bloggang.com mainmenu search
















บั น ทึ ก ก า ร อ่ า น
A Man called OVE : ช า ย ชื่ อ อู เ ว
Fredrik Backman เขียน : ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี แปล





เปิดฉากหนังสือด้วยการที่อูเวไปขอซื้อไอแพดที่ร้านและซักถามเกี่ยวกับการใช้ไอแพดต่าง ๆ นานาจนคนขายชักสีหน้า รำคาญตาแก่นี่มากและรู้สึกเสียเวลาทำมาหากินที่ต้องอธิบายเรื่องที่ชาวโลกรู้กันไปทั่ว แต่เราเพียงสงสัยว่า เขานึกยังไงหนอมาหาซื้อไอแพดที่ว่านี่ ...


อูเว ชายวัย 59 ปี มนุษย์ผู้จงรักภักดีกับรถซาบและปณิธานว่าจะขับรถซาบอย่างเดียวตลอดชีวิต เขาตั้งปณิธานว่าจะเป็นเหมือนพ่อ ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง และไม่รู้จักการยืดหยุ่นที่สุดในโลก เป็นผู้มีคำถามมากมายกับวิถีชีวิตกับโลกยุคใหม่ ที่เราฟังแล้วสะดุ้ง บางอย่างก็หลุดโลก บางอย่างก็ขำ ๆ อย่างเช่น




❀ เขาไม่เข้าใจคนที่ตื่นสายแล้วอ้างว่านาฬิกาไม่ปลุก เกิดมาเขาไม่เคยมีนาฬิกาปลุก



❀ เขาค่อนแคะว่าคนสมัยนี้ไม่รู้จักวิธีเขียนหนังสือด้วยปากกาอีกต่อไป แล้วต่อไปโลกจะเป็นอย่างไรถ้ามนุษย์ไม่รู้จักแม้แต่วิธีต้มกาแฟและจับปากกา




❀ เขาปิดเครื่องทำความร้อน หม้อต้มกาแฟและไฟทุกดวงในบ้าน เอาน้ำมันชะโลมเคาเตอร์ไม้ในห้องครัวถึงแม้ว่าอิเกียบอกว่าไม้ชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องชะโลมน้ำมันก็ตาม


❀ เขาสบถ..ไอ้เวรพวกนี้เป็นเหมือนกันหมด ถีบราคาที่พักอาศัยให้สูงขึ้นสำหรับคนที่ทำมาหากินสุจริต ราวกับว่าบ้านจัดสรรแห่งนี้เป็นที่พักสำหรับชนชั้นสูง



❀ เขาผ่อนบ้านจนไม่มีหนี้สิน และมองว่าพวกขี้โอ่สวมเสื้อผ้าราคาแพงไม่มีทางพูดอย่างนี้ได้เพราะทุกวันนี้ทุกอย่างซื้อด้วยเงินกู้




❀ อูเวจ่ายเงินค่าบ้านครบ และปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เขาไปทำงาน ไม่เคยลาป่วยแม้แต่วันเดียว... ทุกวันนี้เอะอะก็ต้องพึ่งคอมพิวเตอร์ เอะอะก็วิ่งโร่หาที่ปรึกษา เต็มไปด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เที่ยวคลับเต้นระบำเปลื้องผ้า แอบทำสัญญาเช่าอพาร์ตเมนท์กันใต้โต๊ะ หลบเลี่ยงภาษีและเอาเงินส่วนต่างมาแบ่งกัน ไม่มีใครอยากทำงาน ทั้งประเทศมีแต่คนที่อยากนั่งกินมื้อเที่ยงไปตลอดทั้งวัน


❀ อูเวมองผู้ชายขี้โอ่กำลังวิ่งจ๊อกกิ้งด้วยความรู้สึกขัดหูขัดตา ...สิ่งที่ไม่เข้าใจคือ ทำไมคนเราถึงทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องสำคัญนักหนา ทุกคนจะยิ้มหน้าระรื่นราวกับว่าการวิ่งครั้งนี้จะช่วยรักษาถุงลมโป่งพองให้กับตนเอง



❀ นักจ๊อกกิ้งทุกคนทำสีหน้าแบบนั้น ไม่ว่าจะเดินเร็ว ๆ หรือวิ่งเหยาะ ๆ มันเป็นวิธีที่ผู้ชายวัยสี่สิบบอกกับโลกนี้ว่า เขาไร้น้ำยาจนไม่รู้ว่าอะไรถูกต้องเหมาะควร ทุกคนแต่งตัวเหมือนนักยิมนาสติกจากโรมาเนียวัยสิบสี่ หรือทีมแข่งเลื่อนหิมะในกีฬาโอลิมปิก จำเป็นแค่ไหนที่จะต้องทำแบบนั้น กะอีแค่ออกมาลากขาอย่างไร้จุดหมายในละแวกบ้านเป็นเวลาสี่สิบห้านาที



❀ บ้านของอูเวและภรรยา จะมีกล่องอเนกประสงค์ ซึ่งคนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีของพวกนี้ติดบ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นของไร้สาระมากกว่า เช่น รองเท้ายี่สิบคู่ ไม่เคยรู้ว่าวางช้อนใส่รองเท้าไว้ตรงไหน ทุกบ้านจะมีเตาไมโครเวฟกับทีวีจอแบน




❀ คนพวกนั้นทั้งเล่นอินเทอร์เน็ตและจิบเอสเปรสโซ เราจะหาความรับผิดชอบอะไรจากคนแบบนั้นได้



❀ เขาสงสัยว่าทำไมเพื่อนบ้านต่างชาติจึงไม่สอบใบขับขี่รถยนต์ คนที่ขับได้แค่หุ่นยนต์พาหนะจากญี่ปุ่นแต่ขับรถจริง ๆ ไม่เป็น ยังสมควรจะได้ใบขับขี่ไหม



❀ เรดาร์ถอยหลังเซ็นเซอร์จอดรถ กล้องติดรถ ของเส็งเคร็งพรรค์นั้น ใครก็ตามที่ต้องพึ่งของพวกนี้ กะอีแค่ถอยรถพ่วง ไม่สมควรสะเออะมาถอยมันตั้งแต่แรก


❀ ไอ้พวกขี้โอ่ที่อายุแค่สามสิบเอ็ด วัน ๆ ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ และดื่มกาแฟแบบที่คนธรรมดาดื่มกันไม่ได้ ใช้ชีวิตในวงสังคมที่ไม่มีใครรู้วิธีถอยรถพ่วงเข้าจอด และยังมีหน้ามาบอกว่า เขาไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป



❀ แรก ๆ ที่อูเวเข้ามาอยู่ทีนี่มีบ้านจัดสรรเพียงหกหลัง ทุกวันนี้มีเป็นร้อย แน่นอนว่าทุกหลังต้องกู้เงินมาซื้อ คนสมัยนี้ใช้ชีวิตแบบนี้ ซื้อของด้วยเงินเชื่อ ขับรถพลังงานไฟฟ้า ต้องตามช่างมากะอีแค่เปลี่ยนหลอดไฟ ปูพื้นบ้านด้วยกระดานสำเร็จรูป ใช้เตาผิงไฟฟ้า นั่นคือวิถีของคนปัจจุบัน




❀ เขาไม่เข้าใจคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอให้ถึงวันเกษียณเลยจริง ๆ มีเหตุผลอะไรที่คนเราจะเฝ้ารอทั้งชีวิตให้ถึงวันที่ตนเองจะกลายเป็นคนไร้ค่า ใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างไร้จุดหมาย กลายเป็นภาระของสังคม คนแบบไหนกันที่ปรารถนาสิ่งเหล่านี้


❀ อูเวมองบรรดาเสื้อโค้ทของภรรยาที่แขวนอยู่บนตะขอตัวอื่น ๆ อย่างครุ่นคิด นึกสงสัยว่าทำไมมนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเธอจึงมีเสื้อโค้ทเยอะแยะขนาดนี้



❀ อูเวไม่ได้ไม่ชอบคนอ้วน เปล่าเลย ใครอยากมีรูปร่างแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น เขาแค่ไม่เข้าใจคนพวกนี้ นึกไม่ออกว่าพวกเขาอยู่กันอย่างไร คนเราจะกินอะไรเข้าไปได้สักแค่ไหน และต้องทำอย่างไรจึงเปลี่ยนแปลงตนเองให้มีรูปร่างใหญ่กว่าเดิมเป็นสองเท่าแบบนั้นได้ เขาคิดว่าสิ่งนี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นตั้งใจมหาศาล





❀ คนเราไม่ควรทำอะไรสักอย่างเพื่อเหรียญรางวัล ใบประกาศเกียรติคุณหรือการลูบหลังแสดงความขอบคุณแต่ควรทำเพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำ
ฯลฯ


ลุงแกปากร้ายเอาการเหมือนกันนะ แต่นั่นแหละ มารู้จักลุงคนนี้ไปด้วยกันค่ะ








































❀❀❀




พ่อของอูเวทำงานการรถไฟ เขาประสบอุบัติเหตุ โดนรถไฟพุ่งชน ขณะยืนอยู่บนรางรถไฟ ของที่พ่อให้ไว้ดูต่างหน้าคือรถซาบ บ้านโทรม ๆ หนึ่งหลัง นาฬิกาข้อมือบุบ ๆ เรือนเก่า

ที่มาของรถซาบ ๙๒ เก่าบุโรทั่ง เป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ผลิตโดยบริษัทซาบ เป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า เครื่องยนต์วางเฉียงไปด้านข้างและส่งเสียงดังเหมือนเครื่องบดกาแฟ

รถของผู้อำนวยการรถไฟคันนี้ยับเยินจนเกินจะซ่อมได้ เขาถามพ่อของอูเวว่า จะจัดการมันอย่างไรดี พ่อของอูเวพูดหนักแน่นว่าซ่อมได้ จบคำพูดนั้น ผอ.ก็ยกรถให้กับพ่อของอูเวซ่อมไว้ใช้ตั้งแต่นั้นมา

อูเวไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนเปี่ยมล้นไปด้วยความภูมิใจเท่ากับพ่อของเขาในคืนนั้น เมื่ออูเวอายุแปดขวบ เขาตั้งปณิธานแน่วแน่ในคืนเดียวกันนั้นว่า ชีวิตนี้จะไม่ขับรถอะไรทั้งนั้นนอกจากรถซาบ อูเวตัดสินใจที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ให้เหมือนพ่อมากที่สุด

อูเวสวมนาฬิกาบุบ ๆ เรือนเก่าซึ่งเคยเป็นของพ่อ พ่อได้รับมันมาจากพ่อของแกตอนอายุสิบเก้า จากนั้นส่งต่อมายังอูเวอีกทอดตอนอายุสิบหก หลังจากพ่อลาโลกนี้ไปได้ไม่กี่วัน เขาเลิกมีความสุข เลิกไปโบสถ์และต่อว่าว่า พระเจ้าองค์นี้ไม่เอาไหน

วันที่พ่อตาย อูเวไปที่แผนกรับเงินเพื่อรับเงินเดือนของพ่อ และเอาส่วนที่เกินมาคืนโดยอ้างว่า พ่อเขาตายวันที่ 16 แต่กลับจ่ายให้พ่อเขาทั้งเดือน เขารับส่วนที่เหลือนั่นไม่ได้

ผอ. ไม่มีทางเลือกจึงเสนอให้เขามาทำงานแทนพ่อให้ครบเดือน เพื่อจะมีสิทธิ์ในเงินเดือนนั้นโดยสมบูรณ์ อูเวยอมรับข้อเสนอ ลาโรงเรียนมาทำงาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กลับไปเรียนต่อและทำงานที่การรถไฟอีกห้าปี

การที่พ่อแม่ของอูเวจากไปกะทันหัน เขาต้องคิดเรื่องการเลี้ยงชีพตัวเองหลังจากที่เขาสำนึกในความถูกต้องและหน้าที่ตอนพ่อตาย




นับแต่พ่อจากไป อูเวจำแนกคนประเภทต่าง ๆ ได้แก่ คนที่ทำในสิ่งที่ควรทำ คนที่ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ เขาพูดน้อยลงและลงมือทำ

'พอคนเราไม่พูดมาก โอกาสที่จะพ่นอะไรหมา ๆ ออกจากปากก็หมดไป'

วันหนึ่ง เขามีปัญหากับทอม ทอมกล่าวหาว่าเขาขโมยเงิน โยนโทษใส่ทั้งที่เขาไม่ได้ทำแต่เขากลับปิดปากเงียบเพราะยึดถือแบบอย่างจากพ่อที่ว่า เขาไม่ใช่คนที่เอาเรื่องของคนอื่นมาโพนทะนา การนิ่งเงียบครั้งนี้ ทำให้ผอ.จำต้องไล่เขาออกจากงาน

ความเสียใจของอูเวไม่ได้อยู่ที่ใครจะว่าเขาอย่างไร แต่เป็นเรื่องที่เขาสูญเสียงานที่พ่อเขารัก

เขาพูดอะไรยาว ๆ ครั้งสุดท้ายก่อนก้าวออกจากงานว่า

'ค น เ ร า ต้ อ ง ดู ที่ ก า ร ก ร ะ ทำ
ไ ม่ ใ ช่ ที่ คำ พู ด '


ทำให้ผอ.นึกถึงคุณธรรมของพ่อกับอูเว ตอนนั้นอูเวอายุเพียงเก้าขวบ เขาเก็บกระเป๋าตังค์ผู้โดยสารบนรถไฟได้และไม่เคยปริปากว่าทอมเลย 'เราไม่ใช่คนที่จะเที่ยวเอาเรื่องของคนอื่นไปโพนทะนา'เขาคืนเงินที่เก็บได้และ ผอ. ก็เชื่อว่า เขาคงไม่มาเสียคนอะไรตอนนี้ เขาจึงได้กลับเข้าไปทำงานอีกครั้ง ราวกับว่า ทุกเส้นทางจะนำไปสู่จุดหมายที่ถูกกำหนดไว้กับเราก่อนหน้านั้นแล้ว



อูเวแทบไม่มีเพื่อนแต่ก็ไม่มีศัตรู



ในมุมมองของอูเว เขาคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่คนเราใช้ชีวิตตามแนวคิดว่า ทุกอย่างสามารถถูกแทนที่ได้ ราวกับความจงรักภักดีไม่มีค่าอะไรเลยอย่างนั้น

ทุกวันนี้ผู้คนเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้กันเป็นว่าเล่น และทักษะในการดูแลรักษาสิ่งต่าง ๆ ให้อยู่ได้นาน ๆ ก็หมดความจำเป็นไป คุณภาพน่ะรึ แทบไม่มีใครสน ...ทุกวันนี้การงานทุกอย่างแม้แต่สร้างบ้านสักหลังก็ต้องผ่านคอมพิวเตอร์ ราวกับว่าเราไม่มีทางสร้างบ้านเองได้ จนกว่าที่ปรึกษาที่ใส่เสื้อเชิ้ตรัดติ้วจะหาวิธีเปิดแล็บท็อปให้ได้ก่อน คนสมัยก่อนสร้างโคลอสเซี่ยมกับพีรามิดที่เมืองกิซาด้วยวิธีนี้กันหรืออย่างไร มนุษย์สร้างหอไอเฟลได้ตั้งแต่ปี ๑๘๘๙ แต่ทุกวันนี้กลับไม่มีปัญญาร่างแบบบ้านชั้นเดียวจนกว่าจะขอตัวออกไปชาร์จโทรศัพท์มือถือ

นี่คือโลกที่เรากลายเป็นคนตกยุคก่อนที่จะสิ้นอายุขัยของเราจริง ๆ คนทั้งประเทศพร้อมใจกันลุกขึ้นปรบมือสรรเสริญข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้อย่างถูกต้องเหมาะควรอีกต่อไป เฉลิมฉลองให้กับความดาด ๆ แกน ๆ กันอย่างออกนอกหน้า

โลกสมัยใหม่ที่ไม่มีใครเปลี่ยนยางรถยนต์เองได้ หรือต่อสวิตช์สำหรับหรี่ไฟ ปูกระเบื้อง ฉาบผนัง กรอกเอกสารยื่นภาษี องค์ความรู้เหล่านี้หมดความสำคัญลง เขายังเชื่ออีกว่าคนเราจะกลายเป็นผู้ชายเต็มตัวได้ก็ต่อเมื่อมีรถเป็นของตัวเอง


บ้านของพ่ออูเวกำลังจะถูกเวนคืนจากเทศบาล พ่อของเขาชำนาญแต่ซ่อมเครื่องยนต์ แต่ไม่ใช่บ้าน สภาพบ้านซอมซ่อ ไม่ต่างกับอูเวสักเท่าไหร่ พวกใส่สูทชอบที่อาศัยในละแวกที่มีพวกใส่สูทเหมือนกัน

ในที่สุด เขาไม่ยอมขายบ้านให้เทศบาล แต่จะซ่อมมัน !!

ทันที่เรื่องการซ่อมบ้านกระจายข่าวออกไป เพื่อนคนงานอาวุโสก็แวะเวียนมาถามไถ่ สอนวิธีคำนวณ สาธิตวิธีวัดระยะและให้กล่องเครื่องมือที่ผ่านการใช้งานมาแล้วแก่เขา บ้านของเขาค่อยเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างช้า ๆ น็อตถูกขันลงไปทีละตัว ๆ กระดานปูพื้นถูกใส่ไปทีละแผ่น ๆ แน่นอนไม่มีใครเห็น

'มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะต้องมาเห็น
งานที่เสร็จสมบูรณ์และมีคุณภาพ
นับเป็นรางวัลในตัวของมันเองอยู่แล้ว ...'


เขาค้นพบว่า เขาชอบบ้าน เหตุผลหลักอาจเพราะมันเป็นสิ่งที่สามารถทำความเข้าใจได้ สามารถคำนวณเป็นตัวเลขและวาดลงบนแผ่นกระดาษ มันจะไม่รั่วถ้าเราทำทุกอย่างอย่างให้รัดกุม ไม่พังถ้าเราวางรากฐานได้อย่างถูกต้อง บ้านเป็นสิ่งที่เที่ยงตรง พวกมันจะให้ในสิ่งที่เราสมควรจะได้ น่าเศร้าที่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น


เราภูมิใจไปกับอูเวอยู่ได้ไม่นาน ในที่สุด บ้านเขาถูกลอบวางเพลิง เสียน้ำตาให้กับอูเว สงสารเขา เกลียดคนใจดำทั้งหลาย บ้านวอดวาย ทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนตัวของเขาเพื่อระลึกถึง อูเวนอนในรถซาบหลายคืน สุดท้ายก็ไม่มีใครมารับผิดชอบและเขาจำต้องเซ็นเอกสารที่ทางเทศบาลอ้างว่าที่ดินตรงนี้จะต้องถูกพัฒนาและก่อสร้างอาคารใหม่ ๆ อีกหลายหลังและซื้อที่ดินของเขาในราคาตลาด เขาไม่มีทางเลือก ทุกคนย่ำยีเขาทั้งทางกายและใจ



อาจเป็นเพราะทอมคอยใส่ร้ายเขา อาจจะเพราะโดนคนขายประกันกำมะลอมาหลอก หรือพวกคนใส่เชิ้ตขาวข่มขู่ หรือไม่ก็ทุกอย่างประดังประเดเข้ามาทดสอบความอดทนจนเกินขีดจำกัดของมนุษย์คนหนึ่ง


เมื่อถึงจุดหนึ่งในชีวิต เราทุกคนต้องตัดสินใจว่าอยากเป็นคนแบบไหน จะเป็นคนที่ยอมให้ใครต่อใครมาเหยียบย่ำหรือเปล่า และถ้าเราไม่เคยรู้เรื่องราวในช่วงเวลานั้นของคนนั้นมาก่อน เราจะไม่มีทางรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาได้เลย




อูเวอยากลองเป็นทหาร แต่ไม่ผ่านการตรวจร่างกาย หมอบอกว่าเขาเป็นโรคหัวใจพิการมาแต่กำเนิด เขาพยายามให้ทบทวนคำสั่งของหมอ แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ ทำให้เขาต้องกลับไปทำงานเป็นพนักงานกะกลางคืนที่ทำการรถไฟ แต่ไม่กี่เดือนหลังจากนี้ พรหมลิขิตมีจริง ชีวิตอูเวที่ใคร ๆ ว่ามีแค่ดำกับขาวจนกระทั่งเจอภรรยา เธอคือสีสัน เป็นสีสันทั้งหมดของชีวิตที่เขามีอยู่


เขาได้แต่งงานกับหญิงจิตใจดีคนหนึ่ง เธอกับเรือนผมสีน้ำตาลแดง ดวงตาสีฟ้าและเสียงหัวเราะอันเปี่ยมชีวิตชีวา ซอนยาทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาท่ามกลางโลกที่โหดร้ายกับอูเว

อูเวเรียนรู้ว่า ผู้หญิงไม่เคยเดินตรงตามแผน ไม่ว่าจะพยายามขีดเส้นให้ชัดเจนแค่ไหนก็ตาม ภรรยาของเขามาทำให้โลกของอูเวสมดุลขึ้นในความรู้สึกของเรา แม้จะเปลี่ยนอูเวไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ต้องเป็นแบบที่อูเวเป็น เธอจะเลือกทางตามความรู้สึก ช้า ๆ ก็ได้

มีสามสิ่งที่ซอนยารักอย่างไม่มีเงื่อนไขนั่นคือ หนังสือ พ่อของเธอและแมว

เธอเป็นคนสวย มองโลกในแง่บวกมาก ๆ ทุกคนเสียดายที่เธอเลือกอูเว แต่อูเวในสายตาของเธอคือ เขาไม่ใช่คนอมทุกข์ รุ่มร่ามหรืออารมณ์ร้อน เขาคือดอกไม้สีชมพูที่ออกจะเยิน ๆ ช่อนั้นในคืนที่เธอกับเขามีนัดกันมื้อแรก เขาคือสูทสีน้ำตาลตัวเก่าของพ่อที่ดูจะคับไปหน่อยโดยเฉพาะตรงไหล่ที่ดูห่อเหี่ยว เขามีศรัทธาในบางอย่างอย่างแรงกล้า นั่นคือ ความยุติธรรม ซื่อตรง ทำงานหนัก และศรัทธาในโลกที่ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด


ซอนยารู้ดีว่าเธอจะหาผู้ชายแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว เธอจึงไม่ยอมปล่อยให้เขาหลุดมือไป

ว่ากันว่า ความผิดพลาดทำให้เราได้บุรุษที่ดีที่สุด พวกเขามักจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้น และจะกลายเป็นคนดียิ่งกว่าถ้าเขาไม่เคยผิดพลาดอะไรเลย


ตลอดเวลาสี่สิบปีที่อูเวใช้ชีวิตคู่กับซอนยานั้น เธอสอนนักเรียนนับพันที่มีปัญหาในการเรียนรู้ให้อ่านหนังสือออกและเขียนหนังสือได้ เธอสอนให้เด็ก ๆ อ่านผลงานของเช็คสเปียร์ แต่ไม่เคยเคี่ยวเข็ญให้อูเวอ่านแม้แต่เรื่องเดียว แต่อูเวก็ทำชั้นหนังสือให้เธอสวยงามที่สุดในห้องนั่งเล่นของพวกเขา


อูเวไม่ใคร่จะชอบแมว มักว่ากันว่า คนที่ไม่ชอบแมวเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ

พ่อของซอนยากับอูเวผูกสัมพันธ์กันผ่านการซ่อมเครื่องยนต์

เออร์เนสต์เป็นแมวโรงนาที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก ตอนเด็ก ๆ ซอนยาคิดว่ามันเป็นลูกม้า เธอตั้งชื่อให้มันตามเออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์
ซอนยารักเออร์เนสต์แบบไม่มีเงื่อนไข อูเวก็ไม่เคยพูดให้ร้ายในสิ่งที่เธอรัก การได้รับความรักจากเธอ ในขณะที่คนรอบข้างไม่เข้าใจว่ามันมีอะไรคู่ควรนั้นเป็นอย่างไร

อูเวรักษาระยะห่างกับเออร์เนสต์และพ่อของซอนยา เรื่องใด ๆ ในโลกล้วนเป็นเช่นนี้ เหลือช่องว่างให้กันบ้างจะได้ไม่อึดอัด

วันหนึ่งเออร์เนสต์เกิดอุบัติเหตุจนตาย ซอนยาเสียใจมาก และคำพูดที่ซาบซึ้งมากของอูเวหลังจากคำขอของเธอเมื่อเธอบอกว่า

' คุณต้องรักฉันให้มากกว่าเดิมสองเท่าแล้วละ'

อูเวจำต้องโกหกเธอเป็นครั้งที่สองและเป็นครั้งสุดท้ายว่า จะรักเธอแบบนั้น แม้ในใจรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาไม่สามารถรักเธอมากกว่าที่เป็นอยู่ได้อีกแล้ว


หลังจากนี้ไม่นาน ซอนยาพาอูเวไปเที่ยวกับทัวร์ที่สเปน ซอนยากำลังท้อง แต่รถทัวร์ประสบอุบัติเหตุจนเธอเสียลูกในท้องและตัวเธอก็ต้องทำกายภาพบำบัด นั่งวีลแชร์ อูเวโกรธบริษัททัวร์แทบคลั่งที่ไม่มีใครรับผิดชอบกับเหตุการณ์ประมาทครั้งนี้ เจ็บปวดใจที่ไม่มีใครไยดี

อูเวฟ้องร้อง เขียนคำร้องเรีัยนไปที่หนังสือพิมพ์ เขาสาดพวกมันด้วยความพยาบาทที่เอ่อล้นของพ่อคนหนึ่งที่โดนปล้นจนหมดตัว แต่ทุกที่ที่เขาไปร้องเรียน อูเวจะโดนชายเชิ้ตขาวยิ้มหน้าระรื่น พวกที่ไม่มีใครสามารถต่อกรกับพวกมัน ไม่ใช่เพราะอำนาจรัฐอยู่ข้างพวกมัน แต่พวกมันคืออำนาจรัฐ

พวกเชิ้ตขาวเป็นพวกเครื่องจักรมากกว่ามนุษย์ สายตาว่างเปล่า คอยบดขยี้คนธรรมดา ก่อนจะฉีกพวกเขาออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


การทำความเข้าใจผู้ชายอย่างอูเวนั้น เราต้องเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า เขาเป็นพวกที่เกิดผิดยุค คนที่ต้องการอะไรไม่กี่อย่างในชีวิต

ซอนยามองเห็นทุกอย่าง ปล่่อยให้เขาระบายออกไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง แต่ทุกอย่างก็จบลงเมื่อซอนยาบอกเขาอย่างอ่อนโยนว่า 'พ อ เ ถ อ ะ อู เ ว ที่ รั ก ข อ ง ฉั น '

ซอนยาสมัครไปสอนหนังสือในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงว่าเลวร้ายที่สุด เด็กพวกนั้นเกินเยียวยา และนี่ไม่ใช่การศึกษาแต่คือการเอาของเสียมาเก็บไว้เป็นที่เป็นทางเท่านั้น


แ ม้ ใ ค ร จ ะ ว่ า อ ย่ า ง ไ ร
ซ อ น ย า รู้ ว่ า เ ธ อ สู้ เ พื่ อ อ ะ ไ ร
เ ธ อ สู้ เ พื่ อ สิ่ ง ดี ง า ม
เ พื่ อ ลู ก ที่ เ ธ อ ไ ม่ เ ค ย มี
แ ล ะ อู เ ว ก็ สู้ เ พื่ อ เ ธ อ

ซอนยาเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุด เธอเล่าถึงเด็กป่วนที่ถูกลากเข้ามาในห้องแต่เขาสามารถท่องบทกวียุคนี่ร้อยปีได้อย่างฉะฉาน เธอสอนให้เด็ก ๆ ของเธออ่านเช็คสเปียร์ เธอทำให้เด็ก ๆ เหล่านั้นเห็นคุณค่าในตัวเอง คุณค่าที่เจ้าตัวก็มองไม่เห็น ผลลัพธ์ที่เธอได้จากนี้ไม่เคยสูญเปล่า

การเอาชนะพวกคนในเชิ้่ตขาวนั้นเป็นไปได้ยาก
การเอาชนะโรคร้ายอย่างมะเร็งยิ่งเป็นไปไม่ได้
ซอนยาป่วยเป็นมะเร็ง

ซอนยาป่วยจนต้องกลับมารักษาตัวที่บ้าน เธอเขียนจดหมายถึงลูกศิษย์ เกือบทุกคนมาเยี่ยมเธอไม่ว่างเว้น พระเจ้าได้พรากลูกไปจากเธอ แต่พระเจ้าก็ชดเชยเธอด้วยเด็กเป็นพัน ๆ คน เธออยู่อีกเพียงสี่ปีก็ตาย

สีสันในชีวิตของอูเวจางหายไป คงเหลือแต่สีขาวกับสีดำอีกครั้ง

ความตายนับเป็นสิ่งแปลก คนเราอยู่มาทั้งชีวิตราวกับไม่คิดว่ามันมีอยู่จริง

อูเวไม่ได้ตายไปด้วยตอนที่ซอนยาจากไป เขาแค่หยุดมีชีวิตเท่านั้น

ความโศกเศร้าก็นับเป็นสิ่งแปลกเช่นกัน

อูเวคิดถึงซอนยา เขาคิดว่าเธอต้องชอบครอบครัวชาวต่างชาติท้องโย้ที่สติไม่สมประกอบนี้แน่ เขาคิดถึงเสียงหัวเราะของซอนยามาก จนเขาวางแผนฆ่าตัวตาย...






เรื่องราวในเล่มนี้ มีครบรส ทั้งยิ้ม ส่ายหัว หัวเราะและร้องไห้ไปกับเขาในวันที่ไม่มีทั้งงานและคนรักเหลืออยู่อีกต่อไป ทั้งซาบซึ้งในความรักและชิงชังการเอารัดเอาเปรียบจากคนกลุ่มหนึ่งที่น่ารังเกียจในสังคม ชอบน้ำเสียงประชดประชันไม่ชวนรำคาญ เปรียบเปรยด้วยถ้อยคำที่ชาญฉลาด เปี่ยมเสน่ห์ อารมณ์ขันลุ่มลึกจนเราต้องนิ่งฟัง เขาก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ที่แบกภาระอันหนักอึ้งในแต่ละวันในชีวิตประจำวัน มองเผิน ๆ ก็เหมือนเขาเป็นคนขวางโลก ขวานผ่าซาก ปากตรงกับใจ เห็นอะไรก็ขัดหูขัดตาไปเสียหมด แต่หากลองฟังสิ่งที่เขาพูดจริง ๆ ก็มีแง่ให้คิดมากมายและจริง ฉันรักอูเวและซอนยามาก


หนังสือเล่มนี้เปิดเรื่องด้วยการที่มนุษย์สุดโต่งอย่างอูเวไปซื้อไอแพดที่ร้าน และเจอความหงุดหงิดจากคนขายเพราะอูเวทำให้พวกเขาเสียเวลาและต้องอธิบายอะไรก็ไม่รู้ให้คนหลงยุคคนนี้ฟัง แต่เรื่องมาเฉลยภายหลังว่า อูเวซื้อไอแพดนี้เพราะอะไร คุณจะยิ้ม น้ำตาซึมและรู้สึกได้ไม่ต่างกับฉันแน่นอน













ขอยกให้เป็นหนังสือแปลในดวงใจอีกเล่มที่จะอยู่ในใจฉันอีกนาน


❀❀❀

ขอให้มีความสุขทุกท่านนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
3 พฤษภาคม 2560















Create Date :11 พฤษภาคม 2560 Last Update :11 พฤษภาคม 2560 20:10:37 น. Counter : 1653 Pageviews. Comments :0