Group Blog
 
 
มีนาคม 2561
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
2 มีนาคม 2561
 
All Blogs
 
เทคนิคปลูกนิสัยรักการอ่านให้ลูกน้อย

2 มีนาคม 2561











ผมมีโอกาสได้ไปร่วมกิจกรรมของงาน SE-ED BOOK FAIR “อ่านสู่ความสำเร็จ” READ TO SUCCESS ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 11 มีนาคม 2561 ที่ห้องพระราม 2 ฮอลล์ ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 โดยวันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม 2561 มีหัวข้อการบรรยายพิเศษชื่อว่า “เทคนิคปลูกนิสัยรักการอ่านให้ลูกน้อย” ที่บรรยายโดยพี่ตุ๊บปอง คุณเรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป กรรมการผู้จัดการมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจที่ผมอยากนำเสนอดังนี้

(รายละเอียดจากการบรรยายในครั้งนี้ ผมจดเป็นบันทึกช่วยจำย่อ (จดเลคเชอร์) แล้วจึงนำมาเขียนเรียบเรียงใหม่ ดังนั้นถ้ามีรายละเอียดประการใดที่ผิดพลาด หรือคาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ผมก็ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ ขอบคุณมากครับ)











-ขอพูดถึงหนังสือนิทานสำหรับเด็กที่พี่ตุ๊บปองแต่งเรื่อง “ตาอินกับตานา” และเรื่อง “กำเนิดพระสังข์” สองเล่มนี้ได้รับการคัดเลือกเป็นหนังสือดีสำหรับเด็กควรอ่าน

-ถ้าพ่อแม่หรือผู้ปกครองหยิบหนังสือสำหรับเด็กขึ้นมา 1 เล่ม ควรจะต้องใช้ประโยชน์จากหนังสือให้ได้ทั้ง 5 ประการคือ 1.อ่าน 2.ท่อง 3.ร้อง 4.เล่น 5.เล่า

-พี่ตุ๊บปองลองอ่านนิทานเรื่อง “กำเนิดพระสังข์” เป็นสำนองเสนาะให้ฟัง ฟังเสียงแล้วมีจังหวะขึ้น-ลงที่สอดรับกันอย่างดี

-พี่ตุ๊บปองเล่าใฟ้ฟังว่า เมื่อปี 2546 มีหนังสือแปลเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว” แปลมาจากภาษาญี่ปุ่น โดยคุณพรอนงค์ นิยมค้า เล่มนี้เป็นหนังสือที่พ่อแม่ทุกคนต้องอ่าน เป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่พูดถึงการปลูกฝังการอ่านให้แก่ลูกน้อย

-พี่ตุ๊บปองเคยทำโครงการ “บุ๊คสตาร์ท” หรือใช้ภาษาไทยว่าโครงการ “หนังสือเล่มแรก” โดยเอาแบบอย่างมาจากประเทศอังกฤษ ที่ประเทศอังกฤษเริ่มทำโครงการนี้ตั้งแต่ปี 2535

-หลังจากนั้นพี่ตุ๊บปองได้ไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเอาแบบอย่างโครงการ “บุ๊คสตาร์ท” มาทำจนประสบผลสำเร็จ โดยที่ประเทศญี่ปุ่นมีโครงการต่อเนื่องคือ โครงการห้องสมุดในบ้าน ของแต่ละครอบครัว ทำให้เด็กญี่ปุ่นเป็นเด็กที่รักการอ่านมาก

-พอถึงปี 2546 ก็เริ่มทำโครงการ “หนังสือเล่มแรก” ขึ้นมาในประเทศไทย แต่จริงๆ แล้วพี่ตุ๊บปองทำการส่งเสริมการอ่านให้แก่เด็กๆ มาตั้งแต่ปี 2526 แล้ว ทำให้พี่ตุ๊บปองรู้ซึ้งถึงปัญหาในการทำงานด้านนี้มาตลอด

-ที่ผ่านมาโครงการส่งเสริมการอ่านสำหรับเด็กในประเทศไทยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะการขาดส่งเสริมอย่างต่อเนื่องและจริงจัง และประเด็นที่สำคัญที่ทำให้ล้มเหลวคือ คุณพ่อคุณแม่ไม่อ่านหนังสือเลย โอกาสที่จะทำให้เด็กอ่านหนังสือตามจึงไม่มีเลย

-พี่ตุ๊บปองเล่าถึงการทำโครงการ “หนังสือเล่มแรก” ในช่วงเริ่มต้นว่า ตัวพี่ตุ๊บปองได้เป็นผู้จัดการโครงการนี้ ได้ลองทำโครงการกับครอบครัวจำนวน 106 ครอบครัว เป็นครอบครัวที่อยู่ในพื้นที่แตกต่างกัน ใช้วิธีเดินเข้าไปหาครอบครัวที่กำลังมีลูกน้อยวัย 6-9 เดือน พูดคุยถึงวัตถุประสงค์ของโครงการให้พ่อแม่เหล่านี้ทราบ แล้วได้มอบ “ถุงหนังสือเล่มแรก” ให้แต่ละครอบครัวไว้อ่าน

-โดยใน “ถุงหนังสือเล่มแรก” จะมีหนังสืออยู่ 3 เล่มคือ เล่มที่ 1 และ 2 เป็นหนังสือสำหรับให้คุณพ่อคุณแม่อ่านเพื่อการเตรียมตัวสร้างนิสัยรักการอ่านให้แก่ลูกน้อย โดยเอาข้อมูลมาจากประเทศญี่ปุ่น เป็นหนังสืออ่านง่ายที่แปลมาจากภาษาญี่ปุ่น

-เพราะมองว่าหนังสือเป็นอาหารมื้อสำคัญสำหรับเด็ก แม้ว่าจะไม่ได้เป็นมื้อหลักแต่ก็เป็นมื้อเสริมที่มีประโยชน์มากๆ สำหรับเด็ก ควรให้ลูกๆ ได้อ่านหนังสือมื้อเสริมนี้ทุกวันอย่าให้ขาด

-ปัญหาที่เจออีกประการหนึ่งก็คือ คุณพ่อคุณแม่อ่านหนังสือไม่ออก ดังนั้นทางโครงการจึงได้ทำการ์ตูนสำหรับคุณพ่อคุณแม่ขึ้นมา ซึ่งก็คือหนังสือสำหรับการเตรียมตัวในเล่มที่ 1 และ 2 นี้เอง

-คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ซื้อหนังสือให้แก่ลูก มอบให้เขาเลยโดยไม่ได้สอนวิธีการจับหนังสือให้แก่ลูก เพราะสำหรับเด็กน้อยวิธีการจับหนังสือก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะทำหนังสือขาด เพราะ “หนังสือเล่มขาดได้แต่ใจลูกต้องไม่ขาด”

-เมื่อหยิบหนังสือแต่ละเล่มส่งให้แก่ลูกน้อย เราต้องสอนให้เขาจับหนังสือเล่มให้ถูกต้อง สอนให้เขาเปิดหน้าให้ถูกวิธี เพื่อสร้างสัมผัสเริ่มต้นให้แก่เขา

-คุณพ่อคุณแม่บางท่านชอบอ้างว่าตัวเองไม่มีเวลาอ่านหนังสือให้ลูกฟัง บางคนกังวลว่าเสียงตัวเองไม่ดีไม่เพราะเลยไม่อยากอ่านให้ลูกฟัง ซึ่งวิธีคิดแบบนี้เป็นสิ่งที่ผิด เพราะเรื่องการอ่านของลูกเราต้องให้เวลาแก่เขา ลูกอยากฟังเสียงของพ่อแม่มากกว่าเสียงอื่นๆ จงจำไว้ว่า ... เสียงของพ่อแม่เป็นเสียงที่อบอุ่นและเชื่อใจได้สำหรับลูกน้อยเสมอ

-อยากให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนอ่านหนังสือให้ลูกฟัง เพราะเมื่อลูกได้ฟังลูกจะจำเสียงพ่อแม่ได้ เวลาอ่านหนังสือให้ลูกฟังลูกจะมองที่รูปปากของคุณพ่อคุณแม่ สิ่งเหล่านี้สำคัญมากสำหรับพัฒนาการด้านการพูดของลูกๆ ด้วย

-พี่ตุ๊บปองย้ำชัดๆ เสียงดังๆ ว่า “อ่านหนังสือให้ลูกฟังเถอะ อ่านอะไรก็ได้ อ่านเรื่องที่คิดว่าลูกคงชอบก็ได้ อ่านเล่มไหนก็ได้และอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ ขอให้อ่านให้ลูกฟังเถอะ”

-สำหรับหนังสือเล่มที่ 3 ใน “ถุงหนังสือเล่มแรก” คือหนังสือนิทานสำหรับลูกน้อยชื่อ “ตั้งไข่ล้ม” หนังสือเล่มนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถที่จะอ่านให้ลูกฟังได้ , ท่องเนื้อเรื่องเป็นสำนองเพราะๆ ให้ลูกฟังได้ , ร้องเพลงสำหรับเด็กที่สอดคล้องกับเรื่องให้ลูกฟังได้ , เล่นละครตามนิทานให้ลูกดูได้ และเล่าเรื่องให้ลูกฟังอีกกี่รอบก็ได้ ตามหลัก 5 ประการที่พี่ตุ๊บปองให้ไว้คือ 1.อ่าน 2.ท่อง 3.ร้อง 4.เล่น 5.เล่า

-หนังสือนิทานเรื่อง “ตั้งไข่ล้ม” นี้ ในเล่มจะมีภาพประกอบที่สวยงามเรียกความสนใจจากเด็กน้อย และภาพเหล่านี้สำหรับปู่ย่าตายายที่อ่านหนังสือไม่ออก ก็สามารถเล่าเรื่องตามภาพประกอบให้เด็กน้อยฟังได้เช่นกัน

-การท่องเนื้อเรื่องที่เป็นจังหวะ เป็นทำนองเพราะๆ หรือเนื้อเรื่องที่มีบทร้องจะช่วยดึงดูดความสนใจของเด็ก อีกทั้งทำให้เด็กสนุกไปกับเนื้อเรื่องด้วย















-การเล่นกับลูกตามเนื่อเรื่องในนิทาน นอกจากจะทำให้เด็กสนุกสนานแล้ว ยังทำให้เด็กชอบการเล่าเรื่องอีกด้วย โตขึ้นมาเขาจะได้ชอบอ่านหนังสือที่เป็นการเล่าเรื่องต่อได้

-หนังสือนิทานบางเล่มมีเนื้อเรื่องเป็นคำกลอนที่อ่านได้สอดคล้องกันไป อ่านแล้วมีจังหวะจะโคน เช่นลงท้ายด้วยเสียงไหนก็รับด้วยเสียงนั้น คือเป็นคำคล้องจอง หรือมีคำสัมผัสต่างๆ จะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาที่ดีเมื่อเขาโตขึ้นด้วย

-นอกจากนั้นนิทานที่เล่าเรื่องเป็นคำกลอน จะช่วยให้เด็กจดจำได้ง่าย เป็นการช่วยพัฒนาเรื่องความจำให้แก่เด็กๆ ด้วย

-และเวลาที่อ่านนิทานให้ลูกฟัง ให้ทำท่าทำทางให้ลูกดูด้วย เพื่อสร้างพัฒนาการทางด้านร่างกายให้แก่เขา เช่นเล่นร้องเพลงจับปูดำขยำปูนา ร้องไปก็ขยำมือไปด้วย ให้ลูกลองทำตาม ให้เขาทำมือขยำตาม พวกนี้จะช่วยในเรื่องพัฒนาการทางการเคลื่อนไหวให้แก่เขาด้วย

-นอกจากนั้นการร้องเพลงประกอบการเล่าเรื่องให้ลูกฟัง จะช่วยในเรื่องการสร้างสมาธิให้แก่ลูกน้อยด้วย อยากให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนร้องเพลงกล่อมลูกด้วย เพลงอะไรก็ได้จะเป็นเพลงที่พ่อแม่เคยร้องกล่อมเรามาก่อนก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะล้าสมัยเลย

-ในสมัยนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ยอมร้องเพลงกล่อมลูกเลย ใช้วิธีเปิดเพลงเปิดวิทยุให้ลูกฟัง วิธีแบบนี้มันไม่มีชีวิตชีวาเลย ลูกน้อยไม่ได้รับสัมผัสความรักที่พ่อแม่ส่งให้เลย ดังนั้น ... มาร้องเพลงกล่อมลูกกันเถอะ

-สรุปว่า หนังสือนิทานเรื่อง “ตั้งไข่ล้ม” มีครบทั้ง 5 ประการที่ช่วยส่งเสริมการรักการอ่านให้แก่ลูกน้อย

-ในปี 2552 รัฐบาลในเวลานั้นให้ความสำคัญกับเรื่องการส่งเสริมการอ่านมาก ตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปี 2556 โครงการหนังสือเล่มแรกได้ถูกผลักดันให้ถึงมือเด็กทั้วประเทศที่เกิดในช่วงเวลานั้น เด็กที่เกิดปีละประมาณ 8 แสนคนจะได้รับ “ถุงหนังสือเล่มแรก” ทุกคน และพอถึงเวลาที่เด็กเข้ารับการฉีดวัคซีน เด็กทุกคนจะได้รับหนังสือนิทานเรื่อง “ติ่งต่อง” คนละเล่มด้วย

-ปัจจุบันโครงการนี้ไม่มีแล้ว ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอีกแล้ว ทำได้ประมาณ 5 ปีจึงเลิกไป ต่อไปนี้ขอให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนลองทำตามที่พี่ตุ๊บปองเล่ามาทั้งหมด เพื่อเป็นการช่วยพัฒนาการให้แก่ลูกน้อยของท่าน ให้เขารักการอ่านตั้งแต่เด็กๆ โตขึ้นไปเขาจะได้อ่านหนังสือเล่มอื่นๆ เพื่อที่จะเป็นคนที่ดีต่อไปในภายภาคหน้า

-พี่ตุ๊บปองขอแนะนำหนังสือนิทานที่พี่ตุ๊บปองแต่งให้คุณพ่อคุณแม่ลองอ่านให้ลูกน้อยฟัง คือเรื่อง “กุ๊กไก่ปวดท้อง” เล่มนี้เด็กๆ ชอบกันมาก พิมพ์ครั้งแรกปี 2547 ปัจจุบันก็ยังพิมพ์อยู่เป็นครั้งที่ 50 แล้ว เล่มนี้เป็นหนังสือจากสำนักพิมพ์มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก

-อีกเล่มคือหนังสือนิทานเรื่อง “น้องหมีเล่นกับพ่อ” เล่มนี้เป็นหนังสือแปลมาจากภาษาญี่ปุ่น เล่มนี้พิเศษคือเนื้อราวจะเป็นการเล่นระหว่างพ่อกับลูก ซึ่งสามารถนำไปเล่าประยุกต์ใช้ได้จริง เช่นการเล่น “เดินโยกเยก” คือให้ลูกน้อยยืนบนหลังเท้าของคุณพ่อ คุณพ่อจับมือลูกไว้ประครองให้เดินไปด้วยกันโดยคุณพ่อยกเท้าก้าวขาไป เล่นแบบนี้เป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างพ่อกับลูก อีกทั้งได้สัมผัสรักจากพ่อสู่ลูกด้วย

-คุณพ่อคุณแม่อาจจะอ่านหนังสือเล่าให้ลูกฟัง แล้วร้องเพลงเด็กตามไปด้วยก็ได้ เช่นการเล่นเดินโยกเยกกับคุณพ่อ แล้วร้องเพลง “โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ ...” ร้องคู่ไปด้วย ทำให้เด็กสนุกสนานมากขึ้นด้วย

-นอกจากนี้ใน “ถุงหนังสือเล่มแรก” ยังมีตุ๊กตาผ้ารูปช้าง มอบให้เด็ก 1 ตัวด้วย เพื่อให้เด็กน้อยได้กอดเล่นหรือกัดเล่นก็ได้ เพื่อสร้างสัมผัสที่ดีให้แก่เขา ซึ่งตุ๊กตาผ้ารูปช้างนี้ซักได้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกลัวเรื่องความสกปรก พอลูกเล่นแล้วก็เอาไปซักได้

-โครงการหนังสือเล่มแรกที่พี่ตุ๊บปองเล่ามาทั้งหมดนี้ พี่ตุ๊บปองทำมาตั้งแต่ปี 2546 แล้ว ปัจจุบันก็ 15 ปีแล้ว และพี่ตุ๊บปองก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ (ขอให้พวกเราช่วยส่งกำลังใจให้พี่ตุ๊บปองด้วย) อยากให้คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกน้อยลองทำตามอย่างที่พี่ตุ๊บปองบอกกันเยอะๆ

-ปัจจุบันนี้พี่ตุ๊บปองต้องหาเงินมาทำโครงการส่งเสริมการอ่านให้แก่เด็กๆ เอง เป็นการทำต่อยอดเพื่อให้เด็กประสบความสำเร็จ โดยเริ่มโครงการ “อ่านแต่เล็กเด็กฉลาด สร้างสมรรถนะที่ดีให้แก่เด็กปฐมวัย” เป็นโครงการที่ใช้หนังสือสร้างสมรรถนะที่ดีให้แก่เด็กๆ โครงการนี้ร่วมมือกับโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งผลที่ได้จากเด็กๆ ที่ผ่านโครงการส่งเสริมการอ่านนี้สามารถทำคะแนนได้ดีเยี่ยมกว่า 90% กันทุกคน

-จึงสรุปได้ว่า “อ่าน ท่อง ร้อง เล่น เล่า” 5 ประการนี้สร้างสมรรถนะให้แก่เด็กปฐมวัยได้จริงๆ ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว

-คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเป็นอย่างไร ก็หาหนังสือที่มีเนื้อหาอย่างนั้นมาอ่านให้ลูกฟังตั้งแต่ปฐมวัย จงจำไว้ว่า บ้านไหนมีเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ต้องอ่านหนังสือให้เด็กฟังทุกวัน เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีให้แก่เด็ก

-เด็กที่คุณพ่อคุณแม่อ่านหนังสือนิทานให้ฟังตั้งแต่ 6 เดือน เด็กเขามีภาพจำที่ดีของพ่อแม่อยู่ในหัวเขาตลอด พอเขาโตขึ้นมาเขาจะไม่ทำอะไรที่เสียหายเลย เพราะเขาไม่ต้องการให้พ่อแม่ที่เป็นภาพจำอันดีของเขาต้องเสียใจ

-ดังนั้น ภาพจำที่ดีที่เด็กได้เห็นทุกวัน จะกลายเป็นอุปนิสัยที่ดีของเขาในอนาคต คุณพ่อคุณแม่ต้องทำตัวเป็นภาพจำที่ดีสำหรับลูกน้อยด้วย

-ข้อควรจำอีกประการคือ ทุกครั้งที่เราอ่านหนังสือนิทานให้เด็กฟัง เราควรเล่าให้จบเรื่องทุกครั้ง อย่าเล่าแบบค้างๆ คาๆ หรือผัดวันประกันพรุ่ง เด็กจะเอาเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีได้

-ท้ายที่สุดพี่ตุ๊บปองอยากจะบอกว่า ถ้าเราอยากให้ลูกอ่านหนังสือ เราต้องเป็นคนที่อ่านหนังสือด้วย เพื่อเป็นภาพจำให้เด็กได้เห็นทุกวัน เขาจะได้มีนิสัยรักการอ่านเหมือนคุณพ่อคุณแม่ของเขา











สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านใดสนใจข้อมูลเกี่ยวกับการส่งเสริมการอ่านให้แก่ลูก ต้องการหาข้อมูลในประเด็นนี้เพิ่มเติมท่านก็สามารถเข้าไปที่ มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก ได้ครับ

ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมบล็อกนี้ ขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆ ครับ





Create Date : 02 มีนาคม 2561
Last Update : 2 มีนาคม 2561 6:41:55 น. 6 comments
Counter : 802 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน, คุณJinnyTent, คุณtuk-tuk@korat, คุณtoor36, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณSai Eeuu


 

อาคุงกล่อง Literature Blog ดู Blog


คนนี้บุคคลิกดูแปลกๆ นะ ทิดกล่อง
แต่งตัวก็แปลกไม่หญิงไม่ชาย 555



โดย: หอมกร วันที่: 2 มีนาคม 2561 เวลา:8:01:26 น.  

 
โครงการส่งเสริมการอ่านสำหรับเด็กในประเทศไทยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะการขาดส่งเสริมอย่างต่อเนื่องและจริงจัง อันนี้เห็นด้วยจริง ๆ ค่ะ

งานจัดที่เซ็นทรัลพระราม 2 นี่เอง ใกล้ดีนะคะ


โดย: บาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน วันที่: 2 มีนาคม 2561 เวลา:8:24:22 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณกล่อง
การส่งเสริมให้ลูกอ่านหนังสือเป็นเรื่องดีที่
เพราะการอ่านเป็นพื้นฐานของชีวิต

ลูก ๆ ที่บ้านก็อ่าน เกมส์ก็เล่น การ์ตูนก็ดู เอาหมด 555
ในห้องนอนมีโคมไฟบนหัวที่นอนประจำพ่อแม่ลูก
ของใครของมันไม่แย่งกัน

หนังสือลูกก็เยอะ พ่อก็เยอะ อิแม่มันยิ่งเยอะ 55
การที่จะให้ลูกอ่านหนังสือ พ่อแม่ต้องอ่านให้ลูกเห็นก่อนนะคะ
ไม่รู้สิ ในความคิดของจิน เราต้องเป็นตัวอย่างให้ลูก
ดีกว่าบอกปากเปล่า แล้วเค้าจะชิน และรักการอ่านไปกับเรา
เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว

ส่วนหนังที่เจมจิเล่น ที่วัดอุโมงค์ ไม่แน่ใจค่ะ
ไม่ค่อยได้ดูละคะหรือหนัง จะดูเฉพาะที่ชอบ
อย่างเช่น บุพเพสันนิวาส ที่กำลังออนแอร์ตอนนี้
แม่การะเกดกับคุณพี่หมื่น อิอิ


โดย: JinnyTent วันที่: 2 มีนาคม 2561 เวลา:10:59:40 น.  

 
ประเทศเราล้มเหลวเรื่องการอ่านจริงๆ ครับ

7 บรรทัดอะนะ

จะว่าไปที่หลายๆ คนไม่ได้พูดถึงคือเรื่องราคาหนังสือครับ ผมบ่นเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยยังเรียนหนังสือจนออกมาทำงานก็ยังรู้สึกว่าราคาหนังสือแพงเกินไป ถึงจะพอเข้าใจในเรื่องต้นทุนของทางสำนักพิมพ์ก็ตาม ปัญหามันก็อยู่ที่ตรงนี้แหละ

ยิ่งเป็นหนังสือที่ผลิตน้อย หรือหนังสือภาพจะยิ่งแพง หนังสือเด็กแพงมาก เพราะส่วนมากเป็นภาพประกอบ 4 สีสวยงาม กระดาษดี ซื้อมาอ่านเล่นนี่คิดหนักเหมือนกันนะครับ

ผมเห็นด้วยกับที่คุณเรืองศักดิ์ ปิ่นประทีปพูดนะครับ แต่ปัจจัยหลายๆ อย่างมันก็เป็นตัวกำหนดให้การอ่านลดลงเหมือนกัน ที่แน่ๆ เศรษฐกิจในตอนนี้ไม่มีทีท่าจะดีขึ้นเลย เรื่องซื้อหนังสืออ่านให้ลูกฟัง คาดว่าหลายๆ คนถ้าลดในส่วนนี้ได้ก็อาจจะลดครับ คงต้องซื้อข้าวก่อน


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 3 มีนาคม 2561 เวลา:0:26:47 น.  

 
ไม่มีลูกน้อยจะปลูกฝังการอ่านแล้วค่ะ แต่ที่เลี้ยง
มาจนอายุครึ่งศตวรรษกันแล้วนี่ก็ขยันอ่านมากทีเดียว
พี่ว่าการอ่านให้อะไรกับชีวิตมากเลยนะคะ อยู่ที่คนอ่าน
นั้นๆอ่านอะไร

สำหรับบ้านพี่ เราทำตัวอย่างให้ลูกเห็นว่าเราอ่าน
ทุกวันก่อนนอน แล้วเค้าก็ทำตามไปเอง แรกๆก็
เหมือนอยากทำแบบที่พ่อแม่ทำ แล้วในที่สุดเค้าก็
เลือกแนวหนังสือที่เค้าจะอ่านได้ แน่นอน แรกๆก็คือ
การ์ตูน จนเดี๋ยวนี้อย่างที่เคยเล่าค่ะ คนที่เป็นหมอ
ก็ยังอ่านการ์ตูน และความที่หนังสือเดี๋ยวนี้ไม่ค่อย
พิมพ์ออกมาใหม่ ราคาก็แพงมาก ธุรกิจที่เป็นงาน
อดิเรกของเค้าก็คือเว็บขายหนังสือเก่า

ต้องขอชมว่า เดี๋ยวนี้คุณกล่องเขียนหนังสือชวนอ่าน
มากนะคะ แม้จะยาวมาก พี่ก็แบ่งๆอ่านทีละน้อย
อ่านจบทุกที แต่ความจำพี่ไม่ดีแล้ว คอมเม้นท์ไม่ได้มาก
บางครั้งป่วยด้วย ก็มาสั้นๆ ขออภัยไว้ด้วยค่ะ



โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 3 มีนาคม 2561 เวลา:11:20:58 น.  

 
เด็กสมัยก่อน เรื่องฝึกการอ่านไม่ต้องมีก็ได้ค่ะ เด็กจะอยากรู้ อยากอ่านเองเพราะสื่อต่างๆ น้อยง

แต่ปัจจุบัน หนังสือนี้ สำคัญจริงๆค่ะ เพราะเด็กมัวแต่เล่นโทรศัพท์ค่ะ


โดย: Sai Eeuu วันที่: 3 มีนาคม 2561 เวลา:17:27:31 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

อาคุงกล่อง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 62 คน [?]




อาคุงกล่องเป็นชายไทยนิสัยดีมีความฝัน ผู้ผันตัวมาเป็นทาสวรรณกรรมอย่างแท้จริง ใช้ชื่อกำหนดตัวตนว่า “อาคุงกล่อง” เป็นนามปากกาสร้างสรรค์ผลงานในเชิงหัสนิยาย และงานเขียนในรูปแบบต่าง ๆ อาทิเช่น เรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี ความเรียง บทกลอน ไดอารี่เพ้อเจ้อละเมอเพ้อฝันต่างๆ ฯลฯ

ปัจจุบัน “อาคุงกล่อง” เป็นนักอ่าน นักคิดและนักเขียน รวมทั้งเป็นนักจินตนาการออกมาเป็นตัวอักษรด้วย ผู้มีความฝันอันยิ่งใหญ่คือการเป็นนักเขียนมีคุณภาพที่สรรค์สร้างผลงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ คาดว่าในเวลาอันใกล้นี้นาม “อาคุงกล่อง” จะเกิดปรากฎชัดในโลกวรรณกรรม จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหมู่หนอนนักอ่านทั่วไทย



"ในชีวิตจริงของคนเรา มีอะไรอีกมากมายที่จะต้องรับรู้และรับผิดชอบ ในแต่ละวันเรามีโอกาสที่จะหัวเราะได้สักกี่ครั้ง? แต่ถ้าเราได้มีโอกาสหัวเราะเสียบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลายหรือคลายเครียด ก็คงจะเป็นสิ่งที่ดีนะครับ"

ถ้าคุณเข้ามาในบล็อคของผมแล้ว คุณสามารถอมยิ้มหรือหัวเราะได้ ผมก็คงจะดีใจแล้วครับ (กรุณาช่วยทิ้งคอมเม้นท์วิจารณ์ไว้ให้ผมด้วยนะครับ จักขอบพระคุณมากเลยครับ)

akungklong@gmail.com
Friends' blogs
[Add อาคุงกล่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.