bloggang.com mainmenu search

สูตรลึกลับของเครื่องดื่ม โคคา-โคล่า





 





นำข้อมูลมาจาก //www.artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=5693 ครับ

        
บริษัท ทรัสต์ คอมพานี แห่งรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐฯ
เป็นที่เก็บสูตรลับของเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลกชนิดหนึ่งที่
มีชื่อว่า โคคา-โคล่า หรือคนทั่วไปเรียกว่า โค้ก
สูตรลับนี้มีผู้ที่สามารถเปิดดูได้เพียงคนเดียวเท่านั้นคือผู้อำนวยการบริ
ษัท









        
ถึงแม้จะมีผู้จัดจำหน่ายอยู่หลายแห่งทั่วโลก
แต่ไม่มีสักรายที่ล่วงรู้ส่วนผสมที่แท้จริง
เพราะบริษัทจะจัดส่งหัวเชื้อซึ่งเป็นน้ำเชื่อมและส่วนผสมอื่นๆ
ให้ผู้แทนจำหน่ายไปผสมกับน้ำโซดา
แม้กระทั่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถล่วงรู้สูตรลับของโคคา-โคล่า ได้

         ปี ค.ศ.1983 นักเขียนอเมริกัน วิลเลียม พาวน์สโตน ตีพิมพ์ผลงานที่มีความยากลำบากในการค้นคว้าชื่อว่า
Top Secret เขาบอกว่า ส่วนผสมหลักของโค้ก บริษัทจะกำหนดเป็นส่วนผสมหมายเลข 1-9 และเรียกว่าเป็นสินค้านั้น มีดังนี้คือ


1.น้ำตาล
 2.น้ำตาลไหม้  3.กาเฟอีน(ไร้กาเฟอีน)  4.กรดฟอสฟอริก
 5.สารสกัดจากใบโคคา(สกัดเอาโคเคนออกแล้ว)
และสารสกัดจากเมล็ดโคลาปริมาณเล็กน้อย  6.กรดน้ำส้ม และโซเดียมไซเทรต
 7X.มะนาวฝรั่ง ส้ม มะนาว แคสเซีย(cassia คืออบเชยชนิดหนึ่ง)
น้ำมันลูกจันทร์เทศ และสารอื่นๆ  8.กลีเซอรีน  9.วานิลลา







         การวิเคราะห์สารเคมีทำให้รู้ส่วนผสมบางอย่าง แต่ส่วนที่ค้นพบยากที่สุดคือส่วนที่เป็นหัวน้ำมันหอมระเหยใน สินค้าหมายเลย 7X
(ไม่มีคำอธิบายความหมายของ X)
การนำเอาหัวเชื้อเหล่านี้มาผสมกันใช่ว่าจะได้กลิ่นและรสชาติตามสูตรของโค
คา-โคล่า เพราะน้ำมันเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากันเกิดเป็นกลิ่นและรสชาติอื่นๆ
ได้อีก ก
ารที่จะลอกเลียนแบบต้องรู้ส่วนผสมและสัดส่วนที่แท้จริง ซึ่งยากในการวิเคราะห์ ด้วยเหตุนี้ส่วนผสมก็ยังคงเป็นความลับสุดยอดของโคคา-โคล่า จนถึงทุกวันนี้





John Stith Pemberton


         เครื่องดื่มที่ติดปากของคนทั่วโลก ดร.จอห์น เอส เพมเบอร์ตัน (John Stith Pemberton)
ซึ่งเป็นผู้คิดค้นสูตรดั้งเดิมของโคคา-โคล่า เขาเป็นเภสัชกรที่แอตแลนตา
จอร์เจีย ในปี ค.ศ.1885
เขานำเอาเครื่องดื่มที่ผสมเหล้าองุ่นแดงมาดัดแปลโดยผสมใบโคคาลงไปด้วย
ซึ่งโคคามีสารกระตุ้นประสาทที่เรียกว่าโคเคน แต่กลับขายไม่ดี
เขาจึงปรับปรุงสูตรอีกโดยเอาลูกโคลามาแทนเหล้าองุ่นแดง
ซึ่งโคลานี้เป็นโคลาพันธุ์แอฟริกา มีสารประตุ้นประสาทที่เรียกว่า กาเฟอีน
เขาได้เติมน้ำตาลและแต่งกลิ่นไม่ให้ขม







Asa Griggs Candler


        
สัญลักษณ์โคคา-โคล่า เป็นการออกแบบของหุ้นส่วนที่ชื่อว่า แฟรงค์ เอ็ม
โรบินสัน (Frank Mason Robertson) เมื่อปี 1887 เพมเบอร์ตันขายสูตรนี้ให้
วิลลิส อี
 เวเนเบิล และ จอร์จ เอส ลอนเดส และอีก 5
เดือนต่อมาก็ขายต่อให้ วูลโฟล์ค วอล์เคอร์ และ เอ็ม ซี โดเซียร์
และต่อมาอีก 1 ปี ก็ขายให้ เอซา จี แคนด์เลอร์ (Asa Griggs Candler)
ซึ่งเพมเบอร์ตันก็ถึงแก่กรรมในปีนั้น


        
แคนด์เลอร์ได้ผสมส่วนผสมนี้กับน้ำโซดา
และคิดว่าต้องเป็นเครื่องดื่มที่คนนิยมอย่างมาก
จึงได้เก็บสูตรนี้ไว้เป็นความลับ แคนด์เลอร์ได้ปรับปรุงสูตรใหม่อีก
และรับแฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน เข้าเป็นหุ้นส่วน
และได้ก่อตั้งบริษัทโคคา-โคล่า ในปี 1892 จนถึงปี 1903 ก็มีเพียง 2
คนเท่านั้นที่รู้สูตรของเครื่องดื่มชนิดนี้
และมีสิทธิ์ในการผสมน้ำเชื่อมในห้องลับ


         เขา
ได้แกะฉลากส่วนผสมต่างๆ
ออกและชำระเงินด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้ฝ่ายบัญชีรู้ว่าซื้อส่วนผสมอะไรมา
เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น เขาทั้งสองคนไม่สามารถผสมส่วนผสมต่างๆ
ได้ด้วยตัวเองอีก เขาจึงกำหนดหมายเลข 1-9 เพื่อใช้เรียกชื่อส่วนผสม
ผู้จัดการสาขาจะรู้เพียงสัดส่วนและวิธีผสมเท่านั้น


        
เมื่อปี 1909 รัฐบาลสหรัฐฯ ยื่นฟ้องบริษัทว่าใช้ส่วนผสมที่มีโคคาอยู่ด้วย
ซึ่งอาจจะมีโคเคนผสมอยู่ คดียืดเยื้อกว่า 10 ปี
แต่ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าในส่วนผสมพบโคเคนอยู่ในสารสกัดโคคาหรือโคลา
แม้แต่น้อยนิด

วิลเลียม พาวน์สโตน กล่าวในหนังสือ Top Secret
ว่า ในโคคา-โคล่า มีส่วนผสม โคคา หรือ โคลา เพียงนิดเดียว
ซึ่งไม่มีผลต่อรสชาติสักเท่าใด

ในสงครามโลกครั้งที่ 2
กองกำลังฝ่ายพันธมิตรในแอฟริกาได้สั่งซื้อโคคา-โคล่า จำนวนถึง 3 ล้านขวด
ส่วนโคคา-โคล่าที่เป็นกระป๋องเพิ่งมีในปี 1955






Create Date :13 มกราคม 2555 Last Update :13 มกราคม 2555 20:24:22 น. Counter : Pageviews. Comments :0