Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
6 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
《ต้าฮั่นเทียนจื่อ 1》 四十


สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนถัดไป

จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค 1 - ตอนที่ 40


10 มกราคม 2551 / ปรับปรุงแก้ไข :




40-1


ก่อนที่ขบวนรถม้าจะเดินทางไปที่ตำหนักของก่วนเถากงจู่นั้น เฉินอาเจียวได้สั่งให้รถม้าแวะไปที่ตำหนักของผิงหยางกงจู่ก่อนเพื่อให้ไท่จื่อไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่นั่น หลังจากที่ไท่จื่อลงจากรถม้าไปแล้วก็สั่งให้คนขับขี่รถม้ากลับตำหนัก

ผิงหยางกงจู่เดินนำไท่จื่อเข้ามายังห้องๆหนึ่ง “ห้องนี้แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีคนพักมาก่อน เจ้าพักห้องนี้ไปก่อนก็แล้วกันนะ เจ้าวางใจได้ ไม่มีใครเห็นเจ้าแน่นอน”

“ขอบคุณพี่หญิง”

“ไม่ต้องขอบคุณพี่หรอก” จากนั้นผิงหยางกงจู่ตะโกนเรียกเว่ยจื่อฟู

“เพคะ กงจู่(องค์หญิง)” เว่ยจื่อฟูขานรับแล้วเดินเข้ามาในห้อง

ผิงหยางกงจู่กำชับ “จากนี้ไป เจ้าจะต้องช่วยเราดูแลเค้าให้ดีนะ เค้าเป็นเพื่อนรักกับราชบุตรเขย(驸马)เฉา

“เพคะ”

ผิงหยางกงจู่หันมาทางไท่จื่อ “อีกสักครู่นางจะนำข้าวเข้ามาให้ เจ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกใช้นางได้ แต่เจ้าจะต้องจำไว้ว่าอย่าออกไปปรากฎตัวให้ใครเห็นเด็ดขาด”

“ข้าจะระวังตัว พี่หญิงคงจะเหนื่อยแล้ว ท่านรีบกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

“ไม่เป็นไร พี่ยังไม่เหนื่อย จื่อฟู เจ้าออกไปข้างนอกก่อน”

“เพคะ”

“มานั่งลงตรงนี้ก่อน” ผิงหยางกงจู่จูงมือไท่จื่อไปนั่งที่โต๊ะแล้วเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง แล้วนี่เจ้ากลับมาคนเดียวเหรอ”

ไท่จื่อพยักหน้า “ข้ามาคนเดียว”

“แล้วคนอื่นๆที่ติดตามเจ้าไปล่ะ”

“ในตอนนั้นสถานะการณ์ค่อนข้างจะคับขัน และก็ไม่มีทางเลือกอย่างอื่น พวกเค้าเลยต้องอยู่เพื่อหลอกล่ออ๋องเหลียง

“แล้วพี่เขยเจ้าล่ะ เค้าอยู่ด้วยหรือเปล่า”

ไท่จื่อลำบากใจที่จะบอกความจริงกับพี่สาวจึงได้แต่พูดโกหกไปว่า “เค้าก็อยู่ด้วย”

“อยู่ที่ไหนล่ะ เยี่ยนชื่อหรือเปล่า”

ไท่จื่อพยักหน้า ผิงหยางกงจู่ยิ้มอย่างดีพระทัย “เค้าไปถึงเยี่ยนชื่อจนได้ พี่ยังกลัวว่าเค้าจะทำอะไรพลาดไปอยู่เลย เจ้าคงจะไม่รู้กระมังว่าพี่เขยของเจ้าคนนี้เป็นคนที่ทำอะไรเชื่องช้า(慢性子) และก็เพราะเป็นคนที่ทำอะไรชักช้านี่แหละ เลยทำให้พี่ต้องเข้มงวดกับเค้าอยู่ตลอดเวลาจนพี่ต้องทะเลาะ(抬杠)กับเค้าไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง น้องพี่ เจ้าไม่รู้หรอกว่าพี่เขยเจ้า...”

“ข้ารู้ ข้ารู้แล้วล่ะ” ไท่จื่อตัดบท

“เจ้าไม่รู้หรอก ตั้งแต่ที่พี่แต่งงานกับเค้าพวกเรามีปากมีเสียงไม่ให้ใครเห็นไม่รู้กี่ครั้งแล้ว พี่น่ะร้องไห้เสมอ ได้แต่หวังว่าสามีของพี่จะต้องเหนือกว่าคนอื่น แต่ว่าพี่เขยของเจ้าคนนี้ขี้ขลาด(窝囊)เกินไป จะหยิบจับอะไรก็ไม่เคยได้เรื่อง เพื่อเรื่องนี้พี่เลยกวดขันเค้าอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรสักนิด แม้แต่จะจับเข็มก็ยังกลัวจะโดนเข็มตำจนเลือดหยดเลย แต่ก็ยังดีอยู่อย่างที่เค้าเป็นคนอารมณ์ดี”

“ไม่นะพี่หญิง พี่เขยเค้าก็เป็นวีรบุรุษคนหนึ่ง” ไท่จื่อลุกขึ้นเดินหันหน้าหนี

“อย่างนี้เหรอวีรบุรุษ แค่เค้าไม่ทำตัวอ่อนแอเหลาะแหละขี้ขลาดก็ถือว่าดีแล้วล่ะ เจ้ารู้ไหม วันนั้นที่พี่ให้เค้าไปพี่รู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้ พี่กลัวมากกลัวว่าเค้าจะไปเป็นภาระไปเป็นตัวถ่วง(耽搁)ให้กับพวกเจ้า”

“เค้าไม่ได้ไปเป็นตัวถ่วงอะไรหรอก”

“ได้ยินเจ้าพูดอย่างนี้แล้ว ครั้งนี้ถ้าเค้ากลับมาพี่จะต้องแสดงสีหน้าชื่นชมยินดีให้เค้าเห็นสักหน่อยแล้ว พี่เขยเจ้าครั้งนี้จะต้องรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง(受宠若惊) จริงสิ เค้าจะกลับมาเมื่อไรล่ะ”

มาถึงตอนนี้ไท่จื่อคิดว่าคงจะปิดบังพี่สาวไม่ได้แล้ว เลยตัดสินใจจะเอ่ยปากบอกความจริงแก่พี่สาว ไท่จื่อหันหน้ามาทางพี่สาว เปิดปากจะพูดแล้วแต่ก็เปลี่ยนใจไม่พูดเอาซะดื้อๆ

ผิงหยางกงจู่เห็นท่าทางอ้ำอึ้งของน้องชายแล้วรู้สึกแปลกใจ “เจ้าเป็นอะไรไป สีหน้าของเจ้าไม่สู้ดีเลย หน้าซีดเชียว เจ้าพบกับความลำบากอะไรมาเหรอ ไหนบอกพี่ทีสิ”

“ไม่มีอะไร ข้าสบายดี”

“ยังจะมาทำปากแข็งอยู่อีก พี่เป็นพี่สาวของเจ้านะ มีเรื่องอะไรก็ไม่ควรที่จะปิดบังพี่รู้ไหม”

“ข้าไม่กล้าปิดบังท่านหรอก”

“ไหนให้พี่ดูหน่อยสิว่าไม่สบายหรือเปล่า” ผิงหยางกงจู่ลุกจากที่นั่งแล้วเดินไปหาไท่จื่อ เอื้อมมือไปอังที่หน้าผากของไท่จื่อ “ตัวเจ้าร้อนนี่”

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร แค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น เดี๋ยวก็หายแล้ว”

“ก็คงจะอย่างที่เจ้าบอก เคยอยู่บ้านสบายๆ พอออกไปข้างนอกก็พบกับความลำบาก แต่ก็ดีแล้วล่ะ เจ้าออกไปข้างนอกแบบนี้จะได้รู้ว่าราษฎรเค้าใช้ชีวิตอยู่กันยังไง” พูดจบผิงหยางกงจู่ก็เรียกเว่ยจื่อฟูให้เข้ามาในห้อง

“เพคะ กงจู่

“เราจำได้ว่าเรามีโสมเหล่าซัน(老山参)อยู่ เจ้าไปเอาใส่หม้อตุ๋น(煲)ตุ๋นให้แขกทีนะ”

“จะตุ๋นโสมอย่างเดียวเหรอเพคะ ให้ใส่ไก่ลงไปด้วยไหมเพคะ”

“ดีๆ เจ้ารีบไปทำเถอะ”

“เพคะ”

“พี่หญิง ข้าว่าอย่าลำบากเลย”

“ลำบากอะไรกันเล่า ตอนนี้ยังดีที่เจ้ายังไม่ได้เป็นหวงตี้ พี่จะได้ปฏิบัติต่อเจ้าแบบน้องชายได้ เกิดอีกสองวันเจ้าได้เป็นหวงตี้จริงๆล่ะก็ เกรงว่าห้องนี้จะไม่สะดวกสบายพอสำหรับเจ้า”

“ไม่นะ ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน ยังไงพี่หญิงก็ยังเป็นญาติที่ใกล้ชิดที่สุดคนเดียวของข้า”

“พี่รู้ ยังไงเจ้าก็เป็นน้องที่ใกล้ชิดที่สุดของพี่ เจ้ารู้ไหม ความจริงพี่เขยเจ้าอยากจะให้พี่มีลูกกับเค้า แต่ว่าพี่ไม่ยอม เพราะพี่กลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นเกิดพี่ได้ลูกที่ขี้ขลาด(窝囊)อีกคนพี่ไม่รู้จะทำยังไง แต่ว่าครั้งนี้เห็นทีพี่คงจะต้องยอมเค้าแล้วล่ะ ว่าแต่เจ้าอยากได้หลานชาย(外甥)หรือว่าหลานสาว(外甥女)ล่ะ”

ไท่จื่อทำหน้าเศร้า “พี่หญิง ข้าปกป้องดูแลพี่เขยได้ไม่ดี”

“เจ้าเป็นอะไรไป แล้วเจ้าพูดอะไรของเจ้า” ผิงหยางกงจู่งงกับคำพูดของไท่จื่อ

หลิวเช่อผิดไปแล้ว” ไท่จื่อคุกเข่าลงต่อหน้าพี่สาว

ผิงหยางกงจู่ตกพระทัยรีบถาม “เค้าเป็นอะไร เค้าบาดเจ็บ เค้าป่วยเหรอ เจ้ารีบบอกพี่เร็วเข้า”

“ข้าทำให้พี่หญิงต้องเป็นหม้าย(寡妇)” ไท่จื่อเอ่ยน้ำตาคลอ

ผิงหยางกงจู่ได้ยินเข้าถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะ แม้ภายในใจจะรู้สึกมึนงงสับสนเสียใจแต่ก็ไม่หลั่งน้ำตาออกมา

“พี่หญิง อย่าทำแบบนี้เลยนะ ท่านจะร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ ตอนนั้นพวกทหารจำนวนมาก(甚)ไล่ต้อนพวกเรา พวกเราซึ่งมีจำนวนน้อย(寡)กว่าไม่มีทางจะสู้พวกมันได้ และในไม่ช้าก็อาจจะถูกจับตัวเอาไว้ได้(束手就擒) โชคดีที่พี่เขยขี่ม้าของข้าล่อให้พวกทหารไล่ตามไป ข้าจึงหนีรอด(脱身)มาได้ แต่พี่เขยก็ต้องมาตายแทนข้า”

ผิงหยางกงจู่ปล่อยโฮร้องไห้เสียใจ วิ่งไปหยิบกระบี่ที่แขวนเอาไว้บนผนังหมายจะออกไปแก้แค้นให้สามี

“พี่หญิง” ไท่จื่อรีบลุกขึ้นยืนแล้วเข้าไปรั้งตัวพี่สาวเอาไว้

“ปล่อยพี่นะ ปล่อยพี่” ผิงหยางกงจู่คร่ำครวญ เฉาโซ่ว ข้าจะแก้แค้นให้เจ้า ข้าจะแก้แค้นให้เจ้า ฮือๆ”



40-2


เว่ยจื่อฟูยกโสมที่ตุ๋นเสร็จแล้วมาที่หน้าประตูพอดี ได้ยินเสียงคุยกันจึงหยุดยืนแอบฟัง

“เค้าตายที่ไหน” ผิงหยางกงจู่ถาม

“แม่น้ำหวงเหอ(黄河)” ไท่จื่อตอบ

หวงเหอ(黄河)เหรอ นี่หมายความว่า แม้แต่ศพ(尸骨)ของเค้าก็ไม่เหลืออย่างนั้นใช่ไหม”

“พี่เขยเค้าจมลงไปในคลื่นยักษ์(波涛)ของแม่น้ำหวงเหอ เอาไว้ข้าได้ขึ้นครองราชย์เมื่อไร คำสั่งแต่งตั้ง(圣旨)แรกของข้าก็คือแต่งตั้งพี่เขยเป็นเทพเจ้าแห่งแม่น้ำหวงเหอ ให้เค้าได้อยู่คู่กับเกลียวคลื่นของแม่น้ำหวงเหอไปชั่วนิรันดร์”

“เจ้าเป็นน้องของพี่ เจ้าจะต้องกู้เกียรติยศ(争光)กลับมาให้พี่ เจ้าจงจำไว้ จะต้องไม่มีคำว่าถ้า เจ้าต้องเป็นหวงตี้ เจ้าจะต้องเป็นหวงตี้ให้ได้ ไม่ว่าจะยากลำบากหรืออันตรายแค่ไหน พี่สาวคนนี้ก็จะอยู่กับเจ้าตลอดไป”

ไท่จื่อพยักหน้า แต่เมื่อได้ยินเสียงดังที่หน้าประตูก็รู้ว่าต้องมีคนแอบฟังอยู่จึงรีบหยิบกระบี่เดินไปเปิดประตูหมายจะฆ่าให้ตาย เว่ยจื่อฟูตกใจทำถ้วยโสมหล่นแตก

ผิงหยางกงจู่เห็นเป็นเว่ยจื่อฟูก็รีบห้ามทันที “อย่าฆ่านางนะ”

“แต่ว่านางได้ยินที่พวกเราพูดหมดแล้วนะ”

“ยังไงนางก็ไม่พูดหรอกน่า”

“พี่หญิงไว้ใจนางขนาดนี้เชียวเหรอ”

ผิงหยางกงจู่พยักหน้าแล้วหยิบกระบี่จากมือไท่จื่อมาถือไว้ “ก็เหมือนกับที่พี่เชื่อใจตนเอง ความจริงพี่ก็ไม่คิดที่จะปิดบังนางหรอก ทุกประโยคที่นางได้ยินนั้นพี่เชื่อว่านางจะฝังลึกเก็บเอาไว้ในใจ ยังไงนางก็จะไม่ปริปากพูดแม้แต่ครึ่งประโยคหรอก”

“นางเป็นแค่สาวใช้ พี่หญิงกล้ารับรองไหมว่านางจะไม่ถูกใครติดสินบน(收买)มา”

ผิงหยางกงจู่พยักหน้า จื่อฟู เจ้าพูดต่อหน้าเราและหวงตี้ด้วยตัวเองก็แล้วกัน”

“แม้ว่าทองคำจะเป็นของที่ตีค่าเป็นตัวเงินได้ แต่ที่กงจู่ทรงเมตตาทรงปฏิบัติต่อหม่อมฉันอย่างมิตรคนหนึ่งนั้นไม่อาจจะตีราคาด้วยเงินได้”

ผิงหยางกงจู่หันไปบอกไท่จื่อ “เจ้าก็คิดซะว่าเอ็นดูนางอย่างที่พี่เอ็นดูก็แล้วกันนะ”



40-3


“ทูลหวงไท่โห้ว อ๋องเหลียงมาถึงแล้ว พะย่ะค่ะ” โต้วอิงทูลเสร็จก็ส่งสัญญาณให้นางกำนัลที่ยืนรับใช้อยู่ออกไปนอกห้อง

“หม่อมฉัน คารวะเสด็จแม่ พระเจ้าค่ะ” อ๋องเหลียงเดินเข้ามาคารวะไท่โห้วโต้ว

“ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที สถานะการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” ไท่โห้วโต้วตรัสถาม

หลิวเช่อตายในแม่น้ำหวงเหอแล้ว พระเจ้าค่ะ”

“ตายแล้วเหรอ”

“เหตุการณ์ชุลมุนเลยถูกธนูยิงจนตาย พระเจ้าค่ะ”

“ใครเป็นคนยิง”

“ลูกก็ไม่ทราบเหมือนกัน”

“เจ้าฆ่าไท่จื่อตาย มีโทษหนักถึงประหารชีวิตทั้งโคตรเชียวนะ”

“ขอแค่อ๋องเหลียงขึ้นครองบัลลังก์เป็นหวงตี้ ก็ไม่มีใครกล้าลงโทษแล้วล่ะ” โต้วอิงพูดสอดขึ้น

“เจ้าอย่าเพิ่งสอด(插嘴)” ไท่โห้วโต้วปราม “แล้วศพ(尸体)ล่ะ”

“โดนคลื่นในแม่น้ำหวงเหอดูดกลืนไปแล้ว พระเจ้าค่ะ”

“จะโดนคลื่นดูดกลืนยังไง ก็ต้องค้นหาศพให้เจอ”

“คลื่นลมแรงและน้ำก็เชี่ยวกราก หม่อมฉันไม่รู้จะออกหายังไง พระเจ้าค่ะ”

“ตายโดยไม่เห็นศพ จะบอกว่าเค้าตายยังไม่ได้ เรื่องใหญ่ขนาดนี้เจ้าจัดการเสียจนแม่ไม่วางใจเลยสักนิดเดียว เมื่อคืนวานแม่ก็ฝัน ฝันว่าเห็นหลิวเช่อสวมเสื้อคลุมมังกร(龙袍)นั่งอยู่บนบังลังก์ทอง แต่ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเค้านั้นไม่ใช่แม่ แต่เป็นแม่แท้ๆของเค้า ตอนนั้นแม่ยืนอยู่ตรงนั้นตะโกนเท่าไรก็ไม่มีเสียงออกมา แม่กังวลใจจนเหงื่อท่วมกาย แม่..”

“เสด็จแม่ นั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน ทรงอย่ากังวลพระทัยไปเลย ลูกกล้ารับรองว่า หลิวเช่อไม่มีทางฟื้นจากความตายได้อย่างแน่นอน”

“เดิมทีเมื่อเจ้ากลับมา แม่ก็เตรียมที่จะเรียกประชุมกลุ่มขุนนางเพื่ออ่านพระพินัยกรรม แต่ว่าตอนนี้แม่คงไม่กล้าแล้ว ตราบใดที่ยังหาศพไม่พบตำแหน่งหวงตี้ของเจ้าก็จะไม่มั่นคง”



40-4


เช้าแล้วเสียงเรียกที่หน้าประตูทำให้ไท่จื่อรีบเอ่ยถาม “ใคร?”

“หม่อมฉันเอง เพคะ”

ไท่จื่อเปิดประตูให้เว่ยจื่อฟูเข้ามาในห้อง เว่ยจื่อฟูนำอ่างใส่น้ำที่ถือมาไปวางไว้บนโต๊ะ “ให้หม่อมฉันอยู่ปรนนิบัติล้างหน้าให้นะ เพคะ”

ไท่จื่อจึงนั่งลงรอรับการปรนนิบัติ

“พระเกศาของพระองค์ควรจะได้รับการหวีแล้วเพคะ”

ไท่จื่อยกมือจับผมของตนเอง “เจ้าช่วยเราหวีหน่อยก็แล้วกัน”

“ได้เพคะ ถ้าหากไม่ทรงรังเกียจที่หม่อมฉันจะทำอะไรซุ่มซ่าม(粗手笨脚)ล่ะก็”

เว่ยจือฟูเข้าไปหวีผมให้ไท่จื่อ “เมื่อวาน ทรงทำให้หม่อมฉันตกใจกลัวเสียแทบแย่ หม่อมฉันนึกว่าจะต้องตายเสียแล้ว นึกไม่ถึงว่าความตายจะมาถึงเร็วโดยไม่ทันได้ตั้งตัว(突如其来)แบบนี้”

“แล้วตอนนั้นเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ” ไท่จื่อเอ่ยถามขณะนำผ้าที่ชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตา

“หม่อมฉันกำลังคิดว่า ชั่วชีวิตนี้คงจะไม่ได้เห็นหน้าน้องชายของหม่อมฉันอีกแล้วเพคะ”

“เจ้ามีน้องชายด้วยเหรอนี่ แล้วเค้าอยู่ที่นี่กับพี่สาวเราด้วยหรือเปล่า”

“เปล่าเพคะ หม่อมฉันไม่ได้พบหน้าเค้ามาสิบปีแล้วเพคะ”

“แล้วตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหนล่ะ”

“หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ เค้าถูกคนขายไป ขายไปที่ไหนก็ไม่รู้ ข่าวคราวของเค้าก็ไม่มีเลยสักนิดเดียว หม่อมฉันเคยไปสืบถามจากคนหลายคน กงจู่กับราชบุตรเขยก็เคยช่วยสืบหาด้วยเหมือนกัน สุดท้ายก็ต้องหมดหวัง(失望) แต่ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็ยังเชื่อว่าเค้ายังคงมีชีวิตอยู่”

“ความระส่ำระส่ายจากสงคราม(战乱) ภาวะข้าวยากหมากแพง(灾荒) โลกมนุษย์ล้วนอนิจจัง(人世无常)” ไท่จื่อเอ่ยขึ้นอย่างปลงๆ

เว่ยจื่อฟูเสียงสั่น “ไม่จริงเพคะ เค้าต้องยังมีชีวิตอยู่ หม่อมฉันฝันถึงเค้าอยู่บ่อยๆ ในฝันหม่อมฉันมักจะเห็นเค้าอยู่อย่างลำบาก หม่อมฉันรู้แต่ว่าเค้าจะต้องยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน”

ไท่จื่อรีบปลอบ “ใช่ๆๆ เค้าจะต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ และต้องดำเนินชีวิตอย่างสุขสบายดีด้วย เจ้าทำใจให้สบายเถอะ เราจะช่วยทำให้พวกเจ้าสองพี่น้องได้กลับมาเจอกันแน่(姐弟团员)”

“แล้วพระองค์จะทรงหาเค้าพบได้อย่างไร เพคะ”

“ก็ด้วยพระบัญชาของหวงตี้ที่สั่งการไปทั่วทั้งแผ่นดินยังไงล่ะ ไม่ว่าเค้าจะอยู่ที่ไหน เราช่วยเจ้าหาเค้าพบแน่นอน”

เว่ยจื่อฟูยิ้มขำๆกับความคิดของไท่จื่อ “พระบัญชาอะไรกันเพคะ ขนาดพระองค์ในตอนนี้แม้แต่ห้องนี้ก็ยังเสด็จออกไปไหนไม่ได้เลย” ไท่จื่อรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาทันที เว่ยจื่อฟูหยิบอ่างน้ำแล้วพูดตัดบท “ขอตัวนะเพคะ หม่อมฉันจะไปเปลี่ยนน้ำในอ่างมาให้ใหม่”



40-5


ผิงหยางกงจู่รู้สึกร้อนใจรีบเดินทางไปที่ตำหนักของก่วนเถากงจู่ ทันทีที่ได้เจอหน้าเฉินอาเจียว ผิงหยางกงจู่ก็รีบเอ่ย “ได้ยินมาว่า หวงไท่โห้วทรงสงสัยว่าน้องของพี่ยังไม่ตาย”

“ที่จริงก็ยังไม่ตายนี่ท่านพี่”

“ดังนั้นพระองค์ก็เลยไม่กล้าที่จะนำพระศพไปฝัง และก็ไม่กล้าที่จะให้อ๋องเหลียงขึ้นครองราชย์ด้วย”

สำหรับเรื่องนี้เฉินอาเจียวกลับรู้สึกเฉยๆไม่ได้ทุกข์ร้อนใจไปกับผิงหยางกงจู่ “งั้นยิ่งดีใหญ่ ใครอยากจะร้อนใจอย่างไรก็ปล่อยเค้าไป”

“อาเจียว เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจ แผ่นดินจะขาดหวงตี้ไม่ได้ ถ้าหากว่าเป็นแบบนี้ต่อไป พี่กลัวว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้น”

เฉินอาเจียวเสนอ “งั้นก็ให้ไท่จื่อขึ้นครองราชย์สิ เพราะในมือของไท่จื่อมีพระพินัยกรรมของอดีตหวงตี้อยู่ ใครมันจะกล้าไม่ยอมรับเค้าก็ให้มันรู้ไป”

“พี่กลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้น แม้แต่ในวังเค้าก็จะเข้าไปไม่ได้น่ะสิ แล้วถ้าหากว่าเค้าถูกจับตัวไปคุมขังไว้ พระพินัยกรรมฉบับนั้นก็จะไม่มีใครได้เห็นตลอดไปน่ะสิ”

“จริงด้วยสิ ทำไมข้าถึงคิดไม่ถึงนะ ถ้างั้นทำอย่างไรดีล่ะท่านพี่ จะให้เค้าหลบซ่อนอยู่ในบ้านท่านตลอดก็ไม่ได้เสียด้วย” จากที่เฉยๆเฉินอาเจียวเริ่มเป็นกังวล

“เพราะอย่างนี้ พี่ถึงได้ร้อนใจมาก แต่ว่า ถ้าหากหวงไท่โห้วทรงให้ทำพีธีฝังพระศพของอดีตหวงตี้ล่ะก็ เรื่องนี้ก็จะจัดการได้ง่ายขึ้น”

“ท่านพี่หมายความว่า ในพีธีฝังพระศพ(葬礼)จะมีคนอยู่จำนวนมาก เค้าก็สามารถที่จะปะปนเข้าไปกับพวกขุนนางได้”

ผิงหยางกงจู่พยักหน้า “เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ทั้งหลายจะมารวมกันอยู่ที่นั่น รวมทั้งเชื้อพระวงศ์ที่ใกล้ชิดด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ จะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้บอกพวกเค้าให้รับรู้”

“ถ้าเกิดว่าพวกขุนนางเหล่านั้นสนับสนุน(拥戴)อ๋องเหลียงล่ะจะทำยังไง”

“ไม่มีทางหรอก ความยุติธรรม(公道)มีอยู่ในใจของทุกคน เจ้าวางใจได้”

“ถ้างั้นก็ได้แต่ภาวนาว่าจะทรงทำพิธีฝังพระศพเร็วๆ ตอนนี้ข้าก็เพิ่งจะเข้าใจที่พูดกันว่า ตายอย่างสงบ(入土为安)มันเป็นยังไง”

“จริงสิ เจ้าได้ข่าวคราวกัวเส่อเหรินกับพวกบางหรือเปล่า”

เฉินอาเจียวส่ายหน้า “ไม่ได้ข่าวเลย”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ พี่กลับก่อนนะ”

เฉินอาเจียวเดินตามไปส่ง “ท่านพี่ ท่านต้องดูแลเค้าให้ดีๆนะ”

“เจ้าคงจะคิดถึงเค้าล่ะสิ พี่ดูแลเค้าให้ เจ้ายังไม่วางใจอีกเหรอ”

“คนที่จะมาปรนนิบัติรับใช้เค้า จะต้องเป็นคนที่ท่านไว้วางใจได้(心腹)นะ”

“พี่รู้แล้วล่ะ”

“และก็ห้ามเป็นผู้หญิงด้วยนะท่านพี่”

“อาเจียว นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังจะมามัวหึง(吃醋)อยู่อีก”



40-6


“ต่อไปเจ้าต้องมาหวีผมให้เราทุกวันนะ” ไท่จื่อเอ่ยขณะที่เว่ยจื่อฟูหวีพระเกศาให้

“พระองค์จะทรงพักอยู่กับกงจู่ตลอดไปได้อย่างไรเพคะ ในวังต่างหากที่จะเป็นที่ประทับของพระองค์”

“งั้นเจ้าก็ตามเราเข้าวังสิ”

“หม่อมฉันเป็นสามัญชนคนธรรมดาจะเข้าวังไปได้อย่างไรเพคะ”

“ถ้าหากว่าเราขอตัวเจ้าจากพี่หญิงล่ะก็ พี่หญิงเค้าต้องให้เราแน่นอน เจ้าคงไม่รู้สินะว่า พี่หญิงเค้าดีกับเราที่สุด แม้ว่านางจะอายุมากกว่าเราแค่ปีเดียวแต่ดูเหมือนว่าโตกว่าเราหลายปีมากทีเดียว ตอนเด็กๆเราเป็นคนชอบเอาชนะ(霸道)มาก ไม่ว่าในมือของพี่หญิงจะมีของอะไรเราก็มักเข้าไปแย่ง และนางก็มักจะให้เราเสมอ”

เว่ยจื่อฟูหยุดหวีผม “แต่หม่อมฉันเป็นคนนะ ไม่ใช่สิ่งของ”

“แล้วทำไมล่ะ เจ้าไม่เต็มใจจะเข้าวังไปกับเราเหรอ”

“พระองค์เคยถามหม่อมฉันแล้วหรือยังว่าเต็มใจหรือเปล่า ทรงทำเหมือนหม่อมฉันเป็นตุ๊กตา(玩偶) ทำเหมือนหม่อมฉันเป็นสิ่งของ”

ไท่จื่องงเล็กน้อยกับน้ำเสียงอันบึ้งตึงของเว่ยจื่อฟู จึงลุกขึ้นยืนแล้วหันหน้าไปถาม จื่อฟู เจ้าโกรธเหรอ”

“ทรงเคยเห็นตุ๊กตาโกรธด้วยเหรอเพคะ”

“เรา..เราไม่ได้คิดที่จะดูถูกเจ้า ต้องขอโทษด้วยที่เราพูดไม่ดี เราขอโทษเจ้าแล้วยังไม่หายโกรธอีกเหรอ เราขอโทษนะ”

“ทรงประทับนั่งเถอะ เพคะ”

“เจ้าจะทำอะไรเหรอ”

“พระเกศาของพระองค์ยังหวีไม่เสร็จเรียบร้อยดี” เว่ยจื่อฟูจัดแจงหวีผมให้ไท่จื่อต่อ “เอ๊ะ ทรงมีพระเกศาสีขาวด้วย เพคะ”

“ตรงไหนเหรอ” ไท่จื่อรีบถาม

“หม่อมฉันจะถอนให้นะเพคะ” เว่ยจื่อฟูจัดการดึงผมหงอกออกมาให้ไท่จื่อดู

ไท่จื่อรับมาดูแล้วคิดนึกเปรียบเทียบตนเองกับอู่จื่อซีว์ “ในสมัยก่อน(ยุคชุนชิว)อู่จื่อซีว์(伍子胥)คนของแคว้นฉู่(楚国)ตอนที่ยังไม่สามารถเดินทางผ่านด่านเจา(昭关 1)ไปได้นั้น เค้าได้แต่กระวนกระวายใจอยู่ทั้งคืนจนกระทั่งผมกลายเป็นสีขาวหมดทั้งหัว เรายังคิดเลยว่าไม่น่าจะมีทางเป็นไปได้ แต่ตอนนี้เราเชื่อแล้วสิ”



[1 昭关(เจากวน) เป็นด่านที่เชื่อมต่อกันระหว่างแคว้นฉู่(楚国)กับแคว้นอู๋(吴国) อู่จื่อซีว์(伍子胥)ต้องการจะหลบหนีจากแคว้นฉู่ไปยังแคว้นอู๋ แต่เนื่องจากอ๋องฉู่ผิง(楚平王)มีคำสั่งให้วาดภาพเหมือนแล้วติดประกาศจับตัวเค้าไว้ตามด่านต่างๆ เจ้าหน้าที่ประจำด่านต่างก็ให้การกวดขันคนที่ผ่านออกด่านอย่างเข้มงวด อู่จื่อซีว์เกิดความวิตกกังวลจนเครียดนอนไม่หลับ เลยทำให้ผมที่เคยดกดำเปลี่ยนเป็นสีขาวหมดทั้งหัว จะถือว่าเป็นโชคหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ แต่ด้วยสภาพที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ประจำด่านเจาจดจำเค้าไม่ได้เลยสักนิดเดียว เค้าจึงได้ออกจากด่านเจาไปยังแคว้นอู๋ได้สำเร็จ]


Create Date : 06 ตุลาคม 2550
Last Update : 10 มกราคม 2551 12:31:35 น. 2 comments
Counter : 1219 Pageviews.

 
เรื่องต้าฮั่นเทียนจื่อใกล้ถึงตอนเปิดพินัยกรรมแล้ว...

ชอบเรื่อง"ฮั่นอู่ต้าตี้" มากๆค่ะ ..
อยากอ่านตอนต่อไปมากๆๆเลย มาอัพอีกไวๆนะคะ


โดย: หยางอี้หลิง IP: 58.64.106.168 วันที่: 13 มกราคม 2551 เวลา:13:04:05 น.  

 
ขอบคุณที่ชอบและติดตามเรื่อง 《ฮั่นอู่ต้าตี้》


โดย: WangAnJun วันที่: 29 มกราคม 2551 เวลา:10:11:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WangAnJun
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add WangAnJun's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.