ภาพยนตร์ไท้ยไทยเรื่องล่าสุดของ "คงเดช จาตุรันต์รัศมี" ผู้กำกับหนังกึ่งอินดี้กึ่งแมส ปล่อยหมัดเด็ดอีกครั้งกับ "ตั้งวง" หนังวัยรุ่นดูสนุกชวนหัวเราะตามได้แบบเกรียน ๆ และยังชวนผู้ใหญ่ได้ตั้งวงขบคิดกันต่อถึงหลายประเด็นอันแหลมคมว่าด้วยเรื่อง "ไทย ๆ"
ทันทีที่แสงไฟในโรงภาพยนตร์สว่างขึ้น คนดูหลายคนเหมือนถูกสะกดจิต ตกอยู่ในภวังค์นิ่งเงียบ พูดไม่ออก เกิดอาการประมวลผลและเรียบเรียงความคิดที่ได้ไม่ทัน แต่เมื่อได้ตั้งสติ "ตั้งวง" ได้ตั้งคำถามกับหลายเรื่องถึงแก่นแท้ "การเป็นไทย" มีอัตลักษณ์ชัดเจนและศักดิ์สิทธิ์เพียงใดในวันนี้
ตัวหนังออกสไตล์ดิบ ๆ ถ่ายภาพด้วยกล้องสั่น ๆ ชวนปวดหัว แต่เปลือยอารมณ์ในมุม "จริง ๆ" ของสังคมไทยออกมาอย่างสุขุมนุ่มลึก ด้วยบทหนังที่เก็บรายละเอียดหมดทุกเม็ดอย่างชาญฉลาด ผ่านไดอะล็อกของตัวแสดงมือสมัครเล่นที่เล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ชวนดูเพลิน เข้าถึงง่าย
แต่กลับเคี้ยวยากในรายละเอียดที่สอดแทรกมุกตลกร้าย จิกกัดรากเหง้า "ความเป็นไทย" ได้เจ็บจี๊ดแสบสันต์
หนังพาคนดูเดินทางเข้าไปสำรวจวิธีคิด ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคล ความเชื่อ ระบบการศึกษา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ การเมือง บริบทสังคม ไปจนถึงประเทศไทยมีเอกราชจริงหรือ ?
คงเดชเลือกที่จะกระทุ้งความเป็นไทยโปรโมต (จากรัฐบาล) ด้วยการเขียนบทหนังเรื่องตั้งวง ซึ่งได้รับทุนการสร้างส่วนหนึ่งจากกระทรวงวัฒนธรรม จากการตั้งคำถามว่า "วัฒนธรรมไทยคืออะไร ?"
เมื่อตั้งโจทย์ให้กับการเขียนบทหนังเรื่องนี้ที่เป็นการร่วมงานกันกับ "บริษัท นอร์ธ สตาร์ โปรดักชั่น จำกัด" ของดาราสาว "ติ๊ก-กัญญารัตน์ จิรรัชชกิจ" เป็นครั้งแรกเรียบร้อยแล้ว
คงเดชตัดสินใจเลือกหยิบ "พิธีกรรมรำแก้บน" ขึ้นมาเป็นธีมหลักของการเล่าเรื่องทั้งหมด พร้อมแทรกภาพบริบททางสังคมไทยจริง ๆ ณ ชั่วขณะปัจจุบันลงไปในเรื่องแบบสดดิบทุกเม็ด
"วัยรุ่นที่อยู่ในหนังจะเป็นกลุ่มชนชั้นกลางถึงล่าง ดังนั้นเราจะแสดงให้เห็นว่ามีสิ่งใดที่ต้องเผชิญบ้าง ต้องอย่าลืมว่าวัยรุ่นที่มาจากครอบครัวที่มีอันจะกินกับไม่มีอันจะกิน มีบริบทรอบตัวไม่เหมือนกัน ประเทศไทยในมุมคนคนหนึ่งย่อมมองไม่เหมือนกัน"
โดยคงเดชให้เหตุผลจากการเลือกใช้แนวทางดังกล่าวว่า การรำแก้บนเป็นประเด็นทางสังคมไทยที่มีความน่าสนใจมาก เนื่องจากมีความย้อนแย้งในตัวเองสูง
"ผมสังเกตว่าในปัจจุบันยิ่งเทคโนโลยีล้ำหน้าไปมากขึ้นเท่าไหร่ คนก็ยิ่งพยายามไล่หาสิ่งที่ไม่สามารถหาเหตุผลใด ๆ มาอธิบายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเท่านั้น
ลองไปดูเด็กที่เข้าแคมป์ติวก่อนเอ็นทรานซ์สิ เกือบทุกคนจะต้องไปบนว่าขอให้เอนต์ติดกันทั้งนั้น คิดดูว่ามันย้อนแย้งแค่ไหน กำลังจะสอบวิทยาศาสตร์แต่กลับเอาไสยศาสตร์เข้าช่วย เราอยู่ในสังคมแบบนี้ มันเป็นฟีลลิ่งที่ทำแล้วสบายใจล้วน ๆ เลย"
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตั้งวงจะเป็นหนังที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการตั้งคำถามเรื่องความเป็นวัฒนธรรมไทยในสังคม แต่ตัวละครหลักในเรื่องทั้ง 4 คนก็ไม่ได้ออกตระเวนตามหาว่า "วัฒนธรรมกูอยู่ไส ?" แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบว่าความเป็นไทยอยู่ที่ตรงไหน
"หนังมันไม่ได้สรุปรวบยอดแล้วมีคำตอบชัดเจน แต่มันพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สำหรับคนดูเมื่อดูเสร็จแล้วจบเรื่องออกมาได้คิดบ้าง และถามคำถามบางอย่างกับตัวเอง เราก็ถือว่าทำหน้าที่เสร็จแล้ว มันเป็นการบอกเล่าภาวะ ความรู้สึกนึกคิด เหตุการณ์ภาวะที่เกิดขึ้นตอนนั้น แต่มันไม่ใช่หนังพาฝันแน่ ๆ"
สำหรับเรื่องราวอย่างคร่าว ๆ ของตั้งวง เกิดขึ้นจากเด็กหนุ่ม 4 คน ได้แก่ "ยอง-เจ" คู่หูเด็กเนิร์ดหัวดีประจำโรงเรียน, "เบส" นักปิงปองผู้ฝันอยากเป็นตัวแทนโรงเรียน และ "เอ็ม" แชมป์เต้นคัฟเวอร์เกาหลี ที่วันหนึ่งเกิดต้องรวมตัวกันทำภารกิจแก้บนให้สำเร็จ หลังจากที่ตัดสินใจไปบนบานขอพรจากศาลพ่อปู่ย่านแฟลตละแวกบ้าน จนเกิดเป็นที่มาของความตลกร้ายทางความเป็นไทยตลอด 86 นาทีของเรื่อง
สังคมงามวัฒนธรรมอย่างไทยแท้ ?
จากประสบการณ์พาหนังเรื่องตั้งวงออกเดินทางสู่เทศกาลหนังเบอร์ลินที่ผ่านมา คงเดชเล่าว่า ในความเป็นจริงไม่ได้มีเพียงแค่ประเทศไทยเพียงชาติเดียวที่ตกอยู่สภาวะสับสนงงงวยต่อเอกลักษณ์ความเป็นชาติของตัวเอง
เพราะคนเยอรมันในปัจจุบันที่ได้แลกเปลี่ยนกับผู้กำกับตั้งวงก็ยอมรับว่า ประเทศของตนก็ไม่ต่างกัน "อะไรคือความเป็นเยอรมัน"
"ในที่สุดแล้วเส้นขอบที่บอกว่าฉันเป็นคนไทย หรือคำว่าสิ่งนี้คือความเป็นไทย มันเริ่มยากขึ้นมากทุกวันแล้ว เราคิดว่าทุกวันนี้อะไรที่บอกว่ามีความเป็นไทย ตั้งแต่อินเทอร์เน็ตเข้ามา โลกทั้งใบในตอนนี้มันหลอมรวมกันมากขึ้น คำว่าฉันเป็นใครมันเริ่มเบลอขึ้นเรื่อย ๆ"
คงเดชยกตัวอย่างให้เห็นภาพความเป็นไทยที่ข้ามขอบเขตลายกนกหน้าจั่วว่า การเต้นคัฟเวอร์เกาหลีหลายคนอาจมองว่ามันไม่ไทย แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่ไทยมากกับการใส่กางเกงเจเจเต้นคัฟเวอร์เกาหลี นอกจากนี้ การกินมาม่าแห้งแบบทุบ ๆ ไม่ต้ม ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งความเป็นไทยที่ชัดเจนเช่นกัน
"ความเป็นไทยไม่ต้องนิยามว่าต้องใส่มงกุฎชฎา อีกต่อไป เราเลยจุดนั้นมาแล้วที่จะมีนิยามคร่ำครึแบบนี้มานานมากแล้ว แต่มันคือภาวะที่เกิดความสงสัยว่าเราเป็นใคร เราต้องคอยเตือนตัวเองตลอดเหมือนกันนะว่าเราคือใคร แค่นั้นเองประเด็น"
"ชญานิน เตียงพิทยากร" นักวิจารณ์ภาพยนตร์ กล่าวถึงตั้งวงว่า เป็นหนึ่งในหนังที่เล่าความเป็นไทยได้ไกลมากที่สุดในตอนนี้
"ตั้งวงได้เขยิบไปอีกขั้นนึงแบบที่เรายังไม่เคยเจอ เพราะตั้งวงได้บอกเราว่า สิ่งนี้แหละคือ ความเป็นไทย พร้อมกับตั้งคำถามว่า แล้วคนไทยสามารถทนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ไปจนตายได้จริง ๆ หรือ แล้วจากนั้นก็ลงไปถึงวิธีคิดของคนไทยด้วยว่าเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก แล้วมันก็พูดถึงเรื่องนี้ในแง่ที่มันซีเรียสมาก ๆ ซึ่งมันพลิกกลับมาตอนสุดท้ายว่าทุกคนมีความพาราด็อกซ์ในตัวเอง"
ในกรณีนี้ "ชาญชนะ หอมทรัพย์" อีกหนึ่งนักวิจารณ์ภาพยนตร์ของเมืองไทย อธิบายความพาราด็อกซ์ในตัวเองของคนไทยว่า เกิดจากความเข้าใจในความเป็นไทยที่ไม่ตรงกัน เมื่อมองกันกว้าง ๆ อย่างจริงจังจะเห็นว่าความเป็นไทยมีเลเยอร์ที่มากมายมหาศาล
"ความหน้าไหว้หลังหลอกในสังคมไทย มันมีทั้งที่เราเราทนได้และทนไม่ได้ อย่างเรื่องท้องก่อนแต่งหรือเสียเวอร์จิ้น มันจะมีฝ่ายบอกว่าทำไม่ได้ ไม่มีความเป็นไทย แต่มันก็จะมีอีกฝ่ายที่จะออกมาบอกว่าความคิดผัวเดียวเมียเดียวเป็นของวิกตอเรียที่เราเอาเข้ามา ของไทยจริง ๆ มันต้องมีผัวตั้งแต่อายุ 15 มีเมียกัน 8 คน ซึ่งตั้งวงบอกว่าทั้งสองอันนั่นแหละคือความเป็นไทย แต่ทนได้เรอะ เพราะมันมีเรื่องของศีลธรรมเข้ามาบล็อกอยู่"
ทางด้านของ "รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค" นักวิจารณ์อีกคนมองว่า ตั้งวงได้สะท้อนแนวความคิด "ต่อต้านการเป็นเมืองขึ้น" อย่างน่าสนใจ เพราะมีแนวคิดรากฐานมาจากการถูกปลูกฝังเรื่อง "ไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร" มาอย่างยาวนานลงรากลึก จึงเกิดอาการต่อต้านการครอบงำจากวัฒนธรรมต่างชาติค่อนข้างสูง
"หากมองกลับมาแล้วจะเห็นว่า เราใช้ชีวิตอยู่บนความเป็นไทยน้อยมาก ตัวอย่างที่ตลกมาก ๆ คือ ถ้วยไอติมร้าน icedea หอศิลป์ ชั้น 4 ที่ตัวรสไอศกรีมมีการประดิษฐ์รสไทยเก๋ ๆ รวมทั้งถ้วยที่เป็นถ้วยกระดาษปกตแต่เป็นลายใบตอง
เราใช้โครงสร้างวัตถุที่เราก็รับจากคนอื่นเขามาอีกที แต่อย่างน้อยเราก็รักษาจิตวิญญาณไว้ได้ด้วยการทำให้ถ้วยมีลายใบตอง แต่คำถามคือ ทำไมเราไม่เอาใบตองจริง ๆ มาใช้เป็นถ้วยไอติม ก็เพราะใบตองจริง ๆ มันใช้ไม่ได้ มันไม่เหมาะที่จะเอารองไอติม"
รัชฏ์ภูมิสรุปสั้น ๆ ว่า ความเป็นไทยจริง ๆ ไม่สามารถเอามาใช้ได้ จึงมาได้แค่เปลือกลายบนถ้วย นอกจากนั้นความเป็นไทยในชีวิตประจำวันของเราก็หาได้ยากยิ่ง ความเป็นไทยที่เหลืออยู่กลับเป็นอะไรที่นามธรรม
หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ หนึ่งมุมของตั้งวง คือ การเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่หยิบเหตุการณ์ช่วงปี 2553 อันเป็นช่วงของความวุ่นวายและความรุนแรงจากความขัดแย้งทางการเมืองมาใช้เป็นฉากหลังสำคัญ ในการดำเนินเรื่องราวให้เดินไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ทางความคิดของตัวละครในเรื่อง
ชญานินวิเคราะห์ฉากเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมาอธิบายว่า การที่คงเดชเลือกหยิบสถานการณ์ปี 2553 มาใช้ในเรื่อง จึงอาจเป็นการสื่อให้เห็นถึงโลกแห่งความเป็นจริงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของผู้คนจำนวนมากในสังคมไทยอย่างรุนแรง
"ในโลกแห่งความเป็นจริงมีคนที่ความคิดเปลี่ยนจริง ๆ หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นเยอะมาก ๆ ทั้งความคิดเชิงการเมือง เชิงสังคม สะเทือนในจุดที่จะไม่กลับไปเป็นคนเดิมอีกแล้ว การที่เหตุการณ์นี้ปรากฏขึ้นมาในหนังมันแรงมาก ๆ แม้ว่าเขาไม่ได้บอกว่าเขารุนแรงหรือแอนตี้ก็ตาม แต่การมองเหตุการณ์ในแง่ที่มันเกิดขึ้นจริง ๆ มันเกิดขึ้นแล้วเป็นสิ่งที่สำคัญ" ชาญชนะอธิบาย
สองนักวิจารณ์แสดงตัวอย่างหนังก่อนเหตุการณ์ปี 2549 และ 2553 ที่มีความชัดเจนในเรื่องความคิดเชิงสังคมชัดที่สุดคือ "15 ค่ำเดือน 11" เนื่องจากพูดเรื่องความเป็นไทยและความศรัทธา ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งความคิดที่แตกต่างกันสุดขั้ว แต่ในท้ายที่สุดหนังมันก็พาไปให้เห็นว่าต่อให้ต่างกันแค่ไหน สุดท้ายคนไทยก็ยังคงรวมกันได้
"แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ 49 หรือพฤษภา 53 ก้อนความคิดอย่างในเรื่อง 15 ค่ำฯมันพังทลายลงไปเลยนะ ซึ่งเราจะเห็นได้จากในหนังเรื่องตั้งวงที่เล่นเรื่องการกลับมารวมกันในท้ายที่สุด แต่ผลลัพธ์มันตรงข้ามกันแบบชัดเจนเลยว่า มันเป็นจุดที่เริ่มลงรอยกันไม่ได้ ความคิดเริ่มแตกแยกมากขึ้นเรื่อย ๆ จนต่อไม่ติด"
ชญานินบอกว่า คงเดชเลือกที่จะนำภาพเหตุการณ์มานำเสนอในแบบไม่เคลียร์ คือไม่ฟันธงว่าเป็นข้างไหน เพียงแค่นำเสนอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ชนิดยิงจริง) เท่านั้น
นับว่า ตั้งวง เป็นหนังที่ให้ความเพลิดเพลินสนุกสนานแบบงานบันเทิงได้ดี แต่ในอีกแง่หนึ่ง หนังก็มีเหลี่ยมมุมให้ตีความ พูดถึง ถกเถียง หรือฉุกคิดอยู่มากมาย
บางคนเมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ อาจต้องขอเวลาตั้งหลักย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองและสังคมว่า แท้ที่จริงแล้ว "ความเป็นไทย" อยู่ที่ใด มีอยู่จริงหรือไม่ หรือแค่ภาพลวง แล้วเหตุอันใดถึงมีอิทธิพลเข้ามาพิพากษาขนบวัฒนธรรมได้มากมายเยี่ยงนี้
ผู้อำนวยการสร้างมือใหม่
"ติ๊ก-กัญญารัตน์"
หลังจากตะลุยทำงานภายในวงการบันเทิงมาหลากหลายรูปแบบ ทั้งนักแสดง พิธีกร ผู้ผลิตรายการท่องเที่ยว
ล่าสุด "ติ๊ก-กัญญารัตน์ จิรรัชชกิจ" ดาราสาวและกรรมการผู้จัดการผู้บริหาร บริษัท นอร์ธ สตาร์ โปรดักชั่น จำกัด ได้กระโดดเข้ามารับบทบาทใหม่ในฐานะ "ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์" เป็นครั้งแรก
ด้วยการประสานมือร่วมกับ "คงเดช จาตุรันต์รัศมี" ผู้กำกับมากฝีมือ ปั้นหนังฟอร์มดีอย่าง "ตั้งวง" จนกลายเป็นกระแสพูดถึงกันมากในโลกออนไลน์ขณะนี้
ติ๊กพูดถึงการตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางภาพยนตร์ในครั้งนี้ว่า ตนเองมีแผนการที่จะเข้าสู่การทำหนังมาได้สักพักใหญ่แล้ว เพียงแต่กำลังอยู่ในช่วงพิจารณาเลือกชิ้นงานที่น่าสนใจอยู่ในช่วงก่อนหน้านี้ จนกระทั่งได้มีโอกาสพูดคุยเรื่องแนวทางของหนังเรื่องนี้กับคงเดช ก็พบว่าเป็นบทหนังที่ดี และไม่น่าจะเป็นการลงทุนที่น้อยแต่คุ้มค่า
"ส่วนตัวที่ตัดสินใจทำหนังเรื่องตั้งวงครั้งนี้ ก็เพราะเรามองว่าการจะเข้ามาทำหนังสักเรื่องเป็นครั้งแรก ถ้าได้เริ่มต้นกับหนังที่ดีสักเรื่องหนึ่งก็จะทำให้ชื่อของเรามีเครดิตที่ดีตามไปด้วย ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ตอบโจทย์ในเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี" ผู้อำนวยการสร้างหนังมือใหม่ชี้แจง
ขอบคุณ
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สวัสดิ์สิริชีววารค่ะ