bloggang.com mainmenu search
ผมยังจำความรู้สึกครั้งแรกที่ได้ไปใช้ชีวิตที่คุนหมิงได้ดี วันที่ลงจากเครื่อง ใจยังคิดว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรในเมืองนี้ คนแปลกหน้า เมืองที่ไม่รู้จัก พูดได้แค่พอเอาตัวรอดเท่านั้น แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไปเราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลย

การอยู่ต่างถิ่นต่างพื้นที่มีหลายอย่างสิ่งหลายอย่างต้องปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน เวลา ที่พัก พฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมไปถึงวัฒนธรรมที่แตกต่าง ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานในการปรับตัว และโดยทั่วไปคนไทยก็มักจะเป็นแบบนี้ ปรับตัวง่าย


"สระมังกรดำ เฮยหลงถาง"


วันที่ไปลงทะเบียนเรียน และเลือกระดับที่เรียนนั้น มีสองระดับที่อาจารย์แนะนำ คือ ระดับต้น 3.2 และระดับกลาง 1 โดยอาจารย์หยิบหนังสือมาให้ดูแล้วถามถึงความเข้าใจในเนื้อหาสำหรับผมในตอนนั้น เนื้อหาระดับต้น 3.2 ง่ายเกินไป ถึงจะมีคำศัพท์ที่ไม่รู้อยู่บ้าง แต่โดยรวมถือว่าง่าย ในขณะที่ระดับกลาง 1 ยาก ส่วนหนึ่งเพราะไม่ชินกับบทความยาวๆ เลยทำให้รู้สึกว่ายาก ถึงจะมีศัพท์ที่รู้มาบ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นศัพท์ที่ไม่ค่อยรู้จัก อาจารย์เลยแนะนำให้เลือกระดับกลาง 1 โดยให้เหตุผลว่าต้องมีความกดดันบ้างเป็นตัวกระตุ้นถึงจะดี ซึ่งผมเห็นด้วย ปกติเป็นพวกชอบชกโดยแบกน้ำหนักอยู่แล้ว

ความรู้สึกแรกที่เข้าไปเรียนคือ แต่ละคนเก่งๆ กันทั้งนั้น อาจารย์พูดภาษาจีนหมด อธิบายภาษาจีนหมด ทุกคนในห้องเก่งมาก แต่เราตามเขาไปได้โดยที่ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างมากนัก หมายความว่าความรู้เราไม่ต่างกันมากนัก สิ่งที่รับรู้ได้ในช่วงนั้นคือ แต่ก่อนเราคิดว่าเรามีความรู้ พอเจอคนที่ระดับเดียวกับเราเยอะๆ ทำให้รู้ว่าเรายังต้องฝึกอีกมาก และเมื่อเรียนระดับสูงขึ้นไปอีก ถึงจะรู้สึกว่าตนเองมีความรู้เพิ่มขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าเรานี่มันช่างอ่อนด้อยยิ่งนัก คงต้องฝึกให้มากในเรื่องของภาษา ภาษาที่เรียนไม่มีวันจบ ภาษาที่ต้องเรียนรู้ไปจนวันตาย ภาษาจีน


"มีการจัดแสดงดอกไม้ที่ต้ากวนโหลว"


ถึงแม้ทุกคนจะเก่ง แต่ก็เก่งแตกต่างกันไป แต่ละคนก็มีทั้งจุดเด่น และจุดด้อย ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเราอ่อนด้อยอะไรมาก คิดไปแล้วมันก็เหมือนเกมแนว RPG หรือเกมภาษาที่ตัวละครแต่ละตัวจะมีความสามารถแตกต่างกัน ถ้าลุยเดี่ยวอาจแย่ได้ แต่ถ้าไปเป็นกลุ่มจะสบาย เพราะบางสถานการณ์ความสามารถของคนๆ หนึ่งจะมีประโยชน์กับสถานการณ์นั้นๆ

ผมได้เป็นหัวหน้าห้องทุกเทอมไม่รู้ทำไมถึงได้รับเลือก ก็รู้สึกว่ามีหน้าที่เยอะกว่าของไทยที่บอกเคารพเท่านั้น อย่างอื่นไม่มี ที่จีนไม่ต้องบอกทำความเคารพอาจารย์เข้ามาก็แค่กล่าวทักทาย ไม่ต้องพูดพร้อมกันด้วย ต่างคนต่างพูดเหมือนเพื่อนทักทาย เวลามีเรื่องหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ตัวแทนส่วนมากหัวหน้าไป อย่างหนึ่งที่ผมอาจคิดไปเองคือ คนเป็นหัวหน้าต้องไม่โง่ นี่กระมังที่ทำให้เราพยายามมากกว่าปกติ


"วัดหยวนถง วัดใจกลางเมืองคุนหมิง"


จำได้ว่ามีเหตุการณ์หนึ่งมีนักศึกษาก้าวร้าวกับอาจารย์ (อายุก็ไม่น้อยแล้ว น่าจะเกือบ 60) ทะเลาะกับอาจารย์ ซึ่งจากเหตุการณ์นั้น ไม่ว่ามองจากมุมไหนนายคนนั้นก็ผิด ผมพยายามมองในมุมมองชาวตะวันตก แต่เพื่อนชาวแคนนาดาบอกว่า มันเลวร้ายเกินไปเขารับไม่ได้ ชาวยุโรปบางส่วนก็รู้สึกเช่นนั้น เราคงไม่ได้คิดมากแล้วที่รู้สึกว่าเขาก้าวร้าว

เพื่อนในห้องบางส่วนกดดันให้เราออกหน้าไปคุยกับทางฝ่ายของมหาวิทยาลัยให้ไล่เจ้าหมอนั่นออกจากห้อง ซึ่งจากรูปการให้เราไปพูด ทางฝ่ายมหาวิทยาลัยคงไม่ฟังแน่ และถึงจะไปกันหมดแต่ให้เราพูดคนเดียวมันก็ยังไงอยู่ จะให้ฝ่ายบุ๋นไปบู้คงไหว แต่ในเมื่อเพื่อนๆ เรียกร้อง และผมก็เห็นด้วยจึงยอมออกหน้าให้ พอไปถึง เราก็แนะนำตัวก่อนว่าเป็นใครชื่ออะไร เรียนชั้นไหนมาที่นี่เพื่ออะไร พอพูดได้แค่สามประโยคเท่านั้น ทุกคนใส่กันเต็มที่ เราแทบไม่ต้องพูดเลย (ฮา) สรุปคือพูดปิดท้ายอีกเล็กน้อย นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ฮาเหมือนกัน


"ดอกไม้สวยๆ ที่ทะเลสาบชุ่ยหู"


หลายคนไม่ชอบชมรม หรือกิจกรรม ผมก็ไม่ชอบ แต่อยากรู้ว่ามันเป็นยังไงเลยลองมันทุกกิจกรรม ก็มีทั้งที่ชอบและไม่ชอบ แต่ไหนๆ ร่วมกิจกรรมแล้วก็เลยเรียนมันให้ตลอด จากนั้นในเทอมต่อๆ มาอันไหนชอบก็เข้า อันไหนไม่ชอบก็ไม่เข้า

จำได้ว่างานเลี้ยงที่มีแสดงละคร ได้แสดงสามชุดการแสดง จนอาจารย์คนหนึ่งพูดกับอาจารย์ที่เป็นอาจารย์ของกิจกรรมการแสดงว่า "เขาอีกแล้วเหรอ" ซึ่งผมดันได้ยินพอดี แต่จากงานการแสดงในครั้งนั้นทำให้อาจารย์รู้จักแทบทุกคน ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือไม่ ผมเคยเข้าร่วมกิจกรรมใหม่ที่ทางมหาวิทยาลัยเพิ่งจัดขึ้น ตอนที่อาจารย์ให้แนะนำตัวทีละคน พอถึงคิวเราอาจารย์พูดว่า "อา......เธอนั่นเอง ฉันรู้จักเธอ (ชื่อ) ใช่มั้ย" น่าตกใจเหมือนกัน แทนที่จะได้แนะนำตัวกลายเป็นเขารู้จักเราไปแล้ว ผมเลยถามกลับว่า "รู้จักได้ยังไง" เลยยิ่งโดนแฉในปีก่อนๆ ที่แสดงว่าเขาจำได้จากงานการแสดงในงานของมหาวิทยาลัย


"ป่าหินอันเลื่องชื่อ"


การช่วยเหลือคนไทย ผมเจอทั้งที่ประทับใจ และไม่ประทับใจ ช่วยได้ก็ช่วยกันไป จำได้ว่าเจอคนหลายรูปแบบทำให้เราได้เรียนรู้อะไรเยอะ และได้ย้อนคิดกลับไปมากมาย คิดไปแล้วก็สนุกดีเหมือนกัน ถ้าไม่เจอคนพวกนี้เราคงไม่ได้เรียนรู้อะไรอีกมาก ก็ต้องขอขอบคุณในความมีน้ำใจและไม่มีน้ำใจ ขอให้ผลบุญที่ท่านทำจงสนองกลับไปที่ท่านด้วย


อยู่เมืองไทยผมเป็นนักเรียนไม่เคยที่จะได้รางวัลอะไรเลย พอได้รางวัลนักศึกษาต่างชาติดีเด่น ก็ทำให้รู้สึกดีใจ มันเหมือนฝัน ความรู้สึกที่เรียกว่าตื้นตันกระมัง อาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวกับผมว่า "มีประกาศใบนี้คุณก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเรา ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เธอจะเป็นความภูมิใจของเราตลอดไป" ผมฟังแล้วแทบจะร้องไห้เลยทีเดียว มันคงเป็นความรู้สึกที่ถ้าไม่ได้ประสบพบเจอด้วยตัวเองก็ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ เหมือนหลายครั้งที่เราเห็นคนร้องไห้ดีใจ มันน่าจะเป็นความรู้สึกคล้ายๆ กัน


"มังกรสัญลักษณ์ของเมืองจีน"


ในวันที่อากาศหนาวมากๆ หากได้ฮีตเตอร์ซักตัวคงช่วยให้คลายความหนาวลงได้มาก และไม่ทราบว่าอะไรดลใจให้ผมถามทุกคนในห้องเรียนว่า ต้องการฮีตเตอร์หรือไม่ เดี๋ยวยกมาให้ก็ได้ บ้านอยู่ใกล้ๆ ซึ่งทุกคนก็ยินดี แต่ปัญหาคือ ตอนกลางวันเวลาจะไปกินข้าวต้องหาที่ฝากฮีตเตอร์ เพราะถ้าให้แบกไปโรงอาหาร หรือร้านอาหารผมคงไม่ทำแน่ ซึ่งอาจารย์ก็ช่วยจัดการเรื่องนี้เป็นอย่างดี

จำได้ว่ามีอาจารย์ท่านหนึ่งคาดว่าคงอิจฉา พูดเป็นเชิงว่า ใช้ฮีตเตอร์ไม่ดีต่อสุขภาพหรอก เพราะอากาศในห้องกับภายนอกมันจะต่างกัน ผมถอดเสื้อกันหนาวออกทันทีแล้วบอกว่า "จริงๆ แล้วอยู่บ้านผมแต่งตัวแบบนี้ แต่ใส่ขาสั้น เพื่อนผมหนาวผมเลยเอาฮีตเตอร์มา" แกดูตกใจมาก เหมือนผมจะได้ใจเพื่อนๆ โดยเฉพาะชาวยุโรปมาก "อาจารย์อิจฉาใช่มั้ย" เพื่อนชาวยุโรปคนหนึ่งถาม เล่นเอาแกหมดความมั่นใจไปเลย

ครั้งหนึ่งมีเหตุการณ์ไฟดับ สาเหตุคือ มีการเปลี่ยนสายไฟบริเวณโดยรอบมหาวิทยาลัย จำได้ว่าไฟดับตั้งแต่ 8.00 น.- 24.00 น. (ประกาศแจ้งเตือนไฟต้องมาเวลา 21.00 น.) วันต่อมาผมก็เอาฮีตเตอร์ไปเหมือนเดิม ปรากฏว่ามีอาจารย์คนหนึ่งพูดเป็นเชิงว่าฮีตเตอร์ทำให้ไฟดับอย่าเอามา ผมก็บอกแกไปว่ามันมีประกาศแต่ดูเหมือนแกจะไม่ยอมฟัง แถมไปที่ห้องที่เรียนอีก แล้วบอกอาจารย์ในห้องผมอีก ก็ได้มีการปะทะคารมกันล่ะ ผมถามอาจารย์ประจำชั้นที่สอนก่อนเลยว่า "ไม่พอใจที่ผมเอาฮีตเตอร์มาหรือไม่?" ซึ่งคำตอบก็รู้กันอยู่ ต้องตอบว่าพอใจที่นำมา จากนั้นผมก็เริ่มร่ายยาวว่าที่บอร์ดประชาสัมพันธ์มีแจ้งตัดไฟไว้ ให้อาจารย์ไปดูได้ว่าที่ผมพูดเป็นเรื่องจริงมั้ย เพื่อนในห้องที่นอยู่หอก็ช่วยยืนยัน แถมอาจารย์ประจำชั้นเล่นด้วย เกมพลิกหน้าหงายไปเลย สุดท้ายเข้าใจผิดไปเอง ก็ดีจบง่ายดี ผมก็ง่ายๆ ถามว่าจบหรือไม่ ถ้าอีกฝ่ายบอกจบ ผมก็จบ คนไทยให้กันได้


"ดอกทิวลิปงามๆ เต็มไปหมด"


เวลาดูภาพถ่ายเก่า หรือดูคลิปการแสดง มันชวนให้รู้สึกว่ามันเพิ่งผ่านไปไม่นาน ถึงแม้ว่าจะมีทั้งเรื่องที่ดี และไม่ดีเกิดขึ้น แต่เหตุการณ์ทั้งหมดมันจะช่วยสอนให้เราแกร่งขึ้น มันจะเป็นความทรงจำที่ดีตลอดไป......


ขอบคุณที่อ่านจนถึงเอนทรี่ปิดท้ายของหมวดนี้ครับ ^^ 100 พอดีเลย
Create Date :15 พฤษภาคม 2555 Last Update :3 ธันวาคม 2560 19:05:54 น. Counter : Pageviews. Comments :70