bloggang.com mainmenu search


ในวันที่ไม่ใช่วันหยุดราชการ

หรือภาษากอล์ฟเรียกว่า weekday

เห็นคนน้อยดีก็เลยแวะ วัดสรพงษ์ หรือ วัดโนนกุ่ม




กองอำนวยการ






ทางเดิน






พื้น











ชอบหินที่มาเรียงเป็น facing ขอบทาง





















วิหารสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)






ท่านเกิดเมื่อ 17 เมษายน 2331 ที่ อ.ท่าเรือ พระนครศรีอยุธยา

เมื่อถึงวัยอันควรได้บรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา

ครั้นอายุครบอุปสมบทปีพ.ศ. 2350 ได้โปรดเกล้าฯให้อุปสมบทเป็นนาคหลวง

ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

มีสมเด็จพระสังฆราช (สุก) เป็นพระอุปัชฌาย์

ในรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย

ทรงโปรดฯรับไว้ในพระราชูปถัมภ์









ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 ท่านออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ

ได้สร้างปูชนียสถานในที่ต่างๆกัน

เช่น

สร้างพระพุทธไสยาสน์ไว้ที่วัดสะตือ ตำบลไก่จัน

อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

สร้างพระพุทธรูปหลวงพ่อโต วัดไชโย จังหวัดอ่างทอง

และ

เป็นประธานก่อสร้างปูชนียวัตถุครั้งสุดท้ายที่สำคัญของท่าน

คือ องค์หลวงพ่อโต ที่วัดอินทรวิหาร

ครั้นท่านทำการก่อสร้างได้สูงถึงพระนาภี (สะดือ)

ก็มีเหตุให้ไม่สำเร็จ

เพราะวันเสาร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก ตรงกับวันที่ 22 มิถุนายน 2415

เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒจารย์ (โต) พรหมรังสี ได้สิ้นชีพตักษัย ( มรณภาพ )

บนศาลาเก่าบางขุนพรหม

สิริอายุคำนวณได้ 85 ปีเศษ และมีชีวิตอยู่ในสมณเพศได้ 65 พรรษา









ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ( พ.ศ. 2394 )

พระองค์ทรงโปรดปรานสมเด็จฯเป็นอย่างมาก

ปี พ.ศ. 2395 ได้พระราชทานสมณศักดิ์ครั้งแรกถวายเป็นพระราชาคณะ

ที่พระธรรมกิติ ขณะนั้นท่านอายุ 65 ปี ครั้งนั้นท่านยอมรับสมณศักดิ์


เพราะ


ในหลวงเป็นเจ้าฟ้าซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะฟ้านั้นปกคลุมพื้นดินไปหมด จะหนีฟ้าก็ไม่พ้น

จึงจำใจรับยศสมเด็จ

( ถ้าเป็นแต่เจ้าแผ่นดินสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต ท่านมีความรู้ย่อมหนีพ้นจึงไม่รับยศ หนีออกนอกแผ่นดิน โดยเดินธุดงค์ไปหลายเดือนเพื่อหนียศ )









ต่อมาอีก 2 ปี คือพ.ศ. 2397

ได้รับการสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ “ พระเทพกวี “


อีก 10 ปี พ.ศ. 2407 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นเป็น

สมเด็จพระพุฒาจารย์

ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร พระอารามหลวงฯ









ครั้งหนึ่ง หญิงจีนมาขอหวยท่านสมเด็จฯโต

ได้แอบมานัดกับเด็กวัดโดยแนะให้ขึ้นไปคุยกับท่านสมเด็จฯโตบนกุฏิ

ให้เด็กวัด ชวนพูดแล้วบีบนวดไป

จากนั้นเด็กวัดก็ถามท่านสมเด็จโตว่า "หลวงปู่ หวยงวดนี้มันจะออกอะไร "

เมื่อท่านสมเด็จฯโตได้ยินดังนั้น ท่านก็ตอบว่า

ข้าตอบไม่ได้โว้ย เดี๋ยวหวยของข้าจะรอดร่อง

ขณะนั้นอาเจ็กคนนี้แกแอบอยู่ใต้ถุนกุฏิ

ได้ยินสมเด็จฯโตพูด อย่างนั้นก็เปิดแน่บไปเลย









มีครั้งหนึ่งขณะที่ท่านสมเด็จฯโ ตกำลังจะไปธุระ

บังเอิญเรือติดหล่มต้องเข็นเรือกัน

สมเด็จฯโตท่านได้เอาพัดยศสมเด็จพระพุฒาจารย์วางไว้ในเรือ

แล้วรีบมาช่วยคน อื่นซึ่งเป็นลูกศิษย์เข็นเรือ

ชาวบ้านแถบนั้นแลเห็นเข้าหัวเราะชอบใจขบขัน

พูดตะโกนออกมาว่า "ดูท่านสมเด็จฯเข็นเรือ"

เสมือนหนึ่งล้อเลียนท่านในเชิงปัญญาขบขัน

เมื่อเป็นเช่นนั้นสมเด็จฯโตก็พูด ออกมาว่า

สมเด็จฯเขาไม่ได้เข็นเรือหรอกจ้ะ สมเด็จฯท่านอยู่บนเรือ

ว่าแล้วท่านสมเด็จโตก็ชี้มือไปที่พัดยศในเรือ

เมื่อชาวบ้านต่างได้ยินได้ฟังแลเห็นเช่นนั้น ก็เงียบกริบไม่ว่าอะไร









มีครั้งหนึ่ง ในหลวงรัชกาลที่ 4 ท่านได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า

ให้สมเด็จฯโตเข้าเฝ้าถวายพระธรรมเทศนาใน วัง

เมื่อสมเด็จโตท่านมาถึงนั่งธรรมมาสน์เสร็จก็เอ่ยปากพูดว่า

"ดีพระมหาบพิธก็รุ้ ชั่วพระมหาบพิธก็รู้

เพราะฉะนั้นวันนี้อากาศแจ่มใสดี เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้"

แล้วก็แลเห็นสมเด็จฯโต ลุกจากธรรมมาสน์โดยมิได้มองในหลวง

ในหลวงจึงเอ่ยปากเรียกสมเด็จฯโตว่า

“ท่านโต ท่านโต” ทำไมวันนี้ถึงเทศน์จบเร็วจัง ฉันไม่เข้าใจ

ท่านโตก็เฉลยว่าที่พูดว่าอากาศแจ่มใสดี ดีก็รู้ ชั่วก็รู้

หมายถึงว่าวันนี้จิตใจของพระมหาบพิธรื่นเริงสดชื่น ปราศจากความหม่นหมองใจ

อาตมาจึงเทศน์เพียงเท่านี้ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร










ครั้งหนึ่ง เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 4 ได้นิมนต์อารธนาสมเด็จฯโตมาเทศน์

วันนั้นท่านโตเทศน์นานแล้วนานเล่า

จนกิริยาอาการของในหลวงเริ่มเหนื่อยหน่าย หงุดหงิด

พอท่านโตเทศน์เสร็จ ในหลวงถามท่านโตว่า

ท่านโตวันนี้ทำไมถึงเทศน์นานจัง เราเมื่อย เหนื่อย อยากจะถาม

ท่านโตได้ยินดังนั้นก็ตรัสตอบไปว่า

ก็วันนี้จิตใจของมหาบพิธเต็มไปด้วยความทุกข์เร่าร้อนในอารมณ์ตลอดเวลา

จึงเทศน์ให้มันเย็นจึงนานไปหน่อย











ท่านสมเด็จฯโตได้ออกจากกุฏิมุ่งหน้าไปธุระ แจวเรือผ่านไปตามคลอง

ชาวบ้านแลเห็น ต่างก็พูดขอหวยท่านโตต่าง ๆ นานา

ด้วยรู้กิตติศัพท์ว่า ท่านให้แม่น สงสารคนจน

เวลาเทศนาธรรมที่ใด ท่านสมเด็จฯได้เงินกัณฑ์เทศน์มา

ก็นำมาแจกชาวบ้านและเด็กจน ๆ

แม้แต่สตางค์แดงเดียวก็มิเอาไว้กับท่านเอง

ครั้นพอขากลับวัด ท่านสมเด็จฯโตก็ซื้อหม้อขนมาเต็มลำเรือ

โดยเจตนารมณ์จะบอกใบ้ให้ชาวบ้านจน ๆ ตีปริศนาไปแทงหวยกัน

ชาวบ้านที่ท่านสมเด็จฯโตแจวเรือผ่านมาตามริมคลอง

เห็นเข้าต่างก็ตะโกนพูดว่า "ท่านโตเป็นอะไร ทำไมถึงซื้อหม้อมาเยอะแยะนะ"

แต่ก็มีชาวบ้านที่ปัญญาฉลาดตีความถูก

รู้ว่าหวยออก ม. มอม้า

จึงรีบไปแทงหวย ครั้นพอหวยประกาศออกมาปรากฏว่า ออก "ม" มอม้า









ท่านสมเด็จฯโตได้สร้างพระสมเด็จฯขึ้นมาพิมพ์หนึ่ง

โดยผีมือช่างหลวงช่วยแกะพิมพ์ให้

พอสร้างเสร็จปลุกเสกเสร็จท่านโตก็ได้ให้พระสมเด็จฯ ทรงพิมพ์นี้

ให้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ติดตัว


ในหลวงรัชกาลที่ 5 ได้นำพระพิมพ์สมเด็จฯ นี้

ติดตัวไปประเทศเยอรมันนี

เมื่อกษัตริย์เยอรมันพบ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ก็แปลกใจ แลเห็นที่หน้าอกของพระองค์ มีแสงสว่างประกายออกมา

จึงกราบเรียนถาม พระองค์ ว่า ในตัวท่านมีอะไร

พระองค์นึกขึ้นมาได้ว่า

มีพระสมเด็จฯองค์หนึ่งที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ให้ติดตัวมา

จึงถวายให้กับกษัตริย์เยอรมันนีไป

จึงเรียกสมเด็จทรงพิมพ์นี้ว่า ทรงพิมพ์ไกเซอร์

ตามชื่อ ”พระเจ้าวิลเลี่ยมไกเซอร์” กษัตริย์เยอรมัน









โบสถ์ทรงท้องเรือ ตกท้องช้าง หรือท้องเชือก































เพื่อคอกาแฟ






ปิดท้ายด้วย

ราดหน้าวัดสรพงษ์ ... โรงทาน






อร่อยขึ้นชื่อ ... อยากทานจนมือสั่น







  • Comment
    *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก