เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๖ องค์การยูเนสโกแห่งสหประชาชาติ ได้ลงมติประกาศอย่างเป็นทางการให้ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ ๑ เป็นมรดกแห่งความทรงจำของโลก และการพิจารณาว่าสิ่งใดเป็นมรดกโลกนั้น คณะกรรมการยูเนสโกจะต้องพิจารณาในด้านมีคุณค่าสำหรับสากล เป็นของหายาก สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นของแท้ และเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าถึง ไม่ว่าจะเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติหรือทางวัฒนธรรมก็ตาม ทั้งนี้ก็โดยพิจารณาจากข้อเสนอของคณะกรรมการชาติผู้เป็นเจ้าของ
ศิลาจารึกที่พบในประเทศไทยนั้น ตามหนังสือประชุมศิลาจารึกสยาม ปรากฏว่ามีถึง ๒๐๐ กว่าหลักและแผ่น ขุดพบทั่วทุกภาคในประเทศไทย ซึ่งได้จารึกไว้ในเวลาต่างๆกัน ส่วนศิลาจารึกของกรุงสุโขทัยขุดพบได้เพียง ๑๔-๑๕ หลัก มีทั้งภาษามคธ มอญ และเขมร หลักของพ่อขุนรามคำแหงเป็นหลักแรกที่ใช้ภาษาไทย จึงถือกันว่าเป็นหลักที่ ๑ ซึ่งจารึกไว้ในสมัยที่ไทยปลดแอกจากขอมได้ใหม่ๆ มีจ้อความ ๑๒๔ บรรทัดอยู่ทั้ง ๔ ด้านของหลัก กล่าวถึงการเมือง การปกครอง ความเป็นอยู่ของเมืองสุโขทัย การสงคราม กฎหมาย ประเพณี เศรษฐกิจ ผังเมือง ปรัชญา การพระพุทธศาสนา การประดิษฐ์อักษรไทย และอื่นๆอีกหลายอย่าง รวมทั้งเรื่องการถือผี
หลักศิลาจารึกส่วนใหญ่จะกล่าวถึงเรื่องศาสนา แต่ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเป็นหลักเดียวก็ว่าได้ ที่กล่าวถึงเรื่องการเมืองการปกครอง ในยุคนั้นการปกครองบ้านเมืองล้วนแต่ใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช คนเผ่าไทยที่เคยปกครองอาณาจักรน่านเจ้ามาก่อนก็ใช้การปกครองแบบนครรัฐ แต่ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงกลับเป็นแบบพ่อปกครองลูกเหมือนในครอบครัว ซึ่งล้ำหน้ากว่าการปกครองในยุคนั้น
การขึ้นครองราชย์ ขอมซึ่งมีอิทธิพลในย่านนี้ ถือว่ากษัตริย์เป็นเทวราช ไม่ใช่คนธรรมดา แม้แต่ในยุโรปยุคนั้นก็อ้างว่าพระเจ้าให้มาครองราชย์เช่นกัน แต่พ่อขุนรามคำแหงจารึกไว้ว่า “พี่กูตายจึงได้เมืองแก่กูทั้งกลม” ชัดเจนถึงการถ่ายทอดอำนาจโดยไม่ต้องอ้างเทวดาหรือพระเจ้า
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี มีความเห็นว่า ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงนี้ น่าจะถือได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย และเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของโลกที่เป็นแบบอย่างประชาธิปไตย
ด้วยเหตุนี้ อาจเป็นเหตุผลที่คณะกรรมการยูเนสโกได้พิจารณาลงมติเป็นเอกฉันท์ ให้หลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง มรดกของชาติไทย มีคุณค่าที่ควรเป็นมรดกของโลก
หลักศิลาจารึกหลักนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เมื่อครั้งยังทรงผนวชเป็น พระวชิรญาณภิกขุ ทรงค้นพบที่เนินวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย เมื่อราว พ.ศ.๒๓๗๖ และนำมาไว้ที่กรุงเทพฯ เมื่อทรงขึ้นครองราชย์จึงทรงแปลข้อความในจารึกนี้ออกมาเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ศิลาจารึกหลักที่ ๑ นี้ ไม่มีข้อความว่าจารึกในปีใด กล่าวแต่เพียงว่า เมื่อปีมะแม มหศักราช ๑๒๐๕ ซึ่งตรงกับปี พ.ศ.๑๘๒๖ พ่อขุนรามคำแหงได้ประดิษฐ์ “ลายสือไทย” ขึ้นเป็นครั้งแรก จึงสันนิษฐานว่าคงจะสลักศิลาจารึกไว้ในเวลาใกล้ๆกัน แต่นักประวัติศาสตร์และวรรณคดียังสงสัยกันว่า ศิลาจารึกหลักนี้ไม่ได้จารึกสำเร็จในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เพราะมีข้อความในด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ ถึงบรรทัดที่ ๑๘ ตั้งแต่ “พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ ...จนถึง พี่กูตายจึงได้เมืองแก่กูทั้งกลม” ใช้สรรพนามบุรุษที่ ๑ มาตลอด จากนั้นก็กลับใช้สรรพนามบุรุษที่ ๓ ซึ่งตีความหมายกันว่า จารึกเมื่อพ่อขุนรามคำแหงสวรรคตแล้ว
แต่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช มีความเห็นว่า พ่อขุนรามคำแหงคิดภาษไทยได้สำเร็จใน พ.ศ.๑๘๒๖ ก็น่าจะสลักศิลาจารึกเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสนั้น กว่าจะสวรรคตใน พ.ศ.๒๘๖๐ มีเวลาถึง ๓๔ ปี ไม่น่าจะจารึกไม่เสร็จ หลักศิลาจารึกสูงเพียง ๑ เมตร ๑๑ เซนติเมตร กว้าง ๓๕ เซนติเมตรเท่านั้น น่าจะเป็นเพราะตอนต้นที่ใช้คำหนักๆ เช่น พ่อกู แม่กู อาจจะทำให้ดูขลัง ส่วนบางคนว่า ในตอนท้ายใช้สระและพยัญชนะต่างกันไปบ้าง ก็ตงเพราะระยะนั้นเพิ่งคิดอักษรไทยขึ้นใหม่ๆ การเขียนจึงยังไม่คงที่แน่นอน หรืออาจใช้คนละคนแกะสลักก็ได้ หัวท้ายจึงต่างกัน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : slotxo
Create Date : 22 พฤศจิกายน 2562 |
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2562 12:14:07 น. |
|
0 comments
|
Counter : 532 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|