bloggang.com mainmenu search





“ซุส” นกแอฟริกันเกรย์ไอคิวสูง




“แอฟริกันเกรย์” นกแก้วช่างพูดที่คนในวงการต่างยอมรับว่าเป็นนกที่ฉลาดกว่าบรรดานกทั้งหมด ด้วยจุดเด่นนี้คนชอบนกจึงไม่อาจปฏิเสธที่จะไม่เลี้ยงได้ จึงกลายเป็นนกอันดับต้นๆ ซึ่งคนอยากเลี้ยงมากที่สุดในประเทศไทย การเลียนเสียงพูด

และทำกิจกรรมต่างๆได้มากมาย ความสามารถที่พิเศษเกินสัตว์เลี้ยงธรรมดาจึงติดตาตรึงใจให้ M-pet มาเยือนถึงฟาร์มนก เพื่อทำความรู้จักกับเจ้านกแก้วอัจฉริยะกันแบบตัวเป็นๆ เลย

ธงชัย พลเยี่ยม เจ้าของไชยรัตน์ เบิร์ด ฟาร์ม ต้อนรับการมาเยือนของทีมงานด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของนกแก้วหลากหลายสายพันธุ์ ที่มีมากกว่า 1,000 ตัว “นกแก้วไม่คุ้นนะ” เสียงทักทายจากนกเจ้าถิ่น นกแก้วตัวแรก ซึ่งเจ้าของฟาร์มเลี้ยงมานานถึง 22 ปี ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะในความน่ารัก ช่างเจรจาของมัน

“เราเริ่มต้นจากการชอบสัตว์เลี้ยงทุกชนิดเลยที่เราเคยเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก อย่างพวก สุนัข นก ปลา งู หลังสุดเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ได้เลี้ยงนกแก้วตัวแรก มันพูดเก่งก็เลยเป็นเสน่ห์ตรงที่เขาเลียนเสียงคนได้ ทำให้เราชอบกว่าสัตว์เลี้ยงทุกชนิดที่เคยเลี้ยงมา”

นกแก้วอัจฉริยะ

วันนี้อยากให้ทุกคนได้รู้จักนกแก้วช่างพูด จึงขอแนะนำ “แอฟริกันเกรย์” นกแก้วที่มีไอคิวสูงที่สุด ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่สามารถเลียนเสียงคนได้มากกว่าสายพันธุ์อื่น ผู้เลี้ยงสามารถสอนนกชนิดนี้ร้องเพลงได้เลยทีเดียว ซึ่งแต่ละตัวนั้นจะมีความฉลาดมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับคนเลี้ยงว่าจะดูแลและเอาใจใส่ที่จะสอนนกมากเพียงใด

“มีอยู่ตัวหนึ่งที่ประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถร้องเพลงชาติอเมริกาได้จบเพลงเลย เป็นการเลียนเสียงสิ่งที่นกนั้นได้ยินตามต้นเสียง เช่น เสียงคนพูด เสียงหมาเห่า เสียงไก่ขัน แม้กระทั่งแตรรถก็สามารถเลียนเสียงได้ ดังนั้น การฝึกนกชนิดนี้ เราต้องคอยพูดคำซ้ำๆ หรืออัดเทปให้เขาฟังอยู่เรื่อยๆ” สิ่งนี้จึงเป็นจุดเด่นเฉพาะของนกแอฟริกันเกรย์ที่มีผู้นิยมเลี้ยงในประเทศไทยอันดับต้นๆ

พอทีมงานมาถึงไชยรัตน์ เบิร์ด ฟาร์ม ก็ได้ทำความรู้จักกับเจ้าซุส นกแอฟริกันเกรย์พูดได้ที่แสนเชื่อง ซึ่งเจ้าของจะให้ทำอะไรก็ได้ตามสั่ง วันนี้จึงให้เป็นนายแบบสักวัน เจ้าซุสก็ไม่รอช้ายืนแอ็กท่าเกาะพนักเก้าอี้ไม้ให้ช่างภาพรัวชัตเตอร์

จริงๆ แล้ว เจ้าซุส หรือนกแอฟริกันเกรย์มีถิ่นกำเนิดมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ลักษณะโดยธรรมชาติแล้วมีตัวเป็นสีเทา ส่วนหางเป็นสีแดง แต่ทั้งนี้อาจมีสีที่แตกต่างออกไป เนื่องจากความผิดปกติของยีนส์ อย่างเช่น นกแอฟริกันเกรย์สีขาวเผือก ซึ่งจะมีราคาแพงกว่าปกติถึง 20-30 เท่า แต่หายากมาก เนื่องจากมีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย

“แอฟริกันเกรย์เป็นนกที่อาศัยอยู่ในเขตป่าร้อนชื้น ชอบความเงียบสงบ ปกติจะอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ แต่พอมีคู่จะแยกตัวออกไปจากฝูง เพื่อหาแหล่งเพาะขยายพันธุ์และอยู่กับคู่ของตัวเอง”

นอกจากความสามารถที่เลียนเสียงสิ่งต่างๆได้อย่างชาญฉลาดแล้ว นกแอฟริกันเกรย์ยังสามารถฝึกให้ทำสิ่งต่างๆได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คาบปากกา ไต่เชือก ชักธงชาติ แล้วแต่กิจกรรมที่คนเลี้ยงต้องการฝึกให้เป็นอย่างไร นิสัยแสนรู้ เชื่องง่าย จึงเพิ่มเสน่ห์ให้กับนกแอฟริกันเกรย์ไม่แพ้เสียงพูดเลย

เมื่อลูกนกจะเกิด

เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ช่วงปลายฤดูหนาวเข้าฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่นกสามารถขยายพันธุ์ได้มากที่สุด หลังจากนั้นเมื่อถึงฤดูฝนก็จะออกไข่น้อย เพราะเป็นช่วงผลัดขนเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะผสมพันธุ์ต่อไปในหน้าหนาว แต่ถึงอย่างไรแล้วนกก็ยังผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี


“ในฟาร์มเรามีนกแอฟริกันเกรย์อยู่ 42 คู่ หรือประมาณ 80 กว่าตัว เราอยู่ในฐานะผู้เพาะขยายพันธุ์ การผสมพันธุ์ของนกแอฟริกันเกรย์ภายใน 1 ปีจะได้ 3 ครอก จึงสามารถมีลูกได้เฉลี่ยประมาณ 9 ตัวต่อปี ดังนั้น จะเกิดลูก 3 ตัวต่อครอก ซึ่งบางครอกอาจได้มากถึง 4 ตัว ถ้าพ่อและแม่นกนั้นมีความสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น การให้อาหารที่เป็นประโยชน์ มีวิตามิน และแร่ธาตุครบถ้วน ก็จะให้ผลผลิตได้ดี”


“สำหรับนกแอฟริกันเกรย์ มีความพร้อมที่จะขยายพันธุ์เมื่ออายุ 4 ปีขึ้นไป ใช้ระยะเวลาในการตั้งท้องประมาณ 15 วัน หลังจากผสมพันธุ์แล้ว ไข่ก็จะเจริญเติบโตพร้อมที่จะออกมาเป็นไข่ ซึ่งจะออกไข่ประมาณ 3 วันต่อใบ (ถ้าครอกนี้ออกไข่ 3 ใบก็ต้องใช้เวลา 9 วัน) และมีระยะฟักตัวประมาณ 24-25 วัน (นกแอฟริกันเกรย์สามารถดูเพศได้เมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไป)

เมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 700 กรัม และมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 ปี บางทีคนเลี้ยงก็อาจตายไปก่อนนกเสียอีก (หัวเราะ)”

สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อไปเลี้ยงควรอยู่ที่อายุไม่เกิน 3 เดือน เพราะว่าหลังจาก 3 เดือนไปแล้ว ความคุ้นเคยก็จะไม่เชื่องสนิทเหมือนที่เลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็ก จึงแนะนำให้เลี้ยงนกในช่วงอายุนี้จะดีที่สุด

นอกจากนกแอฟริกันเกรย์แล้ว ภายในฟาร์มแห่งนี้ยังมีจำนวนนกแก้วหลากหลายสายพันธุ์ หลักๆ เช่น มาคอว์, อีเล็กตัส, ซันคอนัวร์, คริมสัน, คอนัวร์, กระตั้ว, ริงค์เน็ก ฯลฯ ซึ่งเป็นสายพันธุ์จากต่างประเทศทั้งหมด และตอนนี้จำนวนนกในไชยรัตน์ เบิร์ด ฟาร์ม มีมากถึง 1,000 ตัว

เลี้ยงให้เป็นธรรมชาติ

การเลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน การใส่ใจเรื่องธรรมชาติของสัตว์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ การเลี้ยงสัตว์ที่ดีต้องเลี้ยงให้คล้ายคลึงกับธรรมชาติมากที่สุด การเรียนรู้ลักษณะนิสัย การหาอาหาร ที่อยู่อาศัย การผสมพันธุ์ ซึ่งผู้เลี้ยงจำเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจถึงพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์นั้นๆ ด้วย

อาหารสำหรับนกแอฟริกันเกรย์หาได้ไม่ยาก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นพวกธัญพืชชนิดต่างๆ จำพวกเมล็ดทานตะวัน ถั่ว ข้าวโพด รวมทั้งผลไม้สด เช่น ฝรั่ง ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง จึงช่วยเสริมให้สัตว์มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง

และโดยธรรมชาติแล้ว นกจะกินผลไม้เป็นหลักอยู่แล้ว เมื่อคนนำมาเลี้ยง ผู้เลี้ยงจึงต้องหาผลไม้สดให้ด้วย รวมทั้งเสริมด้วยสารอาหารจำพวกแร่ธาตุ แคลเซียม วิตามินซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายอาหารสัตว์โดยเฉพาะ

“ในช่วงเวลาการให้อาหารนก ควรเป็นเวลาเช้า-เย็น อย่างละ 1 มื้อ ซึ่งจะกำหนดเวลาไหนในช่วงเช้าและเย็นก็แล้วแต่ความสะดวกของผู้เลี้ยง และไม่ควรทิ้งอาหารไว้ข้ามคืน เพราะอาจเกิดมีสัตว์อื่นเข้ามากินอาหารที่นกกินไม่หมด อย่างหนู มด แมลงสาบ

รวมถึงอาหารที่ค้างไว้หลายๆวัน ก็อาจเกิดเชื้อรา หรือแบคทีเรียที่อาจเกิดอันตรายแก่ตัวนกด้วยเช่นกัน ส่วนน้ำถ้าให้ตอนเช้า ควรเททิ้งตอนเย็นทุกวัน ดังนั้นอาหารทุกชนิดจึงควรให้วันต่อวันเท่านั้น”

ส่วนการจัดการดูแลนกในไชยรัตน์ เบิร์ด ฟาร์ม ซึ่งเลี้ยงนกกว่า 1,000 ตัว จึงต้องมีวิธีการดูแลอย่างเป็นระบบ เจ้าของฟาร์มได้อธิบายว่า “หลังจากที่เราให้อาหาร จำพวกวิตามิน แคลเซียม แร่ธาตุเสริมแล้ว แล้วก็ต้องมียาป้องกันโรคต่างๆ ปีหนึ่งสัก 2 ครั้งซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับนก

และภายใน 6 เดือน ต้องถ่ายพยาธิ 1 ครั้ง เสร็จแล้วก็ต้องมีฉีดยาฆ่าเชื้อ พวกแบคทีเรีย เชื้อราต่างๆ ประมาณ 2 ครั้งต่อเดือน เพื่อป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นระบบการจัดการภายในฟาร์มของเรา”

“นกจะมีโรคอยู่ 2-3 อย่าง ที่สำคัญเราต้องระวังเรื่องโรคระบบทางเดินอาหารและระบบทางเดินหายใจ ซึ่งโรคพวกนี้ก็เกิดจากอาหารที่ไม่สะอาด อาจเป็นเชื้อราหรือสิ่งสกปรกที่หมักหมมจากการไม่เปลี่ยนอาหารให้นกกิน เมื่อกินของเสียเข้าไปก็ทำให้เกิดท้องเสียได้ จึงต้องใช้ยาปฏิชีวนะช่วยรักษาตามอาการ”

สำหรับกรงเลี้ยงนกอัฟริกันเกรย์ทั่วไปตามบ้านเรือนหรือที่พักอาศัย ซึ่งส่วนใหญ่เลี้ยงไว้ดูเล่น จึงควรเลี้ยงในกรงที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แค่ให้นกยืนได้สบายและคนเลี้ยงสามารถยื่นมือเข้าไปให้นกเกาะแขนเล่นได้ ซึ่งมีขนาดประมาณ 50x50x80 ซม. อาจเลี้ยง 2-4 ตัวก็ได้แล้วแต่คนเลี้ยง แต่ควรเป็นนกที่มีอายุใกล้เคียงกันและโตด้วยกันมาก่อน

ถ้าคนเลี้ยงต้องการเพาะขยายพันธุ์ กรงเลี้ยงจึงควรมีขนาดใหญ่ประมาณ 1x1.5x1.2 เมตร เพื่อให้นกได้บินออกกำลังกาย มีร่างกายที่แข็งแรงสำหรับการขยายพันธุ์ แต่ต้องให้อยู่กรงละคู่เท่านั้น เพราะว่าธรรมชาติของนกนั้นต้องการความเป็นส่วนตัวเมื่อมีคู่แล้ว

สภาพแวดล้อมในบริเวณที่เลี้ยง จึงจำเป็นอย่างมากสำหรับนก ซึ่งควรอิงธรรมชาติให้มากที่สุด เนื่องจากนกเป็นสัตว์รักสงบ ชอบความเงียบ รักสันโดษ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ภายในกรงนก นั่นคือขอนไม้เพื่อให้นกไว้เกาะตามพฤติกรรมโดยธรรมชาติของนก

ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย ธัชกร กิจไชยภณ


ขอขอบคุณ
ผู้จัดการออนไลน์
ทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
คุณธัชกร กิจไชยภณ

Create Date :02 ตุลาคม 2554 Last Update :2 ตุลาคม 2554 23:33:37 น. Counter : Pageviews. Comments :0