Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
17 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 
《ต้าฮั่นเทียนจื่อ 三》 十五(๑๕)

สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนถัดไป

๕ มิถุนายน ๒๕๕๑ / โดย เสี่ยวชิงวา


จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค ๓ - ตอนที่ ๑๕




๓-๑๕-๑


ทันทีที่ทราบข่าว ซือหม่าเชียนก็รีบรุดมายังคฤหาสน์ของหู้กว๋อฟูเหรินทันที แต่เผอิญว่าชิวฉานยังกลับมาไม่ถึง จึงได้แต่เดินไปเดินมารอคอยนางอยู่ที่ห้องรับแขก

หู้กว๋อฟูเหริน

ซือหม่าเชียนทักชิวฉานทันทีที่เห็นนาง

“ใต้เท้าซือหม่า ท่านคงจะรอจนร้อนใจแย่แล้วกระมัง เชิญ..เชิญนั่งก่อน”

ยังไม่ทันจะนั่ง ซือหม่าเชียนก็รีบถาม “ฟูเหริน ท่านนำนางเข้าวังหลวง ท่านมอบนางให้กับหวงโห้วแล้วหรือ”

“ไม่ทราบว่าใต้เท้าพูดถึงนางคนไหนกัน”

“ก็นาง..” ซือหม่าเชียนอ้ำอึ้ง “แม่นางหลิงจือยังไงล่ะ”

หลิงจือ?” ชิวฉานทำท่าทีแปลกใจ “นางชื่อหลิงจือจริงๆแน่น่ะหรือ นางน่าจะมีชื่ออื่นอีกกระมัง”

“นางบอกท่านแล้วเหรอ” ซือหม่าเชียนร้อนตัว

ชิวฉานเห็นท่าทางของซือหม่าเชียนแล้วก็แสร้งถาม “ใต้เท้าคิดว่านางจะบอกอะไร หรือว่าควรจะบอกอะไรกับข้าเหรอ”

ซือหม่าเชียนทำเฉไฉ “เด็กๆมักไม่ค่อยรู้อะไรควรไม่ควร ข้าเกรงว่านางจะพูดจาไม่ระวังจนทำให้ฟูเหรินต้องโทษ”

“อันที่จริงถึงแม้ว่านางจะไม่ปริปากพูด(守口如瓶) ตัวนางเองก็รู้ดีอยู่แล้วล่ะว่าอะไรควรไม่ควร แต่ว่านิสัยความเคยชินที่ติดตัวคนๆหนึ่งมาตลอดยี่สิบปีนี่สิ ที่จู่ๆก็เปลี่ยนไปทันทีทันใดนั้น ดูเหมือนว่าจะมีใครบังคับจนต้องฝืนทำ(强人所难)กระมัง”

“ข้าไม่เข้าใจความหมายของฟูเหริน”

“ที่ใต้เท้าบอกว่านางเป็นสาวชาวบ้าน ไม่ว่าข้าดูยังไงก็รู้สึกว่านางดูมีชาติตระกูลอยู่ดี จะว่าไปร่ำเรียนมาจากที่ไหนหรือก็เปล่า คงจะต้องได้ยินได้เห็นบ่อยๆ(耳濡目染)มาตั้งแต่วัยเยาว์อย่างแน่นอน และที่ใต้เท้าบอกว่านางเป็นคนจากหมู่บ้านเดียวกับท่าน ดูแล้วเหมือนว่านางจะชอบกินอาหารที่มีรสหวาน ขนาดปลาทอดราดน้ำเปรี้ยวหวาน(糖醋鱼)ที่หวานจัดจนแทบจะทานไม่ได้นางก็ยังกินเสียจนเกลี้ยงจาน”

ซือหม่าเชียนรีบพูดแก้ต่างให้ “เด็กสาวส่วนใหญ่มักชอบกินอาหารที่มีรสหวานอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

“ก็คงจะมีแต่เฉพาะสาวๆที่เจียงหนาน(江南)ที่ชื่นชอบแต่ของหวานเช่นนั้น ความจริงแล้ว ปลาจานนั้นน่ะ ข้าตั้งใจทำให้นางทานเป็นพิเศษ”

“ฟูเหริน ท่านจำเป็นต้องทดสอบนางด้วยเหรอ”

“ในเมื่อใต้เท้าส่งบุคคลที่เป็นปริศนา(哑谜)มาให้ ชิวฉานก็ต้องไขปริศนานั้นให้แตก”

“แล้วคำเฉลยของปริศนาล่ะ” ซือหม่าเชียนลองหยั่งเชิงถาม

“ทำไมใต้เท้าถึงได้ถามคำถามที่ท่านก็รู้คำตอบดีอยู่แล้วล่ะ(明知故问)”

“ข้ารู้นิดหน่อยเท่านั้น คงจะพูดอะไรได้ไม่ชัดเจนมาก” ซือหม่าเชียนออกตัว

“ในตอนแรกข้าก็ยังเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง(将信将疑) แต่เห็นท่าทางที่ตื่นเต้นหวั่นวิตก(气急败坏)ของท่านแล้ว ข้าก็เลยมั่นใจอย่างไม่ต้องสงสัย(深信不疑)”

“ฟูเหริน” ซือหม่าเชียนเลิกลั่กเอ่ยถามขึ้น “ท่านทราบว่านางเป็นใครแล้วอย่างนั้นเหรอ”

“ลักษณะท่าทางของนางก็คล้ายกับพ่อของนาง มีอยู่ปีหนึ่งที่อ๋องเจียงตู(江都王)มาที่ฉางอัน เพื่อเข้าร่วมถวายพระพรที่วังหลวง บังเอิญเหลือเกิน ที่ข้าได้เห็นเค้า”

“ในเมื่อฟูเหรินรู้ว่านางเป็นใครแล้ว ก็ยิ่งไม่ควรที่จะปล่อยให้นางเข้าวัง ดีไม่ดีเท่ากับเป็นการส่งนางไปหาความตาย(羊入虎口)เปล่าๆ” ซือหม่าเชียนท่าทางร้อนรน “ฟูเหริน ท่านจะทำให้ซือหม่าเชียนคนนี้กลายเป็นคนเนรคุณคนไปน่ะสิ”

“ตรงจุดนี้ข้าก็ได้คิดทบทวนเอาไว้อยู่เหมือนกัน คนที่ไหว้วานให้ท่านซือหม่าให้การช่วยเหลือเช่นนี้จะต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้มากที่สุด อีกทั้งยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดอีกด้วย”

ซือหม่าเชียนหน้านิ่วคิ้วขมวด “ไอ้หยา..มากกว่าความเป็นเพื่อนเสียอีก”

“ในเมื่อท่านกล้าที่จะเอาตัวเข้าเสี่ยงต่อความยุ่งยาก ชิวฉานก็ไม่อาจนิ่งดูดายไม่ใส่ใจไม่ได้ ดังนั้นข้าเลยต้องหาสถานที่ๆปลอดภัยที่สุดให้กับนาง”

“แล้วฟูเหรินคิดว่าในวังหลวงปลอดภัยมากกว่าที่บ้านของท่านเองหรือ”

“หากท่านต้องการจะซ่อนต้นไม้สักต้นหนึ่ง.. ท่านจะซ่อนมันไว้ที่ไหน ที่แห้งแล้งหรือว่าทะเลทรายกันล่ะ”

“ความหมายของท่านก็คือ..”

“ใช่ ที่ซ่อนที่ดีสุดก็คือต้องซ่อนมันเอาไว้ในป่า”



๓-๑๕-๒


ในที่สุดความหวังที่จะได้ทำศึกกับซีหนาน(西南)ก็เรืองรองขึ้นมาในพระทัยของฮั่นอู่ตี้ พอตกค่ำก็เสด็จไปหาพระนางเว่ยจื่อฟูถึงที่พระตำหนักกันเฉวียน(甘泉宫)

“คิดไม่ถึงว่าเรื่องวุ่นๆที่พี่เผชิญอยู่จะได้รับการผ่อนคลายลงเสียที” ฮั่นอู่ตี้ตรัสขึ้นระหว่างที่ประทับนั่ง

หลิงจือ เจ้าไปเอาพระสุธารสมาถวายฝ่าพระบาททีสิ” เว่ยจื่อฟูสั่งหลิวซี่จวิน

“เพคะ”

ฮั่นอู่ตี้ทรงเล่าให้เว่ยจื่อฟูฟังถึงเรื่องเมื่อเช้า “วันนี้ที่พี่ออกว่าราชกิจ ข้างในใจเหมือนถูกกดทับไว้ด้วยหินก้อนใหญ่ จะขยับไปไหนก็ไม่ได้ หากไม่ได้พูดถึงเรื่องส่งกำลังทหารไปที่ซีหนานอี๋(西南夷) การขยายอาณาเขตไปยังดินแดนที่ควรจะเป็นของฮั่น แต่กลับไม่มีใครขานรับ ดินทุกเม็ดทรายทุกผืนล้วนเป็นดินแดนในอาณัติของหวงตี้ไม่ใช่หรือ จะก้าวไปข้างหน้าสักก้าวทำไมมันถึงได้ยากลำบากขนาดนี้นะ”

“พระสุธารส เพคะ” หลิวซี่จวินยกถ้วยน้ำชาถวาย

ฮั่นอู่ตี้ทรงหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มแล้วเอ่ยชม “ชารสดีนี่ ไปเอามาให้เราอีกสักแก้วซิ เอาที่ร้อนๆหน่อยนะ”

“เพคะ”

“พี่มองดูเหล่าขุนนางในราชสำนัก เหล่าขุนนางที่เคยร่วมติดตามไปทำศึกด้วยกันกับพี่แล้ว ทำไมจู่ๆถึงได้มีทีท่าที่แปลกๆไปขนาดนั้นก็ไม่รู้ ในที่สุดพี่ก็เข้าใจว่าขุนนางระดับสูงอย่างพวกเค้าคงจะสุขสบายอยู่กับตำแหน่งเสียจนเคยตัว พวกเค้าก็คิดแค่จะรักษาลาภยศชื่อเสียงเงินทองเท่านั้น ให้ไปยกทัพจับศึกอีกก็ไม่ยอมกันแล้ว”

“บางที พวกเค้าอาจมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่นก็ได้นะเพคะ”

“ไม่มีหรอก”

“อย่าดูถูก เสือเฒ่าหัวใจทรนง(虎老雄心在) หรือ ม้าแก่วิ่งไกลพันลี้ สิเพคะ”

“เท่าที่พี่เห็นก็มีแต่ม้าแก่นอนเฝ้ารางเท่านั้น พวกเสือทรนงเหล่านั้นนะถอดเขี้ยวเล็บไปนานแล้วล่ะ แต่ก็ยังดีที่พี่ยังมีลูกวัวเกิดใหม่ที่ไม่กลัวเสือ ใครต่างก็รู้จะให้มีฮั่วชี่ว์ปิ้งในบรรดาลูกวัวเกิดใหม่นั้นคงเป็นไปไม่ได้ แต่ยังไงก็ตามอนาคตของราชวงศ์ฮั่นก็คงต้องฝากไว้กับพวกเค้า”

“พระสุธารส เพคะ”

“อืม..ชาถ้วยนี้ใช้ได้ทีเดียว ร้อนถูกปากจริงๆ” ฮั่นอู่ตี้ตรัสชม

“ขอบพระทัย เพคะ”

ฮั่นอู่ตี้มองหน้าหลิวซี่จวินแล้วตรัสถาม “เจ้าเพิ่งมาใหม่หรือ”

“มาได้สองสามวันแล้ว เพคะ” เว่ยจื่อฟูทูลให้ทรงทราบ

“แต่ดูเหมือนว่าพี่จะเคยเห็นนางที่ไหนมาก่อนนะ”

“ฝ่าพระบาทก็ นานๆจะเสด็จมาที่ตำหนักกันเฉวียนสักที และนี่ก็เป็นครั้งแรกของนางที่ได้รับใช้ฝ่าพระบาท แล้วจะทรงเคยเห็นนางได้อย่างไรกันล่ะเพคะ”

“เจ้าคงจะไม่พอใจที่พี่มาที่นี่น้อยเกินไปสินะ”

“หม่อมฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย เพคะ”

“เอาล่ะๆ” ฮั่นอู่ตี้หันไปตรัสกับหลิวซี่จวิน “เจ้าไปบอกคนที่ติดตามเรามาว่า คืนนี้เราจะอยู่ค้างที่ตำหนักนี้”

“เพคะ”



๓-๑๕-๓


คุกหลวง(天牢)

“ท่านพ่อ”

ฉินหู่ คุกไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าออกได้ง่ายๆ เจ้าเข้ามาได้อย่างไรกัน”

“ก็ลูกมีกระบี่อาญาสิทธิ์ของหวงตี้ นี่ไงท่านพ่อ” จี้ฉินหู่แสดงกระบี่ที่อยู่ในมือให้จี้อันซื่อดู “ใครก็ไม่กล้าขวาง”

“กระบี่อาญาสิทธิ์ของหวงตี้อย่างนั้นหรือ”

“ฝ่าพระบาททรงประทานให้กับหม่อมฉันยืมเอง ทรงอนุญาตให้ลูกมาเยี่ยมท่านพ่อ และยังให้ลูกเป็นตัวแทนฝากความระลึกถึงมายังท่านพ่ออีกด้วย”

“ทรงตรัสกับเจ้าด้วยตัวเองอย่างงั้นหรือ”

“ทรงตรัสออกจากพระโอษฐ์ ลูกได้ยินกับหู ไม่ได้ผ่านคนนำสารเลยนะ ท่านพ่อ”

ได้ยินบุตรชายยืนยันเช่นนี้แล้ว จี้อันซื่อนิ่งคิดสักพักแล้วเอ่ย “ดูเหมือน ฝ่าพระบาทต้องการจะใช้กำลังทหารอีกแล้วสินะ”



๓-๑๕-๔


พระตำหนักหย่งหมิง(永明殿)

“ถวายบังคมฝ่าพระบาท ขอทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นๆปี” เสียงถวายพระพรของเหล่าขุนนางดังขึ้น

“ตามสบาย”

“ขอบพระทัย พระเจ้าค่ะ”

“เรื่องที่ถกกันเมื่อวาน ยังไม่ได้ข้อยุติ วันนี้จะยังคงยกปัญหาเดิมมาถกกันอีกครั้ง มีใครมีความเห็นใหม่ๆเพิ่มเติมอีกหรือไม่...”

เหล่าขุนนางต่างพากันยืนนิ่งเงียบ

“ในเมื่อไม่มี งั้นมาลองฟังความเห็นจากคนใหม่ดูบ้างก็แล้วกัน” จากนั้นก็ทรงส่งสัญญาณให้กับขันที

ขันทีรีบถ่ายทอดคำสั่ง “หวงตี้ทรงมีรับสั่ง ให้หลี่ฮั่น จิ้ฉินหู่เข้าเฝ้า...”

สองหนุ่มน้อยรีบเดินเข้ามายังท้องพระโรง แล้วตรงเข้าไปคุกเข่าต่อเบื้องพระพักตร์ฮั่นอู่ตี้

“ข้าพระองค์หลี่ฮั่น

“ข้าพระองค์จิ้ฉินหู่

“ถวายบังคมฝ่าพระบาท”

“ลุกขึ้นเถอะ”

“ขอบพระทัย พระเจ้าค่ะ”

ฮั่นอู่ตี้ตรัสประชดบรรดาขุนนางในที่นั้นว่า “บางทีอาจจะมีคนคิดว่า ทุกๆเช้าผู้ที่หวงตี้จะปรึกษาเรื่องราชกิจด้วยได้ก็คงจะมีแต่ขุนนางประเภทซันกงจิ่วชิง(三公九卿)1 หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องเป็นขุนนางระดับซันผิ่น(三品)ขึ้นไป จึงจะสามารถมีสิทธิ์ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ ไม่น่าที่จะตกไปถึงทหารชั้นผู้น้อยยศเสี้ยวเว่ย(校尉)สองคนนี้ได้ จะให้เราทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อขุนนางที่มีคุณวุฒิเพียงพอที่เราจะปรึกษาด้วยได้กลับทำตัวเหมือนสระน้ำที่แห้งเหือด(一潭死水) เราก็เลยต้องแสวงหาปลาตัวเล็กๆที่แม้คุณวุฒิจะไม่มาก แต่ก็สามารถทำน้ำให้แตกกระเซ็นได้ หลี่ฮั่น จิ้ฉินหู่ พวกเจ้านำคำพูดที่เคยพูดกับเรา มาพูดต่อหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้อีกสักรอบทีสิ”

“พระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์เคยพูดไว้ว่า ฝ่าพระบาทหมายมั่นที่ใดไว้ก็จะต้องมีธงของแผ่นดินฮั่นไปปักอยู่ที่นั่น” หลี่ฮั่นเอ่ยขึ้นให้ได้ยินทั่วกัน

“แล้วถ้าหากว่าไม่มีใครยินยอมที่จะไปล่ะ”

“พวกข้าพระองค์ก็ยินดีที่จะไป พระเจ้าค่ะ” จิ้ฉินหู่กราบทูล

“หนทางข้างหน้าทั้งไกลทั้งลำบากนะ”

“ต่อให้ต้องตัดเส้นทางผ่านภูเขา” หลี่ฮั่นทูลให้ทรงทราบว่าตนเองไม่กลัวความลำบาก

“หรือต้องสร้างสะพานข้ามแม่น้ำ” จิ้ฉินหู่เสริม

“คมมีดคมดาบ พวกเจ้าก็ไม่กลัวงั้นหรือ” ฮั่นอู่ตี้ตรัสถามย้ำ

“ลูกผู้ชายไม่ร้องขอชีวิตแม้ต้องตายในสนามรบ”

ฮั่นอู่ตี้ตรัสกับเหล่าขุนนาง “พวกท่านได้ยินหรือยัง ยังจะต้องให้พวกเค้าพูดซ้ำอีกรอบหนึ่งไหม”

เหล่าขุนนางต่างตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน “พวกข้าพระองค์ได้ยินแล้ว พระเจ้าค่ะ”

“การยกทัพไปตีซีหนานอี๋ เราได้ตัดสินใจแล้ว ใครกล้าขัดขวาง ก็ให้ลาออกไปเสียตอนนี้เลย”

ทันทีที่ฮั่นอู่ตี้ตรัสจบ เหล่าขุนนางต่างนิ่งเงียบ

“ข้าพระองค์มีเรื่องขอกราบทูล พระเจ้าค่ะ”

ซางหง(桑宏) เจ้าต้องการจะลาออกใช่ไหม” ทรงตรัสถามต้าซือหนง

“ทูลฝ่าพระบาท...”

“นอกจากเรื่องลาออกแล้ว เรื่องอื่นเราไม่ฟัง”

“ข้าพระองค์จะลาออกเสียก็ได้ แต่ว่าเสบียงในคลังหลวงแทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว(国库如洗) จะให้ข้าพระองค์จัดการอย่างไรพระเจ้าคะ”

“เรื่องนี้ เจ้าไม่ต้องกังวลไป” ทรงตรัสตัดบท “ยังมีใครจะลาออกอีกไหม”

“ข้าพระองค์ มีเรื่องขอกราบทูล พระเจ้าค่ะ”

เว่ยชิง..เจ้าก็จะลาออกด้วยอีกคนใช่ไหม”

“ในเมื่อฝ่าพระบาททรงตัดสินพระทัยดีแล้ว ข้าพระองค์ก็คงจะไม่ขัดขวาง แต่ว่าหากไม่มีการเตรียมเสบียงเอาไว้ กองทัพก็จะลำบาก ข้าพระองค์ยินดีที่จะนำเสบียงที่ข้าพระองค์มีอยู่ซึ่งเป็นรางวัลพระราชทานจากฝ่าพระบาทเมื่อยี่สิบปีก่อน มอบให้แก่วังหลวงทั้งหมดเพื่อใช้เป็นเสบียงสำหรับกองทัพ”

ฮั่นอู่ตี้พอพระทัยกับคำกราบทูลของเว่ยชิง “ไม่เลวนี่ ยังมีใครที่ยินดีจะช่วยเหลือวังหลวงเรื่องนี้บ้าง”

“พวกข้าพระองค์ยินดีทำตามท่านต้าซือหม่า พระเจ้าค่ะ” เหล่าขุนนางส่งเสียงขานรับ

“ต้องอย่างนี้สิ กษัตริย์ขุนนางร่วมใจกัน แสดงออกถึงพลังที่เข้มแข็ง(君臣同心 其利断金) หลี่ฮั่น จิ้ฉินหู่

“พระเจ้าค่ะ”

“จงเตรียมตัวให้พร้อม ตามกองทัพไปออกศึก”

“น้อมรับพระบัญชา”

“ถึงแม้ว่าคนรุ่นหนุ่มจะดูเหนือกว่าคนแก่ แต่ก็ยังคงต้องการคนชี้แนะจากคนแก่ประสบการณ์อย่างพวกท่าน”

“เรียกตัวมาซิ” ทรงรับสั่งกับขันที

ขันทีรับคำแล้วประกาศเสียงดังว่า “ทรงมีรับสั่งให้จี้อันซื่อมาเข้าเฝ้า”

จี้อันซื่อเดินเข้ามาคุกเข่าต่อเบื้องพระพักตร์ “ถวายบังคม พระเจ้าค่ะ”

จี้อันซื่อ เจ้าไม่กวดขันดูแลปล่อยให้นักโทษกบฎอย่างหลิวซี่จวินหนีไปได้ เดิมทีจะต้องลงโทษเจ้าอย่างหนัก แต่ว่าเราจะให้โอกาสเจ้าทำความดีความชอบชดเชยความผิดที่เจ้าก่อเอาไว้ เจ้ากลับไปรับตำแหน่งนายพลใหญ่เป็นการชั่วคราว นำกองทหารแปดหมื่นนายไปทำศึกกับซีหนานอี๋

“ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ พระเจ้าค่ะ”

“เราต้องการให้เจ้าจัดการกับดินแดนของศัตรูให้ราบคาบย่อยยับ หากมองดูดีๆแล้วถือเป็นการลงโทษเจ้าไปในตัว แม้จะทดแทนโทษกันไม่ได้ก็เถอะ”



[1 นอกจากขุนนางผู้ช่วยหวงตี้ทั้งสามตำแหน่งอันได้แก่

๑. เฉิงเซี่ยง(丞相) เทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรี ในสมัยฮั่นตะวันตกเปลี่ยนชื่อเป็น ต้าซือถู(大司徒)

๒. ไท่เว่ย(太尉) เทียบเท่ากับสมุหกลาโหม ดูแลกิจการฝ่ายทหาร ในสมัยฮั่นตะวันตกเปลี่ยนชื่อเป็น ต้าซือหม่า(大司马) และ

๓. อี้ว์สื่อต้าฟู(御史大夫) เทียบเท่ากับสมุหนายก ดูแลกิจการฝ่ายพลเรือน ในสมัยฮั่นตะวันตกเปลี่ยนชื่อเป็น ต้าซือคง(大司空)

หรือที่เรียกว่าซันกง(三公)แล้ว ก็ยังมีขุนนางระดับสำคัญในราชสำนัก รองถัดจากซันกงอีก ๙ ตำแหน่ง ที่เรียกว่า จิ่วชิง(九卿) ได้แก่

๑. เฟิ่งฉาง(奉常) มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมราชประเพณี และศาลบรรพชน ในสมัยฮั่นตะวันตกได้เปลี่ยนชื่อเป็น ไท่ฉาง(太常)

๒. หลางจงลิ่ง(郎中令) มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานด้านการแพทย์ ในสมัยฮั่นตะวันตกได้เปลี่ยนชื่อเป็น กวงลี่ว์ซวิน(光禄勋)

๓. เว่ยเว่ย(卫尉) มีหน้าที่รับผิดชอบเฝ้าระวังป้องกันประตูวังหลวง

๔. ไท่ผู(太仆) มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลม้าทั้งของหวงตี้และของกองทัพ

๕. ถิงเว่ย(廷尉) มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลการพิจารณาการสอบสวนคดีอาญา และการศาล

๖. เตี่ยนเค่อ(典客) มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลด้านการฑูต ในสมัยฮั่นตะวันตกได้เปลี่ยนชื่อเป็น ต้าหงหลู(大鸿胪)

๗. จงเจิ้ง(宗正) มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลภารกิจของเชื้อพระวงศ์

๘. จื้อซู่เน่ยสื่อ(治粟内史) มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเสบียง การเงิน และคลังหลวง ในสมัยฮั่นตะวันตกได้เปลี่ยนชื่อเป็น ต้าซือหนง(大司农)

๙. เส้าฝู่(少府) มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลการจัดเก็บภาษีของแผ่นดิน]




Create Date : 17 ธันวาคม 2550
Last Update : 8 มิถุนายน 2551 8:09:05 น. 1 comments
Counter : 2254 Pageviews.

 
หนังเรื่องนี้ออกแผ่นยังครับ


โดย: หลิวเบียร์ IP: 222.123.144.231 วันที่: 16 พฤษภาคม 2552 เวลา:14:41:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WangAnJun
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add WangAnJun's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.