bloggang.com mainmenu search



Stonehenge of Thailand
ที่มอหินขาว




ต่อเนื่องจากทริบที่เราไปเดินป่าชมวิวที่ อช. ไทรทอง อ.หนองบัวระเหว ขากลับเรามาที่ อ.บ้านเขว้า เพื่อทานมื้อเที่ยง ก่อนที่จะขับเข้าแยกซ้ายมือที่หน้าปั๊มน้ำมันบางจาก ขับขึ้นไปทาง อช. ภูแลนคา

ด้วยความที่ที่ไม่ชินทาง และเตรียมตัวมาไม่ค่อยดี เราขับไปเจอถนนสาย 2159 ไปหนองบัวแดง เราตามไปอย่างว่าง่าย และก็เจอ อช. ภูแลนคาอยู่ทางซ้ายมือ เราเข้าไปจ่ายค่าผ่านประตู เขาเก็บคนละ 20 บาท เราเลยสงสัยว่า ปกติอุทยานแห่งชาติทุกแห่งเก็บคนละ 40 บาท และรถอีก 30 บาทนี่นา..... เลยถามเจ้าหน้าที่ว่า ไอ้ที่เขาไปดูเสาหินที่นักท่องเที่ยวเรียกว่า สโตนเฮนจ์เมืองไทยน่ะ อยู่ตรงนี้ไหม น้องคนเฝ้าที่ด่านทางเข้าบอกว่า อยู่ในเขต อช.นี้เหมือนกัน แต่ต้องไปเข้าทางน้ำตกตาดโตนโน่น เราเลยแก้เก้อโดยขับขึ้นไปชมวิวบนเขาซะเลย...







ภาพจากที่จอดรถ



ออกจากที่ทำการ อช.ภูแลนคา เราขับกลับทางเดิม มาถึงทางแยกซ้ายมือ (ขากลับเข้าชัยภูมิ) เราเลี้ยวตามไป จนไปเจอ สาย 2051 ชัยภูมิ-แก้งค้อ เราเลี้ยวซ้ายอีกครั้งเพื่อไปทางน้ำตกตาดโตน ผ่านป้าย อช.ตาดโนไปก่อนจะเข้าไปที่น้ำตก มีทางแยกไปทางซ้ายอีกครั้ง และมีป้ายบอกว่า มอหินขาว 22 กม. ...... เฮ! เรามาถูกทางแล้ว ขับไปอีกราว 12 กม. มีป้ายบอกอีกครั้งว่า มอหินขาว 10 กม.

ทางแยกเข้ามอหินขาวยังไม่เรียบร้อยดี (ณ วันที่ 27 พค. 53) ขับเข้าไปได้ประมาณ 4 กม. หลังจากนั้นเป็นลูกรังแดง ไปจนถึงจุดท่องเที่ยวแรกคือ "Mor Hin Khao... Stonehenge of Thailand" ซึ่งทุกอย่างกำลังปรัปปรุงเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สมบูรณ์...








ภาพรวมเสาหินต้นที่ 3-4-5





สโตนเฮนจ์ (Stonehenge)

ทุ่งหินประหลาดขนาดยักษ์ ในประเทศอังกฤษ(ห่างจากกรุงลอนดอนไปประมาณ 90 กม.) นับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง ซึ่งมีลักษณะเป็นทุ่งหินประหลาดขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงรายท่ามกลางท้องทุ่ง โดยมีกลุ่มหินลักษณะต่างๆทั้งตั้ง ทั้งนอน ให้จินตนาการมากมาย ที่ ณ วันนี้ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้สร้าง “สโตนเฮนจ์” ระหว่างธรรมชาติ หรือมนุษย์ หรือมนุษย์ต่างดาว







ภาพจากเสาต้นที่ 2





สำหรับที่เมืองไทย ใน จังหวัดชัยภูมิที่ บ้านวังคำแคน ต.ท่าหินโงม อ.เมือง ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูแลนคาก็มีทุ่งหินประหลาดขนาดยักษ์ท่ามกลางท้องทุ่งมากมายหลายก้อนตั้งโดดเด่นอยู่

หลายๆคนยกให้ทุ่งหินยักษ์นี้เป็น สโตนเฮนจ์เมืองไทย ในขณะที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกขานทุ่งหินขนาดยักษ์ว่า มอหินขาว







ถ่ายย้อนจากเสาต้นที่ 4 เข้าไป




มอหินขาว ชื่อนี้มีที่มา

“เดิมพื้นที่แถวนี้เป็นป่า ต่อมาได้มีคนมาบุกเบิกทำไร่ และก็เห็นมีก้อนหินขนาดใหญ่อยู่ทั่วไปแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ที่ไร่มันสำปะหลัง(ในสมัยนั้น)ของลุงก็มีก้อนหินใหญ่ขึ้นทั่วไป แต่ที่ลุงเห็นว่าแปลกประหลาดมากก็คือก้อนหินใหญ่ 5 ก้อน ที่ในทุกคืนวันพระ(15 ค่ำ, 8 ค่ำ) จะมีแสงสีขาวส่องขึ้นมา คนเฒ่าคนแก่สมัยนั้นเลยเรียกที่นี่ว่ามอหินขาว”


ลุงรันทม สูนสันเที๊ยะ คนเก่าแก่ของพื้นที่เล่าที่มาของชื่อมอหินขาวให้ฟัง ในขณะที่เจริญ เจสันเที๊ยะ ผู้ใหญ่บ้านวังคำแคนคนปัจจุบัน ผู้บุกเบิกทำมอหินขาวเป็นแหล่งท่องเที่ยวก็เล่าทำนองเดียวกันกับลุงรันทมโดยสมทบว่าหลังฝนตกทุกครั้งก้อนหินที่นี่จะมีสะท้อนแสงเป็นสีขาวมองเห็นไปไกล

“ตอนนั้นยังเป็นไร่ของชาวบ้านอยู่ แต่ว่าช่วงประมาณ ปี 40 เริ่มมีคนขับรถขึ้นมาชมก้อนหิน ตอนแรกก็ยังงงอยู่ว่าเขามาทำอะไร แต่พอรู้ว่าเขามาเที่ยวดูก้อนหินก็เลยคิดว่าน่าจะพัฒนาพื้นที่มอหินขาวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพราะก้อนที่นี่มีขนาดใหญ่ มีรูปร่างแปลกประหลาดเมื่อมองแล้วสามารถจินตนาการเป็นได้หลายอย่าง”







ถ่ายย้อนจากเสาต้นที่ 5 เข้าไป





หลังจากนั้นในปี 2544 ผู้ใหญ่เจริญและชาวบ้านในพื้นที่ก็ได้ร่วมมือกับโรงเรียนสตรีชัยภูมิทำการสำรวจพื้นที่ ก่อนยื่นเรื่อง ต่อป่าไม้จังหวัดชัยภูมิและทางอำเภอ

ต่อมาปี 2545 สุรพล สายพันธ์ นายอำเภอเมืองได้พากรมทรัพยากรธรณีมาสำรวจ ซึ่งก็มีความเห็นว่า พื้นที่มอหินขาวสมควรส่งเสริมเป็นแหล่งท่องเที่ยว เพราะโดดเด่นไปด้วยก้อนหิน เสาหิน รูปร่างแปลกตาขนาดใหญ่ ซึ่งหาดูได้ยากมากในประเทศไทย

และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาพื้นที่มอหินขาวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดชัยภูมิ











มอหินขาว สโตนเฮนจ์ เมืองไทย

เสาหินและแท่งหินที่มอหินขาวส่วนใหญ่เป็นหินทรายสีขาว นอกจากนี้ก็ยังมี หินทรายแป้ง หินโคลน หินทรายสีม่วง ซึ่งสันนิษฐานว่าก้อนหินขนาดยักษ์เหล่านี้มีอายุประมาณ 175-195 ล้านปีและเกิดจากการสะสมตัวของตะกอนทรายแป้งและดินเหนียว

วันชัย อัครทวีทอง เจ้าหน้าที่บริหารงานป่าไม้ 7 สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 ผู้ประสานงานโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศมอหินขาวเล่าลักษณะทางธรณีของก้อนหินในมอหินขาว ก่อนที่จะอธิบายถึงลักษณะการเกิดก้อนหินยักษ์ว่า

“เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลงจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก ทำให้ชั้นหินเกิดการโค้งงอและแตกหักเมื่อผสมกับการกัดเซาะของน้ำฝนและการไหลของน้ำตามผิวดิน ลานหินที่นี่จึงค่อยเปลี่ยนลักษณะเป็นเสาหินและแท่งหินอย่างที่เห็นในปัจจุบัน”

ที่มา : //forum.nanosofttech.com/index.php?topic=1159.0







เสาทั้ง 5 ต้น ต้นที่ 1 ซ้ายสุด ต้นที่ 5 ขวาสุด





เราใช้เวลาร่วมกับนักท่องเที่ยวอื่นๆที่นั่นพอสมควร เพื่อชมความแปลกประหลาดของธรรมชาติ หลายๆคนพอมาเห็น ก็บอกว่าทึ่งกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ เพราะหินแต่ละแท่งน่าจะสูงประมาณ 12 เมตร อยู่ห่างกันประมาณ 15 เมตร ยกเว้นต้นที่ 1 ห่างกว่านี้หน่อย เสาต้นที่ 2 ใหญ่ที่สุดเห็นในเวบอื่นบอกว่าประมาณ 22 คนโอบ

ในเสาหินแต่ละต้น มีป้ายเขียนบรรยายไว้ทั้งภาษาไทย อังกฤษ และจีนทุกต้น ดังนี้...

เสาต้นที่ 1 .... ขุนศรีวิชัย "เชื่อว่าถ้าใครได้กราบไหว้จะได้รับพรในการเอาชัยชนะมาสู่เรา"
เสาต้นที่ 2 .... หลวงปู่ฤๅษี "เชื่อว่าถ้าใครได้กราบไหว้จะได้รับพรด้านโชคลาภและความเจ็บป่วย"
เสาต้นที่ 3 .... หลวงสมชาย "เชื่อว่าถ้าใครได้กราบไหว้จะได้รับพรความมีสง่าราศี"
เสาต้นที่ 4 .... หลวงจันทร์ "เชื่อว่าถ้าใครได้กราบไหว้จะได้รับพรความมีสง่าราศี"
เสาต้นที่ 5 .... หมื่นสิงขร "เชื่อว่าถ้าใครได้กราบไหว้จะได้รับพรทางตำแหน่งก้าวหน้าในหน้าที่การงาน"









จากสโตนเฮนจ์เมืองไทย เราสามสารถขับต่อไปชมกลุ่มหินโขลงช้าง ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ตรงนี้ถ้าเรามองไกลๆจะเห็นคล้ายๆช้างโขลงใหญ่ (ภาพล่าง) พอเข้าไป จะเห็นแต่ละจุดมีป้ายปักไว้ว่า "ตรงนี้ที่เบิร์ดนั่ง" "ตรงนี้ที่เบิร์ดดูดาว" และอีกหลายแอ๊คชั่นของเบิร์ด..... เบิร์ดที่ว่า คือ ธงไชย แม๊คอินไตนั่นเองครับ...







ด้านหน้าคือกลุ่มหินโขลงช้าง















กลุ่มหินโขลงช้าง





เลยขึ้นไปจากกลุ่มหินโขลงช้าง ก็จะเป็นหินไทร (อาจจะเรียกชื่อตามต้นไทรที่นั่น) ณ ที่ตรงนี้เราสามารถมองจากจุดชมวิวเห็นอ่างเก็บน้ำเขื่อนลำปะทาว ที่อยู่ไกลออกไปได้ด้วย..

ส่วนอีกด้านหนึ่งของเขา จะเป็นกลุ่มหินล้านปี มองเห็นสีขาวๆอยู่อีกคนละเนินเขา.








หินไทร








บริเวณกลุ่มหินไทร









วิวจากกลุ่มหินไทร ไกลออกไปคืออ่างเก็บน้ำเขื่อนลำปะทาว









ทางขึ้น-ลง มอหินขาว






พื้นที่มอหินขาวในปัจจุบันทางจังหวัดชัยภูมิยังไม่ได้เปิดพื้นที่มอหินขาวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ เพราะว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องปรับปรุง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปรับปรุงทางขึ้น การจัดภูมิทัศน์ การฝึกอบรมไกด์ท้องถิ่น การทำป้ายสื่อความหมาย การทำเส้นทางท่องเที่ยว และการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้พร้อมมากขึ้น

แต่มอหินขาวสามารถขับรถขึ้นไปเที่ยวและพักค้างแรมได้ เพราะลานกว้างไว้ให้กางเต็นท์พร้อมมีห้องน้ำอำนวยความสะดวก ซึ่งผู้สนใจควรสอบถามรายละเอียดก่อนออกเดินทางที่ อุทยานแห่งชาติภูแลนคา 0-4481-0902-3







สวนยางและไร่สับปะรด





ตามทางที่จะขึ้นไปมอหินขาว จะเห็นชาวบ้านปลูกสับปะรดมากมาย ลงไปถามไถ่ได้ความว่า ที่นี่ปลูกสำหรับส่งโรงงาน จะมีรถมารัปซื้อถึงที่แล้วขนไปเข้าโรงงานที่ชลบุรี.... พืชอีกอย่างที่เห็นคือสวนยางพารา ซึ่งหลายๆแห่งกำลังกรีดเอาน้ำยางอยู่ ส่วนพืชไร่ดั้งเดิมที่ปลูกกันคือมันสำปะหลัง

ข้างทางยังเห็นรีสอร์ทใหม่ๆกำลังก่อสร้าง เข้าใจว่าอีกไม่นานที่นี่คงเป็นที่นั่งเค้าท์ดาวน์ตอนปีใหม่อีกแห่งเป็นแน่แท้...

การไปชมสโตนเฮนจ์เมืองไทย เหมาะที่จะไปช่วงบ่ายๆ เพราะแสงแดดส่องด้านหน้า (ด้านเดียวกับถนน) ยิ่งถ้าบ่าย 4 โมงยิ่งเหมาะสำหรับถ่ายภาพ แต่ถ้าเป็นกลางวันก็จะเจอแดดแบบเต็มๆ เพราะที่ตรงนั้นโล่งนะครับ.








ลากันด้วยภาพระยะไกล






การเดินทาง

การเดินทาง ไปชมแหล่งท่องเที่ยวผามอหินขาว จากตัวจังหวัดชัยภูมิ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 2051 ถนนสายชัยภูมิ – ตาดโตน เป็นทางลาดยางระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายก่อนถึงด่านของอุทยานแห่งชาติตาดโตน ตามถนนตาดโตน – ท่าหินโงม เป็นทางลาดยางประมาณ 12 กิโลเมตร แยกซ้ายตามถนนแจ้งเจริญ – โสกเชือก ช่วงแรกเป็นลาดยางประมาณ 4 กม. หลังจากนั้นเป็นทางลูกรัง ระยะทาง 6 กม. ถึง กลุ่มหินชุดแรกของ มอหินขาว รวมระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตรจากตัวเมือง รถเข้าได้สะดวก

ถัดจากกลุ่มหินชุดแรกไปเล็กน้อยจะถึงบริเวณลานกางเต็นท์ มีห้องน้ำบริการ จากจุดนี้มีเส้นทางเดินไปยังกลุ่มหินและจุดชมวิว ได้แก่ หินเจดีย์โขลงช้าง ระยะทางเดินเท้า 650 เมตร ลานหินต้นไทร 900 เมตร สวนหินล้านปี 1,250 เมตร และจุดชมวิวผาหัวนาค 2,500 เมตร

รถประจำทาง : ยังไม่มี




เพลงประกอบ : จันทร์ - หญิง ธิติการณ์


ขอบคุณที่ตามอ่านครับ




__________ END __________

Create Date :17 มิถุนายน 2553 Last Update :25 สิงหาคม 2556 22:22:58 น. Counter : Pageviews. Comments :43