Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
 
9 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
เจาะกลยุทธ์สร้างลูกสมองดี



นิตยสารรักลูก ร่วมกับ โรงพยาบาลนครธน จัดงาน รักลูก Seminars @ hospitals “เจาะกลยุทธ์ สร้างลูกสมองดี”
พร้อมกิจกรรมสาธิตส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ “ฝึกสมาธิเจ้าตัวน้อย”
สร้างความเข้าใจให้กับพ่อแม่ และผู้ปกครองในเรื่องการเลี้ยงดูลูกอย่างถูกวิธี
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก ย้ำลูกจะเฉลียวฉลาด มีพัฒนาการที่ดี ต้องเริ่มจากการดูแลลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์

รศ.นพ.ศิริชัย หงส์สงวนศรี กุมารแพทย์ด้านจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลนครธน เผยว่า
สิ่งแรกที่พ่อแม่ควรทำความเข้าใจ คือ ความฉลาดของทุกคนขึ้นอยู่กับสติปัญญาและสมอง
ซึ่งสมองของคนเรามีความคิด และความสามารถในการเรียนรู้ที่แตกต่างกันออกไป
และส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของแต่ละครอบครัว

ดังนั้น การที่จะให้ลูกมีความเฉลียวฉลาด มีพัฒนาการที่ดีนั้น ต้องเริ่มจากการดูแลลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์
ซึ่งถือว่าเป็นก้าวแรกของกลยุทธ์ สร้างลูกสมองดี

“สมองดี คือการคิดได้อย่างมีสติมีปัญญาอย่างแท้จริง และรวมถึงสิ่งที่เป็นคุณงามความดี
ซึ่งเด็กจะมีสมองดีมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับยีนเกือบ 80% และยังสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
ซึ่งช่วงนี้คุณแม่ควรดูแลสุขภาพให้ดี เพราะจะส่งผลให้ลูกมีสุขภาพดีตามมา

นอกจากนี้ ในเรื่องการบริโภคอาหาร ควรทำตามที่หมอแนะนำ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ผักและผลไม้อย่าให้ขาด
เน้นอาหารทะเล โดยเฉพาะปลา น้ำมันปลา เพราะสมองเป็นไขมัน ถ้ามีไขมันดีสมองก็จะดี
หลีกเลี่ยงชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ทุกชนิด และเมื่อคลอดลูกแล้วก็ควรบำรุงต่อไป เพื่อให้มีน้ำนมให้ลูก

จากการวิจัยพบว่า เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ไอคิวของเด็กจะได้รับการกระตุ้นเพิ่มขึ้นอีก 10%
และที่สำคัญพ่อแม่ไม่ควรเครียดมากจนเกินไป
เพราะสุขภาพจิตมีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการทางสมอง ไอคิว และพฤติกรรม เพราะถ้าพ่อแม่เครียดมากเกินไป
มักจะก่อให้เกิดสารคอติซอร์ที่เป็นพิษต่อเซลสมอง ทำให้ลูกกลายเป็นเด็กเลี้ยงยาก ขี้หงุดหงิด
ก้าวร้าวและเจ้าอารมณ์ จะผลต่อพัฒนาการต่างๆระหว่างที่เขาโตขึ้น”

นพ.ศิริชัย แนะนำว่า 3 ขวบปีแรกถือเป็นนาทีทองของสมองเด็กที่จะมีพัฒนาการดีที่สุด
ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และเมื่อเด็กเริ่มมีพัฒนาการตามวัยดีขึ้นเรื่อยๆ
พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้หยิบจับ และช่วยเหลือตัวเองด้วยการฝึกให้ทำกิจวัตรประจำวัน
และเริ่มเรียนรู้สังคมใหม่ๆ ด้วยตัวเอง เพื่อพัฒนาศักยภาพในด้านที่ลูกพร้อม

ด้าน คุณครูบี - ศิริจรรยา ขอสุข นักกิจกรรมบำบัดของโรงพยาบาลนครธน กล่าวเสริมว่า
พ่อแม่สามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านสมองให้กับลูกๆ ได้ด้วยการฝึกสมาธิ
เพื่อเป็นการกระตุ้นพัฒนาการด้านต่างๆของเด็ก ผ่านกิจวัตรประจำวันหรือกิจกรรมจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
ให้เด็กได้เห็น ได้เล่น ได้ลอง มาเป็นตัวเพิ่มประสบการณ์ ซึ่งสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่แรกเกิด
ที่สำคัญต้องมีสิ่งกระตุ้น หรือสิ่งเร้า ที่เหมาะกับช่วงวัย

“โดยเฉลี่ยเด็กอายุก่อน 3 ขวบจะมีสมาธิ ประมาณ 5 นาที และเมื่อ 3 ขวบขึ้นไปก็จะประมาณ10-15 นาที
ฉะนั้นการฝึกสมาธิในเด็กจึงต้องใช้ของเล่นที่มาช่วยดึงดูดความสนใจ กระตุ้นให้เด็กๆ อยากเล่น
แต่ต้องดูความเหมาะสมของวัย
การเล่นของเด็กช่วงอายุ 0-6 ปี นอกจากเป็นการช่วยพัฒนาเด็กทางด้านร่างกายและจิตใจแล้ว
ยังช่วยเรื่องไอคิว-อีคิว ทำให้เขามีพัฒนาการด้านสมองดีขึ้น และยังช่วยฝึกการสร้างสมาธิให้กับเด็กๆ
ไม่ว่าจะแค่1-2 นาที ก็สามารถทำได้ เช่นการวาดรูประบายสี หรือการเล่นโยคะประกอบกับดนตรีที่มีจังหวะช้าๆ
โดยมีพ่อแม่ร่วมเล่นไปพร้อมๆ กับลูก เพราะว่าเด็กในวัยนี้ต้องการฝึกในเรื่องของประสาทสัมผัสทั้งหมด
เขายังไม่สามารถมานั่งสมาธิได้ เพียงแค่ตอบสนองต่อสิ่งเร้ารอบข้างก็ถือว่ามีสมาธิได้เช่นกัน”


ที่มา //www.naewna.com/news.asp?ID=182125
ภาพจาก //www.jupiterimages.com/Image/royaltyFree/56181100


สารบัญ เรื่อง แม่และเด็ก
คลิกดู ที่นี่ค่ะ




Create Date : 09 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2552 16:45:56 น. 1 comments
Counter : 882 Pageviews.

 
ขอบคุณสำหรับสาระดีๆค่ะ ขอแอดนะคะ


โดย: engo (engo ) วันที่: 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา:5:58:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.