www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

ชวนคุยกันถึงหนัง(ออสการ์) ที่ได้ดู: ถ้าออสการ์อยู่ในมือคุณ คุณจะยกให้กับใคร

ประกาศ ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนผู้อ่าน

เชิญชวนทุกท่าน มาให้เกียรติเขียนคำนิยม ให้กับ หนังสือเล่ม 4 ของผม ที่จะคลอดในงานหนังสือฯปลายเดือนมีนาคม

ตามรายละเอียดที่นี่เลยจ้า --> คลิก




... มีเพื่อนๆสองสามคนทักมาว่า ปีนี้ไม่ได้เขียนถึงหนังออสการ์แล้วหรือไร คำตอบที่ปีนี้มาช้าด้วยเหตุผลที่ว่า

1.ยังได้ดูหนังไม่ครบ ก็เลยไม่รู้จะลุ้นยังไงครับ มันเขียนไม่ออก และ รู้สึกเสียดายที่ปีนี้ไม่เหมือนปีก่อน ที่หนังเล็กๆอย่าง There will be blood ยังได้เข้าฉายในโรงก่อนประกาศผล แต่ปีนี้ กว่าจะได้ดู Slumdog Millionaire ก็ต้องรอประกาศผล(ยังดีและต้องปรบมือให้ค่ายหนังที่ใจป้ำซื้อมาฉาย) แถมยังขาด Frost/Nixon ไปอีกเรื่อง

2.ไม่ค่อยสนุกเท่าปีก่อน ตรงกลุ่มผู้เข้าชิงปีนี้ ดูแล้วไม่ได้รู้สึกเจ๋งชวนตะลึงทึ่งสุดๆเหมือนปีก่อน เพราะถึง No Country for Old Men จะกวาดมามากๆ แต่ยังรู้สึกว่า There will be blood กับ Atonement ก็ตามหลังไม่มากเลย แต่ หนังปีนี้นี่ซิ ถ้าเอาบางเรื่องในสายภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปชนกับสามเรื่องนั้นดูจะสู้ได้ลำบาก

3.เจ้าของบล็อก งานเข้า ปั่นงานหนังสือเล่มใหม่ส่งสนพ.



... แต่ตอนนี้ งานก็เสร็จ ที่เข้าฉายก็ดูเกือบครบ ได้เวลามาชวนเพื่อนๆคุยถึงหนังออสการ์กันเสียที

จากที่ได้ดู หนังออสการ์ ในสายรางวัลหลักๆ ไปแล้วอันประกอบไปด้วย The Curious Case of Benjamin Button , Milk , The Reader , The Wrestler , Doubt , Slumdog Millionaire , Revolutionary Road , Happy-G0-Lucky


ถ้า ผมฯ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการออสการ์ ขอหยิบปากกาแล้วไล่เรียงคะแนนความชอบ ตามลำดับดังนี้


อันดับ 8

Doubt




ดู Doubt แล้วคิดว่า หนังช่างเหมาะกับสังคมไทยในปัจจุบันเสียเหลือเกิน ที่ความวุ่นวายส่วนหนึ่งมาจากการเผลอตัดสินคนอื่น จาก ความเชื่อ , จากคำ ‘เขาว่ากันว่า..’ หรือ จากลางสังหรณ์ โดยปราศจากหลักฐานข้อเท็จจริง ซึ่งไม่ต่างจากตัวละครในหนัง แถมในบางฉากตัวละครยังประกาศอีกต่างหากว่า ความจริงเป็นอย่างไรชั้นไม่สน ชั้นสนแต่สิ่งที่กระทบกับชั้นหรือคนใกล้ตัว , ความจริงต่างหากต้องเป็นตามสิ่งที่ฉันคิด

ดูหนังจบแล้วรู้สึกอยากชวนคุย อยากขีดๆเขียนๆเกี่ยวกับประเด็นในหนังเรื่องนี้มาก และ คิดว่าเหมาะกับคนที่อยากเริ่มต้นวิจารณ์หนังซักเรื่อง เพราะหนังมี แง่ ให้เข้าไปเล่นหลายจุด มากกว่าแค่ว่า ตกลงหลวงพ่อตึ่งตึงตึ๊งเด็กจริงหรือเปล่า

ทีมนักแสดงในหนังเรื่องนี้ เล่นกันเขี้ยวลากดินชนิดกินกันไม่ลง ขนาด วิโอล่า เดวิส ออกมาแค่ สิบนาที ยังไม่ยอมให้ เมอรีล สตรีฟ ข่มแม้แต่น้อย

เมอรีล เด็ดขาดมากๆตั้งแต่ฉากเปิดตัวที่ตรงไปป้าบกะโหลกเด็ก แต่กระนั้น ผมก็ยังชอบ การปล่อยของ ในตอนเป็น มิแรนด้า มากกว่า เพราะไม่ต้องแสดงออกมาก แต่ หางตาก็ฆ่าคนไปเรียบร้อยแล้ว เลยถ้าต้องเลือก ขอยกออสการ์ให้หนูเคตไปแล้วกันนะ

ตอนแรกแอบคิดว่า เอมี่ อดัมส์ โผล่มาเล่นผิดเรื่องหรือเปล่า แต่พอเห็น ความแอ๊บแบ้วแบบเนียนตา ก็คิดว่า บทนี้แหละ เขียนมาให้เธอโดยแท้

บทบรรยายของหลวงพ่อฟลินน์ในหนังก็เป็นอีกส่วนที่ชอบมาก โดยเฉพาะช่วงทีเปรียบ การนินทา กับ กรีดหมอนขนเป็ด นี่เห็นภาพชัดเจนดีแท้






อันดับ 7

The Curious Case of Benjamin Button




เป็นหนังที่ดีเกินมาตรฐานแบบเกรด A ในทุกด้าน เพียงแต่ว่า ด้านที่ดีแบบเจ๋งสุดๆระดับ A++ มีแค่ด้านเทคนิกกับโปรดักชั่นที่หนังได้รางวัลไป ส่วนด้านใหญ่ๆแบบบทกับนักแสดงนั้น มีเรื่องอื่นที่เจ๋งกว่า

ยังสงสัยก่อนดูว่า ผกก.คนเก่งที่เคยแต่ทำหนัง ไล่ล่าบ้าเลือด แบบ Seven หรือ Fight Club กระทั่งล่าสุดก็ยังไปสนฆาตกรฆ่าต่อเนื่องใน Zodiac จะมาทำหนังแบบนี้ดีได้อย่างไร แต่ ปรากฏว่า พี่แกทำออกมาละมุนละไมอย่างเหลือเชื่อ

เครดิตส่วนหนึ่งต้องให้คนเขียนบท ซึ่งกลิ่นของ Forrest gump ในหนังเรื่องนี้มีอยู่มากจริงๆ ตั้งแต่การเล่าเรื่องของ เด็กประหลาดในสายตาคนส่วนใหญ่ แล้วก็เติบโตอย่างมั่นใจเรียนรู้ประสบการณ์จากคนรอบตัว จนกระทั่งเสียชีวิต โดยสไตล์ที่ถอดกันมาคือ ไดอะล็อคเก๋ๆเกี่ยวกับการใช้ชีวิต และ การใส่สัญลักษณ์แบบชัดๆ เช่น จาก ขนนก มาเรื่องนี้มีเป็นตัวๆอย่าง ฮัมมิ่งเบิร์ด

เป็นหนังที่ดี แต่ ผมก็ผิดหวังอยู่พอสมควร เพราะคาดหวังว่า ด้วยทรัพยากรต้นทุน คือ พล็อตหนังสุดเจ๋ง หนังน่าจะพาคนดูเดินทางไปได้ไกลกว่านี้ แต่หนังเล่นกับ ความรู้สึกนึกคิดของเบนจามินน้อยมากๆ แล้วไปเน้นตรง การรู้จักปล่อยวางและคุณค่าของการใช้ชีวิตแทน

แบรด พิตต์ สื่อความเป็นเด็กในร่างแก่ช่วงต้นได้ดี แต่หลังจากหน้าใสสมูธอีช่วงท้ายๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเล่นดีเป็นพิเศษ เพราะให้อารมณ์เหมือนๆหลายเรื่องที่แกเล่น ประมาณว่าเดินออกมาจากหนังเรื่อง Meet Joe Black ยังงงว่าไม่มียอดฝีมือที่แจ่มกว่าแกอีกแล้วหรือในสายนักแสดงนำชาย

และ หลายคนก็ชอบ เคน แบลนเช็ตต์ แต่ในฐานะกิ๊กเก่าที่ปลื้มฝีมือมาตลอดกับ การแสดงระดับกิ้งกาเปลี่ยนสี เรื่องนี้กลับไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ รู้สึกการแสดงของเธอออกจะโอเว่อร์นิดๆโดดๆเด้งๆเกินหนังเสียด้วยซ้ำ

หลังจากหนังจบไปซื้อ หนังสือต้นฉบับ มาอ่าน ก็ต้องชื่นชม คนเขียนบทจริงๆ ที่ดัดแปลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะเนื้อหาในเรื่องสั้นต้นฉบับนั้นมีอยู่กระจึ๋งเดียว และ ต่างจากในหนังแบบคนละเรื่องกันเลย






อันดับ 6

Happy-G0-Lucky




ทั้งตัวหนัง และ ทั้งตัวนักแสดงนำ ยืนอยู่บนเส้นบางๆระหว่าง ‘ความเป็นคนรู้จักเลือกมองโลกในแง่ดี’ กับ ‘ความเป็นคนบ้าๆบอๆชนิดหัวเราะไปเรื่อยแบบไม่มีกาลเทศะ’ ซึ่งหนังก็ประคองคาบเส้นปริ่มๆเหลื่อมล้ำสองฝั่งนี้ไปมาอยู่นาน คือ หลายช่วงที่เราอดสงสัยไม่ได้ว่า นางเอกของเรื่อง เธอมองโลกในแง่ดี หรือว่า เพี้ยน กันแน่

จนกระทั่งช่วงท้ายที่หนังค่อยๆทำให้เราได้เห็นความลึกและตัวตนของนางเอกที่ชัดเจนขึ้น ผ่านเหตุการณ์สำคัญแต่ละอย่างที่เข้ามาในชีวิตของเธอ ทำให้หนังสามารถไปยืนอยู่ฝั่ง‘ความเป็นคนรู้จักเลือกมองโลกในแง่ดี’ แถมยังมีพลังชักชวนให้คนดูอยากที่จะเปลี่ยนมุมมองต่อโลกใบนี้ไปด้วย

ซึ่งนอกจากการมีบทหนังที่ดี ก็ต้องยกนิ้วให้กับ แซลลี่ ฮอว์กิ้น ที่เล่นได้อย่างแจ่มจริงๆ ชนิดที่เรียกว่า คนดูส่วนใหญ่ต้องมีคำถามคล้ายๆกันหลังดูจบคือ “ตัวจริงของเธอ เป็นอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า ?”

( ถึงส่วนตัวจะชอบพี่ค้างคาวมาก แต่ การที่The Dark knight อดเข้าชิงรางวัลใหญ่ๆ ยังไม่รู้สึกผิดหวังเท่า คณะกรรมการมองข้ามการแสดงของ แซลลี่ ฮอว์กิ้น เพราะจริงๆแล้ว เธอไม่ได้แค่ หัวเราะร่าทั้งเรื่องมันมีหลายช็อตสั้นๆที่เธอแสดงอารมณ์อีกด้านให้เห็นและเล่นดีด้วย เช่น ฉากหนึ่งที่รู้ตัวว่าครูสอนขับรถรู้สึกอย่างไร เพียงแต่มันอาจเร็วจนคนลืม )






อันดับ 5

The Reader




สิ่งที่ผมชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ยิ่งกว่าการแสดงชั้นดีของ เคต วินสเลต คือ การถ่ายทอดอารมณ์ของหนังที่ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่ได้อ่านหนังสือ นั่นคือ อ่าน(ดู)จบ แล้ว ความร้าวรานบาดลึกยังค้างอยู่ในใจของเราต่อไปอีกหลายวัน

ถ้าไม่ติดตรงตอนจบ ที่ผมรู้สึกว่า หนังพยายามจะบรรเทาความเจ็บปวดให้กับตัวละครและคนดูมากเกินไป ผมจะชอบหนังเรื่องนี้สุดๆ

ดีใจที่เคต วินสเล็ตได้ออสการ์ แต่ส่วนตัวแล้วชอบ การแสดงของเธอใน RR มากกว่า

ไม่เขียนเยอะเกินไป เพราะเรื่องนี้เขียนลงในหนังสือเล่มใหม่คู่เฮียเบนจามินไปแล้ว เดี๋ยวหนังสือจะขายไม่ออก555(ตลกขายของ )






อันดับ 4

Milk




ตอนแรกก็ปลื้มลุงมิคกี้เป็น แรนดี้ แรม เชียร์ให้แกได้ออสการ์ แต่พอได้มาดูนม(Milk)ก็เปลี่ยนใจคิดว่ายกให้เฮียเพนน์เค้าไปเหอะ

ฌอน เพนน์ เล่นได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง คือ ดีแบบไม่ต้องปล่อยพลังแต่เก็บได้ทุกอารมณ์ทุกรายละเอียด ทุกช็อตทุกซีน ไม่มีหลุด ดูแล้วเชื่อ เชื่อในความเป็นเกย์(ที่แกไม่ได้เป็น) เชื่อในความเป็นนักการเมืองยอดนักสู้(ซึ่งแกก็ไม่ได้เป็นอีกเช่นกัน) ยังคิดอยู่ว่า ถ้าแกเข้าชิงออสการ์พร้อมกับ คุณพี่ แดเนี่ยล เดย์ลิวอิส ที่เป็น สายบ้าพลังสุดแสนจะมาโช่ในปีก่อน ใครจะเข้าวินกันแน่

ไม่ใช่แค่ป๋าเพนน์ แต่นักแสดงรอบข้างที่มารับบทเกย์ ก็เล่นได้เยี่ยมทั้งสิ้น ชนิดที่ฉีกบทแมนๆของตัวเองออกไปได้แบบน่าทึ่ง

ตัวหนังก็ดี เล่าเรื่องได้สนุกทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมได้ ยังนึกอยู่เลยว่า ถ้าคนเป็นเกย์อยากจะหาหนังซักเรื่องที่ให้คนอื่นเข้าใจเกย์มากยิ่งขึ้น หนังที่ควรเลือกมาฉายไม่ใช่ BBMT แต่เป็นเรื่องนี้ต่างหาก เพราะ หนังสามารถทำให้คนที่ไม่ได้เป็นเกย์ดูแล้ว ยังรู้สึกมีอารมณ์โกรธร่วมไปกับกลุ่ม ชาวเรา(คนแปลซับเข้าใจเลือกคำดี) ในหนังไปด้วย

อีกทั้ง การเหยียดเพศในหนัง ยังสามารถตีความไปร่วมกับปัญหาเหยียดสีผิวเหยียดขาติได้เหมือนๆกัน เพลงประกอบก็เพราะมากๆด้วย

กลับมาบ้านจึงคิดได้ว่าไปหยิบ Paranoid park ของ กัส แวน แซนต์ มาดูซักทีดีก่า ดองไว้ในตู้นานแล้ว






อันดับ 3

Revolutionary Road




ผมรู้สึกไม่อินเท่าไหร่ กับ American Beauty เพราะรู้สึกว่ามีหลายจุดที่หนังพยายามประดิษฐ์หรือใส่สัญลักษณ์แบบจงใจมากเกินไป แต่กับ Revolutionary road แซม เมนเดซ เอาผมอยู่หมัด

หนังสร้างภาพครอบครัวแบบอเมริกันที่ก็ไม่ต่างจากครอบครัวทั่วๆไป นั่นคือ เริ่มต้นจาก ความฝัน ก่อนที่ ทุกอย่างจะค่อยๆพัง เพียงเพราะ แต่ละคนจมอยู่กับความฝันของตัวเองจนลืมหันมามองปัญหาความสัมพันธ์ที่หมักหมมจนเกินเยียวยา และ ฉากจบของหนังก็อื้อหือ สะใจ

เป็นหนังครอบครัวที่เข้มข้นมากๆ และ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในตัวละครแต่ละคนก็น่าสนใจ เหมือนคนเขียนบททำการบ้านในด้านจิตวิทยาครอบครัวมาเป็นอย่างดี และ หนังก็ถูกส่งให้ดียิ่งขึ้นจาก การแสดงของ เคต วินสเลต ในหนังเรื่องนี้ถ่ายทอดอารมณ์ได้แตกละเอียด ชนิดที่ทุกอากัปกิริยาสะกดผมได้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น

เป็นหนังครอบครัวที่สมควรดูควบคู่กับ Tokyo Sonata เป็นที่ยิ่ง เพราะ ทั้งคู่นำเสนอปัญหา แต่เรื่องหนึ่งชี้ให้เห็นแสงสว่างของทางแก้ แต่อีกเรื่องนำเสนอ ผลลัพธ์ของการละเลย




อันดับ 2

The Wrestler




หนังออสการ์ที่ชอบอันดับสองของปีนี้ คือ ชีวิตของลุงแรนดี้ แรม นี่หละ
ฝีมือผกก.อโรนอฟสกี้ ไม่ตกลงเลย แถมยังมอบตัวตนให้กับหนังของตัวเองชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ คือ ไม่ต้องอาศัยเอฟเฟคต์แบบ The Fountain หรือการถ่ายทำเฮี้ยนๆหลอนๆแบบ Pi กับ Requiem for a dream เปลี่ยนมา ทำหนังธรรมดาๆแบบนี้แฟนๆก็จำได้ว่าเป็นฝีมือของพี่แกอยู่

ชอบอารมณ์ของหนังที่กึ่งๆจะบิวต์แต่ก็ไม่มากไป โดยยังคงรักษาระดับความรู้สึกสมจริงแทบจะคล้ายสารคดี มีหลายฉากที่ทำจิตตกสะเทือนใจอย่างแรง เช่น ฉากแจกลายเซ็น หรือ ฉากตอนขายอาหาร ฯลฯ เทคนิกแบบลองเทคที่เจตนาถ่ายตามหลังตัวละครแต่ละฉากก็ยิ่งชวนให้ เศร้า สงสาร ตัวละครตัวนี้เอามากๆ

และ จุดดีคือ หนังไม่พยายามทำให้คาแรคเตอร์นี้เป็นพระเอ๊กพระเอกจนเกินไป ไม่มีฉากประเภทกลับใจแล้วแฮปปี้ หากแต่เป็นตัวละครที่เคยทำผิดในชีวิต และ มันก็ช่างสมจริง ที่หนังไม่พยายามบิวต์แบบสูตรสำเร็จประมาณว่า กลับตัวได้ใหม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ให้ คนเคยทำผิดแบบเขา ต้องเผลอทำผิดซ้ำๆด้วยความเคยชิน

โทเมอิ โชว์หุ่นเช้ปบ๊ะ ใน Before the Devil Knows You're Dead มาโชว์เรื่องนี้ต่อแบบ อู้วว๊าววว มากๆ หากแต่ทีเด็ดของเธอไม่ใช่หุ่น แต่อยู่ตรงฝีมือการแสดงของเธอที่ดีวันดีคืน ในเรื่องนี้ สายตาหลายๆฉากสุดยอด ยังติดตากับ สายตาตอนที่เธอตัดสินใจลังเลระหว่างเวทีกับเดินตามแรนดี้ แรมในบาร์ หรือ ตอนที่อยู่ด้วยกันเวลาไปซื้อเสื้อผ้ากับในบาร์

ยิ่งเธอมายืนข้างๆลุงมิคกี้ ยิ่งทำให้เห็นภาพชัดเจน ระหว่าง คนหนึ่งคนรู้สึกว่า เวที ของเธอไม่น่าอยู่เหมือนเก่าและมันช่างไร้ชีวิตชีวา กับอีกคนที่ เวทีของเขา คือ เวทีชีวิตที่แสงเจิดจรัสมากที่สุด

ชีวิตของ แรนดี้ แรม ช่างน่าสงสารเหมือนหลายๆคน ที่รู้สึกประมาณว่าไม่มีพื้นที่ให้ยืนบนโลกใบนี้ รู้สึกตัวเองไร้ค่า นอกจากจะได้ขึ้นไปอยู่บน เวทีมวยปล้ำ ที่เป็นโลกใบเดียวที่ตัวเขายังคงรู้สึกว่า มีชีวิต มีตัวตน ถึงแม้จะต้องล้มต้องเจ็บหรือต้องตาย มันก็มีความหมายมากกว่า เดินอย่างไร้ค่ากลางถนน

จากที่หนังเรื่องอื่นๆจะมีส่วนเกินๆขาดๆอย่างละเล็กละน้อย แต่เรื่องนี้สมบูรณ์และสม่ำเสมอตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะฉากจบสุดเจ๋ง ที่ทำให้ หนังเล็กๆ(เมื่อเทียบกับความใหญ่ของเพื่อนร่วมชิงรางวัล) เรื่องนี้ ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆในใจของคนที่ได้ดู

เพิ่งเขียนหนังของอโรนอฟสกี้ลงใน FIlmax ไปและก็คาใจมาตลอดว่า เมื่อไหร่ พี่แกจะได้เกิดสมศักดิ์ศรีเสียที เพราะรู้สึกว่าเป็นผกก.ที่ ควรจะดังกว่านี้แต่ไม่ดังซักที มาตลอด





อันดับ 1

Slumdog Millionaire





เหมือนคนดูส่วนใหญ่ครับที่เทใจให้ Slumdog Millionaire

แว่บหนึ่งขณะดู ผมคิดถึง Wall-E เพราะ Wall-E เป็นหนังที่ผสมผสานความหลากแนว เช่น มี หนังรัก , หนังอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หนังไซไฟ ส่วน Slumdog Millionaire มีทั้ง หนังสะท้อนปัญหาสังคม , หนังดราม่าตื่นเต้น และ หนังรัก

วูบหนึ่งขณะลุ้น ผมก็คิดถึง เพื่อนร่วมชิงอย่างเบนจามิน เพราะหนังก็เล่าเรื่องชีวิตของคนๆหนึ่ง โดยให้ความสำคัญกับ ประสบการณ์จากชีวิตวัยเด็ก ที่ประสบพบเจอโลกรอบตัว และมีผลกระทบต่อการเป็นผู้ใหญ่อย่างยิ่งยวด

Slumdog Millionaire เป็นหนังที่ฉลาดแต่ทำตัวติดดิน ฉลาดในการผสมเรื่องราวหลายด้านผ่านการเล่าเรื่องที่ลุ้นระทึกชวนติดตามเสียยิ่งกว่าหนังทริลเลอร์หลายๆเรื่อง การตัดสลับไปมาระหว่างช่วงวัยของพระเอก กับ ช่วงเวลาที่เล่นเกมส์ กับ ช่วงเวลาที่โดนจับ ต้องอาศัยการลำดับเรื่องที่เจ๋งเอามากๆที่ทำให้คนดูลุ้นและไม่งง ซึ่งหนังก็ทำได้เยี่ยม

ไม่แปลกใจที่หนังชนะใจคนส่วนใหญ่ เพราะ นอกจากหนังจะมีองค์ประกอบแบบ เบนจามิน คือ เป็นหนังที่เข้าถึงคนดูวงกว้างได้มากกว่าเรื่องอื่นๆในสายล่ารางวัล แต่ ในความลึกหนังก็มีจุดมุ่งหมายชัดเจนในเรื่องที่เล่าและยิงเข้าเป้าได้เข้มข้นกว่าเบนจามิน

องค์ประกอบของหนังต่างๆก็ถึงพร้อม เป็นหนังออสการ์ที่ดูสนุกเอามากๆ ไม่ใช่ หนังดูยากหรือเฉพาะกลุ่มเหมือนหลายปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่า ยังดูง่ายกว่า The Dark knight เสียด้วยซ้ำ และ ถ้าจะค้นหาข้อคิดปรัชญาหนังก็มีให้แทบทุกยุ่บยั่บ แถมยังไม่ได้ให้แบบยัดเยียด แต่ มีให้แบบชวนคนดูขบคิดอีกต่างหาก

การแสดงของพระเอกนี่ก็ดีระดับเอาหนังได้อยู่ ยังรู้สึกว่าเล่นดีกว่า แบรด พิตต์ เสียด้วยซ้ำ เสียก็ตรงมีความหลากหลายทางอารมณ์ให้เล่นน้อยไปหน่อย

ด้านที่ผมชอบที่สุด คือแง่มุมของความรัก ที่อยู่ในหนังเรื่องนี้ ทั้งรักของคนรัก , รักของพี่น้อง , พรหมลิขิต และ ความทุ่มเทที่คนๆหนึ่งยอมทำเพื่อความรัก ผมยังคิดเลยว่า ถ้าเขียนถึงหนังเรื่องนี้เมื่อไหร่ผมจองชื่อหัวข้อไว้แล้วว่า หนังรักชื่อ สลัมด๊อกฯ






แล้วเพื่อนๆ ดูหนังออสการ์เรื่องใดไปแล้วบ้าง

เรื่องไหนไปอยู่ในใจคุณ จนอยากจะมอบตุ๊กตาลุงออสการ์ให้ เสนอชื่อและเหตุผล ตามความปลื้มส่วนตัว ได้เลยครับ







บทสรุปแห่งปี 2008

9 หนังดี(วีดี)น่าดู ประจำปี 2008

10 ตัวละครประทับใจ ประจำปี 2008

10 ฉากประทับใจ ประจำปี 2008

50 หนังประทับใจ ประจำปี 2008(ตอน 1)

5 หนังไม่ชอบ + 50 อันดับหนังประทับใจ ประจำปี 2008 (ตอนจบ)





พื้นที่แนะนำผลงาน{ตัวเอง}

(คลิกที่รูปหนังสือ เพื่อ อ่าน หรือ แสดงความเห็น ต่อหนังสือแต่ละเล่มได้เลยครับ)

ปีนี้ “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ขอฝากผลงานเล่มล่าสุดที่เพิ่งคลอดจ้า อันว่าด้วย 'ความรักและกำลังใจ' ผ่านแรงบันดาลใจจากชีวิตและภาพยนตร์ ในหนังสือที่ชื่อว่า

เมื่อฉันลืมตา แล้วโลกเปลี่ยนไป



และ ผลงานสองเล่มก่อน จากสองปีที่ผ่านมา



"หนังสือรัก" หนังสือที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม กับ องศาที่ 361 หนังสือที่อาสาช่วยคุณค้นหามุมเล็กๆในตัวเองที่จะมีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น โดยอาศัย'หนัง'เป็นสะพานพาไปเข้าใจตัวเอง


มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป แต่ เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 สั่งได้จากเว็บของซีเอ็ดครับผม






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก

พูดคุยกับเจ้าของ Blog คลิก

เปิดหารายชื่อหนังเก่าๆนอกเหนือจากในหน้าสารบัญ คลิก





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 02 มีนาคม 2552
Last Update : 2 มีนาคม 2552 16:42:44 น. 23 comments
Counter : 3549 Pageviews.

 
ถ้าเรียงลำดับของผม ผมจะให้

1. Benjamin Button ...ผมถูกจริตแบบ Forrest Gump อยู่แล้ว ..เลยไม่ผิดจากที่ต้องการไว้เลย
2. Doubt ...การแสดงขับเคลื่อนหนังได้ยอดเยี่ยม และการแอบแฝงความคมชวนคิด ก็แหล่มจริงๆ
3. Slumdog Millionaire ...ชนะใจเช่นกัน ..คิดไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าไม่ใช่ "แดนนี่ บอยล์" แล้วใครจะเหมาะได้เท่า
4. Milk ...ต้องให้กับ ฌอน เพนน์ จริงๆ ..แสดงจนเนียน คิดเสียไปเลยว่า ก่อนหน้าแอ๊บแมนมาทั้งนั้น
5. Happy-Go-Lucky ...ยังเสียดายแทน แซลลี่ ไม่หาย ..แสดงยากเย็นเหลือหลาย ไม่แพ้ตัวเต็งอย่าง เคต กะป้าเมอรีล เลย
6. Revolutionary Road ...อยากให้สาวเคตได้ออสการ์จากเรื่องนี้มากกว่า
7. The Reader ...ต้นจนถึงฉากพีค(อยู่ในช่วงกลางค่อนมาทางปลาย) ดีมากๆ ..พอพ้นฉากนั้นไป ค่อยๆดรอปลง จนมาฮวบฮาบกับฉากจบอย่างแรง!!! ..ไม่ปลื้มตรงนี้จริงๆ
8. The Wrestler ...แม้จะเป็นหนังดี ที่จบได้โดน และเจ็บจี๊ดกว่าใครเพื่อน ..แต่ผมไม่ค่อยถูกกับการเล่าเรื่องเชิงสารคดีของหนัง ที่บางคราวก็ดูยืดเยื้อเกินไป ..ตัดๆออกไปหน่อยก็คงได้อยู่

ล่าสุด.. ดู The Class (เข้าชิงหนังตปท.) ...ชอบมากกกกกกกกก (ถ้าให้จัดในหมวดข้างบนด้วย ผมจะให้ที่สาม)

เป็นหนังที่คาบกึ่งระหว่างความสมจริง กับการเตี๊ยม ..เพราะทุกอย่าง (ไม่ว่าจะนักแสดง กำกับ หรือว่า การสร้างบรรยากาศต่างๆในโรงเรียน) มันดูเนียนมาก

มันอาจเป็นหนังที่เป็นทรมานบันเทิงขั้นเทพ สำหรับคนที่หน่ายการฟังคนเถียงกันฉอดๆๆๆๆๆๆ ..แต่มันสนุกสำหรับผม ที่ได้ดูความปั่นป่วนของผู้คน ที่ต้องดิ้นรนเรียนรู้ ว่าการศึกษาคืออะไร?

มันทำให้ผมอยากรู้จริงๆว่า Departures มีดีอะไร ถึงย่องเป็นม้า(มืด)มาหิ้วลุงทองคำกลับแดนวาซาบิไป ..เพราะถ้าไม่ดีกว่าจริงๆ มีโกรธนะเนี่ย 555+



โดย: OncE UPoN'-'a MaN วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:1:30:12 น.  

 
ยังไม่ได้ดูสักเรื่องเลยครับ
เสาร์นี้ว่าจะไปดู slamdog ซะหน่อย


โดย: มิสเตอร์ฮอง วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:2:02:02 น.  

 
ยังไม่ได้ดู Milk เลย น่าจะเยี่ยมเน๊อะ


โดย: ถั่วงอกน้อยค่ะ วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:5:34:14 น.  

 
Slumdog เท่านั้นครับ


เพราะเรื่องอื่นยังไม่เคยดู (ยกเว้น "เบนจามิน") อยากดู Milk แต่ว่ามันฉายจำกัดโรงเหลือเกิน


โดย: McMurphy (McMurphy ) วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:7:59:20 น.  

 
คุณต้องดู Frost/nixon !!!!
น่าจะแทรกอยู่แถวๆอันดับ 3


โดย: tdk IP: 117.47.26.89 วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:8:28:32 น.  

 


ตอนนี้ได้ดูแค่ The Reader กับ Benjamin เท่านั้นเองค


โดย: iSIs_OsiRis วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:9:14:22 น.  

 
ยังไม่ได้ดูสักกะเรื่องเลยครับ เดี๋ยวคงต้องไปลองไปดูบ้าง ไม่งั้นก็คงรอ DVD


โดย: เอ IP: 202.91.23.4 วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:9:58:08 น.  

 
ผมได้ดูแค่The Reader กับ Benjamin Buttonเองครับ

ผมรู้สึกว่าชอบBenjamin Buttonมากกว่านะครับ
ผมคิดว่าช่วงท้ายๆของThe Readerมันไม่ค่อยน่าติดตามเท่าไร่


โดย: ~Kanet "The KiLLer" J~ IP: 58.9.180.247 วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:11:12:23 น.  

 
1.The Reader ตอนจบ ถ้าไม่ใช่ชาวเยอรมันไม่รู้แน่
2.Slumdog Millionaire อาจจะที่หนึ่ง แต่หนังหลอกผม เพราะไปอินเดียมา มันไม่เหมือนในหนังเลย ทั้งเมืองเต็มไปด้วย
3.Happy-Go-Lucky ได้เข้าชิงก็ยังดี ตอนประกาศรายชื่อผู้เข้าชิง ผมหาทุกเว็บเลยว่ามีชื่อเธอรึเปล่าแต่ก็ไม่มี
4.Doubt เห็นตอนค้นประวัติ ป้าแก แล้วก็เห็นยืนคู่กับเอมี่ แค่นี้แหละ ก็อยากดูแล้ว
5.Frost/Nixon นำชายผมเชียร์ Frank คนเดียว แต่ก็ไม่ชนะ

ปล.ห้ามโกรธ เพราะแค่ออกความเห็น Slumdog Millionaire นำเสนอปัญหาคล้ายๆกับ The Dark Knight แต่ไม่ยัดเยียดเกินไป แล้วอีกอย่างหนังไม่ได้เป็นแบบหิวกระหายรางวัลเหมือนหนังออสการ์ช่วงหลังๆ จบข่าวครับผม ใครโกรธผม


โดย: The Learner วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:11:58:19 น.  

 
ที่ จขบ ดูมาผมดูแค่ 3 เรื่องเองครับ เรียงตามความชอบดังนี้
- The Wrestler: ดร่าม่าเข้มข้น จบโดนใจ และค้างอยู่นานหลังหนังจบลง
Slumdog Millionaire: เก๋ไก๋ในสไตร์ แต่กลับไม่โดนใจโดยรวม (สำหรับผมนะ)
The Curious Case of Benjamin Button: ชอบครึ่งหลังเมื่อเดซี่กลับมาพบเบนจามินถึงตอนจบ แล้วเพราะดูไปคิดถึงกัมป์ไปเลยเบื่อหน่อยๆ เบื่อที่มันเหมือนกันมากเกิน...

The Reader: ขออ่านหนังสือก่อนนะครับ

เรื่องอื่นๆคงดูเร็วๆนี้ครับ


โดย: Seam - C IP: 58.9.201.160 วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:13:29:22 น.  

 
จากทั้งหมดของข้างบน
ดูแค่เบนจามินไปเรื่องเดียวเองค่ะ


โดย: หัวใจสีชมพู วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:14:05:51 น.  

 
เชียร์ให้หา Frost / Nixon มาดูครับ ส่วนตัวดูหนังชิงรางวัลไปแค่ 3 เรื่อง เรียงความชอบ
1. Frost / Nixon (เนื้อหาเข้มข้น การแสดงเยี่ยม มากครับ)
2. Benjamin Button
3. The Reader
ส่วน Milk กับ Slumdog คงหาโอกาสไปชมเร็วๆนี้ครับ


โดย: tatai IP: 125.24.1.100 วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:20:36:28 น.  

 

ดูแต่ Trailer The reader ก็ดีนะ





โดย: ๋๋๋Jane (Masseffect ) วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:21:03:50 น.  

 
ฮือๆๆ เสียใจมากค่ะ อุตส่าห์ถึงเทศกาลออสการ์ทั้งที ดันอยู่ต่างจังหวัด แบบที่ไม่มีเรื่องไหนเข้าซักเรื่อง อยากดู Slumdog อยากดูเคตกับลีโอ อยากดูเฮียฌอน เพนน์สุดที่รักง่ะ


โดย: azzurrini IP: 58.147.55.160 วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:22:25:09 น.  

 
+ ของผมยังขาด Slumdog เรื่องเดียว (กว่าจะได้ดูคงอาทิตย์หน้า เพราะสุดสัปดาห์นี้จะไปเที่ยวครับ แหะๆ ) ถ้าเรียงตามลำดับความชอบ (ไม่นับสลัมด็อกฯ) น่าจะเป็น ...
Revolutionary Road - เป็นหนังที่ตอนดูจบยังไม่เท่าไหร่ แต่พอนานๆ ไปแล้วรู้สึกซึมลึกลงในก้นบึ้งของหัวใจมากขึ้นเรื่อยๆ แฮะ
Milk
The curious case of Benjamin Botton
Doubt
Happy-go-Lucky
The wrestler
The reader


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 3 มีนาคม 2552 เวลา:0:10:05 น.  

 
ยังมีบางเรื่องที่ยังไม่ได้ดู แต่คงจัดอันดับได้ดังนี้

1.Slumdog Millionaire - สนุกและฉลาดในการดำเนินเรื่อง การนำเสนอ และเลือกดารานักแสดงที่สุด เป็นส่วนผสมที่กลมกล่อมในทุกด้านอย่างแท้จริง และส่วนตัวคิดว่าโชคดีที่ได้ชมภาพยนตร์ ก่อนอ่านฉบับที่เป็นนิยาย Q&A ครับ
2.The Wrestler -ถ้าไม่มีเจ้าหมาสลัมเรื่องนี้คงเฉียดที่ 1 ไปแล้ว หนังสะกดผู้ชมจนหน้าที่สุดท้าย ด้วยการแสดงสุดยอดของ รู๊ก โดยเฉพาะฉากที่เปิดใจคุยกับลูกที่ทำเอาลืมไม่ลง บวกกับฉากสุดท้ายและเพลงประกอบที่ยังงจนวันนี้ว่า ไม่ได้ชิงออสกร้าได้ไงหว่า ?
3.The Curious Case of Benjamin Button - เดวิด ฟิตเชอร์ คือ ผกก. ในดวงใจอยู่แล้ว หนังมาพร้อมความยาวเกือบ 3 ชม. แต่เต็มไปด้วยแง่คิด ชีวิตมากมาย ฉากสวย มีคำพูดดีๆให้ขบคิด ทำให้มองเห็นบางอย่างที่เคยมองข้ามไปชัดเจนขึ้น

เรื่องที่เหลือกำลังหาโอกาศดูอยู่ครับ ^^


โดย: negima_xx วันที่: 3 มีนาคม 2552 เวลา:0:51:13 น.  

 
ดูหมดแล้วครับ เหลือ Frost/Nixon เรื่องเดียว

ให้คะแนนดังนี้

อันดับหนึ่ง
ให้สองเรื่องครองร่วมกัน
Slumdog Millionaire กับ The Reader
หมาสลัมคนอื่นพูดไปเยอะแล้ว
ส่วนนักอ่านนั้น ชอบมากๆ ถูกจริตกับหนังแนวนี้เป็นพิเศษ หนังมันช่างสวยงามเหลือเกิน อีกทั้งยังเข้มข้นในเวลาเดียวกัน
การแสดงของ เคต วินเสลท อีก ยิ่งผลักดันหนังเข้าไปใหญ่
เลยได้มาเบียดตำแหน่งของ หมาสลัม

อันดับสอง
Milk
ไม่ได้คาดหวังอะไรมากตอนจะดู แต่พอดูแล้วพบว่าหนังให้อะไรไว้เยอะมาก ไม่รู้สึกยัดเยียด แต่ละเมียดละไม ในอารมณ์ที่รุนแรง นักแสดงก็เทพ
ติดอยู่นิดนึงคือ อารมณ์ของหนังดูซ้ำซากไปหน่อย(โดยส่วนตัว) หนังการเมือง อารมณ์แบบนี้หมด

อันดับที่สาม(คะแนนน้อยกว่าอันดับสองเพียงปลายจมูก)
The Wrestler
อยากบอกว่าหน้าหนังไม่น่าดูเลยซักนิด
แต่พอดูแล้วกลับมีดีกว่าที่คิดไว้เยอะ
นักแสดงก็เทพอีกแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังคิดว่า หนังมีช่วงน่าเบื่อสำหรับผมอยู่เล็กน้อย เหตุนี้จึงแพ้Milkไป เฉียดปลายขนรักแร้

อันดับที่สี่
Doubt
อย่างที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน การแสดงเด็ดสุดๆ ไม่มีใครยอมใคร
แม้กระทั่งบทเล็กๆของViola (คนที่ขี้มูกไหลนั่นแหละ)ยังแสดงออกมาได้ดีมากๆ
เสียดายที่หนังนำเสนอไม่หลากหลายเท่าเรื่องอื่นๆ

อันดับที่ห้า
The Curious Case of Benjamin Button
หนังนำเสนอหัวข้อที่น่าสนใจมากๆ ทำออกมาได้งดงาม และตรึงใจ
แต่หนังกลับมีรายละเอียดที่ผมยังคิดว่าไม่จำเป็นอยู่เยอะ ใส่มาตามสไตล์ Fincher
ทำให้อารมณ์ขาดๆ เบื่อๆอยู่บ้าง
อีกอย่างป๋าBrad Pitt น่าจะทำได้ดีกว่านี้นะ


โดย: MaGuZ IP: 24.131.175.163 วันที่: 3 มีนาคม 2552 เวลา:13:04:33 น.  

 
The Curious Case of Benjamin Button ตอนดูผมได้กลิ่นอะไรบ้างอย่าง เลยตามกลิ่นไป อ๋อ..กลิ่น Forrest Gump นี้เอง


โดย: The Learner วันที่: 3 มีนาคม 2552 เวลา:18:00:10 น.  

 
ยังดูไม่ครบเลยค่ะ
ขาดไปสองเรื่องไว้ดูแล้วจะมาจัดอันดับ

Doubt
พลังดาราของพวกพี่แกรุนแรงจิงๆ
ฉากทะเลาะกัน นี่คิดว่าจะเอามีดมาจิ้มกันแล้ว

Benjamin
เหมือนจะดี เหมือนจะโดน แต่ไม่
แบรด พิทท์เหมาะกับ snatch ที่สุดแล้ว 555

Happy-Go-Lucky
รื่นเริง บันเทิงอารมณ์
ดูแล้วรู้สึกดีไปอีกสองเดือน
เอน โร๊ ฮ่า!!

The Reader
ไม่ชอบตอนจบเลยค่ะ ตะขิดตะขวงใจจนถึงตอนนี้
เข้าใจคำว่า "ความรักเป็นนิรันดร์"
แต่สำหรับคนอายุ 80
ฮันน่าดูไม่ปล่อยวางเอาซะเลย
..แก่ปูนนั้นแล้ว..

MILK
ชอบฌอน เพนน์ ชอบกัส แวน แซง ชอบดิเอโก้ ลูน่า
แต่เหนืออื่นใด.. หนูรักเจมส์ ฟรังโก้
เค้าทำให้ความรักดูอบอุ่นขึ้นเยอะเลยค่ะ


*เรื่องอื่นคราวหน้าละกันนะค่ะ ง่วงจัง...


โดย: J☆nE IP: 58.64.101.61 วันที่: 4 มีนาคม 2552 เวลา:23:10:05 น.  

 
สารภาพว่ายังไมได้ดูซักเรื่องเลยค่ะ แต่จะหาเวลาไปดูแน่นอนค่ะ (แต่จะทันมันยังฉายมั้ยเนี่ย)


โดย: ลิปดา - พิลิปดา IP: 58.9.1.203 วันที่: 5 มีนาคม 2552 เวลา:20:44:15 น.  

 
ได้ดู Slumdog เรื่องเดียวเอง
ชอบที่คุณหมอให้นิยามว่า "เป็นหนังที่ฉลาดแต่ทำตัวติดดิน"


โดย: AOTaLo IP: 124.120.233.167 วันที่: 6 มีนาคม 2552 เวลา:15:13:19 น.  

 
ได้ดูแต่ slumdog เองค่ะ
ก็ชอบระดับนึง
แต่ชอบหนังปีก่อนมากกว่ามาก ๆๆๆ

แต่แอบคิดเหมือน จขบ. ที่ไม่อินกัน American beauty เท่าไหร่
สงสัยต้องหา Revolutionary Road มาดูซะแล้ว


โดย: เจ้าหญิงส้ม IP: 58.137.129.220 วันที่: 25 มีนาคม 2552 เวลา:16:19:26 น.  

 
ดู slumdog กับ benjamin ครับ
benjamin ก็ดีแต่มีขัดใจบ้างบางเรื่องครับ

ส่วน slumdog นี่ชอบสุดเลยครับ บทเยี่ยม
เป็นหนังรางวัลที่สนุกที่สุดเท่าที่เคยดูเลย
อีกอย่างที่ชอบก็สกอร์หนังครับ สุดยอด
ปล่อยมาแต่ละเพลงเข้ากับอารมณ์หนังได้
เหลือเชื่อ


โดย: lkunl IP: 146.23.250.105 วันที่: 29 มีนาคม 2552 เวลา:5:48:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
2 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.