bloggang.com mainmenu search
หลังจากสอบถามเพื่อนฝูงสมาชิกขาลุยเหมือนกัน
ประมาณ 10 คนได้ก็ไม่มีใครอยากไปอินเดียกับป้าซิ่งเลย
ด้วยว่าค่าใช้จ่ายสูง,ไม่มีเวลาต้องทำงาน ect...
อิฉานก็บอกตัวเองว่า ไม่มีใครไปเป็นเพื่อนก็ไม่เป็นไรแล้ว
เพราะตัวเราพร้อมทุกอย่าง ,สุขภาพก็ดีแข็งแรง,
อากาศในอินเดียของเดือนพฤศจิกายนก็กำลังดี
ตอนเช้าและเย็นอากาศหนาวกำลังเหมาะแค่เสื้อแขนยาวก็พอแล้ว
ส่วนกลางวันก็ร้อนพอๆกับพี่ไทย ก็หาแูขนสั้นใส่
พอตกเย็นก็สวมใส่แจ๊คเก็ตก็โอเคแล้วค่ะ.....

หลังจากวันที่ 4 - 6 พฤศจิกายนไปวันลอยกระทงและลอยโคม
ที่เชียงใหม่ผ่านไป วันรุ่งขึ้นก็รีบเบิ่งไปสถานฑูตอินเดีย
อยู่แถวซอยประสานมิตร เปิดจันทร์ - ศุกร์
เวลาขอวีซ่าเปิดทำการ 09:00 - 12:00
ส่วนมารับผลวีซ่าเวลา 15:00 - 16:30
เอกสารที่นำไปก็มี:>
- พาสปรอตพร้อมก๊อปปี้ 1 ใบ
_ใบจองตั๋วเครื่องบิน (ไปวันที่ 14 Nov กลับวันที่ 22 Nov)
- รูปถ่าย 2 นิ้ว 2 รูป
- เงินค่าวีซ่าแล้วแต่สถานะวีซ่า
ดิฉันขอแบบ single visa ท่องเที่ยวอายุวีซ่าอยู่ได้ 3เดือน
ค่าวีซ่า 1,700 บาท
P.S.*สมุดฝากเงินไม่ต้องใช้่ เพราะสถานฑูตอินเดียไม่ต้องการ

เวลาเช้าก็มายืนรอต่อคิวกันมากเหมือนกันค่ะ
ดิฉันเขียนแบบฟอร์มขอวีซ่าติดแปะรูปถ่าย
บัตรคิวคนที่ 2 ยื่นเสร็จภายในเวลา 10 นาที
เจ้าหน้าที่ตรวจความเรียบร้อยว่าเอกสารได้ครบเสร็จ
พร้อมกับขอค่าวีซ่า 1,700 บาท
บอกให้มารับวีซ่าในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 8 Nov.
เวลา 15:00 - 16:30

วันรุ่งขึ้นมารับ มีคนเข้าคิวมารับวีซ่ากันเยอะมาก
พอถึงเรารับวีซ่า เปิดพาสปรอตดู
เห็นหน้าวีซ่าอินเดีย ก็โล่งใจเห็นส่าหรี่อยู่รำไร555

หลังจากได้วีซ่า ก็ห้อไปถนนราชดำริ ไปหา Super rich
ขอแลกเงินรูปี ไทย 10,000 บาท แลกรูปีในเวลานั้นได้ 11,700 รูปี







ในการเตรียมตัวและแพ๊คกระเป๋าก็เหลือเฟือก่อนวันเดินทาง
อันการไปคนเดียวก็เริ่มแนวความคิด สมองก็เริ่มสั่งการ
เพราะการเดินทางไปอินเดีย มันก็มีอันตรายอยู่เหมือนกัน
ทำไงดีหากเกิดฉันตายไปในแดนภารตะ ใครจะสังเกตุศพได้
อย่างรวดเร็วว่าเป็นคนสัญชาติใด? (อุแม๊! คิดไปโน้น)
พอดีสร้อยที่สลักชื่อจริงตรงตามพาสปรอตก็มี
กำไลยางสีเหลือง " เรารักพระเจ้าอยู่หัว " เราก็มีใส่อยู่ 3 อัน
ส่วนตะขอที่สร้อยเราก็ห้อยพระของขวัญ
ปกติไม่ใ่ส่พระ แต่ไปคนเดียวกลัวผีประจำ
เราก็ใส่ไว้เป็นกำลังใจ
และทำให้เรามีสมาธิว่ามีพระคุ้มครองอยู่ไม่ต้องกลัวอะไร


จากนั้นคว้านหาของกินประทังชีวิตที่โหยหา
นั่นก็คือ โจ๊กสำเร็จรูป กับ บะหมี่มาม่า ที่มีช้อนอยู่ภายใน
มีไปเผื่อหิวยามคำจะได้ไม่ต้องออกมาหาอะไรกินให้เสียเวลา



และแล้ววันเดินทางไปอินเดียก็มาถึงคือ
วันที่ 14 Nov 2006
จากสนามบินสุวรรณภูิมิ จุดหมายลงที่
Indira Gandhi International Airport
บินไฟล์ท TG 315 19:50 ประมาณ 4 ชั่วโมงถึงอินเดีย
เวลาที่อินเดียจะช้ากว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมงครึ่ง

เมื่อถึงสนามบินอินทิรา คานธี บรรยากาศที่ ตม.ค่อนข้างเก่า
เราเข้าคิวที่ช่องคนต่างชาติขดเคี้ยวเป็นงู
กว่าจะถึงคิว และรับกระเป๋าที่สายพานเสร็จเล่นเป็นชั่วโมง
มีพนักงานมารอรับเราไปโรงแรมตามสัญญาที่พักพร้อมรับ - ส่งสนามบิน
จากสนามบินไปที่พักกินเวลา 30 นาที
ที่พักอยู่ย่าน Karol bagh ชื่อ Rahul Palace Hotel
ที่พักแค่ 2 ดาว พออยู่ได้อย่างสบายคนเดียว
ย่านบริเวณที่พักก็ยังมีโรงแรมอื่นเป็น 10 กว่าโรงแรมในตรอกเดียวกัน
สถานที่อยู่ใกล้ตลาดใหญ่ เรียกว่าหาซื้อสินค้าได้ก็ย่านนี้
ตอนกลางคืนจะคึกคักผู้คนเยอะมาก เพราะฉะนั้นควรระวังกระเป๋าด้วย
ส่วนอิฉานมีกระเป๋าแบบผูกติดเอว เดินๆก็กุมไปด้วย ตาก็หาของที่อยากได้
ส่วนวันจันทร์ที่ตลาดนี้จะเป็นวันหยุด





วันที่ 15 Nov. ตื่นนอนตอนหกโมงเช้า อาบน้าแต่งตัว
จุดหมายไปโรงแรมระดับ 5 ดาว เพื่อหาทัวร์ท่องเที่ยวที่ไว้ใจและเชื่อถือได้
ถามคนในโรงแรมที่พักบอกไปที่ Hyatt Hotel เท่าไหร่
พนักงานขับรถแท๊กซี่ที่อาศัยทำการบริการอยู่ที่ราหุลที่เราพักบอก
ราคา 350 รูปี แต่คนขับมองหน้าหลุบๆชอบกลกับคนบริการแูขกที่เข้าพัก
เหมือนมีซิกแนล อิฉานก็ต่อ 200 รูปี คนขับบอกไม่ได้
อิฉานก็บอก งั้นไม่ไปหรอก ไปหาแท๊กซี่ ข้างนอกเอาก็ได้

พอออกมาข้างนอกเท่านั้นแหละ ที่นอกโรงแรมอาบังที่รอด้านนอกจะเยอะมาก
เขาจะมองอิฉานเหมือนเหยื่ออันโอชะ ไม่ได้มองซิ เขาจ้องเลยแหละ
ดูว่าิอิสาวคนนี้จะไปไหน ทำอะไร พอเดินไปถามแท๊กซี่ที่จอดอยู่ข้างทางเท่านั้น
อาบังอื่นๆที่จ้องเขมือบเหยื่อ ก็มารุมกัน 4 - 5 คนได้
ถามจะไปไหน บอกจะไปไอแอท เท่าไหร่
แท๊กซี่บอก 250 รูปี อิฉานต่อ 200 รูปี ไปเปล่าล่ะ (อิ๊ ! แท๊กซี่กี้นี้มันบอกเรา 350 )
แท๊กซี่ก็โอเค เปิดประตูให้เราเข้าไปนั่งในรถ
ระยะทางไปโรงแรมไฮแอทประมาณ 20 - 25 นาทีก็ถึง
เราเริ่มหาคอนเซียส ในโรงแรม จะรอรับแขกด้านหน้าประตูทางเข้า
เขาเห็นเรา ก็จะเอ่ยปากถามว่า "มีอะไรให้รับใช้ครับมาดาม"
เราก็บอกอยากรู้ว่าเคาน์เตอร์ทัวร์ที่โรงแรมนี้อยู่ตรงไหนค่ะ
เท่านั้นแหละคอนเซียสก็พาเราเดินไปที่เคาน์เตอร์ทัวร์
(แหม ! มาหลบอยู่มุมตึกหลังๆแบบนี้ ใครจะมองเห็นล่ะเนี่ย)

"อรุณสวัสดิ์ค่ะ ฉันอยากไปทัชมาฮาลค่ะ เท่าไหร่คะ?"
(นั่นคือคำทักทายที่บอกไปกับพนักงานขายทัวร์)
คือในหัวอิฉานอยากไปทัชมาฮาลเป็นอันดับแรก

คนขายทัวร์บอก "รถไปทัชมาฮาลและอัคระ ออกไปแล้วครับ"
"ตอนนี้มาดามอาจจะต้องไปเที่ยวรอบๆเมือง New Delhi & Old Delhi ก่อนไหม?"

อิฉานบอก " เอาก็ได้ค่ะ เท่าไหร่คะ? "

คนขายทัวร์ " เที่ยวทั้งวัน 8:30 - 18:00 ราคา 525 รูปี"

อิฉานก้มดูนาฬิกา บอกเวลาอยู่ที่ 07:40 เวลาเหลือเฟือ ถามโปรแกรมอื่นๆต่อน่าจะดีกว่า
เจอะโปรแกรมดูระบำอินเดียมีเวลาทุ่มตรงด้วย น่าสนแห๊ะ อยากดู
เลยถาม "ไปดูระบำอินเดียเท่าไหร่?"

คนขายทัวร์ "ค่ารถไป 1,360 รูปี ค่าผ่านประตู 200 รูปีไปจ่ายเองหน้างาน"
"ถ้ามาดามจะไปเที่ยวรอบเมือง แล้วจะมาดูระบำอินเดีย น่ากลัวว่าจะไม่ทันดูระบำ
ไปทัวร์นิวเดลีตอนนี้ จนถึง บ่าย 2 กลับมาที่โรงแรมถึงจะทัน
ถ้าไปทั้งวันรวมโอลเดลี รถบัสท่องเที่ยวอาจเร็ทเพราะมีนักท่องเที่ยว
ที่ต้องไปส่งกลับโรงแรมอีกหลายคนและต่างโรงแรม"
"รถออก 8:30 กลับมาโรงแรมไฮแอทตอนบ่าย 2 คิด 400 รูปีครับ
ส่วนทริปไปทัชมาฮาล เดี๋ยวกลับมาถึงแล้วค่อยมาจองก็ได้
พรุ่งนี้ได้ไปรถออก 06:45 น."

อิฉานก็เลยตกลง ได้เวลาก็ขึ้นรถบัสนำเที่ยวพร้อมกับ
คนต่างชาติอื่นๆ ที่รถบัสต้องไปรับทั่วโรงแรม
จุดสุดท้ายก็ไปรับไกด์ขึ้นรถบัส เพื่อเป็นคนสาธยายประวัติศาสตร์
ภาษาอังกฤษฟังง่ายๆ สำเนียงเสียงแขกก็จะมีกระดกลิ้นเป็น ร.หรือ r.
ฟังดูแปลกแต่ก็เข้าใจอ่ะค่ะ





ทัวร์พาไป New Delhi ดังนี้
- Humayun's Tomb
- QutabMinar
- India Gate
- Jantar Mantar
- Lakshmi Narayan Temple

Old Delhi ดังนี้
- Ferozshan Kotla
- Raj Ghat
- Shantivana
- Jama Masjid
- Red Fort















วัดพระลักษมี อิฉานชอบเป็นพิเศษเลยค่ะ
สถานที่โอ่อ่า สีทรายแดงตัดสีขาว
ไกด์บอกสามารถถ่ายรูปวัดนี้ได้นอกบริเวณเท่านั้น
พอเข้าไปด้านใน เจ้าหน้าที่เขาจะไม่ให้ถ่ายรูป
ด้านนอกบริเวณวัด จะมีดอกไม้บูชาขาย






บ่าย 2 โมงรถมาส่งที่หน้าโรงแรมไฮแอทดังเดิม
ก็ได้เวลาท้องร้องพอดี เลยเดินหาร้านอาหารในโรงแรมไฮแอท
ก็เลยกินที่นี่ จะเป็นบุฟเฟย์ ราคา 900 รูปีต่อคน









กินอิ่มหนำสำราญ ก็เดินมาต่อที่เคาน์เตอร์ขายทัวร์
เพื่อบุ๊คไปทัชมาฮาลในวันพรุ่งนี้ และจะจองดูระบำอินเดียในคืนนี้ด้วย

คนขายทัวร์แนะนำว่า"วันนี้จ่ายค่าไปทัชมาฮาล ก็ราคาอยู่ที่ 1,800 รูปี
ส่วนค่าผ่านประตูทั้ง Taj Maha และ Agra Fort ไปจ่ายอีกที่ไกด์"

"ส่วนระบำอินเดีย มาดามไปเองดีกว่าครับ
เพราะสถานที่อยู่ใกล้ๆที่พักมาดามมากกว่า
นั่งแท๊กซี่ประมาณ 70 -80 รูปีเท่านั้น
ที่นี่คิด 1,360 รูปีแน่ะ"

เราก็ตกลงจ่ายแค่ 1,800 รูปี กับเวลาไปเมืองอัคระตั้งแต่
06:45 - 21:30 น. ของวันรุ่ง (ไกลไม่ใช่เล่นวุ้ย)

นั่งแท๊กซี่กลับโรงแรมราหุลพร้อมโซเฟอร์ถูกใจ
เพราะได้แท๊กซี่ที่บริการที่โรงแรมไฮแอทพอดี
คิดราคาไปราหุล 250 รูปีก็ตกลง
โซเฟอร์ถาม "พรุ่งนี้มาดามจะให้มารับที่โรงแรมไหม?"

เราก็บอก "มาก็ได้นะแต่เวลา หกโมงตรง
โซเฟอร์มารับที่หน้าโรงแรมให้ตรงเวลาแล้วกัน
ถ้าไม่ตรงเวลา ฉันจะไปรถคันอื่นแทน โอเคเธอเข้าใจนะ

ถึงที่พักตรงดิ่งดูข้าวของตรูหายไปบ้างเปล่า
กระเป๋าโดนงัดเปล่าว่ะ ปรากฏว่าเรียบร้อยดีไม่มีอะไรหาย
ผ้าปูที่นอนโดนจัดให้สวยเหมือนเดิม
อิฉานก็สบายใจ เลยกระโดดขึ้นเตียงนอน
ทำปลุกนาฬิกาไว้ที่ หกโมงเย็น เพื่ออาบน้าแต่งตัวสักครึ่งชั่วโมง
อีกครึ่งชั่วโมง หาแท๊กซี่ไปดูระบำอินเดียตามแผนที่ๆได้มา
อ้าว แค่ 15 นาทีก็ถึงที่ จ่ายค่าดูไป 200 รูปี
เราเข้าไปเป็นคนแรก แถวหน้าเลย
หันไปดูทำไมมันโล่งแบบนี้หว่า ไม่มีคนเลย
พอทุ่มหนึ่งฝรั่งมากันตรึม คือ
เล่นมาหลายโรงแรมก็เลยเต็มห้องโดยปริยาย






@@โปรดติดตามทริปทัชมาฮาทในวันต่อไปนะคะ

รูปแม่น้าคงคา จากทีวี
/
/



Create Date :02 ธันวาคม 2549 Last Update :14 ธันวาคม 2551 7:42:20 น. Counter : Pageviews. Comments :0