bloggang.com mainmenu search

โบตั๋น. อเวจีสีชมพู. กรุงเทพฯ : ชมรมเด็ก, 2550.


แนะนำเรื่องจาก //www.pinklemon.com

"ผมรู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้เท่ากับผมกระโจนลงอเวจี แต่ผมก็เต็มใจทำเพื่อคนที่ผมรักและบูชามาชั่วชีวิต" "เขาคงรู้สึกว่าตกนรกอเวจีที่ต้องมาทนอยู่กับฉัน แต่เขาจะรู้หรือเปล่าว่าฉันเองก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะความเกลียดชัง แต่เพราะความรักที่ฉันจะไม่มีวันได้รับรักตอบ"


***************



จากเจ้าของบล็อก


ว่าจะเขียนถึงเรื่องนี้นานแล้ว ตั้งแต่ซื้อหนังสือตอนออกมาใหม่ ๆ แต่ลืม
พอมาเป็นละคร ก็ว่าจะเขียนอีกนั่นแหละ....แต่ขี้เกียจ เลยยังไม่เขียนสักที

เอ่อ....ก่อนจะลืมอีกรอบ ขอเขียนถึงหน่อยแล้วกัน

อเวจีสีชมพู เป็นเรื่องที่อ่านแล้วจะเครียด ก็ไม่เครียด จะหวานหรือ ยิ่งไม่ใช่
ไม่รู้จะจัดให้แบบไหน รู้แต่ว่าลุ้นให้น้าโป๊ะปล้ำหนูตุ่มสักทีเถอะ
แหม ก็เด็กมัน(ตั้งใจ) ยั่วขนาดนั้น น้าโป๊ะก็ใจแข็งอยู่ได้ ไม่ได้ดั่งใจคนอ่านเล้ยยยยยย

ถ้าดูตามท้องเรื่องแล้ว ชีวิตของหนูตุ่มนี่มันเครียด เครียดมาก
มีแม่ แม่ก็ไม่ค่อยสนใจ
มีพ่อ ก็คิดแต่จะหาผลประโยชน์จากลูก
ปู่ ก็หวังสมบัติ
ตา ก็ป่วย
บริวาร ก็ไม่จริงใจ
เพื่อน ก็เอาเปรียบ

อะไร ชีวิตของเจ้าหล่อนจะรันทดขนาดนั้น
แต่ ผสมย. อ่านแล้วไม่เครียดเพราะ ผู้เขียนไม่ได้พยายามบิ้วให้เราเครียดกับชีวิตที่ดูเหมือนจะรันทดของนางเอก
แต่ผู้เขียนกลับพาให้เราเข้าไปดูชีวิตจริงของเด็กสาวคนหนึ่ง ซึ่งแม้จะเจอเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย แต่หนูตุ่มก็พร้อมจะลุกขึ้นต่อสู้ ไม่มัวแต่สงสารตัวเอง แถมยังมีแรงไปยั่วผู้ชายได้อีก เอ๊ะ... นี่มันนางเอกรึเปล่าหว่า


อาจเป็นเพราะนางเอกเรื่องนี้ไม่ได้มัวแต่สงสารตัวเอง สามารถลุกขึ้นสู้ได้ตลอด ใช้ชีวิตไปตามทางที่ตนเองอยากจะทำ อาจจะถูกทางบ้าง หรือจะเซออกนอกเส้นทางไปหน่อย แต่สิ่งที่ได้พบเจอไม่ว่าจะเป็นเรื่องพ่อที่จ้องจะฮุบสมบัติ เพื่อนที่คอยเอาเปรียบ บทเรียนแต่ละอย่างที่ได้รับ ก็ช่วยทำให้สาวน้อยคนนี้ได้เติบโตขึ้นไปตามลำดับ อาจจะเป็นเพราะหนูตุ่มมีสิ่งยึดเหนี่ยวที่ดี สิ่งนั้นหรือ “คนนั้น” คือ น้าโป๊ะ ที่เป็นทั้งสามี (ในนาม) ของหนูตุ่มนั่นเอง

น้าโป๊ะ คือ ชายผู้มีศีลธรรมอันดีที่จะไม่เกี่ยวข้องกับเด็ก แม้เด็กนั่นจะเป็นภรรยาของตนก็ตาม น้าโป๊ะได้ส่งเสริมให้เด็กคนนั้นได้เห็น “โลก” ได้เล่าเรียนเพื่อช่วยเหลือตนเองได้ แม้ต่อไปจะไม่มีสามีเลี้ยงก็ตาม....ช่างเป็นผู้ชายที่ เริ่ดดดดด มากค่า ขออย่างนี้ 1 คน


อเวจีสีชมพูเป็นเรื่องราวที่สะท้อนชีวิตของคน ของกิเลสคนที่เมื่อไหร่ที่ปล่อยให้เจ้าตัวกิเลสนี่เข้ามาครอบงำจิตใจแล้วล่ะก็ ไม่ว่าเมีย หรือแม้แต่ลูกก็ถูกลืมเลือนไป ทำได้ทุกอย่างจนน่ากลัว
เป็นงานเขียนที่เป็น “แนว” ของโบตั๋นโดยแท้

เรื่องเยอะ ตัวละครแยะ จนทำให้คิดว่าถ้าเรื่องนี้เป็นละครแล้วคงเป็นละครชีวิต แรง ๆ แน่เลย (ถ้าช่อง 7 ได้ทำนะ) แต่พอเป็นช่อง 3 ทำhtmlentities(' >')>>
เอ่อ....มันเป็นยังงี้ไปได้ไง
เป็นละครที่ ผสมย. เปิดดูแล้ว งง ตกลงมันเรื่องเดียวกับนิยายที่ชั้นอ่านไปรึเปล่านี่ แต่จะให้วิพากษ์วิจารณ์ละครมากก็ไม่ได้ เพราะไม่สามารถทนดูจนจบตอนได้สักวัน



เอาเป็นว่า ผสมย. มีบทสัมภาษณ์คุณโบตั๋น จากหนังสือ all magazine ฉบับเดือนกรกฎาคม 2551 มาให้อ่านแทนแล้วกันนะคะ ตัดตอนเฉพาะบทสัมภาษณ์ที่เกี่ยวกับละครเรื่อง อเวจีสีชมพู (สัมภาษณ์ได้ใจคนอ่านนิยายมาก ๆ )


all: ถ้าสังเกต นิยายของโบตั๋น ส่วนมากจะเป็นนิยายสะท้อนสังคม ไม่ใช่แนวพาฝันที่นักเขียนสตรีทั่ว ๆ ไปเขียน
โบตั๋น: คงเพราะมันดังมาจาก “จดหมายจากเมืองไทย” ที่มันไม่ใช่นิยายพาฝันไง คนอ่านเขาก็ไม่หวังที่จะให้โบตั๋นพาฝัน นอกจากนาน ๆ ทีก็ลุกขึ้นมาเขียนแนวรัก ๆ ใคร่ ๆ อย่าง “ด้วยสายใยแห่งรัก” แต่อ่าน ๆ ไปจริง ๆ แล้วมันก็ค่อนข้างเครียด หรืออย่าง “ไฟในดวงตา” ที่พระเอกสุดจะทะลึ่ง แต่แก่นเรื่องมันก็ไม่กุ๊กกิ๊ก หรืออย่างเรื่องล่าสุด “อเวจีสีชมพู” ในหนังสือมันก็ไม่ได้กุ๊กกิ๊กแบบในละคร

all: พอเป็นละครกลายเป็นละครกุ๊กกิ๊ก
โบตั๋น: ในหนังสือมันมีบทกุ๊กกิ๊กแค่หนึ่งในสิบ แถมในละครยังไม่มีการปูพื้นเรื่องให้คนดูเข้าใจอีกต่างหาก ในหนังสือบทของถมปัดมีมากกว่าในละครสักร้อยเท่า (หัวเราะ) เยอะมาก เพราะถมปัดเป็นตัวเดินเรื่องทั้งหมด พอตัดตัวเดินเรื่องออก มันก็เลยคงเหลือแต่บทกุ๊กกิ๊ก ๆ แถมยังตัดตัวผู้ร้ายอื่นออกหมดเลย เหลือแต่ตาศพลอยู่คนเดียว แต่เราก็ได้ดูอยู่แค่ตอนสองตอนเองนะ เพราะปกติเป็นคนไม่ชอบดูละคร

all: แม้แต่ละครจากนิยายของตัวเองหรือคะ
โบตั๋น: ก็อาจจะดูตอนแรก ๆ แล้วก็ไปดูตรงกลาง แล้วก็ตอนท้ายอีกนิด แต่ก็มีบางเรื่องที่ดูนานหน่อย เรื่อง “สัมปทานหัวใจ” ที่จอห์นกับสิเรียมเล่น นี่ดูนาน จะดูซิว่า นายจอห์นถอดเสื้อแล้วเป็นไง (หัวเราะ) ก็ดูไปอย่างนั้นแหละ จริง ๆ แล้วนักเขียนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยดูหรอก

all: รู้สึกอย่างไรคะ เมื่อนิยายกลายเป็นละคร แล้วผู้จัดเขาดัดแปลงบทประพันธ์ไปเยอะ
โบตั๋น: เขาทำไว้ตั้งแต่ตอนทำสัญญาแล้วว่า ขอเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม ที่นี้เหมาะสมเขากับเหมาะสมเรา มันก็คงไม่เหมือนกัน ก็เลย.... อย่าทะเลาะกันดีกว่า แต่เราก็รู้นะว่าเขาจำเป็นต้องทำ อย่าลืมว่าบางทีเราเขียนพระเอกนั่งคิดทีนึงสามตอน แล้วจะให้เขาทำบทยังไง เขาก็ต้องเพิ่มตัวละครอื่น ๆ มาเดินเรื่องให้รู้ว่าเขาคิดอะไร แต่บางทีมันก็แก้มากไปหน่อย

all: เรื่อง “อเวจีสีชมพู” นี่ถือว่าดัดแปลงเยอะไหม
โบตั๋น: เรื่องนี้มันก็ปูพื้นเรื่องน้อยไปหน่อย คนดูก็เลยไม่เข้าใจ ยิ่งเรื่องกฎหมายถ้าไม่ปูพื้นเลยจะยิ่งไม่เข้าใจ ในละครใช้คำว่า โป๊ะเป็นผู้ปกครอง จริง ๆ แล้วโป๊ะเป็นสามี หรือต้องรอถึงอายุ 20 ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ต้อง คุณจดทะเบียนสมรสแล้วโดยที่พ่อแม่อนุญาต ชาย 17 หญิง 15 คุณบรรลุนิติภาวะแล้ว ผ่านพ้นความเป็นเด็กไปหมดแล้ว เพราะคุณแต่งงานแล้ว หนูตุ่มในเรื่องสามารถหย่าได้เลย แต่เขาไม่ยอมหย่า เพราะกลัวว่าพ่อจะมาปอกลอก เลยเอาโป๊ะ ซึ่งเป็นสามีมาเป็นเกราะกำบังไว้ เพียงแต่เขาไม่เขียนบทให้ชัดเจน มันก็เลยดูไม่รู้เรื่อง คนดูก็เลยงง

all: จริง ๆ ในหนังสือนี่มันบอกไว้หมด
โบตั๋น: อย่างเรื่องจดทะเบียนเขาปิดจนเกือบจบมหาวิทยาลัย เอกสารทุกอย่างจะเอาทะเบียนเก่าไปใช้ เพราะบัตรประชาชนยังไม่หมดอายุ ส่วนบัตรใหม่ก็เก็บเอาไว้ อย่าให้ใครเห็น ไม่มีใครรู้หรอก ในหนังสือเราอธิบายไว้อย่างละเอียดชัดเจนว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เราแก้ปัญหาไว้ให้หมดทุกขั้นทุกตอน หรืออย่างตอนถมปัดให้ตุ่มแต่งงานกับโป๊ะน่ะ เขาอยากให้โป๊ะแต่งงานแล้วพาไปอยู่เมืองนอก เพราะโป๊ะทำงานอยู่ที่เมืองนอก แต่ในนี้ไม่ได้ปูไว้เลย

all: บางทีปูเรื่องน้อยไป คนดูก็ไม่เข้าใจเหมือนกับอ่านจากหนังสือ
โบตั๋น: เค้าควรจะปูเรื่องสักตอนสองตอน เพราะคนดูจะไม่เข้าใจว่า สมบัตินี่จริง ๆ มันของใคร ถ้าเขาปูเรื่องให้คนเข้าใจว่า โป๊ะเป็นใคร ถมปัดเป็นใคร แล้วถมปัดแต่งงานกับศพลเพราะอะไร มีปัญหาอะไรตั้งแต่แรก คนดูจะเข้าใจง่ายขึ้น ตัวละครทุกตัว เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์มันมีที่มาที่ไป คนอ่านหนังสือจะเข้าใจ แต่คนดูละครอย่างเดียวจะไม่เข้าใจ

all: เรื่องตัวละครก็มีจุดที่แตกต่างจากในหนังสือ
โบตั๋น: ในหนังสือนี่....ยายตุ่มน่ะ....ร้ายมาก มันเอาเรื่องอยู่ จะเรียกว่าเด็กมันยั่วก็ได้ (หัวเราะ) มันไม่ใช่เด็กเรียบร้อย ออกจะแก่นซะด้วยซ้ำ ส่วนศศิลดาน่ะ ในหนังสือเป็นลูกของป้า เป็นญาติกัน แถมยังเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลที่หาดใหญ่ แต่ในละครนี่ ศศิลดาขายกาแฟ (หัวเราะ) แถมในหนังสือน่ะ เรื่องเกิดที่สวนส้มโชกุนที่ชุมพร ในละครเขาก็ย้ายจากปักษ์ใต้มาอยู่เชียงใหม่ ซึ่งเราก็เห็นใจเขานะ เขาคงหาสวนส้มไม่ได้ เราก็พยายามเข้าใจ แต่เรื่องมันก็จะเพี้ยนไปหมด ก็ไม่ได้ถือสาอะไร

all: แต่ละครเรื่องนี้ก็ดังมากนะคะ
โบตั๋น: ก็คนดูเค้าชอบกุ๊กกิ๊ก มีคนบอกว่า พอจบสวรรค์ (สวรรค์เบี่ยง) ก็ลงนรก (อเวจีสีชมพู) เลย แต่เนื้อหามันช่างตรงกันข้าม เรื่องสวรรค์ก็แสนจะรันทด เรื่องอเวจีก็ดันเป็นสีชมพู (หัวเราะ) แต่ก็คิดว่าทางช่องเขาเจตนานะ ยังล้อเลยว่าเอาเรื่อง “แม้นรกมากั้น” มาทำอีกเรื่องมั้ย แต่เขาคงไม่เอาหรอกเพราะพระเอกติดคุกตั้ง 6 ปี


อ่านที่คุณโบตั๋นให้สัมภาษณ์แล้ว ตรงใจ ผสมย. มากค่ะ ยิ่งเรื่องที่ละครไม่ยอมปูพื้นเรื่อง แถมยังตัดตัวละครออกจนมั่วไปหมด บอกเลย เซ็งมาก ๆ รู้สึกว่าคนเขียนบทเรื่องนี้ “มือไม่ถึง” อย่างแรง


***************



สงสัยบล็อกนี้คงกลายเป็นบล็อกรายเดือนแน่ ๆ เจ้าของบล็อกขี้เกียจเหลือแสน แฮ่ ๆ
บอกได้คำเดียว จะพยายามค่า
Create Date :05 กรกฎาคม 2551 Last Update :5 กรกฎาคม 2551 16:54:29 น. Counter : Pageviews. Comments :16