bloggang.com mainmenu search

        

          ช่วงระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2558 พวกเรากลุ่ม Media & Blogger8 Thailand ได้มีโอกาสเดินทางไปเยือนจังหวัดนครพนมอีกครั้ง หลังจากที่พวกเราได้เดินทางไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อต้นเดือนสิงหาคม เป้าหมายครั้งนี้เป็นทริปเที่ยวชุมชนต่างๆที่น่ารักของนครพนม รวมถึงการขี่จักรยาน และท่องเที่ยวแบบซอฟท์แอดเวนเจอร์นิดๆ    

             

 

นครพนม เมืองนครแห่งอีสาน ดินแดนสองฝั่งแม่น้ำโขงแถบนี้ เดิมทีเป็นที่ตั้งของอาณาจักรศรีโคตรบูร ตัวเมืองตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของลำน้ำโขง (ฝั่งลาว) บริเวณทางใต้ปากเซบั้งไฟ ตรงข้ามกับพระธาตุพนมในปัจจุบัน  ตามประวัติเล่ากันว่าเมื่อพญานันทเสนผู้ครองศรีโคตรบูรสวรรคต เสนาอำมาตย์และประชาชนต่างก็เห็นว่าบ้านเมืองเกิดเภทภัยหลายครั้ง ควรที่จะย้ายไปสร้างเมืองใหม่อยู่ตรงข้ามกัน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีป่าไม้รวกขึ้นอยู่เป็นดงจึงได้เรียกชื่อเมืองใหม่นี้ว่า “มรุกขนคร” หมายถึงเมืองที่อยู่ในดงไม้รวก

รัชกาลที่ 1 พระราชทานนามให้ใหม่ว่า “นครพนม” ชื่อนครพนมนั้นมีข้อสันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองลูกหลวงมาก่อนและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์จึงได้ใช้คำว่า “นคร” ส่วนคำว่า “พนม” ก็มาจากพระธาตุพนมปูชนียสถานที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน บ้างก็ว่ามรุกขนครเดิมที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงตั้งอยู่ในบริเวณที่มีภูเขาสลับซับซ้อนจึงนำคำว่า “พนม” ซึ่งแปลว่าภูเขามาใช้ ส่วนคำว่า “นคร” ก็เป็นการดำรงชื่อเมืองไว้คือ เมืองมรุกขนคร นครพนมจึงหมายถึง “ เมืองแห่งภูเขา” นั่นเอง 

            เราเริ่มต้นท่องเที่ยวกันที่พระธาตุท่าอุเทน เป็นพระธาตุประจำวันผู้ที่เกิดวันศุกร์ อยู่ที่บ้านท่าอุเทน ใกล้กับที่ว่าการอำเภอท่าอุเทน องค์พระธาตุก่ออิฐถือปูนเป็นผังรูปสี่เหลี่ยมคล้ายพระธาตุพนม  สร้างเป็น 3 ชั้น ชั้นแรกเป็นอุโมงค์บรรจุของมีค่าต่าง ๆ ชั้นที่ 2 สร้างครอบอุโมงค์ ชั้นที่ 3 คือ เจดีย์องค์ใหญ่ สูงประมาณ 15 เมตร พระอาจารย์ศรีทัตถ์เป็นผู้สร้าง เมื่อปี พ.ศ. 2454 พระธาตุนี้เป็นศิลปกรรมและปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งองค์หนึ่ง บรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ ซึ่งพระอาจารย์ศรีทัตถ์ได้อัญเชิญมาจากเมืองย่างกุ้ง จะมีงานนมัสการพระธาตุในวันขึ้น 13 ค่ำ ถึงแรม 1 ค่ำ เดือน 4 ของทุกปี การเดินทาง จากตัวเมืองนครพนมไปตามทางหลวงหมายเลข 212 ประมาณ 26 กิโลเมตร

        

 

            ที่ท่าอุเทน ยังมีแหล่งเรียนรู้รอยเท้าไดโนเสาร์ มีรอยเท้าไดโนเสาร์ขนาดเล็ก กลุ่มออนิโธมิโนซอร์ ลักษณะคอเรียวเล็กยาว เดินด้วยสองขา มีนิ้วเท้าสามนิ้วคล้ายนกกระจอกเทศ และยังมีรอยอีกัวดอน รวมทั้งรอยเท้าจระเข้ขนาดเล็กอายุประมาณ 100 ล้านปี 

          

           รอยเท้าไดโนเสาร์ขนาดเล็กมีเกือบ 200 รอย  ตั้งอยู่ที่ตำบลพนอม  ตามเส้นทางหมายเลข 212 ท่าอุเทน-บ้านแพง

 

            เมื่อไปถึงท่าอุเทนต้องไปเมืองไชยบุรี อยู่ในตำบลไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม  เดิมชื่อ "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" อยู่ในเขตการปกครองของเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยในสมัยนั้น ประวัติของเมืองไชยบุรี มีอยู่ว่าท้าวหม้อและนางสุนันทา เป็นหัวหน้าไทยใหญ่ ได้พาบุตรและบ่าวไพร่ อพยพลงมาตามแม่น้ำโขง จึงได้สร้างเมืองขึ้น และตั้งชื่อว่า “เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี” ขึ้นตรงต่อเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งขณะนั้นเวียงจันทน์ขึ้นตรงต่อประเทศไทย

           

            เราตามขบวนจักรยานของที่นี่ไปชมเมืองเก่าไชยบุรีกันอย่างจุใจ

          

 

            ณที่แห่งนี้ แม่น้ำศรีสงครามไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขงที่ไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน แม่น้ำศรีสงครามที่ใสเมื่อมาเจอแม่น้ำโขงที่ขุ่นจึงกลายเป็นแม่น้ำสองสี แต่ไกลไปอีกนิดหนึ่งความใสก็ค่อยๆจางหายกลายเป็นแม่น้ำโขงที่ขุ่นข้นเหมือนเดิมทุกประการ ที่ไชยบุรีมีร้านอาหารตั้งอยู่บริเวณปากน้ำแม่น้ำสองสีชื่อ “สวนอาหารไชยบุรี” ร้านนี้มีอาหารจำพวกปลาแม่น้ำโขง แต่ที่แปลกกว่าก็คือ “ลาบปลาแข้” ที่หอมกลิ่นพริกเผาผสมกับผักพื้นเมือง แล้วก็ที่ไชยบุรีอีกเหมือนกัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งทำ “ปลาส้ม” ซึ่งก็เหมือนกับ “แหนมส้ม หมูส้ม” หรือ “แหนมห่อ” นั่นแหละ

 

ที่มาของปลาส้มไชยบุรีนั้นไม่มีอะไรมาก คือเดิมทีแถบนี้เป็นแหล่งชุกชุมปลาชะโด จนชาวบ้านจับมากินกับแทบไม่ทัน ที่เหลือเอาไปขายก็ไม่มีใครซื้อเพราะมันหาง่าย ในที่สุดเขาจึงใช้วิธีแล่เอาเฉพาะเนื้อปลามานวดให้เข้ากับน้ำตาล เกลือ กระเทียม กับข้าวสุกเพื่อให้เนื้อปลาเกิดความเปรี้ยว จากนั้นก็นำมาห่อด้วยใบตอง แล้วก็ทิ้งไว้สักสองถึงสามวันเพื่อให้เปรี้ยวจึงแกะออกมากินได้

            นอกจากนี้เรายังได้ชมพิพิธภัณฑ์ ภูมิ-มูนมังที่เพิ่งเปิดสดๆร้อนๆ

          

          ท่าอุเทนนี้เป็นเมืองไทญ้อ มีชุมชนท้องถิ่นที่น่ารัก เราตามคณะปั่นจักรยานเที่ยวชมท่าอุเทนอย่างเต็มอิ่ม

          

            เยี่ยมชมบ้านคุณยายที่แสนน่ารัก และนมัสการพระบางที่วัดไตรภูมิ

          

 

            วันต่อมาเราได้ไปเที่ยวชุมชนดอนนางหงส์ ที่นี่ทำการเกษตรผสมผสานหลากหลาย เราได้พบกับปลัดอบต.สาวที่แสนน่ารัก 

          

           ตามคณะปั่นจักรยานไปเที่ยวหลายที่

         

         เช่นที่วัดดอนนางหงส์ (พระธาตุกอวอ) เป็นทรงลังกา สูง 32 เมตร ชั้นบนเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับประทานจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประดิษฐาน จำนวน 9 องค์ และได้รับ พระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระราชทานนามย่อ กว ประดิษฐานบนพระบรมธาตุเจดีย์แห่งนี้ โดย ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จฯ มาทรงประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และอัญเชิญ พระนาม กว. ประดิษฐาน ณ วัดดอนนางหงส์ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2551 สำหรับวัดดอนนางหงส์ เป็นวัดเก่าแก่ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2300 ในรัชสมัยพระบรมราชากู่แก้ว แห่งอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ปัจจุบันมีพระครูสุจิตพิริยคุณ อดีตเจ้าคณะตำบลดอนนางหงส์ เป็นเจ้าอาวาส    

                

 

             ที่นี่มีชนเผ่ากะเลิง-ผู้ไทย แห่งบ้านกลาง – บ้านดอนนางหงส์ นักท่องเที่ยวจะได้“สนุกรู้...งดงามหัตถศิลป์ถิ่นริมโขง” งานใบตอง บ้านดอนนางหงส์ รวมถึงชมงานตีทองที่แสนงดงาม

              

 

            ไม่ไกลกันนักคือที่ตั้งของพระธาตุมรุกขนคร เป็นพระธาตุบริวารของพระธาตุพนมองค์ที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาพระธาตุบริวารทั้งเจ็ดองค์ สร้างมายังไม่ถึงยี่สิบปี ตั้งอยู่ที่บ้านดอนนางหงส์ท่า ต ดอนนางหงส์ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม วัดมรุกขนครที่ประดิษฐานพระธาตุองค์นี้มีอายุเกือบสามร้อยปีมาแล้ว สร้างโดยพระบรมราชาเจ้าแอวก่าน เจ้าเมืองมรุกขนคร วัดนี้เป็นวัดประจำเมืองที่มีความเจริญมากต่อมาจึงร้างไป ซากเดิมตั้งอยู่ที่โรงเรียนดอนนางหงส์สงเคราะห์ตรงข้ามที่ตั้งวัดเดิมในปัจจุบัน กั้นด้วยห้วยบังฮวกซึ่งเป็นห้วยที่ไหลมาจากแม่นำโขง หลังจากนั้นจึงได้ย้ายเมืองไปตั้งที่บ้านโพธิ์ (บริเวณที่เป็นตัวเมืองนครพนมในปัจจุบัน)

          

 

            ปิดท้ายวันสักการะพระธาตุพนม เป็นพระธาตุประจำผู้ที่เกิดวันอาทิตย์  ประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ผลจากการขุดค้นทางโบราณคดีลงความเห็นว่าพระธาตุพนมสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. 1200–1400 ตามตำนานกล่าวว่าผู้สร้างคือ พระมหากัสสปะ พระอรหันต์ 500 องค์ และท้าวพระยาเมืองต่าง ๆ ภายในองค์พระธาตุบรรจุพระอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ลักษณะของสถาปัตยกรรมมีแหล่งที่มาที่เดียวกันกับปราสาทของขอม และได้ทำการบูรณะเรื่อยมา ในปี พ.ศ. 2485 ได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกขึ้นเป็น “วรมหาวิหาร”

 

            พระธาตุพนมไม่เพียงแต่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนครพนมเท่านั้น พระธาตุพนมยังเป็นที่เคารพของชาวไทยภาคอื่น ๆ และชาวลาวอีกด้วย ว่ากันว่าถ้าใครได้มานมัสการพระธาตุครบ 7 ครั้ง จะถือว่าเป็น “ลูกพระธาตุ” เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและจะมีความเจริญรุ่งเรือง หรือแม้แต่การได้มากราบพระธาตุพนม 1 ครั้ง ก็ถือเป็นมงคลแก่ชีวิตแล้ว

         

 

คืนแรกและคืนที่ 2 เราพักที่เดิม โรงแรมเดอะริเวอร์ ของคุณจิ๋ว ยังสวยงามเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ณ เดอะริเวอร์นี้เป็นจุดที่ชมโค้งแม่น้ำโขงได้สวยงามมาก มากี่ครั้งก็ไม่รู้เบื่อ

 

          อีกวันถึงเวลาแอดเวนเจอร์ที่อำเภอบ้านแพง

          

           ไปเยือนอุทยานแห่งชาติภูลังกา   อุทยานแห่งชาติภูลังกาครอบคลุมพื้นที่ของตำบลไผล้อม อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม และอำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย มีเนื้อที่ประมาณ 31,250 ไร่ มีลักษณะเป็นภูเขาทับซ้อนกัน 3 ลูก สลับด้วยเทือกเขาขนาดเล็กสลับซับซ้อนทอดยาวตามแนวลำน้ำโขง สภาพโดยทั่วไปเป็นป่าดงดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรังที่สมบูรณ์มีสัตว์ป่าชุกชุม เป็นต้นกำเนิดของน้ำตก และลำธารใหญ่น้อยหลายสาย ช่วงฤดูท่องเที่ยวระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม เป็นช่วงที่มีดอกไม้ กล้วยไม้ป่าและรองเท้านารีบานสะพรั่ง  บนยอดภูลังกา   

 

           สถานที่น่าสนใจภายในเขตอุทยานฯ ได้แก่   

          

             น้ำตกตาดขาม  เป็นน้ำตกที่ไหลเป็นชั้น ๆ จำนวน 4 ชั้น  เฉพาะชั้นสุดท้ายจะมีแอ่งน้ำขังตลอดปี สภาพโดยรอบร่มรื่น และมีลานหินเล็ก ๆ เหมาะสำหรับพักผ่อน

               

 

            น้ำตกตาดโพธิ์  มีกำเนิดจากเทือกเขาภูลังกา

           

              น้ำตกมีลักษณะสวยงามไม่น้อยกว่าน้ำตกตาดขาม เป็นน้ำตกที่ไหลเป็นชั้นจำนวน 4 ชั้น แต่ละชั้นสูงไม่น้อยกว่า 10 เมตร ชั้นที่ 2 สูงถึง 30 เมตร

          

 

            จากนั้นเยี่ยมชมโรงแรมเจบี บ้านแพง

                  

               ซึ่งนอกจากอาหารอร่อยมากแล้ว ยังได้ชมวิวภูลังกาแบบ 360 องศาอีกด้วย

         

 

           ช่วงบ่ายเราได้ไปที่วัดภูพานอุดมธรรม มีชื่อเดิมว่า วัดภูพานดานสาวคอยวนาราม ตั้งอยู่ ณบ้านดานสาวคอย ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม บนเทือกเขาภูพาน บริเวณอุทยานแห่งชาติ ภูผายล ล้อมรอบด้วยป่าไม้ เบญจพรรณนานาชนิด บรรยากาศ เงียบสงบร่มเย็นตลอดปี ในอดีตพื้นที่ดังกล่าว เป็นฐานที่ตั้งมั่นของกลุ่มบุคคล ที่มี ความคิดขัดแย้ง ทางด้านการเมือง นอกจากนี้แล้ว บริเวณพื้นที่มีถ้ำต่างๆ มากมาย จากลานธรรมสวนสมเด็จ หน้าอุโบสถ สามารถมองเห็น ทิวทัศน์ทั่วบริเวณโดยรอบ และมีการสร้างพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวต่อมาได้ถวายพระนามว่า

          

           "พระพุทธมหามงคลบพิตรจัตรุทิศประทานพร" จุดนี้มีลานดานสาวคอยเชื่อักนว่า วิญญาณสาวจะมาคอยคนรักที่ถูกพลัดพรากจากกันโดยพ่อของฝ่ายหญิง

       

 

            วันต่อมาข้ามจากฝั่งไทยล่องโขง ไปมหานทีศรีโคตรบูรณ์   สัมผัสกลิ่นไอเย็นฉ่ำของแม่น้ำโขง  ชมทัศนียภาพอันสวยงามของทิวเขาสลับซับซ้อนฝั่ง สปป. ลาว  ชมโบราณสถานและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนสองฝั่งโขง 

         

          เยือนพี่น้องลาวแห่งบ้านนาเมือง

            

            ไปยังเมืองท่าแขก แขวงคำม่วนย้อนเรื่องราวจากอดีตเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส

           

          ไหว้พระธาตุศรีโคตรบูร

         

          เยี่ยมชมถ้ำนางแอ่น

            

           ที่ภายในมีความงดงามมาก

           

           รวมถึงไปกำแพงยักษ์ หินขนาดยักษ์มีแนวยาวหลายกิดลเมตร แต่ปัจจุบันถูกทำลายไปมากจากการตั้งบ้านเรือนของประชาชน แต่ก็ยังมีแนวยาวให้เห็นอยู่

 

            ปิดท้ายทริปแห่งความสนุก นครพนมไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ

 

สาธิตา โสรัสสะ รายงาน

 

 

ขอขอบคุณผู้สนับสนุนการเดินทางในทริปนี้

 

1 คุณวสุมน เนตรกิจเจริญ กรรมการผู้จัดการ วิน วิน สมาย และโครงการ Self Drive Isan

 

2 คุณสมชาย วิทย์ดำรงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม

 

3 คุณสิทธิพร ศิริวรเดชกุล (เปี๊ยก เสียงทิพย์) ประธานบริษัทเสียงทิพย์ไฮเทค จำกัด

 

4 คุณสมภพ ตั้งศิริ กรรมการผู้จัดการ โรงแรมเดอะริเวอร์ นครพนม

 

5 คุณเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครพนม

 

6 ททท.สำนักงานนครพนม

 

ติดต่อท่องเที่ยวนครพนมที่     

 

บจก.วินวิน สมาย

 

บจก.เกรทแฮ็ปปี้เนส

 

Tel.02-153-8119-20, 092-258-6848-9

 

Fax.02-153-8120

 

www.selfdrivethailand.com

 

www.facebook.com/selfdrivethailand

 

 

 

 

 

Create Date :03 กันยายน 2558 Last Update :3 กันยายน 2558 19:48:41 น. Counter : 4083 Pageviews. Comments :0