Devil Crisis ภารกิจพิทักษ์จอมมาร 3

บทเรียนแรกของการทำความรู้จักแดนอสูรคือหญ้าของแดนนี้เหนียวกว่าที่คิด!

หลังจากตกลงเป็นพันธมิตรระยะยาวกับมารกาฬปักษ์ฟีเดลก็เริ่มคิดหาวิธีหอบหิ้วสัมภาระสองชิ้นโตขึ้นมาทันที เพราะการที่มีฝูงกาจำนวนมากคอยรุมต้อนรับตรงปลายทางทำให้เด็กหนุ่มยิ่งต้องรีบมองหาของที่จะไม่ให้สัมภาระของตัวเองเกะกะเวลาออกมือออกเท้าซึ่งหญ้าคาที่อยู่เบื้องหน้าคือสิ่งที่เขาเล็งไว้

อีกาดำที่ได้รับนามใหม่ว่าราเวนเฝ้ามองการกระทำของเด็กมนุษย์ด้วยความสงสัยมันไม่รู้ว่าควรถามอีกฝ่ายที่หันไปรบกับกอหญ้าแทนที่จะวางแผนรบรากับฝูงกาที่รออยู่ตรงปลายทางดีหรือไม่จนเมื่อได้เห็นเด็กหนุ่มเอาใบหญ้ามาถักสานเป็นกระเป๋าสะพายหลังใบเขื่องและมีขนาดพอดีกับไข่ที่มันเฝ้าปกปักษ์ มันก็เข้าใจได้ทันที

ฟีเดลยิ้มแฉ่งให้ผลงานสุดเร่งรีบตอนแรกเขากลัวว่าสายสะพายจะขาดระหว่างวิ่งหนีฝูงกาเสียด้วยซ้ำ แต่ความเหนียวที่แม้แต่มีดที่อาจารย์จำเป็นเคยอวดสรรพคุณว่าตัดได้ทุกอย่างทำให้เชื่อได้ว่าสายสะพายจะไม่มีวันขาดจากการวิ่งมาราธอนของเขาแน่ เด็กหนุ่มถอดเสื้อนอกใส่เข้าไปในกระเป๋าสะพายเพื่อทำเป็นผ้ารองกันกระแทกก่อนยกไข่ที่หนักผิดรูปร่างยัดตามลงไปทันที

“ทนอยู่ในนี้ไปก่อนแล้วกันนะรับรองว่ามีข้ากับราเวนอยู่ เจ้าฝูงกาเกเรข้างบนนั่นไม่ได้กินเจ้าแน่”

ไม่รู้ว่าไข่ใบเขื่องเข้าใจสิ่งที่ฟีเดลพูดหรือไม่แต่สัมผัสอุ่นวาบตอนตบลงไปบนเปลือกไข่ เป็นเหมือนการตอบรับคำพูดของเด็กหนุ่มอีกทั้งยังมอบความเชื่อมั่นชนิดไม่เผื่อความผิดหวังไว้ให้เลย จนทำให้เขารู้สึกถึงภาระหนักอึ้งที่ตัวเองอาสารับมาอย่างชัดเจนซึ่งเขานึกอยากรู้ขึ้นมาเสียแล้วว่า ไข่ที่มีความรู้สึกนึกคิดให้สัมผัสได้ชัดเจนใบนี้มีอะไรอยู่ข้างในทำไมอาเบลจึงอยากได้นักหนา

ไว้ให้ออกไปข้างนอกได้ก่อนแล้วค่อยเค้นหาคำตอบจากอาเบลอีกทีละกัน...แม้จะไม่ชอบวิธีการที่อาเบลลากความวุ่นวายมาให้แต่ฟีเดลรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะยอมตอบคำถามทุกข้อที่เขาสงสัยเลยทีเดียว

“เอาละแผลของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ราเวน” พอจัดการยัดไข่ใส่กระเป๋าเสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็หันไปสนใจอีกาดำที่ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหนบาดแผลฉกรรจ์ที่มีอยู่ทั่วร่างเป็นเหมือนคำตอบบอกให้รู้ว่านี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่มารกาฬปักษ์พยายามเคลื่อนไหวตัวให้น้อยที่สุดส่วนอีกสาเหตุนั้นก็เพื่อดูท่าทีของเด็กมนุษย์ที่ล้วงหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าคาดเอวใบน้อยโดยไม่สนใจว่ามันจะตอบคำถามกลับไปหรือไม่

ความเคยชินจากการที่ต้องเดินทางเร่ร่อนไปทั่วภาคพื้นทวีปได้พบเจอคนไข้ระหว่างทางมากมายทำให้สองแม่ลูกมีกระเป๋าใบเล็กไว้สำหรับเก็บยารักษาทั่วไป แม้จะลงหลักปักฐานที่อินาร่าเป็นการชั่วคราวแต่ฟีเดลก็ยังพกกระเป๋าเล็กกระเป๋าน้อยที่เต็มไปด้วยยาหลากประเภทอยู่เสมอเพราะกลุ่มเพื่อนตัวแสบมักไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทลับหลังอาจารย์จนได้แผลกลับมาให้เขาวุ่นวายหายามารักษาให้เสมอ กระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่แน่ใจว่ายารักษาแผลที่ต้องการหมดไปแล้วหรือไม่เพราะครั้งล่าสุดที่เอามารักษาแผลฟกช้ำจากการทะเลาะกับกลุ่มของไอเวส เขาก็ยังไม่มีเวลาเติมยาให้เต็มขวดเลย

“อา...เจอแล้วหวังว่ายาของมนุษย์จะใช้กับเจ้าได้ด้วยนะ”

ราเวนมองดูเด็กมนุษย์ที่ขยับเข้ามาทำแผลโดยใช้ใบหญ้าคาต่างผ้าพันแผลด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ซึ่งมันก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

นับตั้งแต่ถูกกักขังให้เวียนวนอยู่ในเขตอรัญประเทศราเวนมีโอกาสพบมนุษย์ที่หลงเข้ามาอยู่บ้าง แต่ละคนล้วนมากฝีมือสามารถทะลวงผ่านออกไปนอกเขตแดนได้มันเคยขอให้มนุษย์เหล่านั้นช่วยพาไข่ที่มันเฝ้าหวงแหนหนีออกไปมานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งพอพวกเขาได้เห็นไข่เต็มตาความโลภก็ฉายชัดจนอสูรอย่างมันสัมผัสได้ว่า อีกฝ่ายคิดฉกชิงพลังและอำนาจล้นปรี่ที่อยู่ในไข่ของมันไปเป็นของตน

อณูมารที่เก็บความจำมาตั้งแต่บรรพกาลบอกราเวนว่าพวกมนุษย์มีวิธีแย่งชิงพลังจากผู้อื่นมากมายไม่แพ้ชาวอสูรมันรู้ว่าแม้มนุษย์พวกนี้จะมีความสามารถแต่ยังไม่มากพอที่จะแย่งชิงพลังอำนาจจากไข่ใบนั้นได้ กลับกันจะถูกไข่ใบนั้นกลืนกินจนสิ้นชีพไปเองเสียมากกว่าและก็เป็นเช่นนั้นทุกรายด้วย

ฟีเดลเองก็ไม่ต่างจากมนุษย์ก่อนหน้านี้ที่หลงเข้ามาราเวนรู้สึกได้ถึงความปรารถนาที่ฉายผ่านแววตาของเด็กมนุษย์ยามมองไข่ใบนั้นอีกาดำตั้งใจไว้ว่า หากออกจากอาณาเขตแห่งนี้ไปได้มันจะสังหารเด็กหนุ่มที่อาจเป็นอันตรายในภายหลัง แต่ไข่ที่มันปกปักษ์กลับแสดงความไว้วางใจอย่างเต็มที่ไม่สนใจสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในร่างกายของเด็กมนุษย์ตัวอันตรายมันจึงลังเลและไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไปดี

“กาฝูงนั้นเป็นพวกเดียวกับเจ้าหรือเปล่า”

ราเวนมองเด็กหนุ่มที่ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแต่ก็ยอมตอบคำถามด้วยน้ำเสียงชิงชังถึงสิ่งที่กล่าวถึง “ปีศาจชั้นต่ำพวกนั้นไม่ได้เป็นพวกพ้องข้าพวกมันถูกสร้างเลียนแบบให้เหมือนข้า เพื่อขัดขวางงานของข้า”

“แสดงว่ามีใครบางคนในแดนอสูรต้องการไข่ใบนี้เหมือนกันเหรอ”ฟีเดลเอ่ยถามอย่างสังเกต แต่ราเวนกลับถอนหายใจออกมาอีกเฮือก

“ข้าจำอะไรไม่ได้หรอกนะแต่อณูของเรามักจดจำการดำรงอยู่ของสิ่งต่างๆ ในแดนนี้ได้สิ่งที่ข้ารู้คือพวกอสูรต่างแยกกันอยู่อย่างเอกเทศไม่ข้องเกี่ยวกับอสูรตนอื่นโดยไม่จำเป็น หมู่มารก็มีทั้งแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อความอยู่รอด มีเขตแดนแว่นแคว้นเหมือนพวกมนุษย์ความแข็งแกร่งคือเครื่องหมายความอยู่รอดของพวกเราใครอ่อนแอกว่าก็มีแต่ตายไปเท่านั้น ไม่ก็เป็นทาสให้ผู้เข้มแข็งกดขี่ข่มเหง”

อย่างที่อาจารย์ของฟีเดลเคยกล่าวไว้เรื่องของแดนอสูรมีแต่พวกที่อยู่ข้างในเท่านั้นที่รู้ไม่อย่างนั้นจะต้องเคยผ่านเข้าไปในแดนนั้นจึงจะนำมาบอกเล่าสู่โลกภายนอกได้

“ข้าเป็นมารอิสระแข็งแกร่งมากพอที่จะล่มเมืองอสูรได้สักเมือง ข้าจำตัวตนของข้าได้แค่นั้น”ราเวนเอ่ยต่อราวกับรู้ว่าฟีเดลอยากถามอะไรแต่ไม่วายที่เด็กหนุ่มจะส่งคำถามอื่นมาอีก

“แล้วเจ้าไปเอาไข่ใบนี้มาจากไหน”

“ข้าจำไม่ได้” คำตอบของราเวนเป็นสิ่งที่ฟีเดลคาดเดาไว้ตั้งแต่แรกจึงไม่ได้รู้สึกผิดหวังมากมายนัก แต่ประโยคถัดไปของอีกาดำทำให้เด็กหนุ่มนั่งตัวตรงขึ้นมาทันที“แต่ข้ารู้ว่าผู้ที่สามารถสร้างปีศาจโดยเลียนแบบตัวตนมารอย่างข้าออกมาฝูงใหญ่แบบนั้นได้มีแต่พวกอสูรเท่านั้น พลังของเหล่าอสูรในแดนเราไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจตุราชาเทพหรอกนะบางตนมีพลังเทียบเท่ามหาเทพทั้งสามเลยด้วยซ้ำ”

โครงสร้างลำดับชั้นภายในแดนเทพแยกย่อยยิ่งกว่าแดนอสูรเสียอีกหากนับมหาเทพทั้งสามเป็นใหญ่ที่สุดในดินแดน จตุราชาเทพก็ถืออำนาจรองลงมาควบคุมคณะเทพที่ถือครองพลังธาตุหลัก และแตกแขนงเป็นธาตุรองนับร้อยแปด ซึ่งคณะเทพเหล่านี้ต่างมีเทพนักรบและเสนาเทพอยู่ใต้การปกครองมากมาย โดยลำดับชั้นสุดท้ายที่เรียกกันว่า บริวารเทพเป็นได้ทั้งเทพชั้นผู้น้อย และมนุษย์ที่ปวารณาตัวเป็นข้ารับใช้เทพองค์นั้น

หากพูดถึงความสัมพันธ์ของทั้งสามแดนแดนเทพกับแดนมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์แนบแน่นยิ่งกว่าแดนอสูรเสียอีกในหน้าประวัติศาสตร์ยังมีบันทึกกล่าวไว้ด้วยว่าแดนอสูรมักเป็นฝ่ายรุกรานอีกสองแดนดินที่เหลือและทำให้เกิดสงครามชิงดินแดนขึ้นมาหลายครั้ง

“ข้าคิดว่าเรื่องชักจะใหญ่เกินตัวข้าเสียแล้วสิ”แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ฟีเดลก็ละจากราเวนแล้วหันไปคว้ากระเป๋าสานมาสะพายหลังทันที

“เจ้าไม่เห็นกลัวตามที่พูด”อีกาดำเอ่ยทัก มันไม่คิดว่าเด็กมนุษย์ตรงหน้าสามารถต่อกรกับอสูรที่สามารถสร้างปีศาจกาฬปักษ์ที่จำลองพลังของมันได้ตามลำพังแต่มันก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายที่กลายเป็นหลักยึดตายเร็วนัก อย่างน้อยมันก็อยากให้มีชีวิตอยู่จนกว่ามันจะจำอะไรได้

ฟีเดลไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปอย่างไรดีแต่เขาสังหรณ์ว่า อาเบลน่าจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุดไม่อย่างนั้นเจ้าตัวคงไม่ทำให้จักรพรรดิมังกรเข้าใจบางอย่างผิดพลาดจนได้อินาร่ามาไว้ในครอบครองเด็กหนุ่มรู้ว่าวีรบุรุษจากสงครามชิงดินแดนผู้นั้นมากแผนการและเป้าหมายส่วนหนึ่งก็พุ่งตรงมายังเขา

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกแล้วเริ่มร่ายอาคมที่ร่ำเรียนมาจากอาจารย์จำเป็นใส่มีดสั้นประจำตัวสรรพวิชาที่เคยคิดใช้เป็นเพียงเครื่องเล่นยามเหงากลับต้องเอามาใช้จริงอย่างคาดไม่ถึงไปหลายอย่างแล้วนั่นทำให้เขาเริ่มกลัวว่าตัวเองกำลังวิ่งอยู่บนมือของใคร

มีดสั้นเริ่มเปลี่ยนขนาดกลายเป็นดาบยาวสองมือแต่เด็กหนุ่มกลับถือมันด้วยมือเพียงข้างเดียว เขาสะบัดแขนขายืดเส้นยืดสายเตรียมถล่มเส้นทางเบื้องหน้าเพื่อหาทางออกไป

จะว่าไปแล้วฟีเดลก็เคยเป็นเด็กแสบมาก่อน เขาร่วมมือกับเพื่อนอมนุษย์ไปถล่มป่าทุกครั้งที่ได้เรียนวิชาใหม่ๆจากเหล่าอาจารย์ ส่วนสัตว์น้อยใหญ่แสนอับโชคที่อยู่ในนั้น มักไม่พ้นถูกพวกเขาจับมาเป็นอาหารซึ่งพอกลับถึงบ้านทีไรก็โดนทั้งแม่และอาจารย์ทำโทษหนักกระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่รู้สึกหลาบจำเสียเท่าไร กว่าจะมาทำตัวสงบเสงี่ยมเป็นเด็กเรียบร้อยแบบนี้คงเป็นตอนที่เขารู้สึกถึงบางอย่างที่เวียนวนอยู่ในสายเลือดนั่นทำให้เขากลัวจนแทบบ้า

เขากลัวจะควบคุมพลังไม่ได้จนทำลายทุกอย่างราพณาสูร!

“ข้าพยายามไม่กลัวต่างหากไปกันเถอะ ราเวน”

การรอคอยโดยไม่รู้ว่าเวลานั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อไรอาจทำให้หลายคนไม่ชอบใจเท่าไรนักโดยเฉพาะมนุษย์ที่อายุขัยสั้นย่อมหวาดกลัวการรอคอยที่อาจยาวนานยิ่งกว่าชีวิตตนเขาเป็นมนุษย์ แต่ใช้ชีวิตมายาวนานเกินกว่ามนุษย์คนใดจะคาดคิดและอยู่ในวังวนของการเฝ้ารอไม่รู้จบ

อาเบลไม่รู้ว่าตัวเองอดทนรอมานานนับพันปีได้อย่างไรซึ่งหากคนผู้นั้นไม่บอกว่า เขาจะมีหลายสิ่งหลายอย่างให้ทำระหว่างรอจนลืมเบื่อบางทีเขาอาจไม่รับภารกิจนั้นมาก็ได้

“มาแล้ว”

คำเปรยของอาเบลทำให้ผู้เฝ้ารออีกสองคนเพ่งสายตามองไปทางเดียวกันตอนแรกพวกเขามองไม่เห็นอะไร นอกจากสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่กำลังเคลื่อนที่มายังจุดที่พวกเขายืนอยู่จนเมื่อสังเกตเห็นยอดหญ้ากลุ่มหนึ่งขยับไหวพริบตาเดียวฝูงกาตรงจุดนั้นก็แตกสลายกลายเป็นละอองสีดำ ซึ่งทำให้ผู้เฝ้ามองเคร่งเครียดขึ้นมาทันใดเพราะนั่นไม่ใช่พลังของคนที่พวกเขาเฝ้ารออยู่

อาเบลกลั้วหัวเราะ หลังจากได้เห็นฝีมือการทำลายล้างแสนคุ้นตาเวลาผ่านไปเสียนานจนเกือบจำไม่ได้แล้วว่า มีใครบ้างที่อยู่ข้างกายคนผู้นั้น“นึกว่าจะตายไปแล้วเสียอีก เจ้านี่หนังเหนียวจริงๆ เลยนะ มหาวินาศ”

ไม่ทันขาดคำเจ้าของชื่อที่อาเบลเอ่ยถึงก็โผล่พ้นยอดหญ้าให้ผู้เฝ้ารอที่อยู่อีกฟากแดนได้เห็นมันฝ่าทะลวงปีศาจกาฬปักษ์จนแตกสลายเป็นละอองดำ แล้วดูดกลืนละอองเหล่านั้นจนร่างที่ดำมะเมื่อมอยู่แล้วทวีความเข้มขึ้นไปอีก

“ท่านอาเบล!”

เสียงร้องเตือนของรูเบอัสทำให้อาเบลหันไปสนใจสิ่งที่พุ่งตรงมาแต่ถึงเจ้าลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวไม่ร้องบอก ชายหนุ่มก็เฝ้าระวังตัวรอการทักทายจากใครบางคนอยู่แล้วเขาหันฝ่ามือไปด้านหน้า รับปลายดาบเล่มยาวที่แฝงพลังทำลายไว้อย่างไม่เกรงกลัวแรงปะทะของปลายดาบที่สะท้อนม่านพลังบนฝ่ามือสร้างคลื่นแผ่กระจายเป็นคมดาบให้คนที่อยู่รอบข้างเบี่ยงเส้นทางของพลังกันวุ่นวาย จนไม่ทันสังเกตเห็นเงาร่างหนึ่งที่พุ่งตามดาบเล่มนี้มาด้วย

อาเบลหัวเราะหึพลางเบี่ยงตัวหลบท่ากระโดดถีบของคนอ่อนวัยกว่าชายหนุ่มสะบัดปลายดาบส่งคืนให้อีกฝ่ายที่พลิกตัวหลบหมุนกลางอากาศแล้วตวัดเท้าเตะปลายดาบให้หมุนควงขึ้นเป็นแนวดิ่งก่อนทิ้งตัวตัวปักลงพื้นข้างกายเจ้าของที่แสดงท่าทางเจ็บอกเจ็บใจให้เห็น

“ไว้รออีกพันปีค่อยกลับมาเล่นงานข้าใหม่นะ”ชายหนุ่มเยาะเย้ยซ้ำให้คนถูกล้อเลียนแยกเขี้ยวตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์

“จงมา! ราเวน!”

อีกาดำกู่เสียงร้องตอบรับคำมันพุ่งทะลวงฝ่าฝูงมารกาฬปักษ์ไปยังเส้นทางที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้มันฝ่าออกไปมันโจนทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าแดนมนุษย์ด้วยความลิงโลด แล้วม้วนตัวลงมาบินวนรอบกายพันธมิตรชั่วคราวก่อนร่อนลงเกาะบนด้ามดาบสองมือที่มีความยาวเกือบเทียบเท่าเจ้าของ

“รู้หรือเปล่าว่าเอาอะไรออกมาด้วยน่ะ”อาเบลเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่ตีหน้ามุ่ยพร้อมรอยยิ้มละไมก่อนมองดูดาบเวทที่กลายเป็นคานเกาะให้อีกาตัวเขื่อง ดาบที่เด็กตรงหน้าสร้างทำให้เขาคิดถึงดาบเล่มหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกันบางทีอาจได้เวลาทวงดาบเล่มนั้นคืนมาแล้วรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างของคนผู้นั้นที่ถูกแย่งชิงไปด้วย

“ก็ท่านบอกว่าให้เอาบางอย่างติดมือกลับมาด้วยไม่ใช่หรือไงแถมไม่ได้บอกว่าให้เอามาเท่าไร ข้าก็เหมาหมดสิ”

คำว่า “เหมาหมด”ของฟีเดล รวมไปถึงปีศาจกาฬปักษ์ที่ข้ามผ่านเขตแดนตามเด็กหนุ่มมาแต่เพียงพริบตามันก็กลายเป็นละอองดำด้วยฝีมือของคนที่เฝ้าระวังอยู่อีกฟาก ไม่เหลือให้รำคาญสายตาเลยสักตัวเรียกเสียงหัวเราะจากอดีตผู้กุมอำนาจอินาร่า ซึ่งยอมความให้เด็กหนุ่มชนะไปในยกนี้

“แล้วก็ปิดตายประตูแดนอสูรจากฝั่งนี้ไปเลยนะอาเบล ข้าไม่อยากให้มีอะไรออกมาจากแดนนั้นได้อีก”

อาเบลคลี่ยิ้มตอบราวกับรู้ถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการสื่อ “ไม่มีปัญหาข้าจะปิดให้แน่นจนไม่มีอสูรตนไหนข้ามผ่านมาได้เลย” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยท่าทางไม่อินังขังขอบพลางกวาดมือไปทางแดนอสูรโดยไม่หันหลังกลับไปมองว่าภาพท้องทุ่งแห่งความตายที่ถูกถางจนราบไปแถบหนึ่งเริ่มเลือนรางลงประกายแสงสีทองแล่นแปลบปลาบไปทั่วทุกพื้นผิวและแตกเปรี๊ยะไปพร้อมภาพแดนอสูรที่ดับวูบลงเผยให้เห็นประตูอัลลอยด์สีเงินต้องแสงอาทิตย์ยามเย็น

ภาพท้องทุ่งแดนอสูรหายไปในพริบตาราวกับเป็นภาพฝันแต่ความหนักอึ้งบนแผ่นหลัง และอีกาตัวเขื่องที่เกาะอยู่บนด้ามดาบเวทช่วยยืนยันว่า ตัวเองกำลังย่างเท้าเข้าไปในสิ่งที่หลีกเลี่ยงมาตลอด

ทั้งที่ฟีเดลพยายามไม่เอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวกับความวุ่นวายแต่ความสงบคงไม่ชอบขี้หน้าเขาจึงได้หาเรื่องมาให้เดือดร้อนอยู่เสมอเด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือก ก่อนหันไปมองคนที่ยังรักษารอยยิ้มได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายทั้งที่ในแววตาคู่นั้นกำลังสื่อความนัยให้รู้ว่ากำลังวางแผนการให้เขาต้องเหนื่อยอีกแล้ว

“ไปพักผ่อนก่อนเถอะกลับบ้านผิดเวลาแบบนี้ แอสเรียลคงเป็นห่วงแย่ แล้วข้าจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังทีหลัง”อาเบลเอ่ยก่อนที่ฟีเดลจะได้ถามอะไร เด็กหนุ่มจึงพยักหน้ารับอย่างเนือยๆแล้วชายหนุ่มก็หันไปสนใจอีกาดำที่จ้องเขม็งมานับตั้งแต่ร่อนลงเกาะบนด้ามดาบมันทำท่าเหมือนรู้จักเขา แต่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายจำอะไรไม่ได้แน่

“ส่วนเจ้าก็แปลงกายเป็นมนุษย์เถอะสภาพแบบนั้นเตะตาฝูงชนเกินไป”

ฟีเดลหันไปมองอีกาดำที่กระโดดลงมาจากด้ามดาบแต่ภาพที่เห็นทำให้เด็กหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อร่างของมารกาฬปักษ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย ขนปีกกลายเป็นละอองสีดำเข้มแล้วหมุนวนไปรอบเจ้าของร่าง บางส่วนแปรเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายเนื้อผ้าดูบางเบาและเข้ารูปจนเห็นทรวดทรงที่ควรมีชัดเจนรองเท้าเป็นบูทสูงถึงต้นขาเพรียวตบท้ายด้วยผ้าคลุมสีดำขาดวิ่นยาวครึ่งแข้งที่โบกกระพือตามแรงเขยื้อน

เด็กหนุ่มไล่สายตามองตั้งแต่ปลายรองเท้าขึ้นไปเรื่อยๆจนสบกับดวงตาสีเขียวมลังเมลืองที่หรี่ลงอย่างไม่ชอบใจที่ถูกจดจ้องมากนักแต่เจ้าตัวก็ยังไล่สำรวจตั้งแต่เส้นผมสีดำฟูที่ตัดซอยอย่างไม่เป็นระเบียบถึงกลางหลังจมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากเหยียดตรง ไม่หนาและบางจนเกินไปแต่รอยแผลที่พาดตั้งแต่มุมปาก ผ่านโหนกแก้มขึ้นไปจนถึงขมับทำให้คนมองต้องย่นคอด้วยความเจ็บแทน

“อะไรกันราเวนเป็นตัวเมียเหรอ”

อาเบลแทบหลุดหัวเราะเสียงดังทันทีที่ได้ยินเสียงอุบอิบของเด็กหนุ่มแต่คนที่ชักสายตาขุ่นเขียวตามสีตาทำให้เขาต้องรักษามารยาทอย่างช่วยไม่ได้แต่ก็ยังมีเสียงหัวเราะขลุกขลักให้อันเซลต้องส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ

“พานางไปให้แอสเรียลรักษาแผลก่อนเถอะบาดแผลนางฉกรรจ์มาก เดี๋ยวจะล้มพับ!...” อันเซลพูดไม่ทันจบร่างของราเวนก็ส่ายโงนเงนแล้วล้มลงหมดสติทันที โชคดีที่ฟีเดลหันไปรับทันเจ้าตัวจึงไม่ได้วัดพื้นให้หน้าแหกมากกว่าเดิม

“คงถึงขีดสุดแล้วละ...รูเบอัสเจ้าช่วยพานางไปส่งให้ถึงมือแอสเรียลหน่อยแล้วกัน” อาเบลถอนหายใจเฮือกก่อนหันไปสั่งความรู้เบอัสที่ขยับเข้ามารับคำสั่งอย่างรู้หน้าที่

“รับทราบครับท่านอาเบล”

อันเซลมองเลขานุการส่วนตัวที่เข้าไปช่วยเหลืออีกฟีเดลก่อนระบายลมหายใจยาวเหยียดหลังจากที่พวกเขาแยกตัวเดินจากไปชายหนุ่มมองดูผู้คนที่กลับมาเดินคึกคัก หลังจากเห็นประตูอัลลอยด์เปิดออกด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง“มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือครับ อาเบล เรายังเตรียมความพร้อมให้เขาไม่ถึงไหนเลยนะ”

“คนที่ร้อนรนอยู่คือทางนั้นต่างหากเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าข้างในตัวเขาพลุ่งพล่านเสียจนแทบทะลวงผ่านเข้าไปในนั้นตั้งแต่วันแรกที่เหยียบเข้ามาที่นี่ข้าดึงเวลามาได้ถึงปีนี่ก็สุดความสามารถแล้ว” ครั้งนี้อาเบลตอบด้วยความเหนื่อยหน่ายใจเพราะขนาดยืดเยื้อเวลามาถึงหนึ่งปี เพื่อเตรียมรับมือพลังในร่างกายของฟีเดลก็ยังไม่วายได้รับผลกระทบกลับมาอีก

คนฟังอย่างอันเซลรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไรที่เห็นอีกฝ่ายยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเพราะตลอดเวลาที่อาเบลอยู่ต่อหน้าฟีเดล ชายหนุ่มซุกซ่อนมืออีกข้างไว้ใต้ผ้าคลุมตลอดเวลาซึ่งเขาไม่แน่ใจนักว่า เด็กเจ้าปัญหาที่ชอบซ่อนความเฉลียวไว้จะสังเกตเห็นท่าทางที่ผิดปกตินี้หรือไม่

อันเซลเลิกผ้าคลุมของอาเบลแล้วมองดูมือที่กลายเป็นกระดูกไปจนถึงหัวไหล่ด้วยสายตาเจ็บปวด หากคนตรงหน้าเข้ามาแทรกแซงไม่ทันเวลาเลขานุการส่วนตัวของเขาคงไม่ได้รับแค่แผลไฟไหม้อย่างเดียว บางทีอาจจบชีวิตโดยไม่รู้ว่าตัวเองตายเพราะอะไรก็ได้แต่นั่นก็ทำให้เจ้าตัวรับผลกระทบที่เหลือตามมาด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มยกมือที่เหลือแต่กระดูกของอาเบลแล้วซบหน้าลงอย่างคนที่อยากเจ็บแทนเสียเอง

“ทั้งที่ข้ากับท่านแม่สัญญากันไว้แล้วว่าจะดูแลรับใช้ท่านด้วยชีวิตแต่พวกเรากลับถูกท่านปกป้องอยู่เรื่อย”

“เดี๋ยวก็หายแล้วอย่าคิดมากเลยน่า เจ้าเด็กไม่รู้จักโต”

“...มหาวินาศ...มานี่สิมาหาข้า...มหาวินาศ”

เจ้าของเสียงเรียบเรื่อยนั้นกำลังเรียกมันอยู่หรือเปล่านะแม้จะไม่แน่ใจนัก แต่มันก็ลุกขึ้นจากที่ที่ตัวเองนอนอยู่อย่างเชื่องช้าแล้วตามเสียงเรียกนั้นไปอีกาดำรู้สึกว่าตัวเองนอนหลับไปนานมาก ทั้งยังจำไม่ได้ว่าตนหลับไปตั้งแต่เมื่อใดหลับจนลืมว่าตัวเองเป็นใคร และกำลังเฝ้ารอสิ่งใดอยู่

อีกาดำกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วเดินตามเสียงเรียกชื่อที่เลือนหายไปจากความทรงจำทันทีที่เจ้าของเสียงเรียกขานเธอเดินผ่านม่านมืดหลายชั้นจนโผล่ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่นั่นเป็นถ้ำลึกและกว้างขวาง ซึ่งเธอรู้ว่าควรเดินเข้าไปเพื่อพบเจ้าของเสียงนั้น

เจ้าของร่างสูงโปร่งเดินผ่านหินงอกหินย้อยที่เป็นเหมือนม่านกั้นเขตแบ่งคูหายิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งได้กลิ่นหอมของดอกไอริส เมื่อเข้ามาถึงชั้นในสุดเธอก็หรี่ตาลงเมื่อแสงสว่างที่ลอดผ่านมาตามร่องเพดานด้านบนส่องกระทบดวงตาเข้าพอดีแต่พอก้าวผ่านลำแสงนั้นมา สิ่งที่อยู่ด้านในกลับทำให้เธอตื่นตะลึงยิ่งกว่า

ลำแสงสีขาวที่ส่องลอดผ่านช่องเพดานบิดเกลียวราวกับไม้อ่อนมันตกกระทบกับกำแพงที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีมากมาย บางเส้นจมหายเข้าไปในกำแพงนั้นแต่บางเส้นก็สะท้อนลำบิดไขว้กับเส้นอื่นซึ่งลำแสงเหล่านั้นกำลังโอบอุ้มไข่สีขาวใบเขื่องที่แผ่ความกดดันออกมาจนต้องคุกเข่าลงข้างหนึ่ง และก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว

“มาแล้วหรือ”

แม้ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นหญิงสาวก็รู้จักเจ้าของเสียงไพเราะที่ไม่ว่าได้ยินครั้งใดก็ทำให้คนฟังสติหลุดลอยด้วยความเคลิบเคลิ้มทุกที

“องค์จักรพรรดิ...”

ใช่แล้ว!อีกฝ่ายคือจักรพรรดิอสูรที่ผู้คนทั้งสามภพต่างครั่นคร้าม

“เจ้าคนอวดดีนั่นรู้ถึงการคงอยู่และกำลังมาที่นี่ข้าคงรับฝากเด็กคนนี้ไว้ไม่ได้อีกต่อไป ข้าอยากให้เจ้าพาเด็กคนนี้ไปหาเขา”

หญิงสาวยังสับสนมึนงงอยู่แต่อณูมารกลับรับรู้ถึงสิ่งที่จักรพรรดิอสูรเอ่ยจนเธอตกปากรับคำทั้งที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรแล้วลำแสงที่โอบอุ้มไข่สีขาวก็หายไปทีละเส้น จนมันตกลงมาบนท่อนแขนกลมกลึงที่อ้ารอรับผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนอสูรคลี่ยิ้มน้อยพลางลูบปลอบไข่ในวงแขนที่ส่งความรู้สึกหวาดหวั่นออกมาให้รับรู้

“ไม่ต้องหวาดกลัวไปเด็กน้อยเขาเตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว”จักรพรรดิอสูรเอ่ยพลางเดินตรงไปหาคนที่นั่งคุกเข่ารอรับบัญชา“พาเด็กคนนี้ไปที่แดนมนุษย์ ราชันแสงจะเป็นคนจัดการเรื่องที่เหลือเอง”เจ้าของเสียงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนคำสรรพนามที่เอ่ยถึงใหม่

“...อาข้าลืมไปว่าพวกมนุษย์ขนานนามใหม่ให้เขาแล้วนี่นะ แต่นาม จ้าวแห่งความมืดก็เหมาะกับตัวตนของเขาดี...สุดลึกล้ำยากคณนา”

เธอจำได้แล้วว่าตัวเองพาไข่ใบนั้นหนีมาทำไมและเธอกำลังไปที่ไหนกันแน่ แม้รายละเอียดในวันนั้นจะไม่ครบถ้วนเช่นเดียวกับชื่อของตัวเองที่ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ออกและใครคือเจ้าคนอวดดีที่จักรพรรดิเอ่ยถึงแต่คำสั่งและหน้าที่ที่ได้รับมอบมากลับสลักลึกไปถึงอณูมารของเธอเลย

ราเวนลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้าพลางปรับสายตาให้คุ้นกับแสงแดดอ่อนที่ทาบทาม่านผืนบางหญิงสาวลองขยับมือแล้วพบว่าไม่ฝืดเฝื่อนมากนักจึงพยายามชันกายขึ้น แต่เธอกลับมีเรี่ยวแรงไม่มากพอที่จะทำแบบนั้นได้

“ร่างกายเจ้าเพิ่งฟื้นตัวอย่าเพิ่งฝืนเลยดีกว่า”

หญิงสาวหันไปมองคนที่เปิดประตูเข้ามาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไรนักแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มละไม ก่อนวางชุดยาลงบนโต๊ะข้างเตียงแล้วเดินไปหยิบตะกร้าผ้าที่วางอยู่ตรงปลายเตียง เพื่อเลือกดูชุดที่จะให้คนเจ็บใส่เพราะนอกจากผ้าพันแผลที่พันรอบกายแล้ว ราเวนก็ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเลยสักชิ้น

“ทั้งที่อาการสาหัสขนาดนั้นแต่ร่างกายกลับฟื้นตัวเร็วมาก สมกับที่เป็นมารชั้นสูงจริงๆ” หญิงสาวปริศนาเอ่ยชมจากใจก่อนพูดดักอีกฝ่ายที่ตั้งท่ายันกายลุกขึ้นมาด้วยความดื้อรั้นอีกครั้ง“ข้าว่ารออีกวันสองวันก็คงขยับร่างกายได้แล้วละ ฟีเดลน่าจะกลับมาตอนช่วงนั้นพอดี”

“เจ้าเป็นใครเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าหนูนั่น” ราเวนหรี่ตามองหญิงสาวแปลกหน้าที่ยังทำตัวปกติแม้จะรู้ว่าเธอเป็นชาวอสูร

“ข้าชื่อแอสเรียลเป็นหมอยาธรรมดา และเป็นแม่ของฟีเดล” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยพลางพับเสื้อผ้าในตะกร้าที่เหลือหลังจากเลือกชุดที่จะให้มารสาวสวมใส่แก้ขัดได้แล้ว

“ไข่ของข้าอยู่ไหน”มารกาฬปักษ์พยายามมองหาไข่ที่ตนปกปักษ์ แต่เธอไม่เห็นวี่แววของสิ่งที่ถามถึงเลย

“อย่าห่วงเลยเขายังสุขสบายดีอยู่ แต่เจ้ายังต้องพักฟื้นร่างกายอีกนาน เพราะหลังจากนี้อาเบลคงหาเรื่องมาให้เจ้าต้องทำงานเหนื่อยจนสายตัวแทนขาดแน่ หลับเสียเถิด ราเวน”

ราเวนพยายามฝืนเปลือกตาไม่ให้ปิดปรือลงเธอไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ตรงหน้ากลับมีเสียงที่สะกดมารที่มีอำนาจแกร่งกล้าอย่างเธอได้มารกาฬปักษ์ส่งเสียงครางอย่างไม่จำยอมแต่ก็พ่ายแพ้ให้แก่คนที่บอกว่าเป็นแม่ของเด็กหนุ่มแสนอันตรายคนนั้นสุดท้ายก็ถูกนิทราครอบงำให้หลับไปอีก ทั้งที่เพิ่งได้สติมาเพียงครู่เดียว

“พักผ่อนให้มากที่สุดเถอะเพราะข้าต้องอาศัยพลังของเจ้า เพื่อให้ปกป้องลูกชายของข้าด้วยเช่นกัน”แอสเรียลเอ่ยในสิ่งที่ราเวนไม่อาจได้ยินหญิงสาวลุกขึ้นเดินไปยังหัวเตียงแล้วหยิบฝากระเบื้องเคลือบปิดครอบถ้วยยาที่ถูกเผาด้วยไฟก้อนเล็ก

ยาที่ส่งกลิ่นกำยานที่ทำให้คณะเทพและหมู่มารหลับใหลได้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว!

AuthorTalk :-

เขียนDevilCrisis ภารกิจพิทักษ์จอมมาร ตอนที่ 3 จบแล้ว!

ตอนนี้เริ่มมีการปูพื้นเกี่ยวกับตัวตนของอาเบลแล้วว่าเป็นใครมาจากไหนและมีแผนการใดเกี่ยวข้องกับฟีเดลกันแน่ตามด้วยตัวตนของราเวนที่กว่าเจ้าตัวจะนึกออกก็ปาเข้าไปช่วงท้าย

ส่วนตอนหน้าจะเป็นการปูพื้นเกี่ยวกับ(ไข่)จอมมารของเราเสียทีแล้วฟีเดลก็จะได้ไปตกระกำลำบาก พาไข่ของเราหนี (อุตส่าห์มีฝีมือแต่ไม่ยอมงัดออกมาใช้เสียทีน้า)




Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2557 22:58:48 น.
Counter : 624 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog