Home, แจ้งลิงค์เสีย-ติชม-สอบถาม ตรงนี้เท่านั้น, ตั้งเวปเป็นหน้าแรก
ทศชาติที่ 3 สุวรรณสาม พระสุวรรณสาม

[Main : กลับ หน้ารวมศาสนา]

พระชาติที่ 3 พระสุวรรณสาม
พระสุวรรณสาม แนว ละครวิทยุ โดย คณะเกศทิพย์ แนะนำให้ฟัง หรือดาวโหลดไปฟังครับ

Save Target As... Download

พ่อแม่ในครอบครัวพราน

เมื่อครั้นอดีตกาลนานมาแล้ว มีนายพรานผู้หนึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำทางตอนใต้ของ เมืองพาราณสี ซึ่งเป็นละแวกหมู่บ้านนายพราน

ฝั่งตรงกันข้ามแม่น้ำก็มีนายพรานอีกหลัง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท รักใคร่ชอบพอกันดีกับนายพรานฝั่งนี้ ทั้งสองสัญญากันว่าหากมีลูกสาวกับลูกชายก็จะให้แต่งงานกัน ซึ่งในไม่ช้าภรรยาของทั้งสองนายพรานก็ตั้งครรภ์ในเวลาไล่เรี่ยกัน นายพรานทั้งสองบ้านยิ่งปีตินัก เมื่อนายพรานฝั่งนี้ได้บุตรชาย และให้ชื่อว่า ทุกูลกุมาร ส่วนบ้านฝั่งโน้นได้บุตรีมีชื่อว่า ปาริกากุมารี

ทั้งสองลูกนายพรานนี้นับว่ามีนิสัยใจคอแตกต่างผิดจากบุพการียิ่งนัก แม้เกิดในหมู่บ้านนายพราน หากทว่าเด็กทั้งคู่กลับมินำพาในการล่าสัตว์ล่าเนื้อ ทุกูล และ ปาริกา ต่างก็มีน้ำใจเมตตาปรานี มิยอมให้ผู้คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เมื่อเห็นสภาพสัตว์ที่ถูกทำร้ายก็จะพากันสลดหดหู่ใจเป็นยิ่งนัก

ครั้นเมื่อเด็กทั้งสองเติบโตจนมีอายุได้ 16 ปี บิดามารดาของทั้งสองก็จัดงาน แต่งงานให้ทุกูลและปาริกา และก็อบรมสั่งสอนวิชาพรานให้แก่คนทั้งสอง เพื่อจะได้ล่าสัตว์ยังชีพสืบต่อไปได้

"ท่านพ่อ ลูกไม่อยากเรียนวิชาฆ่าสัตว์ ยิงธนู ล่าเนื้อ ลูกไม่อยากทำลายชีวิตอื่นแล้วเอามาเลี้ยงชีวิตเราขอรับ" ทุกูลกุมารบอกกับพ่ออย่างมุ่งมั่นด้วยจิตใจอันอ่อนโยน
พรานผู้พ่อไม่เข้าใจจึงว่า

"แล้วเจ้าจะทำมาหากินอย่างไร ในเมื่อเจ้าก็เกิดมาอยู่ในบ้านพรานเช่นนี้ ถ้าคิดรังเกียจการล่าสัตว์ล่าเนื้อ ก็คงต้องไปเดินทางสายอื่นของเจ้า"

"ถ้าเช่นนั้น ลูกก็ขอไปออกบวชขอรับท่านพ่อ"

นับแต่นั้น ทุกูลและปาริกาก็ชวนกันออกจากบ้านนายพรานไปอยู่ที่ ลุ่มแม่น้ำมิคสัมมตา บำเพ็ญพรต อยู่ในป่าอย่างสงบสุข

กำเนิดในป่า เลี้ยงบิดามารดาฤาษี

ยามนั้น พระอินทร์ บนสรวงสวรรค์คิดช่วยเหลือคนทั้งสอง จึงให้ พระวิษณุกรรม ลงมาเนรมิตรบรรณศาลาให้ และพระอินทร์ยังทรงห่วงภายหน้าว่า คนทั้งสองจะต้องเสียดวงตาด้วยผลกรรมเก่าแล้ว ถ้าไม่มีผู้ปรนนิบัติดูแลคนทั้งสองจะอยู่ได้สะดวกสบายอย่างไร ดังนั้นพระอินทร์จึงจำแลงกายไปหาทุกูลและปาริกา แนะวิธีที่จะให้ทั้งสองมีบุตรได้โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันทางกามารมณ์

"เมื่อถึงวาระที่ภรรยาของท่านมีระดู ท่านจงเอามือของท่านลูบท้องของนาง ๓ ครั้ง แล้วนางก็จะตั้งครรภ์ได้"

เมื่อทุกูลกระทำตามเช่นนั้น ในไม่ช้าปาริกาก็ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายผิพรรณงามดั่งทอง จึงขนานนามว่า "สุวรรณสาม" ซึ่งเป็นเด็กที่มีจิตใจอ่อนโยนอาทรและมีความประพฤติดีงามเหมือนบิดามารดา

ด้วยความที่มีบุญญาและความเมตตาปรานี ยามบิดามารดาออกไปหาผลไม้ในป่า เด็กชายสุวรรณสามก็จะมีเพื่อนเล่นเป็นพวก กินรี และสัตว์ป่าทั้งหลายที่มาแวดล้อมชิดใกล้มิได้ทำอันตรายใด ๆ

เมื่อสุวรรณสามเจริญวัยได้ 16 ปีแล้ว ก็ไม่อยากให้บิดามารดาต้องลำบากออกไปเก็บผลหมากรากไม้ตามลำพัง จึงแอบสะกดรอยตามไปจนล่วงรู้เส้นทางดีว่าจะต้องไปหายังหนแห่งใดบ้าง

จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่ทุกูลและปาริกาเข้าป่าไปหาผลหมากรากไม้ ก็ประสบพายุลมฝนพัดกระหน่ำจนต้องเข้าไปหลบพายุใต้ร่มไม้เหนือ จอมปลวก ซึ่งเป็นที่อยู่ของงูเห่ามีพิษร้าย

งูเห่า นั้นเมื่อถูกบุกรุกก็โกรธ จึงพ่นพิษงูออกมาใส่ดวงตาของทุกูล และปาริกาจนดวงตามืดบอดมองอะไรไม่เห็น

อันผลกรรมเก่านี้เนื่องเพราะในชาติปางก่อน ทุกูลเป็นแพทย์ที่รักษาตาให้เศรษฐีแล้วมิได้ค่ารักษา ปาริกาผู้ภรรยาจึงโกรธและให้เอายาป้ายตาให้บอดเสีย บาปนี้จึงติดตามมาสนองในชาตินี้

ฝ่ายสุวรรณสามเห็นบิดามารดาหายไปนานจนเย็นย่ำแล้ว
จึงออกจากบรรณศาลาไปตามหา เมื่อพบว่าบิดามารดาถูกพิษงูตามืดบอด สุวรรณสามก็ร้องไห้แล้วก็หัวเราะออกมา

"ลูกหัวเราะเรื่องนี้ทำไมรึ" บิดามารดาถามอย่างไม่เข้าใจ

"ก็ลูกจะได้ปรนนิบัติดูแลพ่อแม่สักทีไงเล่า ที่ร้องไห้นั้นด้วยเพราะเสียใจกับเคราะห์กรรมของพ่อแม่ แต่ดีใจยิ่งนักที่จะได้รับใช้พ่อแม่สืบไป"

ปรนนิบัติอย่างงดงาม

จากนั้นสุวรรณสามก็ให้บิดามารดาเกาะไม้เท้าเดินกลับ บรรณศาลาอาศรม แล้วสุวรรณสามก็ปฏิบัติบำรุงบิดามารดาอย่างดีเลิศ นำเชือกมาผูกไว้เป็นราวยังที่เดินจงกรม และที่ต่าง ๆ รอบอาศรมเพื่อให้บิดามารดาเกาะแล้วเดินไปได้สะดวก

ยามเช้าปัดกวาดจัดที่นั่งที่นอนให้เรียบร้อยออกไปตักน้ำที่ แม่น้ำมิคสัมมตา จากนั้นจึงออกไปขุดเผือกมันหาผลหมากรากไม้ ยามเย็นก่อไฟต้มน้ำล้างมือและเท้าให้บิดามารดา ตัวเองก็กินผลไม้ที่เหลือจากบิดามารดาแล้ว มีความสุขสงบด้วยกัน 3 คน เป็นที่ตื้นตันแก่บิดามารดานัก

เคราะห์กรรม

ต่อมาได้มี พระเจ้ากบิลยักราช กษัตริย์ กรุงพาราณสี ได้เสด็จตามลำพัง เพื่อมาล่าสัตว์ในป่าด้วยความโปรดปราน ครั้นเมื่อพระราชาเสด็จประพาสผ่านมาทางแม่น้ำมิคสัมมตา ทรงพบ เห็นรอยเท้ากวางมากมาย จึงหลบซุ่มในพุ่มไม้หวังยิงกวาง ซึ่งในไม่ช้าหมู่เนื้อและกวางต่างก็ตามสุวรรณสาม มาที่ริมแม่น้ำราวกับเป็นบริวารที่จงรัก

พระราชามิ เคยเห็นว่าจะมีผู้คนอยู่ในป่าลึกแห่งนี้ อีกทั้งความสง่างามของสุวรรณสาม พระราชาจึงทรงดำริว่า

"เออหนอ คนผู้นี้เป็นคนหรือเทพยาแห่ง ป่าหิมวันต์ กันหนอนี่ หรือว่าเป็นนาคป่า หากเราเข้าไปใกล้คงจะเหาะเหินหายไป สู้เรายิงให้บาดเจ็บดีกว่าจะได้เข้าไปดูให้รู้แน่"

ดำริดังนั้นพระราชาจึงทรงธนูอาบพิษ แล้วน้าวคันศรยิงลูกธนูเล็งไปทางสุวรรณสาม ที่กำลังตักน้ำขึ้นแบกบ่าพอดี

ลูกธนูปักเข้าที่ร่างของสุวรรณสามหมู่ฝูงสัตว์ตกใจหนีกันไปสิ้น สุวรรณสามยกหม้อน้ำจากบ่าลงวางบนทรายแล้วร้องออกไปว่า

"ผู้ใดยิงเราขอให้ออกมาเถิด เราไม่ใช่เนื้อใช่สัตว์ ท่านจะยิงเพื่อประโยชน์ใดกัน ท่านจงออกมาเถิด เราไม่ทราบว่าท่านต้องการอะไรจากเรา"

พระราชาสดังฟังดังนั้นก็ประหลาดพระทัย ที่เห็นบุรุษหนุ่มรูปงามถูกยิงแล้วยังไม่ก่นด่าเคืองแค้น กลับร้องเรียกด้วยถ้อยคำอ่อนโยน พระราชาจึงเสด็จออกมาและตรัสว่า

"เราคือพระราชาแห่งเมืองพาราณสีมีความชอบธรรมและช่ำชองในเชิงธนู เจ้าละเป็นใครกันอยู่ในป่านี้กับใครบ้าง"

"ขอพระราชาทรงมีพระชนมายุยืนนานเถิด ข้าพระองค์ชื่อสุวรรณสามเป็นบุตรของ ฤาษี มิทราบว่าทำไมพระองค์จึงยิงข้าพระองค์เช่นนี้ ช้างถูกยิงเพื่อเอางา เสือถูกฆ่าเพื่อเอาหนัง และพระองค์ทรงต้องการอะไรในตัวข้าพระองค์เล่า"

"ก็เพราะเจ้าเดินมา ฝูงเนื้อกวางจึงแตกตื่นอลหม่าน เราตั้งใจจะยิงสัตว์" พระราชาทรงตรัสมุสา

"พระองค์มิอาจกล่าวนั้น ตั้งแต่ข้าพระองค์เกิดมา ฝูงสัตว์ในป่าไม่เคยกลัวข้าพระองค์เลยแม้แต่น้อย ไปไหนก็ยังตามไปด้วยกันดั่งเพื่อน ข้าพระองค์ถูกยิงดังนี้สงสารก็แต่บิดามารดา ซึ่งตาบอดอยู่ลำพังมิอาจตักน้ำเองได้"

พระราชาสดับฟังดังนั้นก็รีบถามความเป็นไป สุวรรณสามจึงกราบทูลว่าตนมีบิดามารดาที่ดวงตามืดบอด และตนเองต้องปรนนิบัติบำรุง แม้จะมีอาหารอยู่อีก 7 วัน แต่น้ำก็ไม่มีและคงจะเฝ้าห่วงเรียกหาตนผู้เป็นบุตรที่หายไปอย่างนี้

พระราชาทอดพระเนตรดูบุรุษกตัญญูที่นอนจมกองเลือดรำพันถึงแต่บิดามารดา ก็ทรงสลดหดหู่ใจและสำนึกในผิดที่ทำร้ายบุตรผู้ประพฤติเลิศล้ำเพียงนี้ จึงทรงตรัสด้วยดำริจะเปลื้องบาปของพระองค์ว่า

"ดูกร พ่อหน่มที่น่าสงสาร เราผิดนักที่ยิงเจ้าเช่นนี้ เจ้าอย่าห่วงกังวลใดเลย เราจะเลี้ยงดูบิดามารดาของเจ้าให้เหมือนกับที่เจ้าบำรุงเลี้ยง เจ้าจงบอกทางไปอาศรมของบิดามารดาให้เราด้วยเถิด"

"เป็นพระคุณยิ่งนักแล้ว"

เมื่อสุวรรณสามชี้ทางบรรณศาลาแล้วก็แน่นิ่งไป พระราชาทรงสลดใจยิ่งนักกับบาปที่พระองค์ก่อขึ้น ทรงโปรยมวลดอกไม้ปะพรมน้ำและทำทักษิณา 3 รอบ ก่อนแบกหม้อน้ำกลับไปยังอาศรมฤาษี

แต่ฝีเท้าที่แตกต่างกันนั้น ทำให้ดาบสและดาบสินีรู้ว่ามิใช่สุวรรณสามจึงเอ่ยว่า

"ท่านเป็นใครกันหนอ ท่านมิใช่บุตรเราเป็นแน่"

พระราชาคิดจะดูแลดาบสทั้งสองแทนสุวรรณสาม แต่เมื่อถูกล่วงรู้เช่นนั้นจึงทรงยอมรัยว่า

"เราคือพระราชาแห่งพาราณสี มีวิชาธนูเป็นที่เลิศล้ำ"

"โอ พระราชาเสด็จป่า ขอพระองค์ทรงเสวยผลไม้เล็กน้อยนี้เถิด และมีน้ำเย็นที่ลูกสามของข้าพระองค์ไปตักมาจากแม่น้ำด้วย เดี๋ยวบุตรข้าพระองค์ก็คงจะกลับมาถึงแล้วพระเจ้าข้า"

พระราชาจึงตรัสความจริงว่า พระองค์ยิงสุวรรณสามตายแล้ว และพระองค์จะเป็นผู้บำรุงปฏิบัติแทนเองเพื่อไถ่บาปกรรมนี้

นางปาริกาได้ฟังดังนั้นก็ร่ำไห้คร่ำครวญ แต่ทุกูลดาบสก็กล่าวต่อนางว่ามิให้ถือบาปต่อพระองค์อีกเลย แล้วทั้งสองก็ขอให้พระราชาพาตนไปยังศพของสุวรรณสาม

ครั้นไปถึงริมฝั่งแม่น้ำ นางปาริกาดาบสินีก็ยกเท้าของสุวรรณสามขึ้น วางบนตักนางพรางทุกขเวทนา

"ลูกสามเอ๋ย ใครเลยจะดูแลปัดกวาดอาศรม ตักน้ำตักท่า
หาผลไม้มาให้พ่อแม่อีก ถ้าเจ้ามาจากไปอย่างนี้"

ขณะพร่ำอาดูรลูบคลำบุตรรัก นางก็พบว่าอกของพระสุวรรณสามยังอุ่นอยู่ จึงตั้งจิตทำสัจกิริยาแก่บุตร ขณะที่ตั้งสัตย์อธิฐานเทพธิดาซึ่งเป็นมารดาของสุวรรณสามปางก่อน ก็มาร่วมผสานจิตใจด้วย ทุกูลดาบสและปาริกาดาบสินีก็อธิษฐานว่า

"เราผู้เป็นบิดามารดาของสุวรรณสาม มีความเศร้าโศกเป็นที่ยิ่งนัก เราขอประกาศสัจจะว่า บุตรเราเลี้ยงดูบิดามารดาและประพฤติชอบธรรม ขอให้อานุภาพบุญกุศลของบุตรเรา ดลบันดาลให้พิษในตัวบุตรเราจงหายสิ้นไปด้วยเถิด"

ด้วยอำนาจอธิษฐานและแรงภาวนาแห่งสัจจวาจา ในที่สุดสุวรรณสามก็ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

พร้อมกันนั้นดวงตาทั้งสองของบิดามารดาสุวรรณสาม ก็พลอยสว่างไสวมองเห็นได้ดังเดิมอีกด้วย พระราชาเห็นดังนั้นจึงทรงตรัสอย่างปิติว่า

"แม้เทวดาก็ยังมาคุ้มภัย ให้แก่คนปฏิบัติต่อบิดามารดาอย่างชอบธรรมเช่นนี้ นับเป็นที่น่าสรรเสริญยิ่งนัก"

ฝ่ายสุวรรณสามก็กราบทูลกษัตริย์กบิลยักขราชว่า การที่ตนฟื้นคืนสติมาได้นั้นด้วยเพราะอานิสงส์ผลบุญ ในการที่ปรนนิบัติเลี้ยงดูมารดาบิดาให้เป็นอยู่สุขสบาย แลตัวพระองค์ผู้เป็นราชานั้นก็เสมือนดั่งร่มไม้ใหญ่ ที่ต้องแผ่ร่มเงาแก่ผู้คนทั้งปวง ดังนั้นพระองค์สมควรจะปฏิบัติอย่างดีต่อพระราชบิดาพระราชมารดา รวมไปถึงเหล่าโอรสธิดาและไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งปวง ให้พวกเขาเกิดความสงบสุขสบายทั่วหน้า

สุวรรณสามยังทูลขอให้พระองค์บำรุงเหล่าสมณพราหมณ์
มีเมตตาต่อสรรพสัตว์ ตั้งอยู่ในกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต คือ การทำดี พูดดี และคิดดีนั่นเอง หากประพฤติให้งดงามดั้งนี้พระองค์ก็ย่อมมีเทวดารักษาคุ้มครอง และได้ไปเสวยสุขในภพสวรรค์ต่อไป

พระราชาสดับฟังแล้วเกิดศรัทธาและสำนึกในสัจธรรมนั้น
พระราชาทรงขออภัยสุวรรณสาม แล้วเสด็จกลับนคร ทรงเลิกการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและบำเพ็ญกุศลอย่างมุ่งมั่นมิเคยขาดหาย

สุวรรณสามก็ได้บำรุงปรนนิบัติบิดามารดา และบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ตราบจนสู่ห้วงภพสุคติ

คติธรรมในชาดกนี้ว่าด้วยเรื่องของความมีเมตตาจิต ซึ่งจะทำให้ชีวิตสุขสงบได้โดยไร้ภยันอันตรายใด ๆ ธรรมนั้นคือเกราะแก้วมิให้ถูกผู้ใดทำร้ายได้เป็นแน่แท้

credit ไฟล์เสียง คุณโจโฉ และเวป cddhamma.com, เนื้อหา คุณโก๋ 2000 ปี


[Main : กลับ หน้ารวมศาสนา]


Create Date : 08 เมษายน 2550
Last Update : 28 กันยายน 2552 9:23:53 น. 12 comments
Counter : 2240 Pageviews.

 
ขอบคุณค่ะ หามาให้อ่านบ่อยๆนะคะ


โดย: พจมารร้าย วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:12:21:24 น.  

 
อ่านแล้วซึ้งมากเลยค่ะ แอบน้ำตาไหลตอนที่พระสามโดนยิง แต่ก็ยังคงรำพันถึงพ่อกับแม่

การทำความดีส่งผลดีจริงๆนะค่ะ เปิ้นก็เชื่ออย่างนั้น


โดย: fonrin วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:13:36:53 น.  

 
ขอบคุณมากๆ ที่แวะไปทักทายกันค่ะ..มีความสุขมากๆนะคะ


โดย: Why England วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:14:16:55 น.  

 
สวัสดียามบ่าย จ้า


โดย: nakwan6 วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:15:48:35 น.  

 
ละครวิทยุ ....ผมไม่เคยฟังอะครับ ดูแปลกดี
แต่เรื่องสุวรรณสาม ผมว่าเคยอ่านการ์ตูนหรือไงเนี่ย ให้ข้อคิดดีครับ


โดย: basbas วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:17:14:56 น.  

 
ดีมากๆเลยค่ะ


โดย: sugar IP: 203.113.80.141 วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:17:43:12 น.  

 
อ่านแล้วเพลินเลยค่ะ ไม่อยากหยุดอ่านเลย ได้ประโยชน์อีกต่างหาก


โดย: Complicatedgirl วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:20:56:58 น.  

 
สวัสดีครับ


โดย: ๆๆ IP: 124.121.126.67 วันที่: 27 ตุลาคม 2550 เวลา:16:42:40 น.  

 


โดย: €~ IP: 58.9.80.210 วันที่: 7 ธันวาคม 2550 เวลา:17:25:49 น.  

 
ชอบมากเรยค่ะ


โดย: เเนน IP: 203.149.16.36 วันที่: 26 สิงหาคม 2551 เวลา:18:35:00 น.  

 
ไม่ค่อยอยากอ่านเลย
แต่อาจารย์ให้มาทำงาน
เลยต้องอ่าน
แต่พออ่านแล้วเพลิน
อ่านไม่จบ
แม่ๆ....พ่อตัวร้อน
งิงิ


โดย: ดิว.ส.ว. IP: 202.143.156.18 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2551 เวลา:10:00:38 น.  

 
ไม่ค่อยอยากอ่านเลย
แต่อาจารย์ให้มาทำงาน
เลยต้องอ่าน
แต่พออ่านแล้วเพลิน
อ่านไม่จบ
แม่ๆ....พ่อตัวร้อน
งิงิ


โดย: ดิว.ส.ว. IP: 202.143.156.18 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2551 เวลา:10:01:33 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ต่อตระกูล
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 21 คน [?]




Group Blog
 
<<
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
8 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ต่อตระกูล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.