bloggang.com mainmenu search



บล็อกที่แล้วพูดเรื่องของกินในจังหวัดตรังไปแล้ว   วันนี้เป็นเรื่องการท่องเที่ยวเมืองตรังกันต่อค่ะ
ก่อนอื่นเรามารู้จักสถานที่สำคัญหรือแลนด์มาร์คกันก่อน  นั่นก็คือ....


หอนาฬิกา







หอนาฬิกาเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์โดดเด่นของจังหวัดตรัง   นอกจากจะเป็นหอสูงไว้สำหรับดูเวลาแล้ว  
ยังเป็นวงเวียนรถยนต์ อีกทั้งจุดนัดพบ  ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด   

ที่แห่งนี้มีตำนาน....

บริเวณสี่แยกหอนาฬิกา เดิมเป็นที่ตั้งหอกระจายข่าวของเทศบาลเมืองตรัง ที่มีโครงสร้างเป็นไม้ 
ชาวบ้านเรียกกันว่า "หอแหลงได้" เพราะเทศบาลจะถ่ายทอดข่าววิทยุกระจายเสียงเป็นประจำทั้งเช้าและเย็น
คนทับเที่ยงถือเป็นที่ชุมชนฟังข่าวและวิจารณ์เหตุการณ์บ้านเมืองไปด้วยกัน
ต่อมาเทศบาลสร้างหอนาฬิกาขึ้นแทน ความสูงวัดได้ 15 เมตร
มีการติดตั้งระบบอักษรวิ่งด้วยคอมพิวเตอร์ ทำให้มีรูปแบบทรงที่เปลี่ยนไปจากเดิม
ในภายหลังเทศบาลได้ปรับปรุงอีกครั้งโดยถอดระบบอักษรวิ่งออก 
ทำให้หอนาฬิกากลับคืนสู่สภาพเดิมดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน


ปล.ชอบภาพนี้แม้ภาพจะมืด แต่เราชอบที่มีรถตุ๊ก ๆ หัวกบ ผ่านเข้ามาในภาพพอดีค่ะ






หอนาฬิกานี้เปลี่ยนสีได้ด้วยนะคะ  สวยงามมากยามค่ำคืน

ขอบคุณภาพจากคุณหนู สายหมอกและก้อนเมฆค่ะ






ตุ๊กตุ๊ก หัวกบ


รถตุ๊ก ๆ หัวกบ กลายเป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของจังหวัดตรัง
จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจนักถ้าหากจะเห็นนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวจังหวัดตรังส่วนใหญ่ 
โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มักจะไม่พลาดโปรแกรมนั่งรถตุ๊ก ๆ หัวกบตระเวนรอบเมืองตรัง
กลุ่มเราก็ไม่พลาด  ได้ใช้บริการรถตุ๊กตุ๊กจากโรงแรมมากินข้าวกันที่ตลาดด้วย
สิ่งที่เราชื่นชอบตรังเป็นพิเศษคือ  ถนนโล่งมาก  และคนเมืองนี้ไม่นอนดึก
สังเกตว่าสักสามทุ่มก็เงียบกันทั้งเมืองแล้ว  ถนนแทบไม่มีรถวิ่งเลย












เริ่มไปเที่ยวกันนะคะ  ที่แรกที่จะไปคือที่นี่ค่ะ

ถ้ำเลเขากอบ  
กับการลอดท้องมังกรสุดตื่นเต้นระทึกใจ


จังหวัดตรัง นอกจากจะมีทะเลสวยและเกาะงาม  ให้เราได้สัมผัสความสวยใสของน้ำทะเลแล้ว  
ตรังก็ยังมีกิจกรรมอีกอย่างที่พลาดไม่ได้  คือการเที่ยวแบบตื่นเต้นผจญภัยค่ะ
นั่นก็คือ...

ถ้ำเลเขากอบ  อยู่ที่ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง   ถ้ำแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งใน Unseen Thailand
และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงติดอันดับต้น ๆ ของตรังเลยทีเดียว







การเข้าถ้ำเลเขากอบ  เราจะต้องนั่งเรือเข้าไปค่ะ  พวกเรา 4 คนนั่งเรือลำเดียวกันไป
มีฝีพายซึ่งเป็นมัคคุเทศก์อีก 2 คน  พายด้านหน้าและด้านท้ายเรือ
ระยะทางที่เราจะล่องเรือ ตั้งแต่ด้านนอกเข้าสู่ด้านในถ้ำ และกลับมาจุดเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 4 กิโลเมตร
ซึ่งถ้ำเลเขากอบนี้สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี  ยกเว้นช่วงหน้าฝนหากฝนตกหนัก
ทำให้น้ำขึ้นสูง ก็อาจจะเข้าไปในถ้ำลอดท้องมังกรไม่ได้







ตามที่เล่าไปเมื่อบล็อกที่แล้วว่า  ฝนเมืองตรังจะตามหลังเราไปทุกหนทุกแห่ง
หลังจากพวกเราลงเรือ  ตอนแรกตั้งใจว่าจะนั่งชมทิวทัศน์สองข้างทางก่อนเข้าถ้ำ
ปรากฏว่าฝนโปรยปรายสิคะ  ฝีพายพากันจ้ำอย่างรวดเร็ว 
และพวกเราก็มัวแต่หลบฝน กลัวกล้องเปียกน้ำ   
เงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็ถึงทางเข้าปากถ้ำเรียบร้อยแล้ว  
แต่....พอเรือเรามาถึงหน้าถ้ำ  ฝนก็หยุดตกพอดี 555
แต่ก็มีข้อดีคือ   ได้ชมถ้ำ หินงอกหินย้อยแบบชิว ๆ เป็นกลุ่มแรกเลยค่ะ
ข้อเสียคือ เปียกสิคะ แล้วก็รู้สึกไม่สบายตัวเหนียวเหนอะหนะเมื่ออยู่ในถ้ำ








เข้าไปด้านในถ้ำชมหินงอกหินย้อนกันค่ะ  ด้านในมีโถงถ้ำหลายถ้ำแต่ปัจจุบันเปิดให้บริการท่องเที่ยว
เพียง 5 ถ้ำเท่านั้น  ได้แก่ ถ้ำคนธรรพ์ ถ้ำท้องพระโรง ถ้ำรากไทร ถ้ำเจ้าสาว
และไฮไลท์คือถ้ำลอดหรือถ้ำมังกร   โดยเรือจะเริ่มล่องไปตามน้ำและจอดหน้าถ้ำแต่ละถ้ำ
ลงจากเรือเข้าไปชมแล้วก็ลงเรือล่องไปยังถ้ำต่อ ๆ ไป  ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ






















ด้านในแต่ละถ้ำกว้างขวางนะคะ บางจุดมีติดตั้งไฟให้แสงสว่าง และมีทางเดินได้สะดวก
อากาศร้อนพอสมควร   แต่ไม่รู้สึกอึดอัดหรือหายใจไม่ออก












การชมหินงอกหินย้อย  ต้องระวังห้ามจับหรือไม่ควรแตะต้องโดยเด็ดขาด
เพราะจะทำให้หินตายหรือหยุดการเจริญเติบโตทันที  กว่าจะงอกได้ยาวขนาดนี้
ต้องใช้เวลานานมากทีเดียว   บางจุดเพิ่งเกิดใหม่สีขาวสวยเห็นชัดเจนในความมืด
  บางแห่งภายในถ้ำมีมอสขึ้น  เหมือนกำมะหยี่สวยงามตามธรรมชาติ

























ด้านในของถ้ำต่าง ๆ  ก็มีความเชื่อ และจินตนาการต่าง ๆ ตามภาพที่เห็น
ตรงที่เป็นส่วนกลางสุดของถ้ำท้องพระโรง   ก็มีชาวบ้านที่บนบานศาลกล่าว
หากสมหวังก็มีการนำสิ่งของมาถวาย  แต่เราแอบรู้สึกกลัวอ่ะเลยไม่ได้ถ่ายรูปมา


ถ้ำเจ้าสาวที่มีหินงอกหินย้อยปิดหน้าถ้ำเหมือนม่าน  ใครอยากมีคู่ หรือมีคู่อยู่แล้ว
อยากให้มั่นคงยืนนาน  ก็ลอดตามช่องที่มีความเชื่อกันค่ะ







หินงอกหินย้อยบางแห่งก็จะมีจินตนาการ  อาทิเช่น 
หินตาหินยาย  ที่มีหินงอกเป็นแท่งขึ้นมา ส่วนหินยายก็เป็นหินย้อยที่เหมือนเต้านมสองข้าง






บ้างก็จินตนาการว่าเหมือนพระมาปักกรด







บ้างก็ว่าเหมือนปลาหมึกก็มี







นอกจากการลอดท้องมังกรแล้ว  ที่นี่มีลอดท้องช้างด้วยนะเออ
หินตรงนี้สามารถจับและเอาตัวเข้าไปลอดระหว่างตรงกลางที่เหมือนท้องช้างได้
โดยมีความเชื่อว่าลอดท้องช้างแล้วสุขภาพดี  เราก็ลองลอดกับเขาด้วย






สุดท้ายแล้ว  เราจะไปต่อกันที่ลอดท้องมังกร ซึ่งถือเป็นไฮไลท์หนึ่งในความมหัศจรรย์
ระยะทางประมาณ 800 เมตร  โดยการลอดจากส่วนล่างออกมาทางปากมังกรนะคะ
ภายในถ้ำนี้เพดานจะต่ำมากและทางก็แคบพอดีกับลำเรือที่จะเข้าไป
และการเข้าไปเราจะต้องนอนราบไปกับพื้นเรือ  ห้ามผงกหัว บางจุดต้องหลับตาปี๋
บางจุดก็ยังมีน้ำหยดลงมาบนใบหน้า เข้าตาก็มี  ยังไม่กล้ายกมือมาลูบหน้าเลยค่ะ
แม้จะเป็นเพียงระยะทางสั้น ๆ  แต่ก็เป็นช่วงแห่งการลุ้นระทึกและหวาดเสียวไม่น้อย
เพราะบางช่วงที่ล่องเรือผ่านผนังถ้ำที่แคบมาก เรือก็เบียดกับผนังถ้ำเสียงดังครืดคราด
เพื่อน ๆ ดูภาพเรือด้านบน แล้วลองนึกถึงเส้นทางที่เราลอดผ่านนะคะ
ผนังถ้ำแทบจะติดกับหน้า และลำตัวเลยทีเดียว  ในถ้ำมืดมิดไม่มีแสงสว่างนะคะ 
ไม่สามารถถ่ายภาพได้เก็บกล้องใส่กระเป๋าไปเลย  อัดคลิปมาก็มีแต่เสียงวี๊ดว๊ายหวาดเสียวของพวกเรา
และแล้วเราก็ออกมาสู่โลกกว้างค่ะ  จุดนี้เรียกว่าปากมังกร






ส่วนเรื่องของความปลอดภัยก็หายห่วงค่ะ  เพราะฝีพายแต่ละคนได้รับการฝึกฝนมาอย่างเชี่ยวชาญ
ขอชื่นชมและขอบคุณมัคคุเทศก์ในครั้งนี้  นอกจากแนะนำให้ความรู้ต่าง ๆ แล้ว
ยังรักษาความปลอดภัยให้กับพวกเราในการลอดถ้ำ  โดยไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ กลับมาเป็นของฝาก






อธิบายเป็นข้อความอาจไม่เห็นภาพชัดเจนต้องมาลุ้นมาสัมผัสด้วยตนเองนะคะ




วังเทพทาโร 
ศิลปะจากรากไม้หอมเป็นพญามังกร


การท่องเที่ยวสำนักงานตรัง ได้คัดสรรให้วังเทพธาโรเป็น 1 ใน 14 สิ่งต้องห้ามพลาดสำหรับผู้ไปเที่ยวเมืองตรัง   
ดังนั้นเราก็ต้องไม่พลาดค่ะ


"วัง" ในที่นี้หมายถึง ล้อม หรือ ห้อมล้อม และเป็นแหล่งรวมที่มีอยู่ปริมาณมาก
 ส่วนวังเทพธาโรนั้นก็หมายถึงแหล่งที่ห้อมล้อมไปด้วยไม้เทพธาโร

 ส่วน “เทพธาโร” แปลว่า “ไม้เทวดา” มีชื่อเรียกในภาษาพื้นบ้านว่า “จวง” หรือ “จวงหอม” 

เพราะเป็นไม้ที่มีกลิ่นหอม ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นไม้มงคล  เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ 
และเป็นไม้ที่มีคุณประโยชน์หลากหลาย อาทิ เนื้อไม้ ลำต้น ใบ ดอก รากสามารถนำมาสกัดทำน้ำมันหอมระเหย 
ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ขณะที่ใบและผลนั้นจะให้กลิ่นหอมที่ต่างกันถึง 4 แบบ 
ได้แก่ กลิ่นรูทเบียร์ กลิ่นตะไคร้ กลิ่นเสม็ดขาว และกลิ่นดอกไม้ผสมเครื่องเทศ
 แต่ละกลิ่นต่างก็มีคุณสมบัติเด่นแตกต่างกันออกไป
เราได้ดมกลิ่นตะไคร้  กลิ่นเหมือนจริง ๆ ค่ะ

 วังเทพธาโร ตั้งอยู่ที่ ต.เขากอบ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง  กำเนิดขึ้นโดยการสร้างสรรค์ของ 
“อาจารย์จรูญ แก้วละเอียด” ซึ่งเราได้พบตัวท่านในวันที่เราไปเที่ยวด้วยค่ะ







ในอดีตที่นี่เป็นแหล่งไม้เทพธาโรที่ใหญ่ที่สุด  แต่พอมาถึงยุคการปลูกยางพาราเฟื่องฟูเมื่อหลายสิบปีก่อน
 ป่าเทพธาโรได้ถูกโค่นตัดทิ้ง เหลือแต่ตอฝังอยู่ใต้ดิน ก่อนจะถูกขุดและดันด้วยรถแทรคเตอร์
เพื่อนำขึ้นมาเผาทิ้งเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเมื่อประมาณ 10 กว่าปีมานี้ได้มีคนรู้คุณค่า
นำไม้เทพธาโรมาแกะสลัก ทำเป็นอาชีพสร้างรายได้ให้กับตัวเองและชุมชน

ส่วนตอไม้นั้นอาจารย์จรูญได้ซื้อหามาเก็บไว้ด้วยเล็งเห็นว่าเป็นไม้หอมมหัศจรรย์อันทรงคุณค่า 
จึงได้นำไม้เทพธาโรมาประดิษฐ์สร้างสรรค์เป็นงานประติมากรรมรูปมังกรขึ้น
เพราะมีความเชื่อว่ามังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และมีความยิ่งใหญ่ตามความเชื่อของคนจีน






















นอกจากนี้วังเทพธาโรยังเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้สำคัญเกี่ยวกับไม้เทพธาโร 
ทั้งในด้านประวัติความเป็นมา คุณประโยชน์ต่างๆ ผลงานผลิตภัณฑ์จากไม้เทพธาโร 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพียรพยายามปลูกป่าเทพธาโรขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง



















หนึ่งในงานประติมากรรมไม้เทพธาโร มีป้ายข้อความ “กราบแผ่นดิน” อยู่ตรงกลาง
เราเห็นนักท่องเที่ยวที่มา  ต้องถ่ายรูปเช็คอินกันตรงจุดนี้ทุกคน  พวกเราก็ต้องไม่พลาดค่ะ ^__^










เดินชมผลงานจากการนำเศษไม้รากไม้เทพธาโรมามาสร้างสรรค์เป็นประติมากรรมมังกร
ซึ่งเส้นทางเดินชมนั้นมีไฮไลต์อยู่ที่การเดินลอดใต้ท้องมังกร 
ซึ่งเป็นมังกรตัวยาวตั้งเด่นอยู่ริมสนาม   มีลักษณะเหมือนมังกรเลื้อย มีช่องทางให้ลอด 9 ช่อง
อาทิเช่น  อำนาจ พลัง มั่งมี บารมี ยิ่งใหญ่ ยศฐา อโรคา เป็นต้น








นอกจากการเดินลอดท้องมังกรแล้ว   ที่วังเทพธาโรยังมีการสร้างสรรค์ผลงานมังกรไม้ถึง 88 ตัว 
ที่ประดับอยู่ทั่วไปในพื้นที่ของวังเทพธาโร โดยสร้างมังกรตามพระชนมายุของในหลวง รัชกาลที่ 9    
ซึ่งสำหรับมังกรตัวที่ 87 เป็นมังกรพ่นน้ำ







ส่วนเป็นมังกรไม้ตัวที่ 88 ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดภายในวังเทพธาโรมีความยาวถึง 39 เมตร 
และมีขนาดใหญ่กว่ามังกรตัวที่ 87 ถึง 3 เท่า 







วังเทพธาโรเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.30 - 18.00 น. โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายค่ะ







ขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย   
คุณปุ๊ก ญาติกา แก้วบริสุทธิ์  ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ททท.ตรัง

ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่แวะมาทักทายกันค่ะ  บล็อกหน้าเราจะไปเที่ยวทะเลตรังกันนะคะ

Create Date :12 พฤษภาคม 2560 Last Update :14 พฤษภาคม 2560 10:00:52 น. Counter : 4263 Pageviews. Comments :45