกเป็นเป้าสังหารจากคนภายนอก

องคมนตรีเฒ่าอยู่คุยกับสองพี่น้องไม่นานนัก เพราะท่านเชื่อว่าทหารยามที่ได้รับคำสั่งให้คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของท่าน คงกำลังตามหาท่านที่หายตัวไปกันวุ่นแล้ว และเป้าหมายแรกที่ทหารพวกนั้นจะมาตามหาท่าน คือตำหนักของเจ้าชายชัยนเรนทร์ ซึ่งท่านควรรีบกลับบ้าน แล้วสร้างหลักฐานเท็จว่าท่านตรงดิ่งกลับคฤหาสน์ของตัวเอง โดยไม่ได้แวะเวียนไปที่ไหนตามที่เจ้าหลวงทรงระแคะระคาย

“พ่อคงต้องไปแล้วล่ะ และรีบกลับบ้านนะลูก พ่อเหงา”




Create Date : 02 มกราคม 2551
Last Update : 2 มกราคม 2551 19:37:06 น.
Counter : 405 Pageviews.

3 comments
  

มาต่อเร็วๆ นะคะ ชอบมาก ๆเลย
จะรอค่ะ
โดย: ขี้เมฆน้อย...ที่คอยรัก IP: 202.28.12.47 วันที่: 2 มกราคม 2551 เวลา:22:27:15 น.
  

ไม่น่าเชื่อว่าท่านจินดา จะเจ้าเล่ห์เหมือนกัน

แต่ไม่น่ากลัวเมียเล้ย
โดย: nekojung IP: 58.9.88.58 วันที่: 3 มกราคม 2551 เวลา:15:11:28 น.
  
ติดตามอ่านอยู่ตลอดนะคะ
โดย: pumpam IP: 58.8.78.162 วันที่: 7 มกราคม 2551 เวลา:13:55:07 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog