bloggang.com mainmenu search







การทำบุญ









บล็อกวันนี้ จัดทำเนื่องในโอกาส วันอาสาฬหบูชา และ วันเข้าพรรษา


เครดิตรูปภาพจาก https://www.facebook.com/pages/Faithbook - จขบ. ขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้










การทำบุญแบบไหนได้บุญสูงสุด ? ... คำถามนี้ มีผู้ตอบในเว็บ guru.google ดังนี้





1. ทำด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ นั่นแหละได้บุญสูงสุด




2. ทำให้พ่อแม่มีความสุข ดูแลพ่อแม่ กตัญญูต่อท่าน ได้บุญสูงสุด




3. ทำด้วยใจค่ะ ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด มีใจเเละเจตนาที่ดี ไม่คิดร้าย ไม่คดโกง เท่านี้ก็ได้บุญกุศลมากมายเเล้ว




4. ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ นี่คือ แก่นของบุญ




5. การทำบุญด้วยใจ ทำแล้วตัวเองสบายใจ ผู้อื่นสบายใจ ไม่ก่อให้เกิดผลร้ายแก่ผู้ใด มีความสุขทั้งผู้ให้ ผู้รับ และผู้อื่น ... ทำทุกโอกาสที่ผ่านมาในชีวิต อาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แค่ไม่คิดร้ายกับใคร แค่นี้ก็ได้บุญ




6. อย่าไปเล็งว่า อันไหนได้บุญสูงสุดแล้วเลือกทำ โอกาสมันไม่แน่ มาก่อนทำก่อนได้ก่อน แต่ทำแล้วตนเองและคนแวดล้อมต้องไม่เดือดร้อน




7. การทำบุญตามหลักพระพุทธศาสนา มี 3 แบบ คือทาน ศีล ภาวนา ... บุญที่ทำแล้วได้อานิสงส์สูงสุดคือ การเจริญภาวนาหรือการนั่งสมาธิ ... ในเรื่องทาน อานิสงส์น้อยกว่าการรักษาศีล ทานที่ได้อานิสงส์สูงสุด คือ ธรรมทาน ... ส่วน การกตัญญู ที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญว่าเป็นเลิศที่สุด คือ การมอบอริยทรัพย์ให้บุพการี คือการเปลี่ยนจากการที่พ่อแม่เห็นผิดหรือมีมิจฉาทิฐิ แล้วสอนให้ท่านเข้าถึงธรรมและมีความเห็นถูก นี่คือการเป็นเลิศในการกตัญญูตอบแทนบุญคุณ ... ที่ว่า การเจริญภาวนา เป็นเลิศ แต่หากขาดกตัญญู ขาดการให้ทาน และไม่รักษาศีล การเจริญภาวนาอย่างเดียว ก็ไปไม่รอด ... สรุปว่า บุญสูงสุด คือ การเจริญภาวนา แต่เราก็ไม่ควรจะทิ้งทาน และการรักษาศีล มันเป็นของคู่กัน





คติธรรมข้างล่าง จากหนังสือ 'ทำบุญสามแบบ' โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ




ดีแต่ทำบุญเลี้ยงพระ ให้ทาน บำรุงศาสนา อย่างเดียว



ไม่รู้จักเอาตัวของพระศาสนาไปศึกษาปฏิบัติ



คนชนิดนี้แหละ คือ คนที่ทำบุญเหมือนกับเลี้ยงไก่ไว้ไข่ให้สุนัขกิน




ขอให้บำรุงศาสนา แล้วได้รับประโยชน์จากศาสนา



เป็นผู้เรียนรู้-ตัวศาสนา เป็นผู้ปฏิบัติ-ตัวศาสนา



เป็นผู้มีจิตใจสะอาด สว่าง สงบ นี่แหละคือตัวแท้ของศาสนา



เปรียบเหมือนกับไข่ไก่ที่มีประโยชน์











ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้เปรียบเทียบการทำบุญไว้ 3 แบบ คือ





1. การทำบุญแบบอาบน้ำด้วยโคลน - เป็นการทำบุญที่เจือด้วยบาปคราบสกปรก เช่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อนำเนื้อสัตว์มาทำบุญ มีเลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้ง แถมท้ายด้วยการทะเลาะวิวาท อุปมาดั่งคนอาบน้ำด้วยโคลน ทำอย่างไรก็มีคราบกลิ่นเน่าเหม็นติดตัวอยู่ตลอดเวลา เนื้อตัวก็ไม่สะอาดสักที




2. การทำบุญแบบอาบน้ำด้วยน้ำหอม - เป็นการทำบุญที่แฝงด้วยการยึดติด ทำบุญแล้วหวังผลในสวรรค์ชั้นฟ้า ยึดติดแต่สวรรค์วิมาน เป็นการทำบุญเพราะเมาดี หลงดี และอวดดี อุปมาดั่งอาบน้ำด้วยน้ำหอมเจือด้วยแป้งอบ อาบเสร็จแล้วก็มีกลิ่นติดตัวคละคลุ้ง ก็ยังถือว่าไม่สะอาดอยู่ดี




3. ทำบุญแบบอาบน้ำสะอาด - คือการทำบุญด้วยใจสงบ ไม่ยึดติดนรกสวรรค์ ไม่ได้ทำบุญแบบค้ากำไร แต่ทำบุญเพื่อสร้างกุศลกรรม อุปมาดั่งอาบน้ำด้วยน้ำสะอาด เมื่ออาบแล้วผู้อาบย่อมสดชื่น เย็นกายสบายตัว











'บุญเป็นอะไร?' ท่านพุทธทาสภิกขุ ให้คติธรรม ว่า




สิ่งนั้นๆ เป็นเหมือน ของเกลื่อนกลาด



ที่เป็นบาป เก็บกวาด ทิ้งใต้ถุน



ที่เป็นบุญ มีไว้ เพียงเจือจุน



ใช้เป็นคุณ สะดวกกาย คล้ายรถเรือ




หรือบ่าวไพร่ มีไว้ใช้ ใช่ไว้แบก



กลัวตกแตก ใจสั่น ประหวั่นเหลือ



เรากินเกลือ ใช่จะต้อง บูชาเกลือ



บุญเหมือนเรือ มีไว้ขี่ ไปนิพพาน




มิใช่เพื่อ ไว้ประดับ ให้สวยหรู



เที่ยวอวดชู แบกไป ทุกสถาน



หรือลอยล่อง ไปในโลก โอฆกันดาร



ไม่อยากข้าม ขึ้น(ฝั่ง)นิพพาน เสียดายเรือ ฯ













ขอขอบคุณที่ติดตาม



จาก สิน yyswim



บล็อกนี้อยู่ในสาขา Topical Blog หากจะกรุณาโหวตให้ ขอขอบคุณครับ


Create Date :22 กรกฎาคม 2556 Last Update :22 กรกฎาคม 2556 0:01:34 น. Counter : 7427 Pageviews. Comments :10