พฤศจิกายน 2560

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
22
23
25
27
28
29
30
 
 
All Blog
กว่าจะได้มาเรียนป.โทที่เยอรมัน ตอน 4 ออกเดินทางกันเล้ย!!


  ชื่อหัวข้อดูดี เหมือนกับว่า เย่ ได้เวลาเที่ยวแล้วนะ แต่ความจริงนั้น...

อย่างที่บอกไปตอนไหนสักตอนว่า ที่พักหายากมาก เอาไว้จะเล่าเรื่องการหาที่พักโดยละเอียดในตอนหน้านะคะ 

เราตกลงปลงใจไปพักกับเพื่อนชายชาวเยอรมันที่อยู่อพาร์ทเมนต์ที่ Dortmund ซึ่งไกลจาก Siegen อยู่ดี แต่นี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเราละ เพื่อนใจดี แฟนน่ารัก ทำอาหารให้กินด้วย 

อ๊ะ เก็บไว้เล่าตอนหน้าเนอะ


เกริ่นมานาน ยังไม่ได้ขึ้นเครื่องจากไทยเลย แฮ่

คือ เราซื้อตั๋วการบินไทยแบบฉุกละหุก แต่ราคาก็คงที่อยู่แล้ว เพราะเราซื้อขาเดียว 23,000 บาท สายการบินอื่นราคาถูกกว่านี้นิดหน่อย แต่การบินไทยให้กระเป๋า 30 กิโล 

ตอนจัดกระเป๋าเนี่ย ก็ไม่ได้ชั่งน้ำหนักนะคะ แต่ใส่มาเต็มแน่น เสื้อผ้า 30% โลโบ้และอื่นๆ 50% ค่ะ ฮ่า ๆ เราชอบทำอาหารและคงทนกินอาหารเยอรมันทุกมื้อไม่ได้แน่ พอมาถึงสนามบินภูเก็ต (อย่างที่บอกว่าบ้านเราอยู่ภูเก็ต ก็บินจากภูเก็ตมาลงกทม.ก่อน) ยกกระเป๋าขึ้นชั่ง 



ปาดเหงื่อ ๆ เกือบไปแล้ว

มานอนแกร่วอยู่กรุงเทพ 2 คืน รอวีซ่า พอได้วีซ่า ซื้อตั๋วปุ๊บ ก็ลากกระเป๋ามาสุวรรณภูมิ (ผู้ชายมาส่ง ร้องแล้วร้องอีก แง้ ๆ รอเค้าแป๊บนึงน้า)

เมื่อเช็คอิน ผ่านจุดตรวจกระเป๋า ผ่านตม.มาแล้ว ก็มานั่งรอขึ้นเครื่อง ซึ่งมีแต่คนเยอรมันเต็มไปโม้ดด ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ปกติอยู่ที่ไทย ถ้าได้ยินเสียงคนคุยเยอรมันที่บีทีเอส (ส่วนใหญ่เจอที่บีทีเอส) จะตื่นเต้น 
ไหน ๆ ฟังซิ พูดอะไรกันนะ ฟังไป ก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ชั้นฟังรู้เรื่องว่ะเหยยย

ซึ่งมาคิด ๆ ดู จะตื่นเต้นทำไมนะ เนี่ย ตอนนี้รอบตัวมีแต่ภาษาเยอรมัน เริ่มจะเอียน ๆ 

กลับมาที่สนามบิน เครื่องดีเลย์เล็กน้อย  ไม่เป็นไร นั่งร้องไห้วนไป

พอได้ขึ้นเครื่อง ก็ได้นั่งตรงข้างหน้าแบบนี้ ดีจัง มีที่วางขาเยอะ และไม่ต้องขอทางกะคนข้าง ๆ ด้วย แต่คนข้าง ๆ ก็เป็นสามีภรรยาชาวสวิส ขายาวเว่อออ ต้องเดินแบบกระย่องกระแย่งอยู่ดี 




นี่น่าจะเป็นมื้อแรก 



ส่วนอาหารหลักมื้อแรก เนื่องจากเราบินตอนเช้า ก็เลยได้อาหารคลีน ๆ มา นั่นก็คือ ออมเล็ตไร้รสชาติ และแฮชบราวข้างล่าง ที่ไร้รสชาติยิ่งกว่า (กินไปแล้ว เลยนึกได้ว่าต้องถ่ายรูปเก็บไว้ซะหน่อย ขออภัยนะคะ)



เนื่องจากนั่งหน้าสุดของตอน เราก็มีความงงเล็กน้อย ว่าถาดอาหารอยู่ไหน คือก็พอเดาได้ว่า มันเก็บพักอยู่ตรงไหนสักที่ ดีที่เห็นคนข้าง ๆ หา เราก็เลยแอบมอง พอเค้าเจอ เราก็เลยเจอด้วย Smiley

ถาดอาหารเนี่ย ไม่เท่าไหร่ แต่ทีวีนี่สิคะ หาไม่เจอ อยู่ตรงไหน ชั้นจะดึงอะไรขึ้นมาได้อีกบ้าง 

เรานั่งติดหน้าต่าง ผู้ชายนั่งข้างเรา ผู้หญิงนั่งถัดไป เราเห็นผู้หญิงเค้าเอาทีวีออกมาดูสบายใจเฉิบ เราก็แงะไปทั่ว หายังไงก็หาไม่เจอ จะออกปากถามละ แต่เอ้อ ลองแงะเองดูก่อน

จนถอดใจ นั่งอ่านหนังสือละ บังเอิ๊ญ เห็นคนข้าง ๆ แงะขึ้นมา ก็เลยจับจุดได้ละ ก็พยายามแงะตรงนั้นบ้าง แต่มันแงะยากมากเลยค่ะ  แต่สุดท้ายก็ขึ้นมาจนได้ 

ไหนดูซิ มีอะไรบ้าง 

เราก็เลื่อน ๆ ไปเรื่อย มีหนังเยอะเลยค่ะ ดูหนังเรื่องนึง จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ใครแสดง แต่มันตลกมาก ดูแล้วหัวเราะตัวโยนอยู่คนเดียว บังเอิญหนุ่มคนข้าง ๆ ก็ดูเรื่องเดียวกัน เราก็แอบดูเค้านะคะ ว่าเค้าจะขำแบบเรามั้ย 

แต่เอ๊ออ แอร์ดันมาถามอะไรสักอย่างพอดี เค้าก็เลยพลาดตอนนั้นไป สักพักเค้าก็เปลี่ยนเรื่อง คงไม่สนุกมั้ง (แหงสิ พลาดฉากสำคัญนิ)

พอดูจบ เราก็เปลี่ยนไปฟังเพลงบ้าง ซึ่งเราพบว่า มันสนุกมากกก กับการเดาชื่อเพลง 55 

อ่านไปก็หัวเราะไป 

อะ มาลองทายกันหน่อยซิ



เอนเตอร์เทนมั้ยล่ะ เรางี้นั่งหัวเราะคิก ๆ อยู่คนเดียว

ในเครื่องเนี่ย ปิดไฟมืดสนิท ตั้งแต่แอร์เก็บถาดอาหารหมด แอร์บอกให้ปิดหน้าต่างทุกบาน เพราะบินไฟลท์กลางวัน 

เมื่อหัวเราะจนเหนื่อยแล้วและบรรยากาศเป็นใจ เราก็หลับ ก่อนหลับก็เอาหมอนรองคอมาเป่า (หันไปเจอเกือบทุกคนมีหมอนรองคอทั้งนั้น) หลับสบายยย

แต่พอตื่นมาเท่านั้นแหละ เมื่อยมาก เมื่อยเท้า เมื่อยตัว เมื่อยคอ ขนาดมีที่ข้างหน้าเยอะ แถมตัวไม่ใหญ่เท่าฝรั่ง ยังเมื่อยซะขนาดนี้ สงสารเหล่าฝรั่งจริง ๆ 

ที่จริงในเครื่อง จะมีหนังสือหรือแผ่นพับนี่แหละ ที่แนะนำให้ออกไปเดินเล่นรอบเครื่อง แต่เราไม่กล้าเดินอะค่ะ บอกไม่ถูกอะ ไปคนเดียว ได้แต่เดินไปเข้าห้องน้ำ ที่อยู่ถัดไป 5 เมตร 

ตอนครึ่งหลังของไฟลท์ เราทรมานมาก ปวดเมื่อยไปทั้งตัว แถมยังคิดถึงทุกอย่าง คิดถึงบ้าน พ่อแม่ เพื่อน ผู้ชาย อาหาร ชีวิตที่เมืองไทยก็ดี๊ดี งานดี เงินดี เพื่อนร่วมงานดี ผู้ชายก็ดีมาก ทุกอย่างดีไปหมด ไม่รู้จะทิ้งเพื่อมาเรียนต่อทำไม คิด ๆ ไป น้ำตาก็เริ่มเอ่อ 

ถ้ามีใครหันมาดูเราตั้งแต่ต้นไฟลท์ เราคงเหมือนคนบ้า ตะกี๊ยังหัวเราะอยู่ดี ๆ ทำไมตอนนี้ร้องซะแล้ว 

ถ้าไม่ติดว่าป่าวประกาศไปทั่ว และเสียเงินเสียเวลามาขนาดนี้ เราคงจะซื้อตั๋วเครื่องบินกลับทันทีที่ไปถึงแน่ ๆ ตอนนั้นจิตตกมาก เราเอาแต่คิดว่าจะพูดกับทุกคนยังไงดี ว่าเราจะกลับละนะ (ตอนนี้ที่กำลังนั่งพิมพ์อยู่ นึก ๆ ไปแล้วก็ขำ แต่ตอนนั้นขำไม่ออก ออกแต่น้ำตา)

อ๊ะ เปลี่ยนบรรยากาศ ดูวิวกันซะหน่อย 



ตอนนี้ใกล้ถึงแล้ว แอร์ให้เปิดหน้าต่างได้ และเริ่มเสิร์ฟอาหารเที่ยง (เราบินถึงเยอรมันบ่าย 2)

ซึ่งมื้อนี้อร่อย เป็นสตูว์หมู คราวนี้ไม่คลีนละ แต่เราอะ กินซะคลีนเลย




สักพัก แอร์มาเก็บจาน เราก็เตรียมตัวลงเครื่องกันค่ะ!!

เรานั่งมาลงแฟรงก์เฟิร์ตนะคะ แล้วต่อรถไฟไปดอร์ทมุนท์ ลากกระเป๋า 29 โลคนเดียว ฮ่า ๆ 

ไม่จริงค่ะ เราเริ่มยกคนเดียว แต่ไม่เคยยกไหว คนแถวนั้นจะต้องช่วยเราตลอด 

ใครที่กำลังจัดกระเป๋า 23 โลตามมาตรฐานก็พอแล้วนะคะ มันทรมานจริง ๆ ทั้งการยก การลาก และความเครียดที่เกิดจากความคิดที่ว่า เดี๋ยวจะลากต่อไปยังไงดี 

ใครเดินทางไกล มาคนเดียว ไม่ได้มีงบเยอะ แบบเราเนี่ย รักษาตัวเองให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจนะคะ พยายามตัดสิ่งที่จะทำให้เกิดความลำบากออกไป ไม่งั้นจะแย่ตั้งแต่เริ่มแบบเรา

แต่พอมาอยู่ได้สัก 1 สัปดาห์ เราก็ปรับตัวได้ และเริ่มสนุกแล้วนะคะ ใครเผลอมาอ่านบล็อกนี้ อย่าเพิ่งนึกว่านี่เป็นบล็อกศาลาคนเศร้านะคะ ลองอ่านไปเรื่อย ๆ เนอะ Smiley





Create Date : 21 พฤศจิกายน 2560
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2560 3:24:45 น.
Counter : 622 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

LittleEntchen
Location :
Siegen  Germany

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



สวัสดีค่ะ ชื่อ แอน นะคะ

ตอนนี้เรียนปริญญาโทภาษาเยอรมันที่เมือง Siegen
New Comments