เรื่อง : นาธัส แสงสุริยะ ภาพ : มิตซูบิชิ ประเทศไทย
Wednesday, 7 August, 2013 10:12 PM ทิ้งช่วงหลัง
การเปิดตัวเป็นทางการ ได้ประมาณ 1 เดือน
บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ก็จัดการทดสอบอีโคคาร์ซีดานรุ่น
แอททราจ สัมผัสวัฒนธรรมพี่น้องชาวอีสาน บนเส้นทางเลาะริมโขง อุบลราชธานี-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทางรวมประมาณ 300 กิโลเมตร มีทั้งการขับประหยัดในสภาพการใช้งานจริง และการขับใช้งานทั่วไป ทีมงาน
มอเตอร์ทริเวีย ได้ขับรุ่นรองท๊อป
GLS CVT ราคา 530,000 บาท การเดินทางเริ่มขึ้นในช่วงสายที่สนามบินดอนเมือง นั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบินอุบลราชธานี จากนั้นเดินทางต่อด้วย
มิตซูบิชิ แอททราจ จำนวน 8 คัน สำหรับสื่อมวลชน 16 คน มีครบทั้ง 4 รุ่นย่อย ประกอบด้วย
GLX เกียร์ธรรมดา,
GLX เกียร์อัตโนมัติ,
GLS เกียร์อัตโนมัติ และรุ่นท๊อป
GLS Ltd เกียร์อัตโนมัติ จากสนามบินมุ่งหน้าไปยัง
หงส์ฟ้า ภัตตาคาร ซึ่งนอกจากจะแวะทานอาหารกลางวันแล้ว ยังใช้เป็นสถานที่ในการบรรยายสรุปผลิตภัณฑ์ และอธิบายเส้นทาง รวมทั้งเป็นจุดปล่อยรถด้วย โดยก่อนปล่อยรถมีการนำรถไปเติมน้ำมันเต็มถังอีกครั้ง
เกือบ 200 กม. กว่า 20 กม./ลิตร หลังทานอาหารกลางวันและเสร็จสิ้นพิธีการ ก็ถึงเวลาออกเดินทาง รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้ว่า ตลอดการเดินทางครั้งนี้จะขับกันแบบขบวนคาราวาน มีรถนำและรถปิดท้าย ส่วนรถในขบวนทั้ง 8 คันก็ขับเรียงตามหมายเลข และมีวิทยุสื่อสารประจำรถทุกคัน จึงตัดความกังวลเรื่องหลงทางไปได้ ก่อนออกเดินทางผมเซ็ต 0 ทั้งระยะทาง และมาตรวัดอัตราสิ้นเปลือง
เส้นทางในช่วงแรกมีทั้งถนน 4 เลน และ 2 เลน บางช่วงต้องขับผ่านเมืองที่มีสัญญาณไฟจราจร ถ้ารถคันไหนติดไฟแดงก็แจ้งผ่านทางวิทยุสื่อสาร หัวขบวนก็จะลดความเร็วหรือจอดรอ ส่วนช่วงที่เป็นถนน 2 เลนสวนกัน ต้องเร่งแซงรถใหญ่หลายคัน เมื่อรถนำขบวนแซงขึ้นไปได้ก็จะแจ้งว่า ถนนด้านหน้าโล่งแค่ไหน พอจะแซงได้กี่คัน ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้มาก
ความเร็วที่ใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรเป็นหลัก
มิตซูบิชิ แอททราจ มีระบบไฟแสดงผลการขับแบบประหยัด สัญญาณไฟ ECO สีเขียวจะสว่างขึ้นเมื่อขับอยู่ในช่วงที่มีความประหยัดสูงสุด ถ้าขับแบบเน้นประหยัดจริงๆ เมื่อได้ความเร็วที่ต้องการแล้ว ลองผ่อนคันเร่งอีกนิดโดยที่ความเร็วยังไม่ตก บางครั้งจะพบว่ารอบเครื่องยนต์จะขยับลงไปอีกเล็กน้อย ถ้าเป็นการขับระยะทางไกลๆ แล้วก็จะช่วยลดอัตราสิ้นเปลือง และลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ได้อีกพอสมควร
การขับทดสอบอัตราสิ้นเปลืองครั้งนี้ ค่อนข้างใกล้เคียงความเป็นจริง เพราะใช้ความเร็วตามกฎหมาย 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ได้ขับคลานๆ เปิดแอร์ใช้งานกันตามสะดวก และมีการเร่งแซงในบางช่วง โดยในการเร่งแซงก็ไม่ใช่ค่อยๆ กดคันเร่งเพิ่มความเร็ว แต่หลายครั้งต้องกดคันเร่งเพื่อคิ๊กดาวน์ เพราะต้องแซงเผื่อเพื่อนคันหลังที่ตามมาด้วย
จากสนามบินขับไปยังอำเภอเขมราฐ ระยะทางประมาณ 102 กิโลเมตร ถึงจุดแวะพักดื่มกาแฟ ได้อัตราสิ้นเปลืองตามชุดมาตรวัด
5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ
20 กิโลเมตรต่อลิตร จากนั้นออกเดินทางต่อไปยังจังหวัดมุกดาหาร ก่อนเข้าที่พัก
โรงแรมริเวอร์ซิตี้ ได้แวะเติมน้ำมันกลับให้เต็มถัง สังเกตว่าเป็นการเติมแค่หัวจ่ายตัด ไม่มีการเขย่า รถแต่ละคันใช้เวลาเติมไม่นาน คันที่ผมขับยังคงอัตราสิ้นเปลือง
20 กิโลเมตรต่อลิตร
เสร็จสิ้นการทดสอบอัตราสิ้นเปลือง ก็มุ่งหน้าสู่ที่พัก
โรงแรมริเวอร์ซิตี้ จังหวัดมุกดาหาร มีไฮไลต์อยู่ที่ห้องอาหารชั้น 16 ซึ่งเป็นแบบหมุนได้เพื่อชมวิวรอบทิศทาง
ลองสมรรถนะพร้อมสัมผัสวัฒนธรรม วันรุ่งขึ้นล้อหมุน 8 โมงเช้าเพื่อเดินทางต่อไปยังจังหวัดนครพนม โดยยังคงเดินทางในรูปแบบของคาราวานเพื่อความปลอดภัย ความเร็วที่ใช้ก็เพิ่มจากเมื่อวานไม่มากนัก โดยอยู่ที่ประมาณ
100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมและเพื่อนที่ขับคู่กัน ลองทดสอบอัตราสิ้นเปลืองต่อ พบว่าแม้จะขับเร็วและคิ๊กดาวน์บ่อยครั้ง อัตราสิ้นเปลืองก็ยังคงอยู่แถวๆ
16 กิโลเมตรต่อลิตร เครื่องยนต์ 3A92 แบบเบนซิน 3 สูบ DOHC MIVEC 12 วาล์ว 1,193 ซีซี 78 แรงม้า แรงบิด 10.2 กก.-ม. ให้สมรรถนะที่เพียงพอแม้ใช้งานเดินทางไกล อัตราเร่งเริ่มไหลลื่นเมื่อผ่าน 2,500 รอบต่อนาที และมีเกียร์โหมด S ช่วยรักษารอบไม่ให้ตกเมื่อผ่อนคันเร่ง ช่วยให้การเร่งแซงฉับไวขึ้น และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่ไม่มีช่วงรอบตก ช่วยให้อัตราเร่งดีขึ้นอีกพอสมควร ส่วนการขับด้วยความเร็วคงที่ก็ใช้รอบไม่สูง โดยที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้รอบประมาณ 1,900 รอบต่อนาที
จากโรงแรมมุ่งหน้าวัดพระธาตุพนม แวะนมัสการองค์พระธาตุเพื่อความเป็นสิริมงคล และถ่ายภาพเป็นที่ระลึก จากนั้นขับรถชมสถานที่สำคัญในจังหวัดนครพนมเช่น ศาลากลาง โบสถ์คริสต์ แวะชมสินค้าที่ตลาดอินโดจีน ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสุนทรวิจิตร ดูแล้วน่าจะเตรียมไว้จำหน่ายให้ประเทศเพื่อนบ้านที่ข้ามแม่น้ำโขงมาจับจ่ายใช้สอยมากกว่า
จากตลาดขับไปไม่ไกลก็ถึงร้านอาหารชื่อดัง
เชลซี ริเวอร์ไซด์ เจ้าของร้านอยู่ที่ประเทศอังกฤษใกล้สนามฟุตบอลเชลซี เมนูอาหารหลากหลาย และประยุกต์ให้รสชาติถูกปากคนไทย
หลังทานอาหารกลางวันแล้วยังมีเวลาเหลือ จึงแวะอีกหนึ่งสถานที่สำคัญนั่นคือ
บ้านลุงโฮจิมิน เป็นสถานที่พำนักของท่านโฮจิมิน อดีตประธานาธิบดีของประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างที่ลี้ภัยมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อเอกราชของชาติ ระหว่างปี 2466-2472
จากนั้นจึงมุ่งหน้าสู่สนามบินนครพนม ระหว่างทางเป็นถนน 4 เลนเรียบและโล่ง รถนำจึงเพิ่มความเร็วเพื่อให้ได้ทดสอบสมรรถนะกันอีกครั้ง พบว่าระบบกันสะเทือนหน้าอิสระแม็กเฟอร์สันสตรัตพร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม สามารถรองรับการขับด้วยความเร็วค่อนข้างสูงได้อย่างมั่นใจ ให้ความรู้สึกหนักแน่นกว่าที่คิด เซ็ตช่วงล่างมาค่อนข้างเฟิร์ม ทำให้ขับทางไกลไม่เหนื่อย
ยางขนาด 185/55/15 อาจจะดูเล็กไปนิด แต่ในการใช้งานทั่วไปแล้วถือว่าเพียงพอ สามารถโยนเข้าโค้งกว้างๆ ด้วยความเร็วสูงกว่าปกติได้อย่างมั่นคง พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าปรับน้ำหนักมาพอเหมาะ ไม่เบาเกินไปเมื่อใช้ความเร็วสูง เด่นสุดน่าจะเป็นระบบเบรกหน้าดิสก์หลังดรัม ผมและเพื่อนที่ขับด้วยกันลงความเห็นตรงกันว่ามีแรงเบรกเหลือเฟือ ในรุ่น
GLS CVT ให้อุปกรณ์มาตรฐานที่จำเป็นมาครบ ทั้งระบบกุญแจรีโมทพับกระจกข้างอัตโนมัติเมื่อล็อกประตู ปุ่ม Start กระจกข้างปรับไฟฟ้า พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำ แน่นอนว่าการตกแต่งไม่หวือหวาแพรวพราว แต่ก็เหมาะสมกับราคา ใช้งานทั่วไปไม่น่าจะขาดความสะดวก
การเก็บเสียงทำได้ดี ยกเว้นเสียงเครื่องยนต์ที่กระหึ่มชัดเมื่อลากรอบสูง เบาะผู้ขับปรับสูง-ต่ำได้ ลองย้ายไปนั่งเบาะหลังฝั่งผู้ขับพบว่ามีพื้นที่วางขาเหลือเฟือ ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะเหลือประมาณ 1 นิ้ว สำหรับความสูง 170 เซนติเมตร ส่วนที่เก็บสัมภาระด้านท้ายกว้างกว่า
มิราจ อย่างเห็นได้ชัด
แอททราจ อีโคคาร์ซีดานรุ่นแรกของ
มิตซูบิชิ ตอบโจทย์การใช้งานได้ใกล้เคียงกับรถซับคอมแพ็กต์ ทั้งในด้านสมรรถนะและความกว้างขวาง และไม่จำกัดแค่การใช้งานในเมือง
รุ่น GLS CVT ราคา 530,000 บาท เหลือเฟือแล้วสำหรับการใช้งานทั่วไป ด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน
ขอบคุณ: บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง //www.motortrivia.com/2013/test-drive-001/152/mitsubishi-attrage-gls-cvt-2013-group-test.html