Group Blog
 
<<
มกราคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
11 มกราคม 2549
 
All Blogs
 
จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค 1 - ตอนที่ 7, 8


สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนที่ 7 | ตอนที่ 8 | ตอนถัดไป

ตอนที่ 7 เนี่ยนหนูเจียวรู้ความจริง



เนี่ยนหนูเจียวต้องการสืบทราบเรื่องราวบางอย่าง จึงได้แต่งตัวปลอมเป็นชาย
แล้วเดินทางมาหาหลิวอี้ที่จวนของเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อ คนรับใช้ที่จวนได้นำทาง
พานางไปพบกับหลิวอี้ แต่ระหว่างทางเกิดพบกับหลิวซิ่นโดยบังเอิญ หลิวซิ่น
ซึ่งกำลังจะเดินทางไปเป็นประธานพิธีในการเปิดงานเทศกาลจับกระต่าย รู้สึกไม่
คุ้นหน้าคุ้นตาเนี่ยนหนูเจียว จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นใคร”
คนรับใช้ในจวนที่พาเนี่ยนหนูเจียวมาได้เอ่ยตอบขึ้นว่า “เรียนใต้เท้า หนุ่มผู้นี้เป็น
แขกของคุณชาย”

เนี่ยนหนูเจียว : “คารวะใต้เท้า”
หลิวซิ่น : “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน”
เนี่ยนหนูเจียว : “ข้าน้อย ชอบสัญจรเดินทางแสวงหาความรู้ไปในที่ต่างๆ(游学)
เผอิญผ่านมาแถวนี้ เลยคิดจะแวะมาทักทายคุณชายหลิวอี้ ผู้ซึ่งเป็นศิษย์พี่ของ
ข้าน้อยสักหน่อย”

หลิวซิ่นฟังแล้วรู้สึกแปลกใจจึงเอ่ยถามขึ้น “เจ้ารู้จักกับลูกข้าได้อย่างไร”
เนี่ยนหนูเจียว : “เมื่อครั้งที่คุณชายเดินทางนำเครื่องบรรณาการไปถวายที่เมือง
ฉางอัน ข้าน้อยกับคุณชายพบกันครั้งแรกต่างมีความรู้สึกถูกชะตาเหมือนกับว่า
เราทั้งสองเคยเป็นสหายเก่าแก่ที่คบกันมานานตั้งแต่ครั้งอดีต ก็เลยผูกสัมพันธ์
ด้วยการสาบานเป็นสหายร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน”

หลิวซิ่น : “เจ้าว่าเจ้ามาจากฉางอัน มาถึงที่นี่ได้ แสดงว่าต้องมีภาระกิจสำคัญ”
เนี่ยนหนูเจียว : “ข้าน้อย ชอบสัญจรเดินทางแสวงหาความรู้ไปในที่ต่างๆ(游学)
เมื่อมาถึงที่นี่ มีความรู้สึกอยากจะไปเคารพสักการะท่านขงจื่อ(孔子)สักหน่อย”

[ขงจื่อ หรือ ขงจื๊อ นักปรัชญาชาวจีนที่ยิ่งใหญ่ในสมัยปลายยุคชุนชิว มีอีกชื่อหนึ่งว่า ขงฟูจื่อ(孔夫子)]
หลิวซิ่น : “เจ้ามีแซ่ว่าอะไร”
เนี่ยนหนูเจียว : “ข้าน้อยแซ่เจียว(焦)”
หลิวซิ่น : “พ่อของเจ้าเป็นใคร?”
เนี่ยนหนูเจียว : “ข้าโชคร้าย ที่พ่อของข้าตายเร็วไปหน่อย”
หลิวซิ่น : “พ่อของเจ้าคงรับใช้ทางการ?”
เนี่ยนหนูเจียว : “พ่อของข้าน้อยเป็นชาวนาที่รักการอ่านหนังสือ”
หลิวซิ่น : “แล้วเจ้าเคยศึกษาหรืออ่านตำราอะไรมาแล้วบ้าง”
เนี่ยนหนูเจียว : “ข้าน้อยศึกษาและอ่าน ซื่อซูอู่จิง(四书五经)”
[四书五经 หมายถึง ตำราทั้งสี่กับคัมภีร์ทั้งห้า ที่เกี่ยวกับปรัชญาและคำสอนของนักปรัชญาจีนในสมัยก่อน
ตำราทั้งสี่เล่ม(四书)ประกอบไปด้วย
《大学》(ต้าเสวีย)-ตำราแห่งอุดมศึกษา
《中庸》(จงยง)-ตำราคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง
《论语》(หลุนอี่ว์)-ตำราบันทึกคำสอนระหว่างขงจื่อกับศิษย์
《孟子》(เมิ่งจื่อ)-ตำราบันทึกคำสอนระหวางเมิ่งจื่อกับศิษย์
คัมภีร์ทั้งห้า(五经)ประกอบไปด้วย
อี้จิง(易经)-คัมภีร์ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงแห่งธรรมชาติ
ซือจิง(诗经)-คัมภีร์ว่าด้วยลำนำบทกวี
ซูจิง(书经)-คัมภีร์ว่าด้วยประวัติศาสตร์
หลี่จี้(礼记)-คัมภีร์ว่าด้วยจารีตประเพณี มารยาทกฎเกณฑ์ต่างๆ
ชุนชิว(春秋)-คัมภีร์ว่าด้วยบันทึกพงศาวดาร เหตุการณ์สำคัญ]

การที่เนี่ยนหนูเจียวได้บอกว่าเดินทางมาจากเมืองฉางอันทำให้หลิวซิ่นเกิดความ
ระแวงสงสัยคิดไปว่าเนี่ยนหนูเจียวอาจจะเป็นคนของไท่จื่อส่งมา เพื่อที่จะจับพิรุธว่า
เนี่ยนหนูเจียวเป็นคนของไท่จื่อหรือไม่ จึงได้เอ่ยถามคำถามซ้ำๆว่า
“เจ้ารู้จักกับลูกข้าได้อย่างไร”
เนี่ยนหนูเจียว : “ข้าน้อยได้บอกท่านไปแล้วนี่”
หลิวซิ่น : “ข้าลืมไปแล้ว”
เนี่ยนหนูเจียว : ฉางอัน
หลิวซิ่นลองแย็บถามเนี่ยนหนูเจียวไปอีกว่า ไท่จื่อตอนนี้อยู่ที่ไหน”
เนี่ยนหนูเจียวชะงักเล็กน้อยกับคำถามของหลิวซิ่น แต่ก็ใช้ไหวพริบเอ่ยตอบกลับไปว่า
“ข้าน้อยเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น และก็ไม่รู้จักไท่จื่อด้วย ข้าน้อยจะไปทราบได้
อย่างไรว่าไท่จื่อจะไปไหนหรืออยู่ที่ไหน”

ในจังหวะนั้นเองหลิวอี้ก็เดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยเรียกเนี่ยนหนูเจียวด้วยความเคยชินว่า
“น้องเจียว”
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้กำลังอยู่ต่อหน้าหลิวซิ่นจึงได้เอ่ยเรียกเนี่ยนหนูเจียวใหม่ว่า
“คุณชายเจียว ขออภัยที่ข้าออกมาต้อนรับช้าไปหน่อย” จากนั้นก็หันไปบอกหลิวซิ่นว่า
“ท่านพ่อ ชายผู้นี้เป็นเพื่อนของลูกเอง มาหาลูกก็เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กัน”
หลิวซิ่นดึงตัวของหลิวอี้ไปใกล้ๆและกระซิบถาม “หวังว่าเพื่อนของเจ้าคนนี้ คงไม่ใช่
คนของไท่จื่อนะ”

หลิวอี้ : “ไม่ใช่คนของไท่จื่อหรอกท่านพ่อ ข้ารับรองได้ ท่านพ่อวางใจได้ ยังไงก็ไม่ใช่”
หลิวซิ่น : “ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าบอก ข้าก็วางใจ เอางี้ อีกสักพักหนึ่งเจ้าค่อยพาเพื่อนของ
เจ้าคนนี้ ไปร่วมงานเทศกาลจับกระต่ายด้วยละกัน”

หลิวอี้รับคำ “ครับท่านพ่อ”
จากนั้นหลิวซิ่นก็เดินจากไป เนี่ยนหนูเจียวเมื่อเห็นหลิวซิ่นเดินไป ก็หันมาบอกกับ
หลิวอี้ว่า “พ่อของเจ้านี่ สุดยอดจริงๆ ถามเสียจนเกือบทำให้ข้าจนมุมแน่ะ”

**********

หลิวอี้พาเนี่ยนหนูเจียวมายังห้องของตนเอง
เนี่ยนหนูเจียวเอ่ยขึ้นว่า “กว่าจะมาพบกับเจ้าได้นี่ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน
พวกที่มียศต่ำแหน่งสูงๆก็อย่างงี้ เข้าพบลำบาก”

หลิวอี้ : “เจียว เจียว ทำไมมาหาข้าถึงที่นี่ได้ล่ะ เมื่อวานเจ้าคงจะนอนไม่หลับ
ใช่หรือเปล่า”

เนี่ยนหนูเจียว : “จะให้ข้านอนหลับได้อย่างไร ในหัวของข้าคอยคิดถึงแต่เรื่อง
ของเจ้า และเมื่อวานนี้ก็มีคนมาตั้งหลายคนมาถามหาเจ้าเพื่อที่จะคิดบัญชีกับเจ้า
ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะเป็นอะไรไป”

หลิวอี้ : “ไม่มีเรื่องอะไรนี่ ข้าแค่ไม่อยากเอาเรื่องเอาราวอะไรกับเจ้าหนุ่มนั่น เลย
ยกโทษให้กับเจ้าหนุ่มนั่นไป ก็แค่นั้น”

เนี่ยนหนูเจียว : “ถ้าเจ้าไม่กลัวเจ้าหนุ่มนั่น ทำไมเมื่อวานถึงได้วิ่งหนีจากไปอย่าง
เร่งรีบขนาดนั้นด้วยล่ะ ”

หลิวอี้ : “ไอ้โหยว เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นใคร”
เนี่ยนหนูเจียว : “แล้วเป็นใครล่ะ?”
หลิวอี้ : “เจ้าหนุ่มนั่นก็คือผู้ที่จะได้ขึ้นครอง....”
เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังจะเผลอพูดอะไรออกไป หลิวอี้จึงเปลี่ยนคำพูดใหม่เอ่ยขึ้นว่า
“เอ่อ...จริงๆแล้ว ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นใคร”
เนี่ยนหนูเจียว : “ข้าไม่เชื่อ ข้าว่าเจ้าต้องรู้แน่ๆว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นใคร แต่เจ้าไม่ยอม
บอกข้า แสดงว่าคำพูดหวานๆจ๊ะจ๋าของเจ้าที่เคยพูดกับข้าก็ไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่”

พูดจบเนี่ยนหนูเจียวก็เดินหนี
หลิวอี้ : “เจียวเจียว เจ้าอย่าเพิ่งเดินหนีสิ”
เนี่ยนหนูเจียว : “ก็แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น เจ้านี้ชอบปิดบังความจริงกับข้า
ถ้าหากว่าเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มนั่นไปเป็นหญิงสาวแล้วล่ะก็ ข้ามิยิ่งถูกเจ้าหลอกหรือ”

หลิวอี้ : “เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าบอกเจ้าก็ได้ แต่ว่าเมื่อรู้แล้ว เจ้าห้ามไปเอ่ยให้คนอื่นได้ยิน”
เนี่ยนหนูเจียวโยนก้อนหินถามทางว่า “ทำไมเจ้าจะต้องกลัวด้วย ในเมื่อเจ้าหนุ่มนั่นใช่ว่า
จะมียศตำแหน่งสูงกว่าเจ้าสักหน่อย”

หลิวอี้รีบเอ่ยขึ้นว่า “สูงสิ สูงกว่าข้ามากเลย เมื่อเทียบกับพ่อข้าแล้วเจ้าหนุ่มนั่นยิ่งสูงกว่าอีก
ตั้งหลายระดับแน่ะ”

เนี่ยนหนูเจียวรู้สึกสงสัยจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “อายุก็ยังน้อยไม่น่าจะมียศตำแหน่งสูงขนาดนั้นได้
เจ้าหลอกข้าหรือเปล่าเนี่ย”

หลิวอี้ : “ข้าไม่ได้หลอกเจ้า ตำแหน่งที่พูดถึงน่ะ ติดตัวเจ้าหนุ่มนั่นมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
แล้ว”

เนี่ยนหนูเจียว : “เจ้าหมายถึงไท่จื่อ?”
เนี่ยนหนูเจียวเอ่ยขึ้นอีกว่า “ไอ้หย่า เจ้ากระทำการล่วงละเมิดไท่จื่อ เจ้าต้องได้รับโทษแน่ๆ”
หลิวอี้ : “เรื่องเมื่อวานนี้ไท่จื่อไม่รู้หรอกว่าใครที่เป็นคนทำ เพียงแต่เจ้าไม่พูดออกมา
ไท่จื่อก็จับมือใครดมไม่ได้(吃哑巴亏)”

เมื่อเนี่ยนหนูเจียวบรรลุวัตถุประสงค์ในเรื่องที่ต้องการทราบแล้ว ได้เอ่ยขึ้นกับหลิวอี้ว่า
“หมดธุระของข้าแล้ว ข้าไปล่ะ”
หลิวอี้ : “เจียวเจียว เจ้าจะรีบไปไหนล่ะ พวกเรายังไม่ได้กุ๊กกุ๊กกิ๊กกิ๊กกันเลย”
พูดจบหลิวอี้ก็เดินเข้าไปกอดเนี่ยนหนูเจียว แต่เนี่ยนหนูเจียวปัดป้องพร้อมกับบอกว่า
“มีคนมาแน่ะ”
หลิวอี้ก็ยังกอดไม่หยุดพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีใครกล้าเข้ามาในนี้หรอก”
เนี่ยนหนูเจียวเมื่อเห็นหลิวอี้ไม่ยอมปล่อยมือแน่ๆ จึงร้องออกมาว่า ไท่จื่อ ไท่จื่อมาแน่ะ”
หลิวอี้ตกใจจึงปล่อยเนี่ยนหนูเจียวจากอ้อมกอด เนี่ยนหนูเจียวเห็นเป็นจังหวะดีจึงรีบชิ่งหนี
ออกมา

**********

เพราะว่าในช่วงสายของวันนี้จะเริ่มมีการจับกระต่ายกัน ในตัวเมืองเยี่ยนชื่อ ณ เวลานี้ จึงมีผู้คน
เดินกันคึกคัก รวมทั้งคณะเดินทางของไท่จื่อด้วย เนี่ยนหนูเจียวเห็นพวกไท่จื่อเดินอยู่ข้างหน้า
จึงได้ว่าจ้างคนแบกเสลี่ยงให้แบกพานางผ่านคณะของไท่จือไปหมายจะให้ไท่จื่อเห็น

คณะเดินทางของไท่จื่อเดินคุยกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน ไม่ได้สังเกตว่ามีเสลี่ยงผ่านกลุ่ม
ไป แต่กัวเส่อเหรินตาดีเหลือบไปเห็นหญิงสาวบนเสลี่ยง จึงรีบชี้ให้ไท่จื่อดู ไท่จื่อเห็นเข้าก็
ดีใจสุดๆหมายจะรีบเดินตามเสลี่ยงให้ทัน แต่ทว่าถูกจางทังส่งเสียงกระแอมกระไอห้ามไว้ ไท่จื่อ
จึงแก้เกี้ยวด้วยการเอ่ยขึ้นว่า “เทศกาลจับกระต่ายใกล้จะเริ่มแล้ว พวกเรารีบเดินไปกันเถอะ เดี๋ยว
จะพลาดการจับอ๋องกระต่าย”
พูดจบปุ๊บก็รีบวิ่งตามเนี่ยนหนูเจียวไปทันที
จางทังเอ่ยถามขึ้น กัวเส่อเหริน ใช่แม่นางคนนี้หรือเปล่า”
กัวเส่อเหรินตอบกลับไปว่า “คลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนจะใช่”
คำตอบของกัวเส่อเหรินที่บอกว่าดูเหมือนคล้ายทำให้จางทังรู้สึกไม่พอใจเอ่ยขึ้นมาว่า
“หึ พูดมาได้ว่าคล้าย”

ไท่จื่อเมื่อเดินตามไปทันเนี่ยนหนูเจียวก็จัดแจงวางมาดของตัวเองให้ดูประหนึ่งเหมือนว่ากำลัง
ไม่พอใจเนี่ยนหนูเจียวอยู่ จากนั้นก็ส่งเสียงกระแอมกระไอ เนี่ยนหนูเจียวหันมาเห็นเข้าก็เอ่ย
ทักทายขึ้นว่า“คุณชายจิ่ว”
แต่เมื่อนึกอะไรได้จึงเอ่ยขึ้นใหม่ว่า “จิ่วเกอ เรื่องเมื่อวานนี้คงทำให้ท่านตกใจ”
ไท่จื่อทำเสียงเข้มเอ่ยขึ้นว่า “แต่ว่ามีบางคนยืนเฉยๆแอบมองดูคนเค้าทะเลาะกัน(坐山观虎斗)
คงดีอกดีใจละมั๊ง”

เนี่ยนหนูเจียวได้ยินดังนั้นจึงบอกให้คนแบกเสลี่ยงหยุดแล้วเอ่ยกับไท่จื่อว่า
“ท่านหมายถึงข้าหรือเปล่า ข้าดีอกดีใจอะไร”




ตอนที่ 8 คราวเคราะห์ของไท่จื่อและจางเชียน


ไท่จื่อพูดเหน็บเนี่ยนหนูเจียวเข้าให้ว่า “ก็ชายสองคนต้องมาทะเลาะต่อสู้กันแบบต้องตาย
กันไปข้างหนึ่ง(你死我活)เพื่อเจ้าขนาดนี้ เจ้ายังไม่รู้สึกดีอกดีใจหรอกหรือ”

เนี่ยนหนูเจียวฟังไท่จื่อพูดจบก็ถอนหายใจออกมา ไท่จื่อได้ยินเข้าก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“เจ้าถอนหายใจทำไม”
เนี่ยนหนูเจียวตอบตามความรู้สึกของตนเองไปว่า “เมื่อคนเราต้องตกอยู่ในสภาวะจำยอม
ต่อให้ตนเองมีทุกข์ขมขื่นเพียงใด ก็จำต้องเสแสร้งแกล้งแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองมีความ
สุข(强颜欢笑) ข้าว่าจิ่วเกอคงไม่เข้าใจถึงความรู้สึกเช่นนี้ของข้ากระมัง”

ไท่จื่อพูดเหน็บเนี่ยนหนูเจียวเข้าให้อีกหนึ่งดอกว่า “ก็ข้าเห็นพวกเจ้าหยอกล้อต่อกระซิก
พี่จ๊ะน้องจ๋า ดูมีความสุขกันดีนี่ ไฉนเลยถึงยังมีเรื่องให้ต้องทุกข์ใจอีกล่ะ”

เนี่ยนหนูเจียว : จิ่วเกอ ท่านนี่ไม่ทราบจริงๆเลยเหรอว่าเค้าเป็นใคร เค้าเป็นลูกชายของ
เจ้าเมืองเยี่ยนชื่อ ทุกๆที่ในเมืองเยี่ยนชื่อจะว่าไปก็เปรียบเสมือนกับเป็นบ้านเล็กบ้านน้อย
(三宫六院)ของเค้าก็ว่าได้ ถ้าเค้าสนใจสาวคนใดแล้วล่ะก็ สาวคนนั้นจะกล้าปฏิเสธได้
อย่างไร”

[三宫六院(ซันกงลิ่วเอวี้ยน) หมายถึง วังหลังที่เป็นที่อยู่ของเหล่าบรรดาภรรยา อนุภรรยา หรือนางสนม
ของหวงตี้(ฮ่องเต้)]

ไท่จื่อพูดด้วยความโกรธเล็กๆว่า “ชักจะเกินไปหน่อยแล้ว เป็นแค่ลูกชายของขุนนาง
ทำอย่างนี้ มิเท่ากับยกตนเทียมหวงตี้หรอกรึ”

เนื่องจากเนี่ยนหนูเจียวได้สืบทราบจนรู้ความจริงเกี่ยวกับสถานะภาพที่แท้จริงของจิ่วเกอ
และตนเองก็มีเรื่องบางอย่างที่อยากจะขอความช่วยเหลือจากไท่จื่อ เมื่อเห็นเป็นโอกาสเหมาะ
จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า จิ่วเกอ ค่ำนี้ท่านว่างหรือเปล่า ข้ามีเรื่องตั้งมากมายที่อยากจะคุยกับท่าน”
ไท่จื่อได้ยินเข้ารู้สึกดีใจหาย แต่ก็ยังวางมาดกลบความดีใจไว้ เอ่ยขึ้นว่า “ว่างสิ ว่าง”
เนี่ยนหนูเจียวหลังจากที่ได้ยินคำตอบจากไท่จื่อ ก็บอกคนแบกเสลี่ยงให้ออกเดินหน้าต่อไป
เมื่อเนี่ยนหนูเจียวผ่านไปแล้วไท่จื่อก็หลุดฟอร์มแสดงความดีใจออกมายกใหญ่ “เย้!”
กัวเส่อเหรินเดินเข้ามากระซิบว่า จิ่วเกอ ท่านดูสีหน้าของจางทังตอนนี้สิ เครียดจนหน้าดำ
ไปเลย”

ไท่จื่อกระซิบบอกกัวเส่อเหรินไปว่า“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” จากนั้นก็ร้องเรียกจางทัง
“ท่านเรียกข้า มีเรื่องอะไรเหรอ” จางทังเอ่ยถามขึ้นขณะที่เดินเข้ามาพร้อมกับหลี่หลิงและก้วนฟู
ไท่จื่อ : “วันนี้ตอนหัวค่ำ ข้ามีงานสำคัญมากอยู่ชิ้นหนึ่งที่ต้องไปจัดการ จึงอยากให้เจ้าไป
เป็นเพื่อนข้าสักหน่อย”

จางทัง : “ข้าเหรอ”
ไท่จื่อ : “ใช่ เจ้านั่นแหละ”
จางทังเองรู้สึกไม่เต็มใจเท่าไรนัก แต่เมื่อเป็นหน้าที่ที่จะต้องปกป้องดูแลคุ้มครองไท่จื่อ
จึงได้แต่เอ่ยตอบกลับไปว่า จางทังน้อมรับคำสั่ง”
เมื่อจางทังพูดจบไท่จื่อก็รีบเดินทางมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่จัดงานทันที พร้อมกับกระหยิ่มยิ้มย่อง
อยู่ในใจที่คืนนี้จะได้พบกับเนี่ยนหนูเจียว โดยที่จางทังไม่ได้ทัดทานหรือสอบถามว่าเป็นเรื่อง
สำคัญอะไร ก้วนฟูเห็นไท่จื่อเดินตัวลิ่วตัวปลิวไป จึงพูดขึ้นว่า “พวกเรารีบไปกันเถอะ”
กิริยาอาการทุกอย่างของไท่จื่อกับพรรคพวก หาได้รอดพ้นไปจากสายตาของชายชุดดำที่เฝ้า
มองดูอยู่ห่างๆ

**********

ที่ด้านหน้าของศาลาว่าการของเมืองเยี่ยนชื่อ มีการแสดงเต้นรำของเหล่าบรรดาหญิงสาวให้ดู
ฆ่าเวลาก่อนที่พิธีการจับกระต่ายจะเริ่มต้นขึ้น วันนี้มีชาวบ้านมามุงดูให้ความสนใจและเข้าร่วม
กิจกรรมกันอย่างหนาแน่น เมื่อได้เวลาฤกษ์หลิวอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อซึ่งนั่งอยู่เป็น
ประธานในพิธีได้เอ่ยขึ้นว่า

“เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันที่เราจะมาล่ากระต่ายและเป็นวันที่พ่อแม่พี่น้องจะมีความสุขสนุกสนาน
ร่วมกัน ข้าในนามของท่านเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อขอประกาศแจ้งให้ทุกท่านทราบโดยทั่วกันว่า
กระต่ายแต่ละตัวที่พวกท่านจับได้นั้นให้ถือว่าตกเป็นกรรมสิทธ์ของท่านที่จะนำกลับไปบ้านได้
และผู้ใดที่ล่ากระต่ายได้มากกว่าสิบตัวขึ้นไปแล้วล่ะก็สามารถมารับรางวัลได้ที่นี่”


ทันทีที่หลิวอี้พูดจบ เจ้าเมืองเยี่ยนชื่อก็บอกเจ้าหน้าที่ให้ไปนำอ๋องกระต่ายออกมาวางให้
ประชาชนดู จากนั้นเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อได้เอ่ยขึ้นว่า
“หวังว่าทุกๆท่านคงจดจำรายละเอียดของอ๋องกระต่ายตัวนี้ได้เป็นอย่างดี สำหรับใครที่สามารถ
จับตัวเป็นๆของอ๋องกระต่ายได้ ข้ามีรางวัลเป็นทองคำหนักหนึ่งร้อยเหลี่ยง(一百两)ให้ บัดนี้
การล่ากระต่ายเริ่มต้นได้”

[เหลี่ยง(两) หรือที่เคยได้ยินกันว่า ตำลึง เป็นหน่วยวัดน้ำหนักของจีน หนึ่งเหลี่ยงจะหนัก 50 กรัม
ดังนั้น หนึ่งร้อยเหลี่ยง(一百两) ก็หนักประมาณ 5 กิโลกรัม]


หลังจากที่เจ้าเมืองเยี่ยนชื่อพูดจบบรรดากระต่ายสองขาหลายพันตัวได้ถูกปล่อยออกมาจาก
ศาลากลางรวมทั้งอ๋องกระต่ายด้วย ประชาชนต่างพากันวิ่งต้อนไล่จับกระต่ายกันอย่างสนุกสนาน

******

ไท่จื่อหันมาบอกก้วนฟูกับหลี่หลิงว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนคอยติดตามข้า หากจับอ๋องกระต่าย
ได้แล้วล่ะก็ ข้ามีรางวัลเป็นทองคำหนักหนึ่งพันเหลี่ยง(两 - ตำลึง)ให้พวกเจ้า”

ก้วนฟูเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่ต้องการทองคำ ข้าอยากได้เหล้าเป็นรางวัลจากจิ่วเกอมากกว่า”
จากนั้นทั้งสามก็ขี่ม้าออกไปล่ากระต่ายกัน โดยมีกัวเส่อเหรินกับจางทังเป็นแผนกกองเชียร์

**********

ที่บริเวณชายป่าแห่งหนึ่ง จางเชียนพร้อมด้วยญาติๆกำลังนำร่างของพ่อของจางเชียนที่อยู่ใน
โลงศพไปฝังลงในหลุมที่ขุดจัดเตรียมไว้ ที่หน้าแท่นบูชาจางเชียนได้เอ่ยขึ้นว่า

“ท่านพ่อ ลูกได้นำท่านกลับมาถึงบ้านแล้ว ที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็คือเมืองเยี่ยนชื่อ ท่านทำงานเหนื่อย
มาทั้งชีวิต สมควรที่ท่านจะได้กลับมาอยู่ในสถานที่ที่ท่านเกิดและก็เติบโตมา ขอให้ท่านนอนหลับ
พักผ่อนให้สบายเถิดนะ ท่านพ่อ”


พูดจบจางเชียนก็โปรยกระดาษเงินกระดาษทองเพื่อเซ่นวิญญาณ ในขณะที่คนแบกโลงศพนำ
โลงศพไปวางลงไว้ในหลุม

ก้วนฟูกับหลี่หลิงตามล่าอ๋องกระต่ายมาจนถึงบริเวณที่ฝังศพ ก้วนฟูเห็นอ๋องกระต่ายวิ่งหลบลง
ไปในหลุมฝังศพจึงรีบร้องบอกจิ่วเกอว่าอยู่ตรงนี้ จากนั้นทั้งสองรีบลงจากม้าวิ่งเข้าไปค้นหา
อ๋องกระต่ายอย่างไม่สนใจใคร จางเชียนเห็นเข้ารู้สึกไม่พอใจที่เห็นคนมายุ่มย่ามวุ่นวายกับที่ฝังศพ
จึงตะโกนร้องบอกออกไปว่า “พวกข้ากำลังทำพิธีฝังศพอยู่นะ พวกเจ้ารีบออกไปจากที่นี่โดยเร็ว”
“พวกข้ากำลังตามจับอ๋องกระต่ายกันอยู่ เจ้าอย่ามายุ่ง” ก้วนฟูตอบพร้อมกับสอดส่ายสายตา
มองหาอ๋องกระต่ายไม่สนใจคำทัดทานของจางเชียน

จางเชียนเข้ามาผลักดันก้วนฟูและหลี่หลิงให้ออกไปให้ห่างจากหลุมศพพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“พวกเจ้าควรจะให้เกียรติผู้ตายบ้าง ทำอย่างนี้เกินไปแล้ว”
ก้วนฟูเห็นอ๋องกระต่ายวิ่งออกมาจากหลุมแล้วไปหยุดนิ่งอยู่บนโลงศพรีบร้องบอกว่า
“นั่นไง อยู่นั่น” จากนั้นทั้งสองก็รีบวิ่งเข้าไปจับตัวอ๋องกระต่าย
จางเชียนเห็นท่าไม่ดีหันไปคว้าท่อนไม้ท่อนใหญ่หมายจะเอามาไล่ทั้งสองที่ไม่รู้จักกาละเทศะ
ให้ออกไปพ้นๆ ไท่จื่อซึ่งขี่ม้าตามมาทีหลังเห็นอ๋องกระต่ายกำลังวิ่งหนีไป จึงรีบขึ่ม้าปรี่เข้ามา
หมายจะไล่จับตัวอ๋องกระต่ายให้ได้ จางเชียนเห็นไท่จื่อทะเล่อทะล่าเข้ามาอีกคนจึงใช้ไม้ตีฟาด
เข้าไปที่ไหล่ของไท่จื่อ ทำให้ไท่จื่อพลัดตกจากหลังม้าล้มลงไปนอนแอ้งแม้งกับพื้น จางเชียน
ซึ่งกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปหาไท่จื่อหมายจะตีซ้ำว่า “พวกเจ้าบังอาจ
ลบหลู่คนตาย งั้นข้าจะฝังเจ้าไว้ที่นี่ด้วยละกัน”

หลี่หลิงกับก้วนฟูรีบเข้าไปดึงตัวจางเชียนไว้ พร้อมกับร้องบอกไท่จื่อให้รีบหนีไป ทั้งสามคน
ยื้อยุดฉุดกันไปมาจนทำให้ไม้หลุดจากมือของจางเชียนลอยละลิ่วไปหาไท่จื่อ เมื่อไท่จื่อเห็น
ท่อนไม้ลอยละลิ่วตรงดิ่งเข้ามาหาตนจึงใช้เท้าเตะไม้ท่อนนั้นหมายให้พ้นๆไปจากตัว แต่ทว่าไม้
ท่อนนั้นกลับลอยละลิ่วไปโดนเข้าที่หน้าผากของจางเชียน ความแรงของการปะทะกันระหว่าง
ไม้กับหน้าผากนั้นรุนแรงเหมือนกับโดนของแข็งตีเข้าที่แสกหน้า ส่งผลทำให้จางเชียนหน้าหงาย
ล้มลงไปนอนกับพื้นทันที

“มีคนตาย เจ้าฆ่าคนตาย” ชาวบ้านที่มาร่วมพิธีฝังศพร้องตะโกนออกมาพร้อมกับเข้าไปห้อมล้อม
ไท่จื่อ ฝ่ายก้วนฟูกับหลี่หลิงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รีบวิ่งเข้าไปหาไท่จื่อแล้วพาออกไป
จากวงล้อมของชาวบ้านทันที



หากท่านมีคำวิจารณ์หรือคำแนะนำโปรดไปเขียนไว้ที่หน้าสารบัญ



Create Date : 11 มกราคม 2549
Last Update : 12 กรกฎาคม 2549 7:20:02 น. 0 comments
Counter : 2303 Pageviews.

WangAnJun
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add WangAnJun's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.