space
space
space
 
ตุลาคม 2560
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
space
space
13 ตุลาคม 2560
space
space
space

UK 1st Time: England เดือนมีนา ฝนตกนิด แดดออกหน่อย ชิมของอร่อย ดอกไม้ก็มา
สถานที่ท่องเที่ยว : อังกฤษ, United Kingdom
พิกัด GPS : 51° 30' 0.55" N -1° 52' 25.55" E




                   ขอเท้าความจากครั้งก่อนสักนิด สำหรับแฟนคลับที่เพิ่งมาใหม่ ความเดิมตอนที่แล้ว ก็คือว่า ทริปนี้มีทั้งหมด 11 วัน ใช้เวลา 5 วันไปแล้วที่สกอตแลนด์ดินแดนแห่งเทพนิยาย คราวนี้เราจะมาต่อกันอีก 6 วันสำหรับมือใหม่เที่ยวอังกฤษ

                 เมื่อมาถึงกรุงลอนดอนด้วยสายการบิน easyjet จากสนามบิน Gatwick เราก็ต้องเข้าที่พักก่อนเป็นอันดับแรก เพราะมาถึงก็จะหกโมงเย็นแล้ว เราจองที่พักผ่าน Airbnb ใช้ลอนดอนเป็นศูนย์กลาง ทำไมต้องใช้ Airbnb? เพราะราคาห้องส่วนใหญ่ในลอนดอนหากเป็นโซนหนึ่งหรือสอง ที่อยู่ใกล้รถไฟใต้ดิน ห้องของโรงแรมจะเล็กมาก แค่กระเป๋าเดินทางสองใบก็จะเต็มแล้ว ราคาก็ไม่ถูกเลย แล้วห้องพักที่เราต้องการก็แค่ขอให้สะอาดโมเดิร์นหน่อย มีพื้นที่ใช้สอยบ้าง คือไม่ได้เป็นโรงแรมสไตล์เก่า ตกแต่งแนวอังกฤษ พรมแดงๆ ประมาณนั้น ดังนั้น Airbnb จึงตอบโจทย์เราตรงนี้ ห้องพักที่ได้เป็นห้องอพาร์ทเมนชั้นล่าง (เท่าที่ดูมา ที่จะปล่อยจะให้เช่าก็จะเป็นห้องด้านล่าง) มีห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องครัว ห้องน้ำ ที่ซักผ้า โต๊ะที่นั่งรับประทานอาหารอย่างดี ถ้าสเปคขนาดนี้ไปหาตามโรงแรมคงไม่ได้ แล้วเมื่อเทียบดูแล้วราคาก็พอกัน แต่ได้ที่ใหญ่กว่ามาก อยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินอีกด้วย ว่าแล้วก็เลยตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ตรงนี้ล่ะ ใกล้ทั้งสถานีรถไฟและรถใต้ดินของ Paddington ที่เราเลือกที่จะอยู่แถบนี้ก็เพราะว่าจาก Paddington สามารถนั่ง Heathrow Express ไปสนามบินฮีทโธรล์เพียงแค่ 15 นาที แล้วเราก็มีแผนที่จะไปเที่ยวนอกเมืองด้วย สถานีรถไฟก็อยู่ใกล้กันกับใต้ดินเลย คือได้ครบหมดจบเสร็จในที่เดียว

             สำหรับบัตรโดยสารทั้งหลายจากการหาข้อมูลก็มาจบที่ บัตร Oyster Card  อย่างเดียว เพราะโปรแกรม หกวันของเรา มีออกไปนอกเมืองก็สองวันแล้ว จะไปซื้อ Travel card ก็คิดว่าไม่คุ้ม ในส่วนของรถไฟไปนอกเมือง ตอนแรกว่าจะซื้อ Britrail London Plus Pass เป็นแบบเดินทาง 3 วันภายในหนึ่งเดือน (USD144) ตอนแรกก็คิดจะซื้อ เพราะตั๋วนี้ไปได้ทั้ง Bath, Stonehenge, Oxford, Windsor Castle  ตามความตั้งใจของเราเป๊ะ แต่ๆ คิดรวมๆแล้วอาจจะไม่คุ้ม เพราะยังไม่รวมพวกค่ารถที่ใช้ขึ้นต่อไปที่เที่ยว ค่าบัตรเข้าชมสถานที่ ค่าจิปาถะเมื่อเทียบกับทัวร์แบบ Day trip จากกรุงลอนดอน และที่เด็ดสุดมันอยู่ตรงนี้ จากการที่เป็นแฟนคลับของ tripadvisor เข้าไปหาข้อมูลทัวร์เที่ยวไปกลับวันเดียวก็ไปเจอคำแนะนำในกระทู้หนึ่งว่า มีทัวร์แบบลดครึ่งราคาซึ่งทัวร์นั้นก็เป็นหนึ่งในบริษัททัวร์ดังๆที่เรากำลังดูอยู่และส่วนใหญ่ก็ใช้กัน นั่นคือ Premium Tours  โดยต้องจองจากเว็บของ Groupon ตามนี้ https://www.groupon.co.uk/browse/london?category=things-to-do&category2=sightseeing-and-tours แล้วลองเลือกดูซึ่งถ้าไปเข้าหน้าเว็บไซต์หลักของ Premium Tours  จะเป็นทัวร์เดียวกันเลย แต่ราคาหั่นมา 50% เป๊ะๆ รวมค่าเข้าที่เที่ยวเหมือนกันทุกอย่าง เมื่อเห็นโปรล่อตาล่อใจแบบนี้ ดีงามพระรามเก้า Britrail London Plus Pass เลยกลายเป็นเพียง history ใน cache ไปโดยปริยาย แต่แอบบอกนิดนึงว่าทัวร์ที่ไปจะใช้ภาษาอังกฤษในการบรรยายทั้งหมด เพราะไกด์เป็นฝรั่ง ผู้ร่วมเดินทาง 98% เป็นฝรั่งหมดเลยทั้งจากอเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา

              เอาล่ะ เรื่องปลีกย่อยตั๋วไปโน้นนี่เอาไว้ก่อน เดี๋ยวจะค่อยๆเล่าไป เรามาต่อกันที่วันเที่ยววันแรกในอังกฤษกัน วันแรกขอแบบเบาๆ เดินเที่ยวในลอนดอนก่อน จริงๆไม่ใช่อะไร คิดไม่ออก ฝนดันตก เลยไปหลบฝนที่ British Museum พิพิธภัณฑ์อันดับต้นๆของโลก เจ้าแห่งอาณานิคม ถ้าที่ไหนจะมีของดีของเด็ดจากทั่วโลกมารวมกัน มันก็ต้องมีอังกฤษรวมอยู่ด้วยแน่นอน ค่าเข้าชมฟรีก็ด้วย จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าทำไมถึงฟรี ที่อ่านๆมาประมาณว่าไปเอาของเขามาเยอะช่วงล่าอาณานิคม แต่ไม่อยากส่งคืนเขา บอกชาวบ้านไปว่าเก็บไว้ที่บ้านฉันน่ะ ดีแล้ว นี่ถ้าฉันไม่เอามาสิ ป่านนี้คงไม่มีเหลือแล้ว ครั้นจะเก็บเงินค่าเข้ามันก็จะดูแปลกๆ เพราะของก็ไม่ใช่ของอังกฤษ เลยให้เข้าชมฟรีก็แล้วกัน อย่าว่ากันน่ะ ประมาณนี้ แต่ถ้าใครอยากจะบริจาคก็สามารถร่วมหยอดใส่ภาชนะกลมพลาสติกใสขนาดใหญ่ซึ่งคนที่เดินเข้าทุกคนจะต้องมองเห็น ก็เชิญตามศรัทธาแต่ตามมาตรฐานคือ 5 ปอนด์ มีเขียนบอกไว้ที่ตู้เลย

                 พอเข้ามาข้างในก็จะแบ่งออกเป็นชั้นๆ ตามแต่ละอารยธรรม แต่ที่โด่งดังและเป็นไฮไลท์ของที่นี่คืออารยธรรมจากอียิปต์ เหล่ามัมมี่ทั้งหลายที่เราเคยได้เห็นแต่ในหนัง เราจะได้เห็นของจริงแล้ว

ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก พระนางคลีโอพัตรา ก็อยู่ที่นี่ ดูจากมัมมี่แล้ว ท่านมีรูปร่างเล็กกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว

             มหาวิหารพาธีออน ในอารยธรรมกรีกโบราณ งานอลังก็มา ถ้าไปที่กรีซขอบอกเลยว่าไม่ต้องไปให้เสียเวลา เพราะวิหารถูกยกเอาไว้ให้ดูที่นี่ที่เดียว เที่ยวครบทั่วโลกในหนึ่งวันต้องที่ British Museum เท่านั้น

    จริงๆของที่สำคัญ เด่นดังมีมากมายถ้าจะให้เดินศึกษาจริงๆ วันเดียวก็คงไม่หมด เรื่องการรักษาสิ่งของต่างๆภายในพิพิธภัณฑ์ก็ต้องชมเจ้าบ้านที่ดูแลของมีค่าของชาวโลกได้เป็นอย่างดี จริงๆก็เป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังด้วยเหมือนกัน เพราะเราสามารถที่จะมาชมที่นี่ได้ที่เดียว ได้ครบหมดทั้งโลก คิดแง่นี้ก็จะได้สบายใจขึ้นมาหน่อยนึงเนอะ

    หลังจากจบจากพิพิธภัณฑ์ก็หมดไปค่อนวัน กว่าจะได้ออกมาก็เกือบสี่โมงเย็น ก็เลยคิดว่าไปที่ต่อไปคงไม่ทันแล้ว งั้นไปชอปปิง ดูแสงสี ปล่อยให้เงินหมุนไปจะได้สบายใจที่ Oxford street และที่ตื่นตะลึงมากบนถนนแห่งนี้ ก็คือ ห้าง Primark ตอนแรกไม่รู้จักห้างนี้เลย พอดีเดินผ่าน เห็นคนเยอะๆ เลยเดินเข้าไป ไม่รู้มีอะไรดึงดูดให้เข้าไป เพราะจริงๆผ่านห้างมาตั้งหลายห้างก็ไม่ได้เข้า ตอนแรกที่เข้าไปปุ๊ป อารมณ์ H&M กับ Forever 21 มีเสื้อผ้าราคาถูกแบบถูกมากๆ แบบเสื้อสองปอนด์ ห้าปอนด์ก็ยังมี แต่...แต่ที่ห้าง Primark  ไม่ได้มีแค่เสื้อผ้า แต่มันคือห้างๆหนึ่ง มีของเป็นแผนกๆ กระเป๋าเดินทางก็ถูกมาก สภาพตามราคา แต่ดูดีทีเดียว เสื้อเชิ้ตผู้ชายเอาแบบดูดี ตัวละ ห้าปอนด์ แปดปอนด์บ้าง ราคานี้ถ้าขายที่บ้านเรา บอกเลยว่าลายผู้ดีอังกฤษดีๆ แบบนี้ไม่มี ทริปลอนดอนบอกเลย เที่ยวครึ่งวัน ชอปและกินอีกครึ่งวัน เป็นการคลายเครียดหลังจากไปผจญภัยมาทั้งวัน แต่บอกเลยว่า เหนื่อยกว่าไปเดินเที่ยวอีกสองเท่า แฮ่ๆ

    จาก Oxford Street เดินทะลุยาวๆ มาที่ย่านเยาวราชของลอนดอน สิ่งที่มาถึงแล้วก็ต้องกินให้ได้ นั่นคือ เป็ดย่าง Four seasons นั่นเอง อยากรู้ว่าของต้นตำรับจะเป็นยังไง ต่างจากที่พารากอนไหม พอได้กินแล้วรู้สึกชอบของที่นี่มากกว่า เพราะไม่ออกหวานเหมือนที่บ้านเรา แต่หนังเป็ดก็ไม่ได้กรอบอะไรมากมาย ดูจากภาพเอาละกัน

    ตบท้ายตอนเย็นด้วยการไปเก็บภาพ Big Ben อาคารรัฐสภา และ London Eye ถ่ายตอนกลางคืนก็สวยงามใช้ได้ทีเดียว ให้นั่งรถใต้ดินมาลงที่สถานี Westminster เดินทางออกมาตามป้าย ขึ้นมาจากสถานีปุ๊ปแล้วแหงนหน้าก็เจอลุงเบนแล้ว ใหญ่และอลัง เวอร์วัง ดาวล้านดวง

                วันต่อมา พักหายเหนื่อยมาพอล่ะ ออกไปเที่ยวนอกเมืองกัน เราจะไป Windsor Castle กันก่อนเพราะอยู่ไม่ไกลจากลอนดอน Windsor Castle ถือว่าเป็นปราสาทที่มีคนอาศัยอยู่ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในโลก ราชวงศ์อังกฤษก็ยังคงใช้เป็นที่พำนักและจัดงานเลี้ยงต้อนรับจนถึงปัจจุบัน จำได้ว่าใน Audio Guide พูดไว้ว่า “The castle is still alive” ดูมีชีวิตขึ้นมาทีเดียว บรื๋อส์

                 พอซื้อตั๋วรถไฟจากตู้ขายตั๋วแล้วก็ขึ้นรถไฟจาก Paddington - Windsor & Eton Central ไม่ต้องกลัวหลงเลย เพราะมีเพื่อนไปลงที่เดียวกันมากมาย นั่งไปประมาณ 40 นาทีก็ถึง เมื่อลงไปแล้วก็ให้เดินตามๆคนอื่นไป บอกแล้วว่าไม่หลงแน่นอน มีป้ายบอกทางไปตลอด เพราะที่นี่คือสถานที่เที่ยวยอดฮิตอันดับต้นๆที่สามารถมาจากลอนดอนได้ไม่ไกล สำหรับคนที่กำลังคิดว่าจะซื้อบัตร London Pass ดีไหม บอกก่อนสำหรับมือใหม่หัดเที่ยว บัตร London Pass คือ บัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในลอนดอนและบางแห่งนอกเมือง ซึ่งรวมถึงที่ Windsor Castle ด้วย บางที่ก็จะสามารถใช้ Fast track ได้ คือจะมีแถวพิเศษให้เข้าไปข้างในได้เลย โดยไม่ต้องต่อแถวสามัญชนคนทั่วไป ใครที่คิดว่าเป็นคนที่เที่ยวได้ทั้งวัน ก็ลองตามไปดูที่เว็บ https://www.londonpass.com จะชอบมีส่วนลดให้ 20% สำหรับการจองสามวันขึ้นไป แต่ต้องเที่ยวแบบวันติดกัน ไม่สามารถแยกวันได้ ตัวแปรสำคัญเรื่องเวลาที่ทำให้เราตัดสินใจไม่ซื้อบัตรนี้ เพราะคำนวณแล้วยังไงก็ไม่คุ้มสำหรับเรา แล้วเรามีวันที่ต้องไปออกนอกเมืองด้วย ดังนั้น ถ้าจะใช้สามวันให้คุ้มทุนจึงเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าใครมีเวลาและคิดว่าเที่ยวได้ครบคุ้มทุนก็ลองตัดสินใจดู อีกอย่างเราซื้อทัวร์สุดคุ้มไว้แล้ว ไม่เดือนร้อน โฮะๆๆ 

               ถึงที่ไหนแล้วนะ? อ๋อๆ Windsor Castle อ่ะๆ รถไฟจอดล่ะ เดินตามฝูงชนเข้าไปซื้อตั๋วกันดีกว่า วันที่เราไป สบายๆ คิวไม่ยาว ไม่รู้ว่าเพราะเป็นวันจันทร์หรือเป็นเพราะเดือนมีนาคมซึ่งยังไม่ใช่หน้าท่องเที่ยว เอาเป็นว่าโชคดีล่ะกัน เมื่อซื้อตั๋วเสร็จ เราก็เดินไปรับ Audio Guide ซึ่งรวมมากับตั๋วแล้ว เอามาก็แทบไม่ต้องเลือกภาษาเลย เพราะมีแต่อังกฤษเท่านั้นที่เราฟังออก ภาษาไทยนะเหรอ แค่ที่ไหนมีโบรชัวร์ให้ก็น้ำตาจะไหลแล้ว จริงๆคนไทยก็ไปเที่ยวกันเยอะ ยุโรปก็แยะ แต่เท่าที่สัมผัสไม่มีที่ไหนมีเสียงบรรยายไทยเลย ทำไมกัน พูดแล้วพาให้ชีช้ำกะหล่ำดอง รูปภาพจากภายนอก เพราะด้านในเขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป

              เวลาที่เดินไปรอบปราสาทก็จะเห็นรถเข้าออกและจอดภายในปราสาทมากมาย และเท่าที่สังเกตก็เห็นรถหลายคันมีดอกไม้เหมือนดอกปอปปี้ติดอยู่หน้ากระจังรถตามรูปด้านล่างนี้ เลยสงสัยว่าเจ้าดอกไม้นี่มันมีความหมายว่าอะไร เป็นเหมือนสติกเกอร์แปะหน้ารถเวลาจะเข้าหมู่บ้านประมาณนี้รึเปล่า รอกูรูทั้งหลายมาให้คำตอบที....


และแล้วเช้าแห่งการทัวร์ Day Trip ที่จองจาก Groupon หั่นครึ่งราคาก็มาถึง โปรแกรมที่เราซื้อ คือ Stonehenge, Bath, Stratford-Upon-Avon & (the Cotswolds) ราคาคนละ 49 ปอนด์ จากราคาหน้าเวบตรง 98 ปอนด์ ต่อคน แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มล่ะ ราคานี้รวมค่าเข้าที่ Stonehengeและบ้านของ Shakespeare ในเมือง Stratford-Upon-Avon ที่ต้องวงเล็บ (the Cotswolds) เอาไว้เพราะว่าไม่ได้ลงแวะ ทัวร์นี้แค่ผ่านทางนี้แล้วให้ดูภาพหมู่บ้าน Cotswolds ตามเส้นทาง ซึ่งตอนที่ผ่านไปตอนนั้นบอกเลยว่ากำลัง......หลับ! สลึมสลือตื่นมามองลางๆเหมือนอยู่ในความฝัน เซ็งเลย

           เอาล่ะ มาเริ่มวันอันแสนยาวนานนี้โดยที่ทางทัวร์นัดให้ไปขึ้นรถที่ท่ารถ Victoria ตอนแปดโมงเช้า รถที่เรานั่งไปนี่คนเต็มรถเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่ขึ้นมาเนี่ยะ เขาได้ใช้บริการจาก Groupon ไหม แต่ไม่กล้าถามนะสิ ยังไงก็แล้วแต่ขึ้นมาแล้ว ที่แรกที่พาไปรับลมกระพือยามเช้าก็คือ Stonehenge ที่นี่ไกด์บอกว่ามีเวลาให้กระโดดและชะโงกได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง เราก็รีบกระโดดไปทันที พร้อม Audio Guide ซึ่งภาษาเดียวที่ฟังได้คงไม่ต้องบอกน่ะ บ่นไปข้างบนหมดแล้ว ที่ Stonehenge แห่งนี้พอได้ลงไปเหมือนอยู่กลางทุ่งกว้างที่เป็นเนิน และอยู่ๆก็มีเสาหินโบราณถูกจับวางในลักษณะที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ถ้ามีเวลาก็ฟัง Audio Guide เล่าเรื่องไปเพลินๆ แต่อย่างเรานี่ต้องชะโงกบ้าง เลยฟังบ้าง ข้ามๆไปบ้าง เพราะเอาเข้าจริง เส้นทางที่เขาทำไว้คือให้เดินวนเจ้าแท่งหินมหัศจรรย์นี่เท่านั้นเอง เดินวนครบรอบ ถ่ายรูปพาโน แชะๆ ถ่ายติดอีกาดำนิดก็เป็นอันเสร็จ

             จาก Stonehenge ก็ไปต่อที่เมือง Bath กัน ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงนิดๆ  เมื่อมาถึงเมือง Bath ไกด์จะปล่อยให้เที่ยวอิสระ โดยจะแนะนำให้เราว่าจะไปดูที่โรงอาบน้ำของชาวโรมันโบราณ ซึ่งคนที่มาเที่ยวที่เมืองนี้ส่วนใหญ่ก็จะต้องไม่พลาดที่เข้าชม หรือคุณสามารถไปเดินดูเมือง ไปดูโบสถ์สถาปัตยกรรมสวยๆ โดยเราจะมีเวลาให้คุณอยู่ที่นี่ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งถ้วนพร้อมกับหาอาหารกลางวันรับประทานเอง แต่ไกด์แนะนำว่าให้ซื้อแบบเดินไปกินไป เอาแบบง่ายๆดีที่สุด เพราะเวลามันจะไม่ทันเอา ว่าแล้วพอไกด์ปล่อยตัว เราก็รีบวิ่งไปซื้อตั๋วดูโรงอาบน้ำโบราณ หรือที่เขาเรียกกันว่า Roman Bath ใจจริงคิดว่าแค่โรงอาบน้ำ ดูบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติเขียวๆ สักครึ่งชั่วโมงแล้วรีบออกไปดูโบสถ์ดูเมืองก็คงทัน เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ไปซื้อบัตรเข้าชม (ไม่รวมในทัวร์) จ่ายตังเสร็จปุ๊ป มี Audio Guide ให้ด้วย! โอ้ว ตัยแล้ว....ตายแล้ววว (นึกถึงเสียงจูลี่  The Face) ตอนที่จะไปรับ คุณลุงที่แจกอุปกรณ์ก็ถามว่าจะฟังภาษาอะไร ด้วยความที่เจ็บช้ำน้ำใจมาหลายที่ ก็เลยบอกไปว่า ลุงไม่มีภาษาของหนูหรอก ลุงก็ถามว่าภาษาอะไรละ เราก็บอกว่าภาษาไทย ลุงมีไหม ลุงบอกว่า โอ้ว ฉันเสียใจจริงๆ ฉันไม่มีภาษาของเธอ แต่ฉันมีโบรชัวร์เป็นภาษาไทยให้นะ โอ้วว ได้ยินเท่านั้น คนไทยอย่างเราได้ฟังหน้าบานเป็นกระด้ง นี่พี่ไทยคงมาช่วยกันอุดหนุนที่นี่กันอุ่นหนาฝาคั่งที่เดียวเชียวแม่พลอยเอ๋ย ได้ฟังแล้วก็รับมา พร้อมเปิดอุปกรณ์ฟังไป ชมไป ถ่ายรูปเพลินๆ

    จากที่วางแผนไว้เพียงครึ่งชั่วโมง กลายเป็นหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ถ้าจะโทษก็ต้องที่เราประเมินโรงอาบน้ำอายุเกือบ 2,000  ปีนี้ต่ำเกินไป แถมยังมี Audio Guide เป็นตัวช่วยถ่วงเวลา นี่ขนาดเลิกฟังไปตั้งแต่ครึ่งแรกแล้วนะ โอ้แม่เจ้า ข้าวเที่ยงก็ยังไม่ได้หารับทาน แล้วอีกครึ่งชั่วโมงที่เหลือจะทำได้อย่างไร ว่าแล้วก็รีบไปหาแซนวิชกินไปเดินไปดูไป ถึงจะดูได้แค่นิดเดียวแต่ก็ยังดี เราขอแนะนำเลยว่าถ้าคุณเป็นคนชอบเดินชมเมือง ชอบชิล และมีเวลา ก็อยากให้มากันเองจะได้ไม่ต้องชะโงกแบบนี้ แต่อันนี้เราเลือกแล้วว่าจะใช้เวลาในหนึ่งวันรู้จักกับอังกฤษให้มากที่สุดก็ต้องรับสภาพ แล้วรีบขึ้นรถต่อไปที่สุดท้าย บ้านเกิดของกวีเอกเอกระดับโลก Shakespeare ที่เมือง Stratford-Upon-Avon นั่นเอง (ครั้งแรกที่ได้อ่านชื่อเมือง นี่มันไม่ได้อยู่ที่ฝรั่งเศสใช่ไหม ชื่อเก๋จริงๆ) จาก Bath ไปหาบ้านเกิดของคุณเชคสเปียส์ ก็นอนพักเอาแรงไปอีกประมาณสองชั่วโมง ระหว่างทางก็จะผ่านเมือง Cotswolds ที่มีหมู่บ้านน่ารักๆ แล้วก็ผ่านตอนที่เราหลับ แล้วตื่นมาสลึมสลืออยู่นี่ละ

    สองชั่วโมงผ่านไปก็มาถึงเมืองชื่อเก๋ๆของคุณเชคสเปียส์ ขอบอกว่าบ้านเรือนแปลกตาเหมือนกำลังดูหนังอังกฤษพีเรียดอยู่แลย ทุ่งหญ้าเขียวขจี แดดส่องกระทบกับแม่น้ำเล็กๆที่ไหลผ่านมา มีต้นหลิวหรือเจ้าวิลโลจอมหวดปลูกข้างแม่น้ำ มีเด็กๆกำลังวิ่งเล่นๆ ช่างเป็นภาพที่ทำให้รู้สึกได้ว่าที่แบบนี้แหละ ที่จะเป็นที่สร้างจินตนาการให้กับอัจฉริยะระดับโลกได้ ว่าแล้วเมื่อรถจอดปุ๊ป ไกด์ก็ทำหน้าที่พาเราไปนั่งในห้องใหญ่ๆห้องหนึ่งนึกภาพคล้ายๆโรงอาหารในโรงเรียนฝรั่ง แล้วก็ให้เราไปเดินหยิบแชมเปญและสโคนกับแยมสตอเบอร์รี แล้วมานั่งชมเจ้าหน้าที่ผู้หญิงแต่งตัวแบบชาวบ้านในยุคที่เชคสเปียร์ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองสาวมาผลัดกันร่ำบทละครและบทกวีของเชคเปียส์คนละสองสามเรื่อง เพื่อให้ได้อารมณ์ก่อนจะนำเราเข้าสู่บ้านที่กวีระดับโลกผู้นี้ที่ได้ถือกำเนิดขึ้น เมื่อการแสดงจบลง กระดกแก้วแชมเปญจ์พอกรึ่มๆ ก็พากันออกตามรอยประวัติศาสตร์บ้านของเชคสเปียส์กันเลย

    เดินดูชมบ้านเสร็จเรียบร้อย ก็มาเดินที่เมืองด้านนอกซึ่งมีถนนพร้อมทั้งร้านขายของน่ารักๆมากมาย ในบรรยากาศของเมืองโบราณ

    จากด้านหนึ่งของถนนเส้นนี้ เมื่อเดินมาก็จะได้พบกับรูปปั้นตัวตลกและข้อความตอนหนึ่งจากบทประพันธ์ของเชคสเปียส์สลักไว้ที่ตรงใต้รูปปั้นว่า

“The fool doth think he is wise.
But the wise man knows himself to be a fool.”
(As You Like It)


          เป็นการจบหนึ่งวันกับประเทศอังกฤษได้อย่างมีปรัชญาเหมือนการเติมอาหารให้สมองและได้ซึมซับกับบรรยากาศ แล้วปล่อยให้จินตนาการล่องลอยไปบนรถอีกสองชั่วโมงจนกว่าจะถึงลอนดอน...

           เช้าวันต่อมา ไวเหมือนโกหก วันนี้เป็นวันที่เราตั้งหน้าตั้งรอตลอดทริป เพราะวันนี้เราจะได้ไปชิมของอร่อยจากเชฟสุดโปรดที่มีทั้งฝีมือและฝีปากเป็นเยี่ยม แต่โต๊ะที่จองไว้เป็นมื้อกลางวัน เพราะฉะนั้น ตอนเช้าเราก็ต้องไปเที่ยวก่อน ตามสเตปของเราคือเที่ยวเช้าเย็นชอปนั่นเอง วันนี้เราจะเริ่มต้นวันพิเศษด้วยการสร้างความรู้สึกความเป็นราชนิกูลและความหรูหราที่พระราชวัง Buckingham Palace แห่งนี้นี่เองงง ขอบอกไว้เลยว่าการมาวังครั้งนี้จะทำให้เราได้พบกับปรัชญาของชีวิตที่คิดว่าคงติดมาจากบทกวีเมื่อวานของเชคสเปียส์เป็นแน่แท้ แต่ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยว่าถ้าอยากได้จุดที่ถ่ายรูปสวย จุดพีคแบบติดริมรั้ว เห็นเส้นไหมบนหมวกดำทรงสูงของทหารยามปลิวพริ้วไสว ท่านอาจจะต้องมารอก่อนสักสองชั่วโมงเป็นอย่างน้อย (คิดเอง) เพราะเราไปก่อนครึ่งชั่วโมง คนก็แห่แหนกันมาเต็มไปหมดแล้ว ถ้าอยากจะรู้ว่ามีเดินสวนสนามวันไหนเวลาเท่าไหร่ ก็กดเข้าไปดูที่นี่ได้เลย https://changing-guard.com/dates-buckingham-palace.html ขอบอกว่าเราโชคดีมาก เพราะวันที่เราจะไปมีเดินสวนสนามพอดี ถ้าจะให้ชัวร์
โปรดเช็คก่อนจะดีที่สุด

           จากภาพข้างล่างจะเป็นภาพที่เรายืนอยู่ในจุดแรก ตอนแรกที่เดินเลาะวังโค้งมาถึงหน้าพระราชวัง ก็ตกใจกับจำนวนคนที่มาก่อนเวลาแล้ว มุมดีๆ ที่ติดรั้ว ติดที่กั้นยืนเป็นคนแรกไม่ต้องคิดเลย คนที่มาก่อนเกาะรั้วกันแน่นยังกะกอลลัมหวงแหวนทีเดียว

    ถ้าจากภาพจะเห็นว่า ตรงที่เรายืนก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่ เป็นที่ตรงมุมโค้งปากทางเดินเข้ามาพอดี ด้วยความที่ตอนที่ยืนเราเป็นบุคคลชั้นที่สอง หมายความว่า ยืนต่อหลังกอลลัมอีกที ในใจก็คิดแต่ว่าอยากจะได้จุดที่ดีกว่านี้ จากภาพข้างบน ถ้าสังเกตจะเห็นว่าตรงบริเวณอนุสาวรีย์สีขาวที่มีเทพีสีทองยืนโดดเด่นอยู่นั้น คือ Victoria Monument จะเห็นว่ามีมดหลากสีอัดอยู่แน่นเต็มไปหมด เพราะตรงนั้นคือจุดที่เห็นทุกสิ่งอย่างในมุมกว้างนั่นเอง แถมตรงบริเวณนั้นยังเป็นขั้นบันไดเลยทำให้คนที่มายืนไม่บังมุมกันมากนัก ตอนนั้นยืนแบบหันหน้าหันหลังมาก จะเอายังไงดี เพราะที่ๆยืนอยู่ มุมมันก็โอเคไม่ได้แย่ แต่จะไม่ได้เห็นตอนทหารเขาเดินสวนสนามกันข้างใน เพราะตรงที่ยืนไม่ได้ติดรั้ววัง ยืนไปกระสับกระส่ายสักพัก เหล่าทหารยามตอนนี้ก็กำลังเดินสวนสนามกันข้างในวัง เสียงกลองปลุกใจดังรัวๆตลอดเวลา ตัวเราก็ได้ยินแต่เสียง เริ่มกระวนกระวายหนักเพราะอยากเห็น มาแล้วทั้งที ไม่เห็นนี่ถือว่าพลาดมาก แต่อีกใจก็ไม่อยากสละที่ตรงนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีขบวนอะไรเดินเข้ามาอีกไหม เด็กวัยรุ่นที่เกาะรั้วเป็นชนชั้นที่หนึ่งหน้าเราก็ดูเหมือนว่าจะมีอาการกระวนกระวายไม่แพ้กัน ผ่านไปสักพักก็ตัดสินใจ ละทิ้งที่มั่นไปหาที่หมายใหม่ ที่ๆดีกว่า แล้วเราก็ก้าวข้ามจาก Comfort Zone ของตัวเอง เพื่อไปบุกเบิกหาที่ใหม่ ไม่พะวงหน้าพะวงหลัง ไม่ยึดติดกับที่เดิมๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ข้ามถนนเพื่อที่จะไปหาจุดเหมาะๆตรงอนุสาวรีย์สีขาว และนี่คือผลลัพธ์ที่ได้

    โอ้ว ช่างเป็นภาพมุมกว้างพาโน 360 องศามุมยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้ซารา แถมยังได้เห็นทหารยามเดินสวนสนามอยู่ข้างในวังอีกด้วย ถึงแม้ไม่เกาะชิดติดขอบเหมือนคนที่ได้มุมติดทางเข้า แต่มุมตรงนี้ก็ถือว่าได้เห็นทุกมุมเลยทีเดียว ถือว่าเป็นการตัดสินที่ใจที่คุ้มจริงๆ ถ้าจะมาก็ขอให้มายืนที่อนุสาวรีย์ตรงนี้ เผอิญว่าตอนที่ตัดสินใจเปลี่ยนที่ มันก็ช่วงท้ายๆแล้ว คนตรงนี้ก็เลยซาๆกันไปบ้างเลยมีมุมดีๆให้ถ่ายรูปบ้าง พอสวนสนามกันเสร็จ ประตูวังก็ปิดลง เราเลยข้ามถนนไปเกาะรั้ววังถ่ายภาพมาได้บ้างเก็บเอาไว้ที่เป็นที่ระทึก ว่าแล้วก็ตามข้าพเจ้ามา

    จากหน้าพระราชวัง เดินตรงไปก็จะเป็น St. Jame’s Park บอกเลยว่าไม่ใช่สนามบอล แต่มันคือสวนสาธารณะหน้าวังนั่นเอง เดินผ่านก็เริ่มเห็นฤดูกาลของใบไม้ผลิกำลังเริ่มต้น

แอบถ่ายเจ้ากระรอกน้อยได้ในระยะประชิด แบบไม่กลัวคนเลย

            จากตรงนี้เราก็จะเดินเลียบสวนผ่านทาง Birdcage Walk เพื่อไปเที่ยว Westminster Abbey ซึ่งอยู่ไม่ไกลนั่นเอง เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอมุมถ่ายรูปตรงนี้

เราซื้อตั๋วเข้า Westminster Abbey จาก https://www.365tickets.co.ukเพราะถูกกว่าค่าเข้าปกตินิดหน่อย  ปริ้นท์มาแล้วก็ต้องมาต่อแถวเข้าโบสถ์ อันนี้จะไม่มี  Fast track สำหรับตั๋วเราน่ะ โบสถ์ Westminster แห่งนี้เป็นที่ประกอบพิธีสำคัญ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษกขององค์กษัตริย์และราชินีเกือบทุกพระองค์ นอกจากนี้ยังเป็นที่ฝังศพของบูรพกษัตริย์และพระราชานี รวมทั้งพระบรมศานุวงศ์มากมายหลายพระองค์ เนื่องจากโบสถ์ไม่ให้ถ่ายรูปข้างใน ก็เลยเก็บภาพภายนอกและสวนข้างในมาให้ดูแทน

            เอาล่ะ เสร็จจากตรงนี้ บอกเลยว่าหิวมาก และต้องทำเวลาด้วย เพราะที่ๆเราจะไปนั้นอยู่ห่างออกไปสักนิดและต้องใช้เวลาเดินจากรถไฟใต้ดินพอสมควร ร้านที่เราต้องรีบไปให้ทันเวลาจอง ก็คือ ร้านเชฟเซเลบคนดังจากเกาะอังกฤษที่ไปโด่งดังที่สหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ชอบขายฟักเป็นชีวิตจิตใจ คิดว่าเพื่อนๆคงพอจะเดากันได้แล้ว เพราะเชฟคนดังคนนั้น ก็คือ Gordon Ramsay นี่เองงงง เราคือแฟนคลับพอตัวเลย เพราะดูรายการของเชฟมาเยอะพอดู ตั้งแต่ Hell’s kitchen, Kitchen nightmares, MasterChef, MasterChef Juior, The F word และ Hotel Hell ส่วนใหญ่จะดูฝั่งของอเมริกา เพราะมีความดราม่าตรงตามจริตคนไทยอย่างเรา ฮาๆ ร้านที่เราจะไป บอกเลยงานนี้ทุ่มสุดตัว คือ ร้านแรกที่เชฟเปิดตัว และเป็นร้านที่ได้ Michelin Star 3* ติดต่อกันมามากกว่า 12 ปี ในฐานะที่เป็นแฟนคลับเหนียวแน่นหนึบ จึงต้องลองมาสักครั้งให้ได้ในชีวิต ถ้าเพื่อนคนไหนจะไปขอบอกว่า ควรจองล่วงหน้ามากกว่าหนึ่งเดือนก็จะดีมาก เพราะจะได้เวลาที่เราเลือกได้ เราจองประมาณเดือนนึง เวลาที่อยากได้ก็ไม่มีแล้ว เราเลยได้เวลาอาหารเที่ยงเป็นรอบสุดท้าย คือ 14.15 น. นั่นเอง

            เมื่อไปถึงร้าน ได้รับการต้อนรับอย่างดี สมกับที่เป็นการบริการระดับสามดาว และบรรยากาศภายในร้านก็เป็นแบบนี้

            ตอนที่ไปก็เหลือแค่ไม่กี่โต๊ะ ตอนแรกได้นั่งโต๊ะมุมในด้านริมทางเดิน แอบเหลือบปรายตาไปมองเห็นมีที่นั่งริมหน้าต่างวิวดอกไม้แสนสวยแบบในภาพ เลยขอเปลี่ยนที่นั่ง ทางร้านก็เปลี่ยนให้ไม่มีอิดออดแต่ประการใดและเนื่องจากว่าไปตอนกลางวัน ที่ร้านก็จะมีที่เป็น Lunch menu กับ A la carte เราไปกันสองคนก็เลยขอสั่งคนละแบบเลย เพื่อความหลากหลายของอาหารและประหยัดเงินไปหน่อยนึง เพราะ Lunch menu จะถูกกว่า A la carte เกือบครึ่งทีเดียว ว่าแล้วก็ตามมาดูภาพอาหารกันเลย

A la carte menu (มี  Chef’s surprise ด้วย รูปที่ 1,4,6)

Lunch  menu (ที่เป็น chef’s surprise จะได้เหมือนกัน)

           จากที่รับประทานมาท้ังหมดขอบอกว่าที่ประทับใจสุด คือ ที่เป็น Chef’s surprise  รูปแรกที่เป็นไข่ มันเป็นฟองซุปแต่รสชาติเข้มข้นอร่อย มีความเค็มจากเกลือกำลังดี เป็นรสชาติที่กินได้เรื่อยๆ ส่วนเมนูอื่นก็ถือว่าอร่อย น้ำซุปและน้ำซอสในแต่ละเมนูก็มีรสชาติที่ซับซ้อน ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ถามว่าอร่อยถึงขั้นสุดไหม สำหรับเราก็ยังไม่ใช่ ใจจริงตั้งใจมาแบบว้าว ว้าว ว้าว แต่ตอนนี้ให้ไปสองว้าวละกัน ว้าวแรกคือไข่ฟองซุปและเนื้อปลาที่ทำออกมาพอดี อีกหนึ่งว้าว คือ การบริการ จะมีคนเดินมาถามตลอดว่าต้องการไรเพิ่มไหม คือพนักงานจะสังเกตเราตลอดโดยที่เราไม่รู้ตัว ขนาดกำลังจะลุกไปเข้าห้องน้ำ ยังไม่ทันเอ่ยปาก ขาเพิ่งจะก้าวออกจากเก้าอี้ มีคุณลุงคิดว่าน่าจะเป็น Maitre d’ ก็ผายมือและบอกทางไปห้องน้ำให้เลย คือแบบคอยมองและรู้ว่าเราต้องการอะไร แอบสืบมา คุณลุงชื่อ Jean-Claude ดูใน tripadvisor ในเพจร้าน มี quick tab ของแกขึ้นมาเลย เป็นคนดังพอสมควร อีกอย่างทีทำให้ว้าวคือ คุณลุงรู้ว่าเราเป็นแฟนคลับเชฟ (อันนี้เราบอกเอง) พอทานเสร็จ ระหว่างรอรถแท็กซี่มารับซึ่งน่าจะต้องคอยสักพัก คุณลุงเลยมาถามว่าเราสนใจที่จะเข้าไปชมที่ห้องครัวไหม เรานี่แบบ ได้ด้วยเหรอ สนใจๆแน่นอน ว่าแล้วคุณลุงก็พาเข้าห้องครัวไปเลย ห้องครัวแบบสะอาดมาก ถ้าไม่สะอาดจริงเขาคงไม่กล้าให้เข้ามา ครัวระดับนี้แล้ว แถมคุณลุงเสนอว่าจะถ่ายรูปก็ได้นะ แล้วก็ถ่ายเราให้ด้วย โหห ลุงสุดยอดอ่ะ ก่อนกลับแอบถามคุณลุงว่าเชฟแรมซีมาที่นี่บ่อยไหม ลุงบอกไม่ค่อยบ่อยเพราะจะไปยุ่งกับการทำรายการที่อเมริกา แล้วเราก็ถามว่าลุงทำงานที่นี่มานานยัง ลุงบอกว่าจริงๆลุงรู้จักกับเชฟแรมซีมา 20 กว่าปีแล้ว แล้วก็ทำงานกับเชฟเรื่อยมา สุดยอดจริงๆ ยกนิ้วให้เลย เราเลยได้ภาพในครัวมาฝากกัน

          วันรุ่งขึ้น เราก็มาเที่ยวอีกที่ยอดฮิตของกรุงลอนดอน ก็คือ  Tower of London ไฮไลท์อยู่ที่ห้อง Crown Jewels ที่มีมงกุฎของกษัตริย์และราชินีอังกฤษ เพชรเม็ดมหึมา และสมบัติต่างๆ โดยตั๋วเราก็ซื้อจาก https://www.365tickets.co.uk เหมือนกัน แต่ของที่นี่เราไม่ต้องต่อคิวที่ซื้อตั๋ว เราสามารถนำใบที่เราปริ้นท์มาเข้าไปยื่นตรงทางเข้าได้เลย  

                   พอเดินดูจนจบออกมา ก็จะมาเจอกับ Tower Bridge อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของกรุงลอนดอน

                อีกหนึ่งที่ที่คนรักศิลปะไม่ควรพลาด คือ National Gallery ค่าเข้าก็ฟรี อารมณ์เดียวกับ British Museum เลย ภาพดังจากทั่วโลกก็มาอยู่ ณ ที่จุดๆนี้เหมือนกัน ด้านหน้าจะเป็น Trafalgar Square อันโด่งดัง

             แล้วมาชอปปิงยามเย็นย่าน Piccadilly Street ถนนที่รู้สึกว่าสวยมากๆเส้นหนึ่งในลอนดอน โดยเฉพาะตอนเย็นถ่ายภาพแล้วให้อารมณ์เหมือนเดินถนนในบรรยากาศคลาสสิค มีความ vintage หน่อยๆ แต่ต้องขอ  บอกว่าช่วงนี้ป้ายไฟโฆษณาที่เป็นจุดเด่นของ Piccadilly Circus ปิดปรับปรุงอยู่นะ แอบเสียดายเล็กๆ แต่เห็นถนนสวยๆก็โอล่ะ

             มาถึงวันสุดท้ายก่อนกลับ เพราะไฟล์เราประมาณสามทุ่มกว่า ก็เลยมีเวลาเกือบทั้งวัน วันนี้ขอเที่ยวเบาๆเดินชิลๆ ที่ Portobello market ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Paddington ที่เราพักเท่าไหร่ มาอยู่ลอนดอนก็เกือบจะอาทิตย์แล้ว แต่ยังไม่เคยได้นั่งรถเมล์แดงสองชั้นเลย วันนี้เลยขอสักหน่อย แถมค่ารถถูกกว่านั่งรถไฟใต้ดินด้วย อันนี้ภาพวิวถนนจากชั้นสอง

               การที่ขึ้นรถบัส ยังทำให้เราเข้าสู่ตลาด Portobello ได้ง่ายด้วย ไม่ไกลเลย สำหรับคนที่ชื่นชอบของเก่า ตลาดนี้ถูกใจท่านแน่นอน บ้านตามทางก็สวยไม่แพ้กัน

          เสร็จสรรพตอนเย็นเตรียมขึ้นรถไฟ Heathrow Express เราซื้อคืนก่อนกลับแบบระบุวันและช่วงที่กลับ คือก่อนช่วง peak hour ก็จะได้ตั๋วที่ถูกจากปกติประมาณ 25 ปอนด์ เหลือ 15 ปอนด์ต่อคน สามารถดาวน์โหลดแอป Heathrow Express มาก็ได้สะดวกดี สำหรับใครที่จะคืนภาษีที่สนามบิน เนื่องจากเราขึ้นเจ้าป้ามา ตรงที่ให้เช็คอินก็จะอยู่ใกล้กับที่คืนภาษี เรามาก่อนเวลาไฟล์ออกเกือบห้าชั่วโมงได้ ตอนไปคืนภาษีคนเลยไม่เยอะ สบายๆ ก่อนจะจากกันลืมบอกไปอย่างนึง ว่าใครที่กำลังมองหาตั๋วเข้าชมสถานที่ต่างๆราคาถูก ก็ลองเช็คของ 2for1 https://www.daysoutguide.co.uk/2for1-london เป็นการนั่งรถไฟ national rail แล้วนำตั๋วมายื่นพร้อมกับ voucher ของที่ๆเราจะไป แล้วจะได้สิทธิ์ซื้อตั๋วค่าเข้าหนึ่งแถมฟรีหนึ่ง ประมาณนี้ แต่มันจะค่อนข้างลำบากตรงที่ ตั๋วจะต้องอยู่ในช่วงเวลาของบัตรรถไฟด้วย เพื่อนๆก็ลองเลือกดูเอาที่เหมาะกับเวลาของตัวเองล่ะกัน

           สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณที่เป็นเพื่อนอ่านกันมาจนถึงจุดนี้ ถ้ามีข้อสงสัยก็ส่งข้อความมาถามกันได้ แต่อย่างทิ้งช่วงนานเป็นปี เพราะเราก็อาจลืมได้เช่นกัน 555

           ขอบคุณและราตรีสวัสดิ์พี่น้องชาวไทย

“ I’m the one who trying to be a Traveler, not just a tourist ”
(แต่ที่เล่าดันมาเป็น Tourist เต็มๆ 555)

หัวใจ


ติดตาม Blog เต็มๆ เรื่องราวกิน เที่ยว มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้างเต็มๆ ได้ที่ https://aliceinlavenderland.wordpress.com



Create Date : 13 ตุลาคม 2560
Last Update : 13 ตุลาคม 2560 22:17:40 น. 0 comments
Counter : 877 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

La Chaine
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add La Chaine's blog to your web]
space
space
space
space
space