เปิดตัวรายละเอียดของ Apple Watch กันมาแล้ว กับสมาร์ทวอทซ์จากค่ายผลไม้ที่คนทั้งโลกต่างจับตามอง งานนี้ถือเป็นงานเปิดตัวแกดเจ้ดตัวใหม่ที่ไม่เคยจัดขึ้นมาก่อนของ Apple (ปกติจัดแต่ iPad และ iPhone) แล้วเจ้า AppleWatch จะใช้งานได้นานแค่ไหน ทำอะไรได้บ้าง ราคาเท่าไหร่ เราจัดรายละเอียดมาให้แล้ว
ดูดีอย่างที่คาดกันไว้
Apple Watch ราคา สเปค และ อายุการใช้งาน !
สเปคของ AppleWatch นั้นจะแบ่งออกเป็นสามรุ่นใหญ่คือ AppleWatch Sport ,AppleWatch และ AppleWatch edition โดนรุ่น Sport นั้นจะมีราคาที่ถูกกว่ารุ่นอื่น อารมณ์ประมาณว่า รุ่น Sport นั้นเอาไว้ใส่ใช้งานออกกำลังกายเป็นหลัก ส่วนรุ่น Edition เป็นแฟชั่นเอาไว้ใส่โชว์ อีกทั้งแต่ละรุ่นก็จะมีรุ่นย่อยออกไปตามสายและไซส์อีก คือ 38 มิลลิเมตร และ 42 มิลลิเมตร สมารถแยกย่อยให้เห็นภาพได้ดังนี้
สรุปง่ายๆ ยิ่งสวยยิ่งแพง !
AppleWatch Sport 38 มิลลิเมตร ตัวถูกสุดราคา 349 เหรียญ (ราว 11,500 บาท)
AppleWatch Sport 42 มิลลิเมตร ตัวถูกสุดราคา 399 เหรียญ (ราว 13,000 บาท)
AppleWatch edition 38 มิลลิเมตร ตัวถูกสุดราคา 549 เหรียญ (ราว 17,500 บาท)
AppleWatch edition 42 มิลลิเมตร ตัวถูกสุดราคา 599 เหรียญ (ราว 19,000 บาท)
AppleWatch edition 38 มิลลิเมตร ตัวแพงสุดราคา 17,000 เหรียญ (ราว 544,000 บาท)
AppleWatch edition 42 มิลลิเมตร ตัวแพงสุดราคา 15,000 เหรียญ (ราว 480,000 บาท)
ราคารุ่นนี้เล่นเอาสะพรึง !
การใช้งานนั้น หากอยากเห็นภาพง่ายๆ มันคือสมาร์ทโฟนขนาดย่อส่วนที่อยู่บนข้อมือของเรานั่นเอง เราสามารถใช้แอป เลือกการแจ้งเตือน ฟังเพลง คุยโทรศัพท์ รวมถึงความสามมารถอื่นๆที่สมาร์ทแบรนด์ สมาร์ทวอทซ์ควรจะมีก็มีอยู่บน AppleWatch ทั้งสิ้น และที่สำคัญกันน้ำได้ด้วย !
ดูผ่านๆนึกว่านาฬิกาจริงๆ
ในเรื่องของอายุการใช้งานหรือแบตเตอรี่ไลฟ์นั้น Apple ออกมาให้ข้อมูลว่า
สำหรับการใช้งานทั่วไป AppleWatch สามารถใช้ได้ต่อเนื่อง 18 ชม.
โทรศัพท์เพียงอย่างเดียวต่อเนื่องได้ 3 ชม.
ฟังเพลง(ปิดหน้าจอ)ต่อเนื่องได้ 6.5 ชม.
ใช้แอปออกกำลังกายต่อเนื่องได้ 7 ชม.
ในกรณีที่เปิดโหมดประหยัดแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่องจะสามารถใช้งานได้ถึง 72 ชม.(สามวัน)
โดยมีเงื่อนไขจะไม่เชื่อมต่อกับ iPhone เลยตลอดสามวันนี้และใช้ได้เฉพาะนาฬิกาอย่างเดียว
(เปิดแอพ ฟังเพลง โทรศัพท์ ฯลฯ ไม่ได้เลย เอาไว้ดูเวลาได้อย่างเดียว)
อีกไม่นานจะได้เจอกันแล้ว
ใครที่สนใจสามารถพรีออเดอร์ได้แล้วในวันที่ 10 เมษายนนี้ ในกลุ่มประเทศแรก ได้แก่ อเมริกา แคนาดา จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง เยอรมัน ฯลฯ (ไม่มีไทยนะครับ) และสินค้าจะเริ่มจัดส่งในวันที่ 24 เมษายนที่จะถึงนี้