bloggang.com mainmenu search





















คุณที่รัก

เราเพิ่งอ่านนวนิยายเรื่อง“ ฤ ดู ฝั น อั น แ ส น สั้ น ”ของ “เงาจันทร์” จบเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทำให้นึกภาพของเงาจันทร์อยู่ในใจว่า ทำไมเธอถึงถ่ายทอดเรื่องราวของความรัก ความปรารถนาได้ทั้งหวาน โรแมนติก อีโรติกแต่แฝงด้วยความเศร้าที่อัดแน่นสะท้านสะเทือนใจจนทำให้การคลี่รอยยิ้มของตัวละครแต่ละครั้งนั้นคือเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ได้ผ่อนคลายจากหัวใจ

เงาจันทร์เขียนถึงอารมณ์เหล่านี้ได้สุนทรีย์ ตัวละครมีชีวิตเลือดเนื้อ ละเมียดละไมในทุกความสัมพันธ์นั้น ๆ สะท้อนกิเลสภายในของทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ความรัก ความปรารถนา โหยหาไม่มีที่สิ้นสุด ความอ่อนแอของใจมนุษย์ที่น่าเวทนาอย่างยิ่ง อย่าเพิ่งรีบตัดสิน อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปเพราะบางทีชะตากรรมของมนุษย์มักเล่นตลกและหยอกล้อสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวเราได้ทุกเมื่อ มีบททดสอบยาก ๆ สำหรับมนุษย์ที่จิตใจหนักแน่นและไม่หลงในกิเลสตัณหา ผลลัพธ์จากการกระทำก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินคาดราวกับว่าโลกนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับมนุษย์ที่อ่อนแอ

เงาจันทร์เขียนภาพผืนป่า รายละเอียดของดอกไม้นานาพรรณได้สวยสดงามสะพรั่งป่า ภาษาสวยด้วยวรรณศิลป์ เพลิดเพลินกับการบรรยายผืนป่าในชนบทจนเห็นภาพชัดเจน

“…หล่อนล้มคุดคู้อยู่กลางหมู่ดอกขัดมอญที่มีดอกเล็ก ๆ สีม่วง ดอกไม้เล็กกระจิริดเหล่านั้นแผ่ออกเป็นดงกว้างราวกับนางไม้มาลืมผ้าคลุมไหล่ของหล่อนทิ้งเรี่ยราดไว้ ฝนโปรยคงเจ็บทีเดียวเพราะเขาได้ยินเสียงหล่อนร้องคราง หล่อนใช้ผ้าโพกผมไว้แน่นหนา เขาจึงเห็นเงาดอกแขมพลิ้วไหวเป็นเงาจางสีม่วงอยู่บนลำคออันกลมกลึงที่มีผมอ่อนปลิวรุ่ยร่าย แล้วเขาได้ยินเสียงลมยามเย็นลู่ต้นหญ้าไหวเอนซู่ซ่าในความเงียบ ยามค่ำระหว่างเขาและหล่อนช่างนุ่มละมุน ชั่วครู่หนึ่ง ทั้งคู่ต่างมองดูกันเหมือนไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน...สำหรับเขามันเป็นความรู้สึกอันประหลาดล้ำ...”

ชื่อชวนฝันของนางเอกในเรื่องนี้คือ “ฝนโปรย” อันเป็นชื่อเดียวกับดอกไม้ที่จะบานไปตลอดทั่วเนินแห่งนั้นในต้นเดือนคุลาฯ ของทุกปี อันที่จริงมันเป็นไม้เถาที่มีหัวอยู่ในดินแล้วเลื้อยไปเหมือนหัวมันป่า มันไร้ชื่อเสียงเรียงนาม แต่เพราะมันบานสวยสะอ้านเป็นสีขาวสะดุดตาในช่วงเวลาที่ฝนกระหน่ำโปรยปราย เธอเกิดในช่วงเวลาที่ดอกไม้นั้นบานเต็มทุ่ง มองไปทางไหนก็มองเห็นดอกฝนโปรยสะพรั่งอยู่ราวกับเพชรพลอยหมื่นพันที่ส่องประกายอยู่กับแสงตะวัน

อาจจะเพราะชอบชื่อนางเอก และยังชอบที่ผู้เขียนให้ฝนโปรยเป็นคนชอบดอกไม้มาก เราจึงเห็นดอกไม้ที่บานพราวเต็มท้องทุ่งและเต็มบึง

ฤดูฝันอันแสนสั้นนั้นแบ่งออกเป็นสองภาคนะ เรารู้สึกประทับใจในภาคแรกเพราะเป็นเรื่องราวของความรัก ความปรารถนา คนที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักนั้น ยากที่จะมองเห็นอะไรได้ชัดเจน มืดบอดได้เสมอ
ภาคแรกนี้จะพูดถึงตอนที่ชาญ(พระเอก)กับฝนโปรย(นางเอก)รักกัน เป็นความรักที่เต็มไปด้วยความปรารถนา เป็นความรักและปรารถนาแบบลืมตาย
มีแต่ฉากสวย ๆ โรแมนติกและอีโรติกแสนงดงาม ก็พระเอกน่ะมาแอบดูนางเอก ซ่อนตัวอยู่หลังต้นกระท้อนทั้งที่ตัวมีคนรักอยู่แล้ว ร้ายนะพระเอกคนนี้ คุณลองอ่านนะ เห็นด้วยกับเราหรือเปล่า

“..แล้วสิ่งเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น หล่อนถอดเสื้อตัวนั้นออกขว้างทิ้งไป หล่อนยืนอยู่หน้านังวัวราวกับจะอวดรูปโฉมอ้อนแอ้น หน้าอกอันเต่งกลมกลึงของหล่อน หล่อนยกแขนเรียวทั้งสองข้างขึ้นสูง แล้วก็หมุนไปราวกับต้องการจะเริงระบำ สำหรับชาญแล้ว ดอกไม้ทั้งเนินเขาแห่งนั้นได้พลันจางหายไปสิ้น เขาเห็นแต่ร่างอันบอบบางราวกลีบดอกไม้ เห็นถันเนียนผ่องราวผลส้มสีทอง... หล่อนทอดร่างคว่ำทรวงอกเปลือยลงแนบกับหมู่ดอกไม้ ชาญมองเห็นเพียงแผ่นหลังลาดเนียนของหล่อน หล่อนนอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งราวกับเพลินไปกับความฝัน แล้วหล่อนก็ลุกขึ้นวิ่งไปที่ตะกร้าผ้าที่หล่อนเตรียมมาซักเพื่อค้นหาเสื้อมาใส่ หล่อนวิ่งมาเฉียดใกล้ต้นกระท้อนโบราณที่ชาญซ่อนตัวอยู่ด้วย...ชาญได้แต่กลั้นใจ ครั้งนี้เขาเห็นร่างอรชรผุดผ่องของหล่อนเต็มตาด้วยอรุณเริ่มแจ่มแจ้ง และนับแต่นั้น เขาก็ฝันแต่ว่าจะได้พบหล่อนในทุก ๆ เช้าของชีวิตตลอดไป...

มันเป็นความรู้สึกอันแปลกประหลาด เหมือนเขาหลับไปแล้วได้เห็นนางไม้...

“เขาไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นความรัก เพราะเขาไม่กล้าที่จะคิดเช่นนั้นในช่วงเวลาอันแสนสั้น มันอาจจะเป็นความซาบซึ้งในความงามจากเบื้องลึกของหัวใจ เพราะเขาได้เห็นเอวองค์ที่ชุ่มน้ำค้างของหล่อน ได้เห็นเนินหน้าท้องที่เรียบเนียนเหน็บผ้าถุงไว้หมิ่นเหม่ เขาปฏิเสธกับตนเองว่ามันไม่ใช่ทั้งความรักและความใคร่ผสมกัน เพราะหล่อนไม่มีท่าทีจะยั่วยวนใครนอกจากมีความสุขท่ามกลางสัมผัสจากธรรมชาติ กระนั้น บ่อยครั้งเขาหลับตาลงก็เห็นองค์เอวเนินนมเอิบอิ่มของหล่อน ครั้นอยู่ในความเงียบ เขาก็ได้ยินเพลงที่หล่อนร่ำกระซิบ...”

แค่นี้ คนอ่านอย่างเราก็เคลิ้มกับภาพฝัน ๆ เหล่านี้แล้วล่ะ จนกระทั่งฉากงามของนางเอกกับพระเอกสุดคลาสสิกใต้แสงจันทร์

“คงมีแต่ดวงจันทร์ที่มองเห็นเขาเปลื้องเสื้อชาวนาของหล่อนออก เขาสัมผัสทรวงอกอันเคยเป็นภาพอันตราตรึงอยู่ในฝันด้วยความรู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กน้อยผู้ได้กลับนั่งอยู่ริมฝั่งน้ำใต้เงาต้นก้ามปูโบราณและกำลังโลมลูบดินเหนียวเต็มกำมือเพื่อจะเคล้นคลึงให้มันเป็นรูปปั้นต่าง ๆ ตามใจชอบ เนื้ออกหล่อนเนียนนุ่มและแข็งหยุ่นมือเหมือนดินเหนียวอย่างดีที่เขาเคยเฝ้าผสมคลุกเคล้าจากริมน้ำ เพียงแต่กลิ่นอุ่นหวานและหอม เด็กน้อยเช่นเขาจึงคลึงเคล้าซุกไซ้ด้วยดื่มด่ำโดยไม่ได้คำนึงว่าจะปั้นให้มันเป็นรูปอันใด มีแต่ปรารถนาที่จะสัมผัสประเล้าประโลมด้วยเสน่หาอันเอ่อล้นท้นใจ

….ไกลออกไปจากที่นั่น ป่าส่งเสียงของป่า ลำธารครวญเพลงผ่านเงาจันทร์ใต้พุ่มพฤกษ์ เป็นเสียงกระซิบกระซาบรำพันด้วยบทเพลงลี้ลับ ผ้าซิ่นชาวนาของหล่อนหลุดง่ายดาย ซังข้าวแข็งๆ ทิ่มตำร่างอันสั่นสะท้านของหล่อน หมู่ดอกผักบุ้งสีม่วงที่บานสลอนอยู่บนรายข้าวถูกมือหล่อนอันกำเกร็งปัดป่ายกระจัดกระจาย หล่อนกำมันแน่นแล้วก็ปล่อยให้มันสั่นไหวอยู่ใต้ลมหนาว..”

เป็นความรักและประทับใจที่ยากจะลืมและผลของเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำลายหัวใจใครต่อใครให้ย่อยยับเป็นลูกโซ่ เขาและเธอทำไปด้วยความรักและความปรารถนา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า พระเอกต้องแต่งงานกับคนรัก คู่หมั้นคู่หมายเดิมของตัวเอง(คือแม่ทิพย์)หลังจากนี้
ชาญกับแม่ทิพย์เริ่มต้นชีวิตคู่ และฝนโปรยก็ให้กำเนิดชีวิตใหม่ ฝนโปรยไม่มีพ่อมีแม่ ลูกฝนโปรยเองก็ไม่มีพ่อและจากนั้นเธอก็ขาดแม่ซึ่งไม่ต่างจากฝนโปรยเช่นกัน พร้อมกับยายที่ใจคอดุร้ายตั้งชื่อให้ลูกของฝนโปรยว่าฝนโปรยเพื่อตอกย้ำความรู้สึกทุกข์โศกไม่รู้สิ้นให้แก่หลานสาวตัวน้อย เกลียดชังฝนโปรยผู้เป็นแม่และตั้งหน้าตั้งตาด่าทอฝนโปรยผู้เป็นหลาน การตั้งท้องโดยหาใครมารับผิดชอบไม่ได้จึงเป้นความคับแค้นและอับอายของผู้เป็นยายไม่รู้จบ

ครั้นพอเข้าภาคสองของเรื่องตอน “ผู้ไขว่คว้าหารัก” นั้น ความรู้สึกผิดในใจของตัวละครแสดงออกถึงความรับผิดชอบในความปกปิดความผิดของตน ไม่มีใครพูดความจริง ชาญผู้ซึ่งจมอยู่กับความผิดพลาดของตน โหยหาในสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และยังซ่อนความรู้สึกถึงความรักลูกของตัวทั้งที่เกิดกับฝนโปรยและแม่ทิพย์ เราอยากจะเรียกว่าความรักมักล้อเล่นกับหัวใจมนุษย์เสมอ เราคิดว่าจะไม่เล่าต่อแล้วล่ะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้ ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายนัก โศกนาฏกรรมแห่งความรักของมนุษย์เพียงบทหนึ่งเท่านั้น นวนิยายเรื่องนี้ ผู้สร้างเจตนาให้ร้ายผู้ชายทั้งโลกด้วยความตั้งใจ

“ฉันอยากเป็นดอกไม้สีขาว
ฝังเมล็ดเล็ก ๆ เหมือนดวงดาวลงกลางใจเธอ
ค่ำคืนที่ฝนเดือนสิบพร่ำเพ้อ
ฉันจะตื่นจากฝันมาพบเธอในความจริง”

ฤดูฝันอันแสนสั้น
เปรียบประดุจตัวแทนของผู้หญิงทั้งหลาย ที่ไม่อาจครองใจชายที่ตนรัก


ฤดูฝันอันแสนสั้น
ยิ่งกว่านั้นคือยังเป็นฤดูแห่งความหวานในความเศร้าที่ยาวนานราวกับนิรันดร์นั้นมีจริง










คิดถึงคุณนะ
ภูเพยีย
๑๘ กันยายน ๒๕๕๔














“สายน้ำเอย…
ใครจะรู้เจ้าหลากเลยถึงถิ่นไหน
เหล่าคนกล้าจะฝ่าฟันไป
เก็บดอกไม้มาให้เจ้า…อรชุน…
พ่อเป็นสายน้ำ เจ้าเป็นสายลม
ผูกพันเกลียวกลมด้วยรักเกื้อหนุน
ท่องในโลกกว้างใต้แสงจันทร์อ่อนละมุน
เจ้าอรชุนคือผู้ชนะ…”





คุณที่รัก

เราอ่านนวนิยายเรื่อง “ ชี วิ ต เ ห มื อ น ฝั น อั น อ า ดู ร ”ของเงาจันทร์จบไปอีกเล่มแล้วล่ะจ้ะ
ผลงานเล่มนี้ของเงาจันทร์เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์ได้ก่อขึ้น โดยเธอหวังเพียงว่า คนเรานั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ จะทุกข์ยากลำเค็ญเพียงไร จงอย่าได้หวั่นเกรง เพราะชะตากรรมคือกับดักชีวิตของมนุษย์ที่แต่ละคนหลีกหนีไม่พ้นอยู่แล้ว…เพียงแต่ใครจะตัดสินใจสู้กับโชคชะตากรรมด้วยวิธีใด ด้วยการต่อความผูกพันหรือควรจะลืมมันเสีย…ก็เท่านั้นเอง แม้จะมีความตายมารออยู่ข้างหน้าก็ตาม

ภาษาเขียนของเงาจันทร์นั้น ไม่พูดถึงเสียเลยคงเป็นไปไม่ได้นะ เพราะเล่มนี้ก็ไม่ต่างจากที่เราเคยอ่านมา ไม่ว่าจะ ปรารถนาแห่งแสงจันทร์ ฤดูฝันอันแสนสั้น และในรูปเงา เราอยากบอกว่าเป็นงานวรรณศิลป์เป็นวรรณศิลป์แบบหวาน ๆ เศร้า ๆ งดงามและโรแมนติกเลยเชียวนะ

นวนิยายเรื่องนี้ค่อนข้างยาว พระเอกชื่ออรชุน เราควรจะเรียกว่าพระเอกหรือตัวเอกของเรื่องดีนะ แต่เขาเป็นตัวแทนของมนุษย์เดินดินทั้งหลายผู้เป็นเหยื่อแห่งชะตากรรมที่คนอื่นได้ก่อขึ้นรวมทั้งเป็นเหยื่อของชะตากรรมที่ตัวเขาเองได้ก่อขึ้นเองด้วย เขาต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งดีและร้ายต่าง ๆ นานา

“…วันหนึ่งเขาจะตกเป็นทาสของราคะเช่นเดียวกับผู้คนทั้งหลายเหล่านี้หรือไม่นะ เขาจะต่อสู้หรือหลีกหนีมันได้พ้นหรือ…เขาจะกล้าทำชั่วเหมือนที่พ่อทำกับใคร ๆ ไหมนะ…และหากวันหนึ่งเขาได้เห็นแม่ของเขาจูบกับคนอื่นเช่นนี้…โอ!..”

การรู้เท่าทันความจริงของชีวิตทำให้เราเจ็บปวดน้อยลงเมื่อต้องเป็นผู้แพ้หรือผู้ถูกกระทำ คนเราไม่ว่าจะต้องผ่านทุกข์ยากลำเค็ญอันสาหัสเพียงไร เขาก็คงยังรักหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของตนเองไว้ได้

“…มีมาเพิ่มอีกสองคนเหรอ..ไม่ไหวนะ..” นางร้องอย่างเห็นขัน แววตาสับสนด้วยมึนเมา นางมองไม่เห็นทั้งอรชุนและนกุล แต่ทั้งสองจำนางได้แม่นยำ นางคือสมรแม่ของนกุลนั่นเอง…”

เราอ่านแต่ละช่วงแต่ละตอน ครอบครัวของเพื่อนสนิทอรชุน ครอบครัวคนรอบข้างและความเป็นไปของโลกมันช่างอลวน สับสนเสียเหลือเกิน เรานึกเอาใจช่วยตัวละครอยู่ตลอดว่า เขาจะสามารถยืนอยู่ในโลกนี้อย่างไม่ปวดร้าวได้อย่างไร อรชุนอาจดูเหมือนแพ้แต่หัวใจเขาไม่ควรแพ้ เราหวังไว้เช่นนั้น หวังว่ามนุษย์ไม่ควรจะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แม้จะมีช่วงเวลาว้าวุ่นหรือ่อนไหวไปไม่ถูกทางก็ตาม เขาจึงไม่ใช่พระเอก เขาจึงเหมือนเรา ๆ นี่แหละ อย่าให้ชะตากรรมมาทำลายจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์เลย

“ฟ้าไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะอยู่หรือตาย ฟ้าไม่เคยเอาใจใส่เขา แม้ขณะที่เขาดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากตลอดมา เราเคยรักท้องฟ้าสีน้ำเงินที่เงียบงันนั้นอย่างไร ในนาทีสุดท้ายของชีวิต เขาก็ยังรักมันมากดุจเดิม ดอกพญาสัตบรรณสีนวลเนียนร่วงพร่างพรูราวกับจะต้องการคำอำลากับเขา…เขามองดูดอกไม้อย่างอ่อนโยน…”

เถอะนะเจ้าอรชุน แม้บางขณะรักแท้อันไม่จริงได้บังเกิด ก็ได้แต่เพียงหวังว่า ไม่ว่าเราจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะในบั้นปลายก็ตาม จงรักษาดวงใจอันดีงามไว้ให้สง่างามเพราะโลกยังเข้าข้างคนบริสุทธิ์อยู่เสมอ






อยากให้คุณอ่านอีกเช่นกันนะ
ด้วยรัก
ภูเพยีย
๒๐ กันยายน ๒๕๕๔













Create Date :21 กันยายน 2560 Last Update :21 กันยายน 2560 9:08:36 น. Counter : 869 Pageviews. Comments :1