วันอังคารที่ 05.06.18 นี้ตอนเช้าเรียนวิชาวิธีการวิจัย วิชานี้เรียนเกี่ยวกับการทำวิจัยในเรื่อง ๆ นึงของสายมนุษย์ศาสตร์อย่างเรา ซึ่งวิธีการวิจัยก็มีได้หลายแบบ เช่น วิเคราะห์ข้อมูล สัมภาษณ์ หรือแบบสอบถาม เราโชคดีที่วันแรก ที่ต้องจับกลุ่มทำรายงาน เรานั่งข้าง ๆ ผญ.คนนึงที่เรียนภาษาเยอรมันเหมือนเรา หลายคนในนี้เรียน วรรณคดี วัฒนธรรมและสื่อ (ใช่แล้ว นี่คือชื่อภาควิชา) เราก็เลยจับกลุ่มกัน และได้ผญ.อีกคนนึง ที่เราเจอหน้าบ่อย ๆ ในหลาย ๆ คาบ

เรารู้สึกว่ากลุ่มเราช่างเหมาะกับเราจริง ๆ นอกจากจะเรียนเหมือนกันแล้ว ยังขี้เกียจและชอบอะไรง่าย ๆ เหมือนกันด้วย ตอนที่ต้องคิดหัวข้องานวิจัย (ต้องจับกลุ่มทำวิจัยจริง ๆ พรีเซ้นตอนปลายเทอม) ด้วยความที่เรียน 8 โมง เราเลยมึน ๆ อึน ๆ คิดไม่ออก เพื่อนในกลุ่มคนนึงพูดว่า โอ๊ย เช้าขนาดนี้ ใครจะไปคิดออก

5555 เพื่อนจ๋าาา เราช่างเหมาะกันจริง ๆ

และตอนที่ได้ยินกลุ่มอื่นบอกหัวข้อกับอ. บางกลุ่มก็มีแบบ พรรคการเมือง บลา ๆ 

เราได้ยินแล้วทำตาโตเลย ดีจริง ที่ไม่ได้อยู่กลุ่มนั้นด้วย 55

และยังรู้สึกดีไปอีก ที่เพื่อนในกลุ่มก็หันมาพูดประมาณว่า คิดอะไรยากจังเลย 

โอ่ยยยย นี่มันกลุ่มในฝัน

แต่ตอนนี้น่าจะสัปดาห์ที่ 7 ของเทอมแล้ว ก็พบว่า หัวข้อที่เราเลือกกัน มันก็ไม่ง่ายแฮะ คำถามวิจัยคือ มีความแตกต่างของแรงบันดาลระหว่างกลุ่มที่เรียนภาษาแบบจ่ายตังเอง กับเรียนฟรี (เช่นนร.ลงคอร์สภาษาในมหาลัย)หรือเปล่า ของกลุ่มเราทำเป็นแบบสอบถาม วันนี้เอาแบบสอบถามให้อ.ดู อ.ก็บอกว่าทำออกมาซะสวย (เพื่อนทำ แหะแหะ ภาษาเรายังไม่ถึงขั้น) 

ตอนคิดคำถาม เราทำได้แค่ช่วยดูเรื่องเนื้อหา หรือช่วยคิดคำบ้าง แต่เพื่อนเป็นคนตั้งคำถามหมดเลย ตอนเพื่อนคิดคำถาม เราก็พยายามดูว่าเค้าใช้ภาษาแบบไหนกัน ไม่ง่ายเลยแฮะ ให้คิดเอง คงใช้เวลานานเลย

แล้วพอเรียนวิชานี้เสร็จ ก็ว่างทั้งวัน เราก็รีบไป Cafeteria ซื้อขนมปังและกาแฟ เพราะตอน 4 โมงเย็นมีเรียนอีกวิชา ถ้าไม่ได้กินกาแฟ จะนั่งง่วงแบบเมื่อวานเอา อยากจะตั้งใจฟังเพื่อนรายงานน่ะนะ

วิชาตอน 4 โมงเย็นของวันอังคารชื่อ การเดินทางในยุคกลาง และหัวข้อที่เพื่อนรายงานวันนี้คือ การเดินทางไปในโลกหน้าในความคิดของชาวยุคกลาง

เราแอบทึ่งเพื่อนที่คิดหัวข้อนี้ออกมา เพราะถ้าได้ยินชื่อวิชาว่า การเดินทางในยุคกลาง เราไม่ได้นึกถึงการเดินทางไปยังโลกหน้าเลย

คนแรกพูดถึงคอนเซ็ปต์สวรรค์กับนรกในยุคกลาง และเปรียบเทียบระหว่างแบบความเชื่อของคริสต์และชาวไวกิ้ง 

ฟัง ๆ ก็สนุกดี แต่หลัง ๆ แอบมีหลุด ๆ แล้วสงสัยว่าเพื่อนคงจะรายงานว่า ชาวไวกิ้ง ถ้าสามีตาย ภรรยาจะตายตามไปด้วยมั้ง อ.เลยหันมาถามเราว่าในอินเดียก็มีความเชื่อแบบนี้ใช่มั้ย 

เอ้อ ด้วยความเป็นเอเชีย 1 เดียวในห้อง เลยกลายเป็นตัวแทนของชาวเอเชียทั้งปวง 555 

เราเคยได้ยินมาบ้าง เลยบอกว่า ใช่ค่ะ มี อ.ก็ถามต่อว่า เค้าเต็มใจหรือโดนบังคับ 

เราก็ตอบไปว่า น่าจะโดนบังคับค่ะ 

ก็ไม่รู้นี่เนอะ คุ้น ๆ แต่ว่าน่าจะชื่อว่าพิธี สตี (ไปเปิดดูมาแล้ว ใช่จริง ๆ ด้วย)

อ.มีถามถึง concept ของสวรรค์กับนรกของคนไทยด้วยนะ เราก็นึกออกแต่ไตรภูมิพระร่วง ก็เลยตอบไปว่า มีเหมือนกัน สวรรค์ นรก มีแยกเป็นชั้น ๆ มีทั้งคล้ายและแตกต่างกับแบบของคริสต์และไวกิ้ง

อ.ก็สรุปประมาณว่า แนวคิดเรื่องนี้คงมีคล้าย ๆ กันในหลายวัฒนธรรม แต่มีความแตกต่างไปในรายละเอียด เช่น อาจจะเป็นสัตว์หรือต้นไม้ในภูมิภาคนั้น อาจจะไม่ใช่ต้นแอปเปิ้ล กับ งู ในแบบของชาวคริสต์

เพื่อนคนที่ 2 รายงานเรื่องแนวคิดของสวรรค์และนรกที่ปรากฎในศิลปะ เพื่อนเปรียบเทียบงานของ 2 คน  คนแรกคือ Bosch ชาวเนเธอร์แลนด์ ส่วนคนที่ 2 เป็นชาวสเปน แต่ลืมจดชื่อมา ภาพของคนแรก มีอันนึงที่สะดุดตา ก็คือ Der Garten der Lüste น่าจะแปลเป็นไทยว่า สวนกิเลส (แปลเองน่ะนะ) สะดุดตาตรงที่ภาพค่อนข้างแฟนตาซี และลักษณะการวาดค่อนข้างดูทันสมัย เมื่อเทียบว่าวาดในปลายยุคกลาง ภาพนี้อยู่ที่มาดริด มีโอกาสจะไปเยี่ยมชมบ้าง

อาทิตย์หน้าเป็นตาเรารายงานบ้างละ เราตื่นเต้นมาก หัวข้อของเราคือ การติดต่อกันของราชสำนัักไทยกับฝรั่งเศสในยุคกลาง ซึ่งเราหยิบเอาการส่งคณะทูตไปฝรั่งเศสในยุคของพระนารายณ์ ต้องขอบคุณออเจ้าการะเกด ที่ช่วยจุดประกายความคิดนี้ขึ้นมา และอ.ให้เพิ่มเรื่องการฝรั่งเศสส่งคณะทูตมาไทยด้วย เราอาจจะเอาจดหมายเหตุของลาลูแบร์เป็นแหล่งข้อมูลด้วย 

แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว ที่จะได้รายงานเรื่องไทย ๆ ให้เพื่อนได้ฟัง แต่ตอนนี้ต้องไปนั่งงมกับภาษาของลาลูแบร์ก่อน กว่าจะแกะคำคาราโอเกะแบบฝรั่งเศสได้ งงมากมาย แต่สนุกอย่างไม่น่าเชื่อ