รามเกียรติ์ : ปฐมบท
จุดกำเนิดแห่งมหาสงคราม ความรัก และความแค้น
เมื่อสถาปณากรุงรัตนโกสินทร์ ,พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชการที่ 1
มีพระราชประสงค์ที่จะฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรมของชาติ ,ให้จำเริญมั่นคงสืบไปจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม , ให้กวี ประจำราชสำนัก ,ร่วมกันแต่งบทละครเรื่อง รามเกียรติ์ ,เมื่อทรงมีพระราชวินิจฉัยแล้ว จึงให้ตราเป็นบทละครไว้ สำหรับพระนคร ,และต่อมา ..ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์,ได้มีการเขียนจิตกรรมเรื่อง รามเกียรติ์,ไว้รอบระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ,ในพระบรมมหาราชวังจวบจนปัจจุบัน ,ได้รับการสืบสานต่อยอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า,ด้วยการสร้างผลงานเรื่องเล่าจากจิตกรรมฝาผนัง….
การเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และแปรเปลี่ยน ,เป็นธรรมชาติของโลก นับแต่ดึกดำบรรพ์
เทพเทวา ,มนุษย์ ,วานร ,และอสุรยักษ์ อาศัยอยุ่ร่วมกัน ,มีเขาไกรลาต เป็นศูนย์กลางของโลก, และเป็นที่ประทับของพระอิศวร เทพผู้เป็นใหญ่ ,ด้วยความรักและเมตตาอันเปี่ยมล้น,พระอิศวร ประทานแก่ทุกสรรพชีวิต ,ที่บำเพ็ญเพียร หรือทำคุณความดี ,ไม่เว้นแม้กระทั่ง อสูร,แต่ธรรมชาติของใจนั้นกลับกลอก ,และล่อลวงผู้เป็นเจ้าของเสมอ,โดยเฉพาะ…ผู้มากด้วยตัณหา เช่นเผ่าพันธุ์อสูร
ในคราวใด ที่มารอธรรมอหังการ์,ในคราวนั้น พระนารายณ์ เทพผู้ปกปักรักษา,จะเสด็จอวตารเพื่อทำลายล้าง
เมื่อความมืด เข้ามาครอบงำ ,ความขัดแย้ง สร้างสงคราม ไม่สิ้นสุด ,เดือดร้อนบุกลามไปทั่ว ,กิเลส ไม่มีจบสิ้น,โลกจึงร้อนและ ลุกเป็นไฟ ,บนเส้นทางการต่อสู้ที่แสนยาวนาน เพียงเพื่อหนทางแห่งชัยชนะ กับความจริง แห่งสัจธรรม …..
เมื่ออธรรม เสื่อมสลาย ,ธรรมมะ ก็จะตั้งมั่น ,โลก ! ก็กลับคืนความสุขสงบ ,เป็นเช่นนี้……เรื่อยมา
ณ ยอดเขาจักวาล ,มีพญายักษ์ผู้มีฤทธิ์มาก ชื่อหิรันต์อาศัยอยู่,ต่อมา หิรันต์ยักษ์ได้รับพรจากพระอิศวร ทำให้มีฤทธิ์มากยิ่งขึ้น ,จึงคิดกำเริบอยากจะแสดงอำนาจทำลายสามโลกด้วยการม้วนแผ่นดิน,เหล่าเทรเห็นเข้า ก็พากันไปเจ้าเฝ้าพระอิศวร ,พระอิศวรจึงพระบัญชาให้พระนารายณ์ไปปราบ,พระนารายณ์ แปลงเป็นพญาหมูเผือกที่มีเขี้ยวเป็นเพชร ไปสู้กับหิรันต์ยักษ์,ในที่สุด หิรัญยักษ์ ก็ถูกพระนารายณ์แปลง ขวิดกัดจนศรีษะขาด,จากนั้น พระนารายณ์ได้นำแผ่นดินที่หิรันต์ยักษ์ม้วนไป,กลับคืนมาไง้ที่เดิม
กล่าวถึงอสูรพรหมที่มีรูปกายเป็นยักษ์, ชื่อว่า อสูรพักตร์,ได้เพียรพยายามไปเฝ้าพระอิศวร จนเป็นที่โปรดปราน ,อสุรพักตร์ จึงทูลขอคฑาเพชร กับพรวิเศษ,ที่ทำให้เป็นใหญ่ไม่แพ้ใคร,พระอิศวรก็ประทานให้ ,ครั้นท้าวมาลีวัคคพรหม ผู้มีใจเป็นธรรมรู้ว่า,พระอิศวรประทานพรและอาวุธให้อสุรพักตร์,ก็รีบมาทูลเตือนพระอิศวรว่า ,”ซึ่งพระองค์ประทานคฑาธร ทั้งพรประสิทธิ์ให้ยักษา ตัวเพื่อนเป็นคนหยาบช้า จะเบียนโลกาให้ร้อนใจ”
พระอิศวรได้ทรงสดับก็เห็นด้วย ,จึงประทานพระขรรค์ พร้อมกับพรวิเศษ มิให้ใครในสามโลกสู่ได้ ,ให้ท้ามมาลีวัคคพรหมนำไปให้กษัตริย์แห่งอโยธยา ,ซึ่งสามารถชนะได้แม้กระทั่งคฑาเพชร ,เมื่อกษัตริย์แห่งอโยธยาได้พระขรรค์กับพรวิเศษไปแล้ว,ก็ให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะทรงธำรงคนเป็นคนดี
ฝ่ายอสุรพักตร์ ใช้คฑาเพชรไล่ทำร้ายเหล่าเทวดา นาค คนธรรพ์ และฤๅษี ให้ได่รับความเดือดร้อน, ท้างอัชบาล กษัตริย์แห่งอโยธยาจึงไปรบกับอสุรพักตร์
ด้วยอำนาจพรที่พระอิศวรประทานให้ ,ท้าวอัชบาลใช้คฑาเพชรจองอสุรพัตรขาดเป็นสองท่อน ,แล้วสังหารอสุรพักตร์ตัดศรีะษะไปเสียบไว้ในเมืองอโยธยา ,แล้วสาบให้เฝ้าสวนนั้น ตลอดกาล
ณ เชิงเขาไกรลาส, มียักษ์ตนหนึ่งชื่อ นนทก, ได้รับบัญชาจากพระอิศวรให้ทำหน้าที่ล้างเท้าให้เทวดา นาค ครุฑ คนธรรพ์ ที่ขึ้นเฝ้าพระองค์
ขณะที่กำลังล้างเท้า ,พวกเทวดา สัพยอกหยอกล้อ นนทก ,ด้วยการเขกหัวบ้าง ลูกผมบ้าง ถอนผมบ้าง,จนกระทั่ง…นนทก หัวโกร๋น, นนทก มิได้โต้ตอบแตาอย่างใด ,คงได้แต่เก็บความอาฆาตแค้นอยู่ในใจที่ถูกเหยียดหยาม
จนกระทั่งวันหนึ่ง ,นนทก สิ้นความอดทน ,ตัดสินใจเข้าเฝ้าพระอิศวร ร่ำไห้คร่ำครวญ รำพันทูลว่า ,ตนทำหน้าที่ล้างเท้าเทวดา นานตั้งโกฏิปีแล้ว ,ยังไม่เคยได้ประทานอะไรเลย ,พระอิศวรเห็น นนทกเศร้าโศกนักก็ทรงเมตตา , ตรังถามว่าต้องการอะไร ,นนทก ทูลว่า ,ขอ ให้นิ้วข้าเป็นเพชรฤทธี จะชี้ใครจงม้วยสังขาร์,พระอิศวรประทานให้ตามคำขอ
เมื่อได้พรจากพระอิศวรแล้ว นนทก ก็รู้สึกกระหยิ่มใจ, กลับมา ขัดสมาธินั่งยิ้มริมอ่างใหญ่ ,แล้วทำหน้าที่ล้างเท้าเหมือนทุกวัน ,ส่วนพวกเทวดาก็ยังคงรังแกเหมือนเดิม , นนทก ซึ่งมีใจกำเริบที่มีนิ้วเพชรก็ ,กริ้วโกรธ ร้องประกาศตะหวาดมา อนิจจาข่มเหงเล่นทุกวัน,จนหัวไม่มีผมติด สุดคิดที่เราจะอดกลั้น ,วันนี้จะได้เห็นกัน ขบหันแล้วชี้นิ้วไป
บรรดาเทวดา นาค ครุฑ คนธรรพ์ ถูกนิ้วเพชร ชี้ตายเกลื่อนกราด,พระอินทร์เห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบไปทูลพระอิศวรถึงเหตุร้ายที่เกิดขึ้น
พระอิศวรกริ้ว ที่ นนทก เหิมเกริม ,กล้า ทำการหยายใหญ่ถึงเพียงนี้ ,จึงมีบัญชาให้พระนารายณ์ลงไปสังหาร นนทก,เพื่อสวรรค์จะได้เกิดสันติสุข ,พระนารายณ์แปลงเป็นนางฟ้า ไปคอยอยู่ตรงที่ นนทกจะผ่าน ,เมื่อถึงเวลาเลิกเฝ้าพระอิศวรแล้ว ,นนทก ก็ออกเที่ยวอย่างสุขใจ, ได้เห็นนางงามนางหนึ่ง ก็รู้สึกต้องตาพึงใจ ,จึงเกี้ยวพาราสี
ถามมว่าเป็นใคร และมาทำอะไรแถวนี้ ,นางนารายณ์แปลงตอบว่า ,ตนเป็นพนักงานฟ้อนรำของพระอิศวร ,ไม่ค่อยสบายใจจึงออกมาเที่ยว ,นนทกอยากจะผูกไมตรีจึงอาสาช่วยคลายทุกข์ , นางนารายณ์แปลงบอกว่า ตนชอบการรำฟ้อน,ถ้านนทกจะช่วยทำให้มีความสุข ก็ขอให้มาร่วมรำด้วยกัน ,นนทก กำลังลุ่มหลง จึงรับปากว่า จะรำตามนางทุกท่ารำ ,เมื่อนางแปลงเยื้องกรายรำฟ้อนท่าใด นนทก ก็รำตาม, จนกระทั่งถึงท่า นาคาม้วนหาง
นิ้วเพชรของนนทก,ก็ชี้ที่ขาของตัวเองล้มลง ,ทันใดนางแปลง ก็คืนร่างเป็นพระนารายณ์สี่กร , เหยียบนนทกไว้เพื่อจะสังหาร , นนทกถามว่า ตนทำผิดอะไร , พระนารายณ์ตอบว่า “เอ็งฆ่าเทวาสุรารักษ์ โทษหนักถึงที่บรรลัย”
นนทกได้ฟัง ก็มิได้หวาดหวั่นแต่อย่างใด ,กล่าวตัดพ้อด้วยนำเสียงเย้ยหยันว่า “เหตุใดมิทำซึ่งหน้า มารยาเป็นหญิงไม่บัดสี ,หรือว่า กลัวนิ้วเพชรนี้ จะชี้พระองค์ให้บรรลัย ,ตัวข้ามีมือแต่สองมือ หรือจะสู้ทั้งสี่กรได้ ,แม้นสี่มือเหมือนพระองค์ทรงชัย ที่ไหนจะทำได้ดั่งนี้”
พระนารายณ์ได้ฟังคำตัดพ้อของนนทก ก็ตรัสว่า ,”ชาตินี้มึงแม้แต่สองหัตถ์ จงไปอุบัติเอาชาติใหม่ ,ให้สิบเศียร สิบพักต์เกรียงไกร เหาะเหินเดินได้ในอัมพร ,มีมือยี่สิบซ้ายขวา ถือคฑาอาวุธธนูศร ,กูจะเป็นมนุษย์แต่สองกร ตามไปรานรอนชีวี “
แล้วก็ทรงใช้พระแสงตรี ตัดหัวนนทก กระเด็นไป คำประกาศิตพระนารายณ์ ,ทำให้ นนทก มาเกิดเป็นโอรสนางรัชดา ,มเหสีแห่งท้าวลัสเตียนแห่งกรุงลงกา ,ชื่อ ทศกัณฐ์กุมารา สิบเศียร สิบหน้า ยี่สิบกร ....อนิจจัง , ทุกวัฏจักร ย่อมมีการเวียนบรรจบ
กรุงลงกา ,มหานครของหมู่มาร , ปกครองโดยท่าวทศกัณฐ์ ยักษ์ สิบเศียร ยี่สิบมือ , เป็นอมตะ ไม่มีผู้ใดสังหารให้ตายได้ ,พญายักษ์จึงกำเริบใจ ,ใช้กำลังทำลายล้างอริราชศัตรู
และอหังกาใคร่อยาก ให้มารอสูรเป็นใหญ่ได้ครองทั้งสามโลก ,ทศกัณฐ์ ผนึกกำลังญาติมิตร วงศ์โคตรของตน , รุกรานที่ละส่วนของโลก กระทั่ง รณพักต์ผู้เป็นโอรส ,นำทัพอสูร รบชนะพระอินทร์,ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์
บัดนี้…สัตว์ทั้งหลายในสามโลก จึงมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว ,ภายใต้อำนาจมืด ของมารอสูรเหล่าฤๅษีดาบส จึงไปร้องขอพระอิศวร ,ให้พระนารายณ์ เสด็จอวตาร,เพื่อสร้างสันติสุข ให้แก่โลกอีกครั้ง
ฝ่ายพระอิศวร, เมื่อทรงทราบว่า นนทกลงไปเกิดเป็นทศกัณฐ์ ,แล้วทำตัวหยาบคายเป็นพ้นนัก ,จึงให้พระเวสสุญาณไปเกิดเป็นพิเภกน้องทศกัณฐ์ , เพื่อเป็นไส้ศึกคอยช่วยพระนารายณ์ ,ที่จะอวตารเป็นพระราม โดยได้ประทานแว่นแก้ววิเศษ , ให้ไปเป็นดวงตาข้างซ้ายและขวา ,เพื่อจะได้มองเห็นทั้งสามโลก นางรัชดามารดาของทศกัณฐ์ , ยังมีโอรสอีกสามองค์ , ชื่อ ทูษณ์ ขร และ ตรีเศียร และมีธิดาองสุดท้องชื่อ สัมมะนักขา
ท้าวโคดมแห่งกรุงสาเกด ทรงเบื่อหน่ายทางโลกจึงไปบวชเป็นฤๅษี ,บำเพ็ญพรตอยู่นานจนหนวดเครายาว ,กระทั่งนกกระจาบคู่หนึ่งก็สามารถมาทำรังออกไข่ในหนวดได้,วันหนึ่งพ่อนกออกไปหาอาหาร ,เห็นบัวบาน ก็จิกกินเกสรเพลิน จนมืดค่ำ ,เมื่อบัวหุบกลีบ พ่อนกจึงติดอยู่ในดอกบัว ,กว่าจะกลับได้ ก็ต่อเมื่อวันรุ่งสางของวันถัดฝัดไป ,จึงถูกแม่นกต่อว่าด้วยความโกรธ ,เพราะคิดว่า พ่อนกแอบไปคบชู้อยู่กับนางนกตัวอื่น
พ่อนกเล่าว่า , ตนติดอยู่ในดอกบัว แม่นกไม่เชื่อ,พ่อนกจึงสาบานว่า “ถ้านอกใจให้บากพระดาบส ผู้ทรงพรตนี้ตกแก่ข้า “ พระฤๅษีโคดมได้ยินก็สงสัยว่า ตนมีบาปอะไร จึงถามขึ้น,พ่อนกตอบว่า ,เพราะพระฤๅษีสละราชสมบัติมาบวช โดยยังไม่มีรัชทายาทสืบราชสมบัติ
พระฤๅษีเก็นด้วยกับพ่อนก จึงทำพิธีชุบสตรีขึ้นมาเป็นภรรยา,ให้ชื่อว่า กาญอัจนา ,ต่อมามีบุตรสาวกับนางกาญอัจนา,ชื่อว่า สวาหะ เมื่อพระอินทร์รู้ว่า นนทกไปเกิดเป็นทศกัณฐ์,และจะทำให้โลกเดือนร้อน จนพระนารายณ์ต้องอวตารลงไปปราบ,จึงคืดจะไปอยู่ร่วมกับนางกาญอัจนา ,เพื่อจะได้มีโอรสคอยพระนารายณ์รบกับทศกัณฐ์
วันหนึ่ง,หลังจากฤๅษีโคดม ออกไปหาผลไม้ในป่า,พระอินทร์ก็ลงมาร่วมสมกับนางกาญอัจนา ,จรมีโอรสผิวกายสีเขียวเหมือนพระอินทร์ ต่อมา , นางกาญอัจนาเกิดความเสน่หาพระอาทิตย์ ,พระอาทิตย์เองก็ปรารถนาจะมีโอรสกับนาง,เพื่อจะได้เป็นทหารพระนารายณ์,จึงลงมาร่วมอภิรมย์กับนางกาญอัจนา จนมีโอรสอีกองค์หนึ่ง
พระฤๅษีโคดม รักและเอาใจใส่บุตรชายทั้งสองมาก ,วันหนึ่งจะไปอาบน้ำ ,มือขวาอุ้มบุตรชายคนเล็ก ,ให้บุตรชายคนพี่ขี่หลัง ,ส่วนมือซ้ายจูงนางสวหะบุตรสาว
นางสวาหะเดินบ่นด้วยความน้อยใจว่า , อนิจจาหลงรักลูกเขา ช่างเอาอุ้มชู แล้วให้ขี่, ลูกตนให้เดินปฐพี ไม่ปราณีบ้างเลยพระบิดา พระฤๅษีได้ยินแล้วก็สงสัย ถามนางสวาหะว่าทำไมถึงพูดเช่นนั้น ,นางสวาหะเช็ดน้ำตา เล่าให้ฟังว่า ,คอนบิดาไม่อยู่ มีใครมาหามารดาบ้าง ,พระฤๅษีได้ฟังก็ ,ทั้งรักทั้งแค้นแน่นจิต ที่ภริยาคบชู้ จึงอธิฐานว่า ถ้าใครเป็นบุตรของตน ขอให้ว่ายน้ำกลับมาได้ ,ส่วนใครที่ไม่ใช่ ก็ให้กลายร่างเป็นลิงเข้าป่าไป,แล้วพระฤๅษีก็ทิ้งบุตรทั้งสามลงน้ำ
ในที่สุดปรากฎว่า มีแต่นางสวาหะเท่านั้นที่ว่ายน้ำกลับมาได้,ส่วนกุมารทั้งสอง กลายเป็นลิงเข้าป่าไป พระฤๅษีโกรธนางกาญอัจนา จึงสาบให้กลายเป็นหิน, สำหรับให้พระนารายณ์อวตาร ใช้จองถนนไปเมืองลงกา แต่ก่อนที่นางกาญอัจนาจะกลายเป็นหิน , ด้วยความโกรธบุตรสาว นางจึงสาปนางสวาหะว่า ,จงไปอ้าปากยืนตีนเดียว เหนี่ยวกินลมอยู่ในไพรสานฑ์ ,ที่เชิงขอบจักรวาล จนกว่านางสวาหะมีลูกเป็นลิงจึงจะพ้นคำสาป
ฝ่ายพระอินทร์และพระอาทิตย์ เมื่อทรงทราบเหตุร้ายที่เกิดกับพระโอรส ,ก็ไปสร้างเมืองขีดขินไว้ให้ครอง ,แล้วใช้มนต์เนรมิตรเหล่าเทพให้กลายเป็นวานร ,เพื่อเป็นเสนาอำมาตย์และทหารคอยช่วยเหลือดูแลบ้านเมือง พระอินทร์ประทานนามโอรสว่า กากาส , ส่วนพระอาทิตย์ประทานนามโอรสว่า สุครีพ , ทั้งพญากากาศและสุครีพ ครองเมืองขีดขินร่วมกัน,มีสัมพันธไมตรีกับท้าวมหาขมพูแห่งเมืองชมพู
ท้าวมหาชมพูไม่มีโอรสธิดา ,พระอิศวรจึงประทานโอรสของพระกาฬ ,ซึ่งเป็นลิงดำ ชื่อ นิลพัตน์ให้เป็นนัดดา เมื่อพระอิศวรทรงทราบว่า นางสวาหะต้องคำสาปของมารดา , ก็คิดจะให้นางมีบุตรเป็นทหารของพระนารายณ์อวตาร,จึงสั่งพระพายให้นำคฑา ตรีศูร และจักร,และกำลังกายของพระองค์ไปซัดใส่นางสวาหะ เพื่อจะได้มีบุตรเป็นวานรที่เก่งกาจ ,แล้วให้พระพายคอยปกป้องคุ้มครองนางสวาหะด้วย ,พระพาย รับสนองพระบัญชา ,ต่อมา นางสวาหะก็ตั้งครรภ์
เมื่อครบ 30 เดือน ก็คลอดออกทางปาก ,ตัวโตใหญ่เท่ากับมีอายุ 16 ปี ,เป็นวานรขนขาวทั้งตัว มีกุณฑลติดตัว ,มีเขี้ยวแก้ว สามารถหาวเป็นดาวเป็นเดือน และแปรงร่างให้มีสี่ห้าแปดมือได้ , พระพายตั้งชื่อให้ว่า หนุมาน แล้วแล่งกำลังให้ , ส่วนนางสวาหะก็สั่งบุตรว่า “อันกุณฑลขนเพชรเขี้ยวมณี ที่มีในกายของลูกรัก ,ถ้าว่าผู้ใดมาทักทาย ท่านนั้นนารายณ์ทรงจักร ,อวตารลงมาปราบยักษ์ เจ้าจงสวามิภักดิ์กับบาทา
วันหนึ่ง หนุมานเที่ยวไปหักถอนต้นไม้ เพื่อเก็บผลไม้เป็นอาหาร ,จนไปถึงเขตอุทยานของพระอุมา มเหสีของพระอิศวร,ทำให้ต้นไม้ในอุทยานเสียหาย พระอุมากริ้วมาก , สาบให้กำลังของหนุมานลดลงครึ่งหนึ่ง
แต่เมื่อหนุมานขออภัยโทษว่า ไม่ได้ตั้งใจดูหมิ่น ,พระอุมาก็เมตตา จึงประทานพรว่า ,ถ้าพระนารายณ์ซึ่งได้อวตารเป็นพระรามได้ลูบหลังหนุมาน ,หนุมานจึงจะพ้นคำสาป
ต่อมา พระพายพาหนุมานไปถวายตัวต่อพระอิศวร ,พระองค์ประทานพรให้ ,”อายุยืนชั่วกัลป์ปา มีเดชศักดากั่งไกรศร”,แม้ถูกฆ่าตาย ถ้ามีลมพัดมาก็จะฟื้นทันที
แล้วพระอิศวร ก็สอนวิชาคาถาอาคม ให้หนุมานแปลงกายหายตนได้ ,หนุมานร่ำเรียนวิชาจนเชี่ยวชาญ , พระอิศวรให้ตามพญากาศและสุครีพขึ้นมาเฝ้า แล้วให้หนุมานและชมพูพาน ซึ่งเป็นวานรที่ทรงชุบขึ้นจากเหงื่อไคล ,ไปอยู่ด้วยในฐานะนัดดาและโอรส
กล่าวถึงนางฟ้าเมขลา ,มีหน้าที่รักษามหาสมุทร ,นางมีแก้วมณีสวยงาม วันหนึ่งถือแก้วมณีออกมาเที่ยวเล่น ,ยักึรามสูรซึ่งมีนิสัยเกเรหยาบช้าเห็นเข้าก็อยากได้ ,จึง ..ไล่นางเมขลา ด้วยฤทธี ,แต่นางเมขลา นอกจากจะไม่กลัวรามสูรแล้ว ,ยังชูแก้วกรอกแสงแพรวพราวเย้ยอยู่ไปมา ,จนรามสูรเดือดดาน คิดจะสังหารนาง , จึงกวักแกว่งขวานเพชรดั่งเปลวไฟ ก็ขว้างไปด้วยกำลังฤทธิ์
ในขณะที่รามสูรกำลังไล่ล่านางเมขลาอยู่นั้นเอง ,เทพอรชุนเหาะผ่านหน้ารามสูรมา รามสูรขัดใจ ,หาว่าหยามศักดิ์ศรีตน ฝ่ายเทพอรชุน ก็ถือว่าตนมีฤทธิ์มาก ขนาดเคยจับทศกัณฐ์ โอรสท้าวลัสเตียนแห่งกรุงลงกา ไปมัดประจานได้ ,จึงโต้ตอบด้วยความอหังกาว่า ตน,เหาะมาโดยทางเมฆา ใช่ว่าเราเหยียบเศียรขุนมาร
รามสูรได้ฟัง ก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว ทั้งสองเข้าต่อสู้กัน ,เทพอีชุนเสียที ,รามสูรจึงจับขาของเทพอรชุน ฟาดกับเขาพระสุเมรุ จนตายคาที่ ส่วนเขาพระสุเมรุนั้น ถึงกับเอนทรุดลงไป ,ฝ่ายพระอิศวร เห็นเขาพระสุเมรุเอียง ,ก็ทรงมีบัญชาให้เหล่าเทวดา คนธรรพ์ ครุฑ นาค ฤๅษี ,รวมทั้งพญากาศและสุครีพมาเฝ้า ,เพื่อแก้ไขให้เขาพระสุเมรุตั้งตรงดังเดิม
บรรดาเทวดานักสิทธิ์,เอานาคฟั่นเป็นเชือกพันยอดเขาพระสุเมรุ, แล้วก็ช่วยกันฉุดดึง แต่ก็ไม่สามารถทำให้เขยื้อนได้ สุครีพจึงเร่งให้เหล่าเทวดา ครุฑ ช่วยกันฉุดนาค ,ส่วนตนก็เอานิ้วจิ้มที่สะดือนาค นาคก็สะดุ้ง เขาพระสุเมธก็เขยื่อน พญากาศ ช่วยดันจนตั้งตรงเหมือนเดิม ,พระอิศวร พอพระทัยอย่างยิ่ง
วันรุ่งขึ้น พญากากาศไปเฝ้าพระอิศวรตามลำพัง ,พระองค์ประทานตรีเพชรและให้นามใหม่ว่าพาลี ,ทั้งยังประทานพรวิเศษว่า ,เมื่อรบกับผู้ใด ,กำลังของผู้นั้นจะลดลงครึ่งหนึ่ง แล้วมาเพิ่มให้พาลี
ครั้นพระอิศวรจะฝากผอบ บรรจุนางงาม ,ชื่อ นางดาราไปให้สุครีพ ,พระนารายณ์ทรงท้วงว่า ,”อันธรรมชาติแมลงภู่ อยู่ใกล้เรณูบุพผา ,หรือจะไม่คลึงรสบุษบา จะฝากไข่แก่กาก็ผิดไป เพราะเกรงว่า สุครีพจะไม่ได้นางดารา ,พาลีจึงสาบานว่า ,ถ้าสุครีพไม่ได้นางดารา เพราะตนครอบครองไว้เสียเอง,ก็ขอให้คนตายด้วยศรของพระนารายณ์
พระอิศวรจึงยอมมอบผอบให้พาลี ,เมื่อถึงเมืองขีดขิน พาลีเปิดผอบ เห็นนางดาราก็หลงรัก ,จนลืมคิดถึงสุครีพ และลืมคำสัตย์สาบาน ,พาลีได้นางเป็นชายา …
มีฤๅษี 4 ตน บำเพ็ญพรตอยู่ด้วยกัน ,ทุกวันจะมีแม่วัว 500 ตัว ,มาหยดนมลงในอ่างแก้วให้ฤๅษีทั้งสี่ดื่ม ,ซึ่งทุกๆครั้ง ฤๅษีก็จะให้ทานนมแก่นางกบตัวหนึ่ง
ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นกินมาโดยตลอด , วันหนึ่ง ฤๅษีที่สี่ไปพบนางนาค กำลังสมสู่อยู่กับงูดิน เห็นว่าไม่เหมาะสม ,จึงเอาไม้เท้าเคาะที่กลางหลังนางนาค ทำให้นางอับอาย รีบหนีกลับไปบาดาล ,แต่ยังคุมแค้นคิดฆ่าฤๅษี ,วันหนึ่ง นางนาคขึ้นจากบาดาล ,มาแอบคาบพิษลงในอ่างนมของฤๅษี ,นางกบเห็นดังนั้นก็คิดว่า ,ตัวกูได้พึ่งพระนักสิทธิ์ เลี้ยงชีวิตเป็นสุขเกษมศานต์
พระคุณใหญ่ล้น พ้นประมาณ แจ้งการแล้วจะนิ่งก็ไม่ดี ,ดังหนึ่งไม่รู้คุณกตัญญู รู้คุณพระมหาฤๅษี , อย่าเลยจะเอาชีวี ตายแทนผู้มีพระคุณ จึงกระโจนลงไปตายในอ่างนม ,เมือฤๅษีทั้งสี่มาพบเข้า ก็เมตตาคีบนางออกมาแล้วชุดชีวิต ,
แต่ตำหนินางกบว่า โลภอาหารจนตัวตาย ,นางกบจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ,ฤๅษีทั้งสี่จึงตอบแทนความดีของนางกบ , ด้วยการชุบให้เป็นหญิงงาม ตั้งชื่อว่ามณโฑ ตามสัญชาติ, แล้วพานางไปถวายพระอิศวร ,พระองค์มอบนางมณโฑ ให้เป็นข้าช่วงใช้พระอุมา
กล่าวถึงยักษ์ชื่อว่า วิรุฬหก ครองเมืองอยู่ใต้บาดาล , วันหนึ่งจึ้นไปเฝ้าพระอิศวรที่เขาไกรลาส ,ขณะที่จึ้นเขาไกรลาส ก็น้อมศรีษะหมอบกราบทุกขั้นไป
ตุ๊กแกที่อาศัยอยู่บนเขาไกรลาส , เห็นท้าววิรุฬหกทำกิริยาเช่นนั้นก็ล้อเลียน ,ท้าววิรุฬหากริ้ว จึงถอดรองเท้าขว้างใส่ตุ๊กแกตัวนั้นตาย ,แต่อำนาจทำลายล้างของสังวาร ทำให้เขาไกรลาสเอียงไปด้วย
พระอิศวรได้ยินเสียงดังสนั่นก็ทรงทราบว่าได้เกิดอะไรขึ้น , จึงประกาศหาผู้มาช้วยให้เขาไกรลาสตั้งตรงได้เหมือนเดิม ,แต่ก็ไม่มีผู้ใดทำได้สำเร็จ ,ทรงคิดถึงทศกัณฐ์ จึงให้มาเฝ้า,ทศกัณฐ์สามารถทำให้เขาไกรลาสกลับมาตั้งตรงได้
ทศกัณฐ์คิดกำเริบ ทูลขอพระอุมาเป็นรางวัล , พระอิศวรจำต้องยกให้ ,เมื่อทศกัณฐ์จะอุ้มนาง ก็รู้สึกร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟเผา ,จึงช้อนบาทขึ้นทูนเศียรเหาะไป ,แต่ก็ทั้ง “ ร้อนรัศมีกายพระอุมา ร้อนทั้งสุริยารังสี ,สุดทนสุดกลั้นอสุรี ก็พาองค์เทวีเดินไป”
ฝ่ายพระนารายณ์เมื่อรู้เรื่องทศกัณฐ์บังอาจขอพระอุมา ,ก็แปลงกายเป็นยักษ์แก่ม่ดักระหว่างทาง ,แสร้งทำอุบายปลูกต้นไม้ เอายอดลงดินและเอารากขึ้นฟ้า,ครั้นทศกัณฐ์ผ่านมาเห็นเข้า ก็กล่าวว่าทำอะไรโง่ๆ ,ปลุกต้นไม้อย่างนี้ จะออกดอกออกผลได้อย่างไร?
ยักษ์แปลงจึงย้อนว่า ทศกัณฐ์โง่กว่า ,เพราะ “นางดีมีอยู่ไม่พอใจ เอาหญิงจัญไรอะไรมา”
ทศกัณฐ์เห็นจริง เพราะกายพระอุมาร้อนเหมือนไฟ , จึงถามว่า หญิงดีผู้นั้นเป็นใคร ,ยักษ์แปลงจังให้ทศกัณฐ์พาพระอุมาไปคืน,แล้วขอนางมณโฑมาแทน
พระอิศวรประทานนางมณโฑให้ทศกัณฐ์ตามคำขอ,ทศกัณฐ์พานางเหาะกลับกรุงลงหา , เมื่อผ่านเมืองขีดขิน พาลีเหลือบเห็นทศกัณฐ์อุ้มนางมณโฑ ,เหาะข้ามปราสาทราชวังของตนก็โกรธ,
จึงเหาะขึ้นไปขวางไว้แล้วต่อว่า ทศกัณฐ์ได้ฟังก็โกรธ ,ด่าพาลีว่า ,”เหม่เหม่อ้ายชาติเดียรฉาน ฮึกหาญพาทีให้เกินหน้า ,อากาศเป็นที่ไปมา ปักษีวิทยาสุราลัย ,กูเดินโดยทางอัมพร จะเหยียบเศียรวานรก็หาไม่ ,ซึ่งมึงเย่อหยิ่งจะชิงชัย จะได้เห็นกันบัดเดี๋ยวนี้”แล้วทั้งสองก็เข้าต่อสู้กัน ,ทศกัณฐ์นั้น “กรหนึ้งอุ้มองค์บังอร สิบเก้ากรต่อตีเข่นข้า”ในที่สุดทศกัณฐ์แพ้ พาลีชิงนางไว้ได้ ,ทศกัณฐ์หนีกลับกรุงลงกา ส่วนพาลีก็ได้นางมณโฑเป็นชายา
เมื่อทศกัณฐ์กลับไปถึงเมือง ก็ได้แต่คลุ้มคลั่งร่ำไห้ ,เพราะอาลัยรักนางมณโฑ กุมภรรณกับพิเภกเห็นดังนั้น,ก็ไปขอความช่วยเหลือจากฤษีโคบุตรซึ่งเป็นอาจารย์ของทศกัณฐ์
ฤาษีโคบุตร มาแนะนำให้ทศกัณฐ์ไปขอร้องฤษีอังคต , ซึ่งเป็นอาจารย์ของพาลี ให้ช่วยขอนางมณโฑคืน เมื่อฤษีอังคตไปหาพาลี , พาลีบอกว่า นางมณโฑตั้งครรภ์ได้ครึ่งปีแล้ว,ฤษีอังคตจึงทำพิธีแหวะลูกในท้องนางมณโฑ,ไปใส่ในท้องแพะให้พาลีไว้ ส่วนทศทัณฐ์ได้นางมณโฑคืนไป, ถึงกระนั้น ทศกัณฐ์ก็ยังคิดแค้นพาลีไม่หาย
ต่อมาเมื่อรู้ข่าวว่าองคต ลูกของพาลี ,ที่เคยอยู่ในท้องแพะ ขณะนี้อายุได้สิบปีแล้ว ,และกำลังจะเข้าพิธีสรงสนาน, ทศกัณฐ์จึงแปลงเป็นปูใหญ๋ไปแฝงตัวอยู่ในสระ ,
หวังจะฆ่าองคตในพิธีลงสรง แต่ก็ถูกพาลีจับตัวได้เสียก่อน,พาลีจับปูทศกัณฐ์มัดให้องคตลากเล่น,และทรมานให้อดอาหารเสีย เจ็ดวัน ก่อนจะปล่อยตัวไป
ทศกัณฐ์ “สุดเจ็บสุดอายสุดฤทธิ์” , ฝืนเหาะกลับกรุงลงกา คิดจะถอดดวงใจ , เพื่อจะได้ไม่มีใครสามารถฆ่าตาย , จึงให้ไปนิมนต์ฤษีโคบุตรมาบอกความประสงค์ของตน,
ฤษีโคบุตร ช่วยถอดดวงใจของทศกัณฐ์ออกจากร่าง ,เอาใส่กล่องแก้ว เอาหินประกบไว้ภายนอกจนมิด ,แล้วช่วยเก็บรักษาไว้ให้ในกุฎี
ตั้งแต่นั้นมา ทศกัณฐ์ก็กำเริลอหังกาหนักขึ้น , เมื่อทศกัณฐ์กลับจากถอดดวงใจ , เห็นกุเปรันพี่ชายต่างมารดา นั่งบุษบกแก้วมาก็อยากได้ ,แต่กุเปรันไม่ให้ จึงเกิดการต่อสู้กัน ,
กุเปรันสู้ไม่ได้ ทิ้งบุษบกไว้ หนีไปขอให้พระอิศวรช่วย , พระอิศวรถอดงาช้างขว้างปักอกทศกัณฐ์ ,สาปว่าตายเมื่อไร งาช้างจึงจะหลุดจากอก
ทศกัณฐ์ ขอให้พระวิษณุกรรมลงมาช่วยเลื่อยงาให้เสมอผิว ,แล้วเนรมิตรเครื่องประดับปิดไว้เพื่อไม่ให้ใครเห็น
กล่าวถึงรณพักตร์ โอรสของทศกัณฐ์กับนางมณโฑ ,เมื่อเติบใหญ่ก็ไปเรียนวิชาจากฤษีโคบุตรเหมือนพระบิดา , รณพักตร์ได้ตั้งพิธีขอวุธจากพระเป็นเจ้าทั้งสาม ,
พระอิศวรจีงประทานศรพรหมาสตร์ และมนต์สำหรับแปลงเป็นพระอินทร์ให้ , พระพรหม ประทานศรนาคบาศและ ประทานพรว่า ,ถ้ารณพักตร์จะตายให้ตายในอากาศ
และ เศียรของรณพักตร์ จะต้องถูกรองรับด้วยพานแก้วของพระองค์เท่านั้น ,มิฉะนั้น ถ้าเศียรตกพื้นจะกลสยเป็นไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก , ส่วนพระนารายณ์
ได้ประทานศรวิษณุปาณัมให้
เมื่อทศกัณฐ์รู้ว่า โอรสได้อาวุธและพรจากพระเป็รเจ้าก็ยินดียิ่ง , มีบัญชาให้รณพักตร์ ยกพลไปรบกับพระอินทร์เพื่อแสดงศักดานุภาพ
พระอินทร์นำทัพเทวดาออกมาสู้รบ , โดยใช้จักรแก้วและตรีศูร สู้กับรณพักตร์ ,แต่ก็ไม่อาจต้านทานอำนาจศรวิษณุปาณัม และ ศรนาคบาศได้ , พระอินทร์ จึงจำต้องถอยทัพหนีกลับไปโดยทิ้งจักรแก้วไว้ในสมรภูมิ รณพัตร์ นำจักรแก้วของพระอินทร์ไปให้ทศกัณฐ์ , เพื่อเป็นหลักฐานว่าตนรบชนะ ทศกัณฐ์ดีใจนัก , ตั้งนามใหม่ให้โอรสว่า อินทรชิต , แปลว่า ผู้รับชนะพระอินทร์
มียักษ์ตนหนึ่งชื่อ นนทกาล เป็นข้าช่วงใช้พระอิศวร , ทำหน้าที่เฝ้าประตูกำแพงชั้นใน , ยักษ์ นนทกาลหลงรักนางฟ้าชื่อมาลี วันหนึ่ง , หยอกเอินนางฟ้ามาลีด้วยการเด็ดดอกไม้ขว้างใส่ ,นางไปทูลฟ้องพระอิศวร , “ว่านททกาลอาจอง จะเกรงบาทบงสุ์ก็หาไม่ “ ,
พระอิศวรจึงสาปนนทกาลให้กลายเป็นควายเผือกสีสำลาน , ชื่อทรพา ,เมื่อใดถูกลุกชายฆ่าตายจึงจะกลับมาเป็นยักษ์ , ทำหน้าที่เหมือนเดิมได้อีก หลังจากถูกสาป , ทรพาเกรงว่า คำสาปของพระอิศวรจะส่งผล , จึงคอยหมั่นระวังดูว่าลูกของตนตัวใดบ้างที่ออกเป็นตัวผู้ ,ซึ่งพอพบก็ฆ่าทิ้งเสีย ,มีนางความในฝูงตัวหนึ่ง ชื่อ นิลากาสร , กลัวว่า ถ้าลูกของตนกับทรพาออกมาเป็นตัวผู้จะถูกพ่อฆ่า , จึงแอบหนีไปตกลูกในถ้ำ , เมื่อเห็นเป็นตัวผู้ ,
นางจึง “ให้กินนมแล้วปลอบลูกรัก แม่จะอยู่ช้านักก็ไม่ได้ ,แม้นพ่อของเจ้ารูปไป จะพากันบรรลัยในพริบตา “แล้วนางก็วอนฝากเทวดาในถ้ำ ให้ช่วยดูแลลูกแทนนางด้วย ,พวกเทวดาในถ้ำ สงสารนางนิลากาสร ,จึงช่วยกันปกปักรักษษลูกควายเป็นอย่างดี ตั้งชื่อให้ว่า ทรพี
กล่าวถึงท้าวทศรถแห่งกรุงอโยธยา ทรงปราถนาจะมีโอรส ,จึงเสด็จไปขอความช่วยเหลือจากฤษีกไล”กฎ ผู้มีณานอันกล้าแข็ง ,ฤษีกไลโกฎไปทูลเชิญพระนารายณ์ให้อวตารลงไปเกิด ,
เป็นโอรสท้าวทศรถเพื่อปราบยักษ์ พระนารายณ์ไม่ทรงขัดข้อง , โดยมีพญาอนันตนาคราชและพระลักษมีลงไปด้วย , พระอิศวรทรงอนุญาตเหล่าเทพแห่งธาตุและเทพแห่งดวงดาว ,ก็ขอแบ่งภาคตามไปเกิด เป็นทหารของพระนารายณ์ด้วย
ฤษีกไลโกฎ กลับมาทำพิธีเชิญข้าวทิพพย์ , กลิ่นข้าวทิพย์หอมลอยไปถึงกรุงลงกา ,นางมณโฑได้กลิ่นจึงอยากเสวย ทูลทศกัณฐ์ว่า , “แม้นมาตรมิได้ดังใจคิด ชีวิตจะม้วยอาสัญ “
ทศกัณฐ์สั่งให้ นางกากนาสูรไปชิงข้าวทิพย์มาให้ , นางกากนาสูรแปลงเป็นอีกายักษ์ , ไปจิดโฉบเอาข้าวทิพย์มาได้ครึ้งปั้นจากทั้งหมด สี่ปั้น , แล้วนำมาให้นางมณโฑ ,
ส่วนข้าวทิพย์ที่เหลือ สามปั้นครึ่งนั้น , ฤาษีกไลโกฏ มอบให้มเหสีทั้งสามของท้าวทศรถ , คือนางเกาสุริยา นางไกยเกษี และนางสมุทราเทวี
นางทั้งสามเสวยข้าวทิพย์แล้ว ก็ทรงครรภ์ , ส่วนนางมณโฑ เมื่อเสวยข้าวทิพย์ที่นางกากนาสูรขโมยใาให้ , ก็ทรงครรภ์เช่นกัน
ต่อมา มเหสีทั้งสามของท้าวทศรถ ก็ประสูติโอรส , นางเกาสุริยา มีโอรสผิวกายเปล่งรัศมีสีเขียว ดั่งผลึกนิลมณี ,พระนารายณ์ อวตารลงมาในร่างมนุษย์ ,
เป็นโอรสองค์โตของท้าวทศรถเจ้าเมืองอโยธยา ศรีรามเทพนคร , นางสมุทรเทวี มีโอรสแฝดสององค์ องค์หนึ่งผิวกายสีเหลืองทอง ชื่อพระลักษณ์ คือพญาอนันตนาคราชมาเกิด ,
และอีกองค์หนึ่งมีผิวกายสีม่วงอ่อน ชื่อ พระสัตรุต ,ส่วนนางไกยเกษีนั้นมีโอรสที่มีรีศมีกายดังแสงทับทิม ชื่อ พระพรต
ฝ่ายนางมณโฑ ก็ประสูติพระธิดา ,ซึ่งเป็นอวตารของพระลักษมี “ผิวพรรณนวลละอองผ่องพักตร์ ผิดสุริย์วงศ์ยักษ์ในลงกา “ , ทารกร้องขึ้นว่า “ผลาญราพณ์”ถึง สามครั้งหลังประสูติ
ทศกัณฐ์ให้พิเภกทำนายดวงชะตาพระธิดา ,พิเภกทำนายว่า “อันจะเลี้ยงไว้เห็นไม่ได้ ดั่งหนึ่งกองไฟเผาผลาญ , ลงกาจะเป็นภัสม์ธุลีการ โลหิตเปรียบปรานวาริน ,
แม้นอาลัยในราชธิดา สุริย์วงศ์พรหมาจะสูญสิ้น “ , จึงทูลแนะให้ทศกัณฐ์ เอาพระธิดาใส่ผอบทองลอยน้ำไป
พระชนกฤษี กษัตริย์แห่งเมืองมิถิลา ,ซึ่งสละราชสมบัติออกบวช เก็บผอบทองนี้ได้ , คิดว่าตนเป็นฤษี ไม่ควรจะเลี้ยงเด็กผู้หญิงไว้ , จึงฝากทารกในผอบไว้กับเทวดาในป่า ,
แล้วนำผอบไปฝังดินไว้ พร้อมอธิฐานว่า ,”หากมีวาสนาจะได้เป็นพ่อลูกกันจริง ,เมื่อทรงลาพรต กลับไปครองเมืองแล้ว ,ขอให้กลับมาขุดพบผอบนี้
ต่อมา เมื่อพระชนกลาพรตจะกลับเมือง ก็มาขุดผอบแต่ไม่พบ ,จึงให้นายโสมผู้เป็นศิษย์ เทียมคู่โคควายไถจนพบ , พระชนกจึงตั้งชื่อพระธิดาบุญธรรมว่า สีดา
นำกลับไปเลี้ยงในฐานะเจ้าหญิงแห่งเมืองมิถิลา
เมื่อโอรสทั้งสี่เจริญวัย , ท้าวทศรถได้ส่งไปเล่าเรียนวิชากับฤษีวสิษฐ์ และ ฤษีสวามิตร , พระรามกับบรรยาพระอนุชา เรียนศิลปศาสตร์และไตรเพทวิทยา ,
โดยเฉพาะการยิงธนูศรจนชำนาญ , ฤษีทั้งสองได้ทำพิธีชุบศร ให้มีฤทธานุภาพ , ร้อนถึงพระอิศวร เสด็จลงมาประทานศรวิเศษ สามเล่มให้พระราม ,
คือ พรหมาสตร์ อัคนิวาต และ พลายวาต , จากนั้น ฤษีก็ไปส่งโอรสทั้งสี่กลับเมือง
พระราม เจริญวัย เป็ยชายหนุ่มรูปงาม , รอบรู้การปกครอง และ ชำนาญการสู้รบ , จนอสูรทั้งหลายต่างยำเกรง
พระนามของพระราม....ผู้อวตาร , จึงเป็นที่กล่าวขานไปทุกหนแห่ง ........ฝ่ายทศกัณฐ์ คิดระแวงว่า ,ถ้าปล่อยให้พวกฤษีทำพิธีหรือบำเพ็ญพรตได้ตามชอบใจ , นานไปก็จะปราบยักษ์อย่างตนได้ ,จึงสั่งให้นางกากนาสูรและบุตรทั้งสองคือมารีสและสวาหุ ,ไปคอยบินโฉบจิกตีพวกฤษีจนแตกตื่น
เมื่อพระรามทรงทราบก็แผลงศรประหารนางกากนาสูร , ด้วนสวาหุและมมรีส ครั้นรู้ว่ามารดาสิ้นชีวิต ก็ออกมาต่อสู้ ,สวาหุ ถูกศรพระรามตาย ,ส่วนมารีสนั้น เห็นพระรามมีสี่กร ,
ขณะแผงสอนสังหารสวาหุ จึงรีบหนีไป ด้านเมืองมิถิลา พระชนกเห็นว่านางสีดามีชันษา สิบหกปีแล้ว , ก็จะหาคู่ให้ โดยพิธียกศิลป์ หรือศรธนู , ผู้ใดยกศรขึ้น ผู้นั้นก็จะได้นางสีดาไปครอง
เมื่อบรรดากษัตริยืต่างเมืองรู้ข่าวก็เดินทางมาร่วมพิธี ,ฝ่ายพระรามและพระลักษณ์ เมื่อรู้จากฤษีวสิทธิ์และ ฤษีสวมิตร ,ก็ตามพระอาจารย์ไปร่วมพิธีด้วย , ปรากฎว่า ไม่มีกษัตริย์องค์ใดสามารถยกศรขึ้นได้ พระลักษมณ์ออกไปลองขยับ ก็สามารถเขยื่อนศรได้ , แต่เพราะพระลักษมณ์รู้ว่า พระรามพึงใจนางสีดา , ตั้งแต่ได้สบตานางเป็นครั้งแรก , พระลักษมณ์จึงไม่ยกศรขึ้น ,
พระรามรู้ความนัย จึงเสด็จออกไป “พระสี่กรจับคันศิลป์ชัย อันมหาธนูสิทธิ์ศักดิ์ , จะหนักพระหัตถ์ก็หาไม่ ยกขึ้นได้คล่องว่องไว , ภูวไนยกวัดแกว่งสำแดงฤทธิ์ “ , พระรามจึงเป็นผู้ได้นางสีดา
เมื่อพระชนกจะจัดพิธีวิวาห์ พระรามกับนางสีดา , ก็มีสารไปทูลท้าวทศรถให้ทรงทราบ , ท้าวทศรถจึงยกทัพไปร่วมพิธี ,และรับพระราม พระลักษทณ์ และนางสีดากลับเมือง
ระหว่างทางได้พบกับยักษ์รามสูรซึ่งออกมาเที่ยวป่า , รามสูรเห็นบรรดาทหารของท้าวทศรถก็แสดงอำนาจ รุกไล่ทะลวงตี , พวกทหารสู้ไม่ได้ พากันหนีไปหลบซ่อน
พระรามจึงต้องต่อสู้กับรามสูร , เมื่อรามสูรถูกพระรามตีด้วยศร ,รามสูรเห็นพระรามมีสี่กร จึงเชื่อตามที่พระรามบอกว่า ,ทรงเป็นนารายณ์อวตาร ,รามสูรขอประทานอภัยโทษและถวายศร
พระรามฝากสรที่รามสูรมอบให้ไว้กับพระพิรุณให้ช่วยรักษาไว้ ฝ่ายทรพีซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำแก้วสุรกานต์ , มีเหล่าเทวดาปกปักรักษามาจนเติบใหญ่ , ก็คอยเฝ้าวัดรอยตีนของตนกับของทรพาผู้เป็นพ่อเรื่อยมา
วันหนึ่งเห็นว่ารอยตีนใหญ่เท่ากับของทรพาแล้ว ก็ไปดักพบ , กล่าวเยาะเย้ย ท้าต่อสู้ ,ทรพาเห็นทรพีอหังกานัก ก็โกรธ , “โก่งหางวางวิ่งส่ายเขา ถาโถมโจมเข้าขวิดไขว่”
ฝ่ายทรพีก็ “โก่งคอย่อท้ายยืนประจัญ เสี่ยวขวิดติดพันกระชั้นมา, อันเขาต่อเขาเข้าประหาร เสียงสะท้านเปรี้ยงปร้างดั่งฟ้าผ่า” แต่ในที่สุด ทรพาก็เสียที ถูกทรพีขวิดตาย ตามคำสาปพระอิศวร
เมื่อเอาชนะทรพาได้ , ทรพีก็ยิ่งลำพองคะนองฤทธิ์ เที่ยวท้าใครต่อใครสู้ไปทั่ว , ตั้งแต่สัตว์ด้วยกันจนไปถึงเทวดา แต่ไม่มีใครยอมสู้ด้วย , ต่างก็บ่ายเบี่ยงให้ทรพีไปท้าสู้กับผู้อื่น
ท้ายสุด ,พระสมุทรยุให้ทรพีไปท้าพระอิศวร , ทรพี จึงไปท้าลองฤทธิ์กับพระอิศวรถึงเขาไกรลาส , แต่พระอิศวรไม่ยอมลดองค์ลงไปสู่ด้วย ตรัสบริภาษว่า ,
“ฆ่าพ่อตายแล้วมิหนำ จะซ้ำเอาคอมารอจักร” , ถ้าทรพีอยากมีเรื่องก็ให้ไปท้าสู้กับพาลี , แล้วพระอิศวรก็สาปให้ทรพีต้องตายด้วยมือพาลี , จากนั้นก็ให้ไปเกิดเป็นลุกของพญาขรน้องของทศกัฐณ์
และภายหลังก็ให้ตายด้วยศรของพระราม ทรพีไปถึงเมืองขีดขิน เที่ยวไล่ทำร้ายบริวารวานรของพาลี , จนพาลีต้องออกมาปราบ ,ทั้งสองต่อสู้กัน ตั้งแต่เช้าถึงเย็น ก็ยังทำอะไรกันไม่ได้ ,พาลีรู้สึกว่า ทรพีเป็นแค่ควาย แต่กลับแข็งแกร่งกว่าทศกัณฐ์
จึงออกอุบายลวงทรพีว่า , วันนี้สิ้นแสงอาทิตย์แล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปสู้กันต่อในถ้ำ
ทรพีหลงกลบอกว่า รุ่งขึ้นตนจะไปคอยอยู่ที่ปากถ้ำ ,ฝ่ายพาลี สั่งสุครีพน้องชายว่า , ถ้าตนไปสู้กับทรพี เจ็ดวันแล้วยังไม่กลับมา ,ให้ไปดูเลือดที่ไหลออกมาจากถ้ำ ถ้าเลือดข้นคือเลือดทรพี ,
แต่ถ้าเลือดใสจาง คือเลือดของตน , และถ้าเห็นเลือดของตนไหลออกมา ก็ให้เกณฑ์ไพร่พลเอาก้อนหินปิดปากถ้ำเสีย
รุ่งขึ้น พาลีไปต่อสู้กับทรพีในถ้ำตามนัด , สู้กันถึงเจ็ดวันก็ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ , พาลีสงสัยว่า เหตุใดทรพีจึงมีพลังมากกว่าปกติ ,จึงแสร้งถามว่า มีเทวดาองค์ใดคอยปกปักรักษษหรือ ,
ทรพีตอบด้วยความโอหังว่า , “ เทวัญองค์ใดไม่สิงสู่ ตัวกูมรฤทธิ์ด้วยสองเขา” พาลีจึงกล่าวกับเทวดาทั้งหกองค์ที่รักษาทรพีว่า , ทรพีอกตัญญูถึงเพียงนี้ จะรักษาคุ้มครองไปเพื่ออะไร
เหล่าเทพเห็นด้วยและรู้สึกน้อยใจ พากันออกจากร่างทรพี ,พาลีจึงสามารถสังหารทรพีได้สำเร็จ , ทรพีไปเกิดเป็นลุกพญาขร ชื่อมังกรกัณฐ์ หลังจากพาลีฆ่าทรพีได้ เทวดาในป่าเขาพากันยินดี ,บันดาลให้ฝนตกลงมา น้ำฝนชะเลือดข้นๆของทรพีจนใสจาง , สุครีพซึ่งยกทัพตามมาดู , เห็นเลือดใสก็คิดว่าเป็นเลือดของพาลีพี่ชาย
จึงสั่งให้ไพร่พลเอาหินปิดปากถ้ำไว้ ,ฝ่ายพาลีจะออกจากถ้ำ เห็นปากถ้ำถูกปิดก็โกรธ , คิดว่าสุครีพทรยส จึงเอาหัวทรพีที่ตัดมา ขว้างปากถ้ำพัง
เมื่อกลับไปถึงเมืองก็ไล่สุครีพออกจากเมือง , สุครีพเสียใจที่พาลีไม่เห็นความจงรักภักดีของตน ,เดินร้องไห้เข้าไปในป่า จนได้พบกับ หนุมานหลานชาย ,หนุมานปลิบสุครีพว่า ให้อยู่รอเป็นทหารพระนารายณ์ด้วยกัน
ท้าวทศรถ ตั้งพระทัยจะอภิเษกพระรามให้ขึ้นครองราชย์ , แต่นางค่อมกุจจีทาสี หลังค่อมของนางไกยเกสี , ซึ่งมีความคุมแค้นพยาบาทพระราม ตั้งแต่ตอนที่พระรามยังเยาว์วัย
พระราม ได้ไปซ้อมยิงลูกกระสุนกับบรรดาอนุชา , เมื่อเห็นนางค่อม จึง “ยิงอิค่อมหลังกุ้ง ให้โก่งนั้นดุ้งไปข้างหน้า “ , ตอนนี้นางค่อมได้โอกาส , จึงทูลยุนางไกยเกสี ให้ทวงขอพรจากท้าวทศรถ
ให้พระพรตโอรสของตน ได้ครองราชย์แทนเพราะครั้งที่ท้าวทศรถ , รบกับยักษ์ปฑูตทันต์ ,นางไกยเกสี ได้ใช้แขนของตนสอดแทนเพลารถที่หัก ท้าวทศรถจึงสามารถเอาชนะปฑูตทันต์ได้ , ในครั้งนั้น ท้าวทศรถ ซาบซึ้งพระทัยถึงกับสัญญาว่า ,ถ้านางไกยเกสี ทูลขออะไรก็จะประทานให้
เมื่อนางไกยเกสีได้ฟังนางค่อมก็เห็นดีด้วย , จึงแสร้งทูลพระสวามีด้วยมารยาหญิง , ขอให้พระพรตได้ครองราชย์ก่อนพระราม ,ส่วนพระรามนั้นให้ออกไปเดินป่าสิบสี่ปี แล้วค่อยกลับมาครองแผ่นดิน ท้าวทศรถ กลิ้วที่นางไกยเกสีมีจิตริษยา , ทรงพยายามยกเหตุผล ว่า ,เป็นการไม่สมควรที่น้องจะครองราชย์ก่อนพี่ , แต่นางไกยเกสีลำเลิกถึงคำสัตย์สัญญาของพระองค์
ทว่า.....ลาภ ยศ และเสียงสรรเสริญ คือสิ่ง ไม่ จีรัง ........ท้าวทศรถ ผู้เป็นพระบิดา , จำต้องบัญชาให้พระราม ออกผนวช , อยู่ป่า เป็นเวลา สิบสี่ปี , ด้วยพระปรีชาของพระราม หากแม้นคิดทุรยศ ,ก็สามารถยึดเมืองอโยธยาได้ อย่างไม่ลำบาก แต่พนะองค์ เลือกที่จะเป็นผู้ทรงธรรม ,รักษาสัจจะพระบิดา
สีดา .. ชายาผู้ทรงโฉม , และพระลักษมณ์ อนุชาผู้ภักดี ,ทั้งสองมีความรักสุดหัวใจต่อพระราม , จึงได้ขอร่วมออกผนวชด้วย
ครั้นพระพรตทรงทราบว่า ,พระมารดาทำการไม่สมควรอย่างยิ่ง ก็กริ้วมาก ,ถึงกับประกาศตัดแม่ตัดลูก ,นางไกยเกสีตกใจ เพราะหลงคิดว่า ,พระพรตจะทรงยินดี แต่ทุกอย่างกลับตาลบัตร , ยิ่งกว่านั้น...เมื่อถึงเวลาถวายเพลิงพระศพท้าวทศรถ ,ซึ่งตรอมพระทัยสิ้นพระชนม์
แต่ด้วยความแค้น จึงสั่งเสียฤษีวสิทธิ์และฤษีสวามิตรไว้ว่า , หากพระองค์สิ้นพระชนม์ , “อันซึ่งซากศพของโยมนี้ อย่าให้อีกาลีมันต้องได้ ,แม่ลูกอย่าให้เข้าจุดไฟ ข้าสั่งไว้เป็นความสัตยา “นางและพระพรตก็ถูกห้ามเข้าร่วมพิธี , พระพรตนั้นเสียพระทัยถึงกับ “ล้มลงตรงหน้าพระเมรุทอง ดังต้องแสงศรสังหาร , นัยย์เนตรมืดมนอนธกาล ตะลึงลานครวญคร่ำรำพัน “
หลังพิธีเสร็จสิ้นลง ,พระพรตและพระสัตรุตออกไปทูลเชิญพระรามกลับมาครองราชย์ ,นางไกยเกสีซึ่งได้สำนึกผิดก็ได้ตามไปขออภัยพระราม ,และขอให้พระรามเสด็จกลับเมือง
ฝ่ายพระรามตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า , จะเดินป่าต่อจนครบ สิบสี่ปี เพื่อรักษาวาจาสัตย์ของพระบิดา , คำปฏิเสธของพระราม ทำให้พระพรตเสียพระทัยยิ่ง
พระพรตได้ขอฉลองบาทของพระรามไปไว้ในปราสาทแก้ว , แล้วทูลว่า “จะกินน้ำตาสิบสี่ปี กว่าภูมีจะคืนพระนคร “
ป่า......สถานที่สิงสูของยักษ์ และสัตว์ร้ายที่มีเขี้ยวเล็บ , ช่วงเวลาหลายปีที่พระราม สีดา และพระลักษมณ์ ,ออกผนวชรอนแรมในป่า ซึ่งเผชิญกับภันอันตรายมากมาย
เมื่อเดินทางมาถึงริมแม่น้ำ โคธาวารี ,พระอินทร์ จึงเนรมิตรศาลา เพื่อให้ทั้งสามได้พำนัก , ถือศีลอย่างสุขสงบ
หากแม้นสะเก็ดไฟ สามารถทำให้เกิดเพลิงลุกลาม , ผลาญป่าเขาได้ , มหาสงครามระหว่างธรรมะ และอธรรมอันยิ่งใหญ่ ,ก็มีเหตุจากเชื้อไฟราคะ ของนางยักษ์ตนหนึ่ง ผู้ชำนาญการเพ็ดทูล ปริ้นปร้อน , นาม..... สัมมนักขา
กล่าวถึงนางสัมนักขา น้องสุดท้องของทศกัณฐ์ , หลังจากชิวหาผู้เป็นสามีตาย , นางก็ออกเที่ยวป่าเพื่อหาคู่ใหม่ ,ได้พบพระรรมก็หลงรัก เนรมิตรกายเป็นนางงาม ,
แล้วขอถวายตัวอยู่ปรนนิบัต , แต่พระรามไม่ทรงไยดี , นางตามไปถึงอาศรม เห็นนางสีดางามนัก ,”สตรีเหมือนกันยังพิศวง ตะลึงหลงด้วยความสโมสร ,
นี่หรือพระยอดฟ้ามิอาวรณ์ ตัดรอนกูเสียไม่อาลัย “ , ก็ริษยา จึงคืนรูปเป็นยักษ์ เข้าทำร้ายนางสีดา พระลักษมณ์ ได้ยินเสียงดังจึงออกมาดู , แล้วช่วยพระรามลงโทษนางสัมนักขา ,ด้วยการตัดหู จมูก และมือเท้าของนางเสีย
นางสัมนักขาไปฟ้องพญาขรพี่ชาย , ใส่ความว่า พระรามพระลักษมณ์จะลวนลาม , แต่นางไม่ยอมจึงถูกทำร้าย , พญาขรจึงไปสู้กับพระราม ,ถูกพระรามฆ่าตาย
พวกไพร่พลยักษ์ที่รอดชีวิต นำข่าวไปบอกพญาทูษณ์ , พญาทูษณ์ก็ไปรบกับพระราม เพื่อแก้แค้น , แต่ก็ถูกพระรรมสังหาร
เมื่อเรื่องรู้ไปถึงพญาตรีเศียร , พญาตรีเศียรก็ไปรบกับพระราม แต่ก็ถูกฆ่าตายอีก , นางสัมนักขาจึงหนีกลับกรุงลงกา ไปฟ้อง....ทศกัณฐ์
แต่งเรื่องว่า ..ตนไปเที่ยวป่าพบนางสีดา , “นางนั้นทรงโฉมอรชร ยิ่งเทพอัปสรในราศี , ตัวข้าอุ้มองค์นางเทวี จะพาหนีมาถวายภูวไนย “แล้วเล่าเรื่องที่บรรดาพี่ชายถูกฆ่าตายหมด ,นางสัมนักขา ยุให้ทศกัณฐ์สังหารพระลักษมณ์ พระราม , แล้วชิงนางสีดามา
เมื่อทศกัณฐ์ได้ฟังคำเพ็ดทูลของนางสัมนักขาก็กริ้ว , ทั้งอยากแก้แค้น และอยากได้นางสีดา , “ยิ่งคิดพิศวาทจะขาดใจ ราคะร้อนฤทัยใหลหลง “
เมื่อทศกัณฐ์บอกนางมณโฑว่า จะไปแก้แค้นให้น้อง ,โดย “พี่คิดจะลักเอาเมียมา ให้แสนโศกาน้ำตาไหล “ , นางมณโฑทูลเตือนว่า “ซึ่งจะไปลักเมียเขามา โลกาจะสำรวลเย้ยหยัน , ถึงชอบก็เห็นเป็นเสียธรรม์ อย่าหุนหันให้ผิดประเวณี “
แต่ทศกัณฐ์ดึงดันอ้างว่า , “พี่ตัดต้นกลศึกด้วยปรีชา จะกลัวนินทาก็ใช่การ “ , แล้วมีบัญชาให้มารีศ บุตรนางกากนาสูร ,ช่วยทำอุบายลักตัวนางสีดา
ฝ่ายมารีส ครั้นรู้ว่า นางสัมนักขาไปมีเรื่องกับพระราม ,แล้วยุทศกัณฐ์ให้แก้แค้นแทน ก็ทูลเตือนทศกัณฐ์ว่า ,พระรามคือพระนารายณ์อวตาร ,
เพราะตนเคยเห็นพระรามมีสี่กรกับตามาแล้ว , แต่ทศกัณฐ์ไม่เชื่อ ทั้งยังโกรธ , ขู่จะฆ่าล้างโคตรของมารีศ ,ในที่สุด มารีสก็ต้องยอมร่วมมือด้วย
มารีศแปลงเป็นกวางทอง , “ผิวผ่องเพียงเทพเลขา สองเขาดั่งแก้วมุกดา , สองตาดั่งดวงมณีนิล สองหูดั่งกลีบบุษบัน “ แสร้งเดินผ่านนางสีดา ,นางสีดาเห็นก็อยากได้ ,ขอให้พระรามไปจับมาให้ , พระรามสงสัยว่าจะเป็นยักษ์แปลงมา ,แต่ขัดนางรำพันอ้อนวอน “ดังหนึ่งชีวันจะวายปราณ”ไม่ได้ ,จึงต้องยอม .....
ก่อนจากไป พระรามสั่งพระลักษมณ์ให้อยู่คุ้มครองนางสีดา ฝ่ายมารีศนั้น กลัวพระรามอยู่แล้ว , ยิ่งต้องคอยวิ่งหนีก็ยิ่งหวาดหวั้นระแวง คอยเหลียงหลังดุว่า , พระราม ตามาถึงไหนแล้ว ,
เหลียวไปเหลียวมาก็ลืมสติ หน้า เลยกลับคืนเป็นยักษ์ พระรามเห็นหน้ามารีศก็จำได้ จึงยิงด้วยศร , ก่อนตาย มารีศแกล้งร้องเป็นเสียงพระราม ,ขอให้พระลักษมณ์มาช่วย ตามที่ทศกัณฐ์วางแผนไว้ให้ ,นางสีดาได้ยินก็ตกใจ ขอให้พระลักษมณ์รีบออกไปช่วยพระราม พระลักษมณ์ รู้ว่าไม่ใช่เสียงของพระราม แต่ก็ขัดนางไม่ได้ , จึงต้องออกไปจากอาศรม
ฝ่ายทศกัณฐ์ ซึ่งสะกดรอยตามมารีศ มาแอบดูเหตุการณ์อยู่ , ครั้นเห็นพระลักษมณ์ออกจากอาศรม ,ก็แปลงเป็นฤษี ไปสรรเสริญทศกัณฐ์ ,
เกลี้ยกล่อมให้นางสีดายอมเป็นมเหสีทศกัณฐ์ , แต่นางสีดากลับตำหนิว่า “ อันทศเศียรขุนยักษ์ ชั่วนักไม่มีใครเปรียบได้ ,
เขารู้อยู่สิ้นทั้งแดนไตร เหตุใดมาชมกันว่าดี”เมื่อฤษีแปลงพูดดูหมิ่นพระราม ว่าเทียบกับทศกัณฐ์ไม่ได้ , นางสีดาโกรธ จึงเย้ยว่า “อันทูษณ์ขรตรีเศียรสามนาย น้องชายทศกัณฐ์นั้นไปไหน ,
กับพลสี่สิบสมุทรไท คือใครสังหารชีวัน “ทศกัณฐ์ได้ฟังก็กริ้ว คืนร่างเป็นยักษ์ แล้วจับตัวนางสีดาเหาะไป
ระหว่างทาง ทศกัณฐ์พบนกสดายุ , ซึ่งเป็นสหายรักร่วมชีวิตของท้าวทศรถ ,กำลังจะไปเยี่ยมพระราม , เมื่อสดายุเห็นทศกัณฐ์บังอาจลักพานางสีดาไว้ท้ายรถทรง
ซึ่งแวดล้อมด้วยเหล่าบริวารยักษ์ , ก็พยายามจะช่วยนางสีดา ด้วยการบินจิกตีพวกยักษ์จนตายหมด ทศกัณฐ์อุ้มนางสีดา ต่อสู้กับสดายุ อย่างพะว้าพะวัง , สดายุทำลายอาวุธของทศกัณฐ์จนเหลือแต่มือเปล่า , แล้วเผลอกล่าวเยาะเย้ย ทศกัณฐ์ว่า ,ตนไม่กลัวใคร นอกจากพระนารายณ์
และจะไม่แพ้อาวุธใคร นอกจากแหวนของพระอิศวร , ซึ่งสวมอยู่ที่นิ้วก้อยของนางสีดา ทศกัณฐ์จึงจับนางสีดาถอดแหวนออก ขว้างใส่ ,สดายุปีกหักร่วงลง , แล้วเหาะพานางสีดาไปกรุงลงกา
เมื่อครั้งที่พระอิศวรมีเมตตาแก่เราสองพี่น้อง พาลีและสุครีพ , ทรงประทานพรพละกำลังแก่พาลี , และมอบผอบใส่นางดารา ฝากพาลีมามอบแก่สุครีพ
ครั้งนั้น...พระนารายณ์ทรงห้าม , เพราะเกรงว่าสุครีพจะไม่ได้นางดารา ,พาลีจึงถวายสัตย์สาบาน , หากไม่มอบแก่สุครีพ , ให้ตายด้วยศรพระนารายณ์
สุดท้าย ...พาลีเปิดดูผอบ ,เกิดความลุ่มหลงนางดารา , จึงครอบครองเป็นชายา ลืมสัตย์สาบาน พระรามผู้อวตาร เมื่อฟังความจากสุครีพ , ก็ระลึกได้ถึงสัตย์สาบานนั้น ,จึงตกลงที่จะช่วยสุครีพ ปราบ พาลี พระรามมีรับสั่งให้หนุมาน คุมวานร ,ไปสืบข่าวความเป็นไปของสีดา , และดูเส้นทางแห่งลงกา ว่าเป็นเช่นใด , พร้อมส่งแหวนและสไบ ฝากหนุมานถวายสีดา ,เพื่อแจ้งข่าวว่า พระองค์ กำลังเคลื่อนพล ไปรับตัวนางกลับมา
หลังค้นหาจนทั่วเมือง , ในที่สุด..งก็ทราบที่พำนักของสีดา ,ว่าอยู่ในเขตราชอุทยานของ ลงกา
ตั้งแต่ทศกัณฐ์ลกสีดามาพำนัก ณ ที่นี้ , พญายักษ์ ก็คอยมาเกี้ยวพาราศี , พร้อมมอบเพชร นิล จิณดา , หวังผูกมัดใจโฉมงาม
แต่สีดา ..ตั้งจิตอธิษฐาน ,ซื่อตรงต่อพระราม ,กายของนาง จึงร้อนดังเพลิงไฟทุกครั้ง ..ที่ทศกัณฐ์เข้าใกล้ สีดา...ไม่อาจทนอยู่อย่างสิ้นหวังเช่นนี้ได้อีกต่อไป , จึง คิด ปลิดชีพ ตนเสีย หลังจากหนุมานช่วยสีดาแล้ว , จึงทูลถึงข่าวของพระราม ,พร้อมกับถวายแหวน และสไบ หนุมาน ..ทำลายสวนขวัญ และสังหารอศุรล้มตาย มาก....มาย
บัดนี้..ความหลงทรนงในพลักำลัง , ได้ครอบงำเจ้าวานรเอาไว้เสียแล้ว พญาวานรน้อยใหญ่ ,ต่างทูลให้พระราม งดโทษไว้ในยามศึก , ส่วนหนุมานก็สำนุกในความผิดของตน ในครั้งนี้.....
ในคืนนั้น...ท้าววววทศกัณฐ์ เกิดนิมิตรร้าย เช้าวันต่อมา , เมื่อออกพระโรง ..... พระพี่ทศกัณฐ์ จึงปรึกษา พิเภก ผุ้เป็นอนุชา , และเป็นโหราธิบดี
ฝันของพระพี่เป็นลางบอกเหตุภายหน้า , อสูรหมู่ยักษ์จะเสียเลือดเนื้อ , เดือดร้อน ร่ำไห้ทั้งลงกา ด้วยความลุ่มหลงยินดีในสิ่งทั้งหลาย ย่อมนำไปสู่ความทุกข์ที่เจ็บปวด
พระพี่ ... จงหักซึ่งความเสน่หา , ส่งนางสีดาคืนให้สามีของนางเถิด อย่าอาวรณืในหญิงที่ผัวมีเลย ,มิฉะนั้น เหล่าอสูรทั้งหลายต้องมอดม้วยด้วยทัพพระรามเป็นแน่
ทศกัณฐ์โกรธเกรี้ยว เนรเทศน์พิเภกผู้อนุชาออกพ้นจากกรุงลงกาไป .........
พิเภก ...จึงใช้แว่นแก้ววิเศษ ที่ติดตัวมาแต่เกิด ,ส่องดูเพื่อให้รู้ว่า , ด้วยเหตุผลกลใดจึงเกิดเรื่องเพียงนี้
โลกนี้ ..มีตำนานมากมาย , อันแสดงถึงคงามคิด และภูมิปราชญ์แห่งบรรพอริยะชน , แะลหนึ่ง ในตำนานเหล่านั้น , มีเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ อันกล่าวถึงการต่อสู้ ระหว่างความดีงาม และความชั่วช้าอหังกาในอดีตกาล
สงครามทำลายล้างอสูรครั้งนี้ , คงยาก ที่จะเลี่ยงได้เสียแล้ว ....เมื่อนั้น พญาพิเภก ยักษา , ครั้นได้ศุภฤกษ์เวลา , อสุราให้ลั่นฆ้องชัย ,ชาวประโคม ก็ประโคมแตรสังข์ , ตีกลอง ก้องดัง หวั่นไหว
อันหมู่พหล พลไกร , โฮสนั่นลั่นไป เป็นโกลา , ใช้ยาม ภวาลฤทธิรงค์ , ก็โบกธง นำพลไปข้างหน้า , ดำเนินพยุหะ โยธา , ตามเกล็ดนาคา สถาวรณ์
บัดนี้ ..ทัพอันเกรียงไกรของพระราม ผู้อวตาร , กำลังก้าวเดินข้ามห้วงสมุทร เพื่อไปยังเมืองลงกา , สงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ , มิใช่เพียงการไปช่วยคนรักเท่านั้น
แต่ยังช่วยปลดปล่อยให้โลกเป็นอิสระ , จากเหล่าอสูรผู้ชั่วหยาบ ทั้งหลาย
เทพเทวชั้นฟ้า ครุฑ นาค ต่างร่วมอวยชัย แก่กองทัพแห่งองค์ราม ผู้อวตารเป็นมนุษย์ , ซึ่งเปี่ยมด้วยสัจจะ มุ่งมั่น และเต็มไปด้วยควาสกล้าหาญ ,
ไม่หวาดหวั่นกับการเผชิญกับอสูรตนใด
สงคราม ระหว่าง ธรรมะ และอธรรมครั้งใหญ่ ,กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ในไม่ช้า ........
ความลุ่มหลง , ความอหังการ , ของพญายักษ์ ทศกัณฐ์ นำไปสู่ มหาสงคราม แห่ง หายนะ เมื่อทัพแห่งองค์ผู้อวตาร ,รวมพลกันมหาศาล , ประยูรญาติที่ทศกัณฐ์ จะขอร้องให้มาช่วยการสึกครั้งนี้ , เห็นจะไม่พ้นไมยราพ ผู้ชำนาญเวทมนต์
และ กุมภกรรณ ผู้ประหนึ่งเป็นปราชูแห่งลงกา , ทั้งสอง เป็นอสูรผู้มีฤทธิ์ ,ที่พระรามและทัพวานร จะต้องระวัง ให้จงดี .......
ติดตามเรื่องราวต่างๆผ่านการเล่าเรื่อง : Lifesty ธรรมดา channel