เสาร์-อาทิตย์ไม่อยากไปเดินวนซ้ำเดิมอยู่แต่ในห้างล่ะก็ ขอแนะนำว่านี่เป็นอีกทริปกิน-ช้อปหนุกๆแบบวันเดียว เป้าหมายในวันนี้ >> ขึ้น MRT ไปวังหลัง หาข้าวกิน เดินช้อป ข้ามกลับมาท่าพระจันทร์ หาข้าวหาหนมกิน เดินเล่นรอบเมืองเก่า หิวก็กินอีก ดูเป็นเป้าหมายที่ไม่ค่อยมีอะไรชัดเจนเท่าไหร่ แต่ no plan is best plan เอ้า! มาลุยกันเลยดีก่าขึ้น MRT ไปถึงท่าสาทร ซื้อตั๋วเรือไปวังหลัง ปรากฏว่าวันที่เราไปเป็นวันเสาร์ อาทิตย์ เค้ามีโปรโมชั่นเรือนักท่องเที่ยว ซึ่งเรือพวกนี้จะจอดแค่ไม่กี่ท่า เฉพาะท่าที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำเจ้าพระยาพวกเราก็เลยซื้อตั๋วประเภทนี้กัน ราคาประมาณยี่สิบกว่าบาท เจอหมาขาชี้ฟ้าที่ท่าสาทรด้วย...ตลกดี เจ๊มาซื้อตั๋วเรือความเริดของมันคือ เค้าจะมีตั๋วประเภท 1 day pass ซึ่งจะทำให้คุณจะโดดขึ้น-ลงเรือกี่ครั้งก็ได้ เผื่อใครอยากแวะขึ้นเที่ยวท่าไหนเป็นพิเศษ ก็จะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อตั๋วกันใหม่ ราคาตั๋วแบบนี้จะอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยหรือ หนึ่งร้อยห้าสิบบาทนี่แหละ (บางครั้งก็กลุ้มใจตัวเองที่ลืมจดรายละเอียดอะไรแบบนี้) วันที่ไปพอดีฟ้าครึ้มไปหน่อย ถ่ายรูปออกมาเลยมืดๆ บนเรือจะมีไกด์คอยเล่าเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของชีวิตริมสองฝั่งแม่น้ำทั้งภาคภาษาไทยและอังกฤษ จากนักศึกษาภาคอินเตอร์เนชั่นแน่น สำเนียงแน่นเปรี๊ยะ เจ๊ของเราบอกว่าพอน้องพูดไทยล่ะหน้าบึ๊งบึ้ง เวลาพูดภาษาอังกฤษล่ะยิ้มแย้มแจ่มใสเชีย ไม่แฟร์นี่ฝ่า...เอาน่าเจ๊ พี่ไกด์ของเรา หลังจากนั่งให้ลมตีหน้าบนเรือได้แค่ไม่กี่สิบนาที เราก็มาถึงวังหลัง เจ๊กะเจ้าบูสอดส่ายสายตาหาของกินกันใหญ่ แต่เราลากทั้งคู่เข้าไปใน ตลาดเด็กแนว ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยเล็กๆ หาซื้อเสื้อผ้าราคาถูก (มากกก! ประมาณร้อยบาทหรือสองร้อยบาทเท่านั้น แถมยังเป็นเสื้อผ้าที่คนขายเลือกสรรแล้วว่า แนว สมชื่อตลาดเจงๆ) นอกจากนั้นก็มีกระเป๋ามือสองราคาไม่กี่ร้อยบาท ใครชอบกระเป๋าสะพายใบจ้อยๆของผู้หญิงล่ะก็ แถวนี้จะมีแยะมาก เจ๊ของเราก็ได้มา 1 ใบ ส่วนเราได้เสื้อราคาร้อย สองร้อยมาหลายตัวเชียว แต่กว่าจะได้นะ โหย...สาวๆรุมมากร้านนี้ โชคดีที่น้องเจ้าของร้านใจเย็น ใครจะลอง จะนาน จะต่อ จะฯลฯ แกก็ไม่แสดงท่าทีหงุดหงิดรำคาญใจแต่อย่างใด ขอยกให้เป็นเจ้าของร้านดีเด่นเลยจ้ะ สิ่งจำเป็นของการเข้ามาตลาดเด็กแนว ก็คือคุณต้องแข็งแรงสมบูรณ์พอ เพราะอากาศในนี้อับๆยังไงพิกล ใครที่หน้ามืดกำลังจะเป็นลม เข้ามาที่นี่อาจจะถึงกาลล้มพับหมอบกระแตลงไปเลยก็ได้ ร้อนเสียจนเหงื่อแตกพลั่ก ออกจากซอกตลาดเด็กแนวมาได้ ต้องรีบพุ่งตัวไปซื้อน้ำกันจ้าละหวั่น ตามด้วยของกินอร่อยๆอีกเพียบปลาทูตัวบึ้ม...น่าเสียดายที่เจ้าบูไม่กินปลาทู หมูทอดอร่อยมากกกกกกกกกกก ไม่หวานจัด รสชาติกลมกล่อมกะลังดี กินกะข้าวเหนียวนะโหย...สุดโหย้ด แต่คิวยาวนิดนะอดกินเลย เพราะเดินกลับมาหมดเกลี้ยงเสียแว้วเจ๊ของเราเล็งบะหมี่หมูแดงไว้ร้านนึง แต่พอเดินย้อนกลับมา ปรากฏว่าร้านปิดเสียแล้ว เราเลยตัดใจข้ามเรือกลับไปหาของกินที่ท่าพระจันทร์แทน ราคาค่าเรือคนละประมาณ 2 บาทนะ (ถ้าจำไม่ผิด) ก๋วยเตี๋ยวร้านมิตรโภชนา เจ๊หิวจัดเลยลากพวกเราเข้าไปในร้าน มิตรโภชนา ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเก่าแก่ ดูจากสภาพร้านและจานชามก็หมดข้อสงสัย ปกติมาถึงท่าพระจันทร์ เรามักจะนั่งกินข้าวหมูแดง หมูกรอบตรงร้านหัวมุมซะทุกที ไม่เคยเดินมาถึงร้านนี้ ก็ถือว่าอร่อยดีนะ แต่เราชอบก๋วยเตี๋ยวเนื้อร้าน...ในซอยเอกมากกว่า น้ำซุปห๊อมหอม แต่การมากินที่นี่มันได้บรรยากาศ ความเก่าเอยอะไรเอย ดีไม่มีพี่ปีเตอร์โผล่มาเซย์ฮัลโหลเป็นการคอนเฟิร์ม ออกจากร้านเรามีเป้าหมายของหวานอยู่ในใจ แต่ก็กลัวว่าจะปิดไปแล้วเพราะตอนนี้ก็หกโมง แต่ถ้ามาแถวนี้แล้ว ห้ามลืมซื้อขนมปังอบกรอบหน้าเนยน้ำตาล หรือกระเทียมที่ร้านหัวมุมเสียก่อนล่ะ โดยเฉพาะถ้าเรามาถึงตอนเค้าอบเสร็จใหม่ๆนะ ขนมปังอบเนยจะร้อนนิดๆหอมละมุนลิ้นมาก เปิดมาถุงนึงนี่แย่งกันกินกันสามคนภายในเวลาไม่ถึงห้านาทีก็เรียบกริบ อร่อยมากกก วกกลับมาของหวานที่พูดถึงเมื่อกี๊ก็คือน้ำเต้าหู เและต้าฮวยที่ตั้งอยู่ใกล้ๆท่าช้าง เด็กๆนักศึกษาแถวนั้นน่าจะรู้จักดี ชื่อร้าน อาคุง เต้าฮวยโบราณ เป็นร้านที่เอาส่วนผสมสามอย่างคือ น้ำเต้าหู้ เต้าฮวย และเฉาก๊วย มาผสมกันตามความต้องการของคนกินได้อย่างอิสระ ร้านน้ำเต้าหู้ตรงข้ามศิลปากร เรารู้จักร้านนี้จากรายการ What is it? ที่ไม่รู้เดี๋ยวนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า จำได้ว่าวันนั้นพอดูรายการเสร็จ เราก็พุ่งตัวออกมาจากบ้านไปจัดการพิสูจน์ความอร่อยกันเลยทีเดียวยัม ยัมอย่างเราไปก็จะชอบเอาเต้าฮวยมาใส่ในน้ำเต้าหู้ เจ้าบูกินเฉาก๊วยในน้ำเต้าหู ส่วนเจ๊แกกินเต้าฮวยปกติ โชคดีตอนที่เราไปถึงร้านยังไม่ปิด แต่ก็จวนเจียนเต็มที เราจะซื้อกลับบ้านเลยอด (เจ้าบูคงดีใจ เพราะของที่ซื้อมาจากวังหลังก็หนักแอ้กพออยู่แล้ว) เป็นส่วนผสมลงตัวที่ไม่ค่อยเห็นร้านอื่นจะทำกันสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นผ่านมาทีไรก็จะแวะมากินออกจากร้านเราเดินถ่ายรูปกันกันแถวกำแพงวัดพระแก้ว มุ่งหน้าไปทางศาลหลักเมือง เลี้ยวไปทางวังสราญรมย์ แล้วก็ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็คือเสาชิงช้าแล้วเจ้าค่า ตอนเดินก็รู้สึกล้านิดๆเหมือนกันนะ แต่เพราะแวะถ่ายรูปกันเกือบตลอดทาง ก็เลยเหมือนได้พักไปด้วยในตัว เราเสนอว่าไปกินผัดไทลุงภาที่อยู่ใกล้ๆร้านทิพย์สมัยแถวประตูผีกันดีกว่า แต่เนื่องจากเพิ่งเจ็บหนักกันมาจากก๋วยเตี๋ยวมิตรโภชนา ก็เลยจะกินกันแบบร่วมสาบาน จานเดียวหารสามอะไรประมาณนั้นผัดไทลุงภาปกติคนมาแถวนี้จะชอบกินผัดไทร้านทิพย์สมัย เราเองแรกๆก็เหมือนกัน เพราะเห็นผู้คนพากันเข้ามากินมากมาย ก็เดาได้ว่าอร่อย แถมยังมีน้ำมะพร้าวสุดเริด น้ำส้มคั้นสดๆอร่อยมากให้ดื่มด้วย แต่ไปๆมาๆหลังๆเรากลับชอบกินผัดไทร้านลุงภา ที่อยู่ข้างๆร้านโจ๊กมากกว่า เพราะให้ความรู้สึกเก่าแก่บ้านๆอย่างบอกไม่ถูก ราคาก็ไม่หนีกันสักเท่าไหร่ บัวลอยสมหวัง กินเสร็จเรามักจะตบท้ายด้วยบัวลอยสมหวัง มีให้เลือกทั้งเผือก แห้ว ข้าวโพด มะพร้าว ใช้น้ำกะทิหอมดี แต่วันนี้กินแล้วไม่ค่อยหร่อยเท่าไหร่ สงสัยจะอิ่มเกินน่ะเรื่องของเรื่อง มากินข้าวเย็นแถวนี้ทีไรเราจะดี๊ด๊ามากเป็นพิเศษ เหตุเพราะมีร้านอะไรต่อมิอะไรให้เลือกเต็มไปหมด ถ้ามาทางฝั่งปั๊มเอสโซ่ (จอดรถได้นะ คิดค่าจอดประมาณยี่สิบสามสิบ) ก็ยังมีโจ๊ก ก๋วยเตี๋ยวปลา เรียงรายกันเป็นพรืด มีร้านขนมไทยอย่างขนมใส่ไส้ ขนมตาล ขนมกล้วยอร่อยมาขายอยู่ริมฟุตบาธให้ซื้อกลับไปบ้านด้วย ถ้าเดินไปทางตรงกันข้าม ถัดไปอีกหน่อย ตรงหัวมุมอัดมืดหม่น มีร้านขายราดหน้า ผัดซีอิ๊วชื่อร้านอะไรจำไม่ได้ เราเคยมากินครั้งนึงก็รู้สึกโอเคนะ แต่ก็ไม่อยากจ่ายตังค่าราดหน้าราคา 200 แม้กุ้งปูปลาหมึกจะบึ้มใหญ่มากมายก็ตาม ของแบบนี้กินปีละครั้งก็น่าจะพอ อีกอย่างคนขายจะค่อยๆทำทีละจาน กว่าจะได้ครบโต๊ะก็คิดดูเอาเองและกัน คนแรกแทบจะน็อกรอบน่ะจ้ะถัดไปทางมุมถนนไฟแดง ก็มีร้านก๋วยเตี๋ยวปลาอีกร้าน ขายดีมากกก ร้านนี้ต้มยำอร่อย มีกุยช่ายทอดมาเป็นออเดิร์ฟระหว่างรอด้วยเรียกว่าได้ครบทุกเป้าหมายที่วางเอาไว้ มีแรงและวันสบายๆเมื่อไหร่ก็อยากไปอีกเขียนไปก็ชักท้องร้อง อิจฉาคนที่อยู่แถวนั้นจังวุ้ย มีอะไรอร่อยๆให้กินเพียบแต่วันนั้นเราก็ปิดฉากวันหยุดพักผ่อนสบายๆหนึ่งวันลงด้วยอาการพุงกาง ตาปรือ และหัวแทบจะถึงหมอนทันทีที่อาบน้ำเสร็จเลยล่ะ หอบของหอบข้าวกลับกันพะรุงพะรังเลยฟรุ้ย