bloggang.com mainmenu search
เป็นกระทู้ที่แปะไว้ที่ถนนนักเขียน เลยเก็บมาลงบล็อกด้วย หลังจากไม่ได้แปะอะไรที่บล็อกนานเป็นชาติ 555


เจ้าหญิงใจบุญกับโทรลผู้พิทักษ์คุณธรรม

หมายเหตุ 1: นี่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับผู้คน องค์กร หรือเหตุการณ์ที่เป็นความจริงใดๆ ทั้งสิ้น
หมายเหตุ 2: เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากกระทู้นิทานเรื่อง "เจ้าหญิงปักผ้า" กับ "โทรลอยากเป็นผู้กล้า" ที่โต๊ะห้องสมุด ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องแล้วว่าให้ลอกได้ ไม่ได้ขโมยมาเขียนนะเออ



ตอนที่ 1 เจ้าหญิงใจบุญ

กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานเกินกว่าความจดจำ ในดินแดนที่จะไกลก็ไม่ไกลจะใกล้ก็ไม่ใกล้ ในห้วงเวลาที่ใครอยากจำก็จำ ใครไม่อยากจำก็ช่าง
มีเจ้าหญิงใจบุญและบริวารในอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง อาณาจักรแห่งนี้อุดมไปด้วยเจ้าหญิงใจบุญอยู่หลายองค์ แต่ละองค์ก็มีโฉมที่สิริบ้างไม่สิริบ้างไปตามแรงบุญที่ได้หนุนนำมา อย่าได้แปลกใจเลย สำหรับอาณาจักรแห่งนี้แล้ว คุณสามารถเป็นเจ้าหญิงได้ไม่ยาก ถ้าเพียงแต่คุณมีจิตใจอันเมตตากรุณาปราณีกับสัตว์ผู้ยากไร้ทั้งหลาย (แต่กับมนุษย์ด้วยกันก็ช่างหัวมันหัวเผือก) และมีแฟนานุแฟนหรือที่เรียกเป็นภาษาต่างด้าวท้าวต่างแดนว่า “แฟนคลับ” / “แฟนขับ” นั่นเอง

เจ้าหญิงแต่องค์ก็ได้ประกอบกิจการการกุศลหลายหลาก แต่ที่ยอดฮิตมากมาย ณ อาณาจักรนี้ก็คือ การช่วยเหลือ “ทานูกิ” ไม่ว่าจะเป็นทานูกิบาดเจ็บหรือทานูกิไร้บ้านอยู่ตามพงหญ้า ริมถนนหวั่นให้รถม้าไม้วิ่งมาเหยียบตายยิ่งนัก

ทำไมทานูกิไร้บ้านจึงมีจำนวนมหาศาลเช่นนี้ ก็เพราะทานูกิเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมของอาณาจักร แต่ก็เช่นเดียวกับอาณาจักรอื่น เมื่อมีคนเลี้ยงตามแฟชั่นก็ย่อมตามมาด้วยความเบื่อหน่าย ทำให้ทานูกิหลายตัวถูกทอดทิ้งให้เดียวดายอยู่ข้างถนน บางตัวก็ตายไป บางตัวก็ปรับตัวได้เกิดการผสมพันธุ์กันทำให้ทานูกิน้อย ๆ เกิดขึ้นตามมากอีกมาก และไร้ซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดี

เมื่อทานูกิมีจำนวนมาก เศษอาหารไม่พอกิน ทานูกิเหล่านี้หิวโซ ป่วย ไม่แข็งแรงและอาจจะตายได้ในที่สุด ยังให้เกิดความเวทนาแก่ผู้พบเห็น ดังนั้นบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายจึงได้ตระเวณให้ความช่วยเหลือทานูกิเหล่านี้

แต่ อนิจจา.....

การทำบุญนั้น บางครั้งก็ทำให้เจ้าหญิงหลายองค์ไม่สามารถร่วมทางกันได้.....ไม่สามารถทับที่กันได้ เกิดการกระทบกระทั่งจิกตีกันอยู่เนือง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเล่านิทานก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า....พวกเจ้า ๆ เขาเป็นไรกัน ทำไมร่วมด้วยช่วยกันไม่เป็น
สงสัยคนเล่าจะเป็นสามัญชนเลยไม่เข้าใจความคิดของเจ้า แต่ก็ยืนยันฮ่ะว่าสามัญชนคนนี้ชอบดู "เจ้าฮะ"นะเออ เอ่อ....ก่อนที่จะเป๋ไปอาณาจักรอื่น กลับเข้าเรื่องดีกว่าเนอะ

เจ้าหญิงใจบุญองค์นี้ก็นับเนื่องว่าเป็นเจ้าหญิงที่งด(ความ)งามของเหล่าทานูกิผู้ยากไร้อดโซทั้งหลาย
เจ้าหญิงและบริวารนัมเบอร์วันได้ออกตระเวณแจกจ่ายอาหารให้การรักษาโรค ทำหมันแก่เหล่าทานูกิข้างถนนในละแวกใกล้เคียงปราสาทราชวังของเจ้าหญิง บางครั้งเจ้าหญิงก็นำทานูกิบางตัวมาติดป้ายประกาศแก่ชาวเมืองให้มารับไปเลี้ยงดู

เป็นที่ชื่นชมโสมนัสแก่เหล่าแฟนานุแฟนของเจ้าหญิงยิ่งนัก อาจจะมีคนสงสัยว่าทำไม ในเมื่อรักและสงสารทานูกิเหล่านั้น ทำไมเจ้าหญิงไม่เลี้ยงไว้ซะเองละ เหตุผลก็คือ เจ้าหญิงได้ทรงรับเลี้ยงทานูกิไว้แล้วถึง 1800 ตัว แต่จำนวนทานูกิข้างถนนช่างมากมายมหาศาลเป็นหมื่นเป็นแสน ซึ่งไม่สามารถรับเข้าไปอยู่ในวังของเจ้าหญิงได้ทั้งหมด และเจ้าหญิงก็กลัวว่าคนอื่นจะไม่ได้รับผลบุญเป็นเจ้าหญิงเหมือนกับเจ้าหญิงใจบุญ จึงต้องประกาศให้คนมารับไปเลี้ยง เผื่อผลบุญจะนำเนื่องให้ผู้รับเลี้ยงได้กลายเป็นเจ้าหญิงตาม ๆ กันไป

ในวันหนึ่ง ก็มีป้ายปิดประกาศติดบอกแก่ชาวเมืองว่าได้มีทานูกิ เพศเมีย 1 ตัวต้องการหาบ้านด่วนเพื่อหลบหนีจากการถูกทารุณกรรมทางเพศจากคนเฝ้าประตูหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งเมื่อเห็นป้ายประกาศนี้ ยังความตกอกตกใจแก่บรรดาแฟนานุแฟนของเจ้าหญิงเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งมีบริวารนัมเบอร์วันของเจ้าหญิงเข้ามายืนยันในสิ่งที่ป้ายประกาศบอกไว้ และบริภาษคนเฝ้าประตูอย่างสาดเสียเทเสีย เหล่าผู้คนก็ยิ่งให้ความเชื่อถือในข้อมูลที่ได้เอ่ยอ้างมา และช่วยรุมประนามคนเฝ้าประตู

ทั้งสาปแช่ง ด่าทอ ถามหา บางคนต้องการส่งเรื่องร้องเรียนเพื่อนำตัวคนเฝ้าประตูคนนี้มาลงโทษตามกบิลเมือง บางคนก็ต้องการรุมประชาทัณฑ์คนเฝ้าประตูคนนี้ให้สาสม

ระหว่างที่ผู้คนกำลังรุมด่าหน้าป้ายประกาศอันนั้น ยังมีอัศวินขับซาเล้งผ่านมาเห็นป้าย เห็นผู้คนมากมาย เลยแวะดูรูป และจำได้ว่า ทานูกิตัวเมียตัวนี้เป็นตัวที่วิ่งเล่นแถว ๆ หมู่บ้านที่เขาอยู่นี่นา ไม่ได้การแล้วต้องไปสืบดูหน่อยว่าเรื่องจริงมันเป็นเช่นไร

และแล้วในวันต่อมา ก็ได้มีป้ายประกาศอันใหม่มาแปะแทนที่อันเดิมที่อันตรธานหายไป
มีเนื้อหาใจความกินใจยิ่งนัก จากฝั่งอัศวินขับซาเล้ง ที่ได้เล่าความผูกพันระหว่างทานูกิกับคนเฝ้าประตู ตั้งแต่ตัวน้อยจนเติบใหญ่
จนกระทั่งทานูกิน้อย ๆ นั่นโตเป็นสาวไปผูกสมัครรักใคร่กับทานูกิตัวผู้แถวนั้น แต่ภัยร้ายก็ได้กรายมาถึง....
มีคนมาจับตัวทานูกิทั้งสองตัวไป ทานูกิของคนเฝ้าประตูถูกส่งไปโรงรักษาเพื่อทำหมัน...แต่หารู้ไม่ว่าได้ทำลายทานูกิน้อย ๆ ในท้องของแม่ทานูกิไปด้วย

อนิจจา....ลูกน้อยต้องมาถูกทำแท้งจนตาย แม่ทานูกิร่ำไห้ คนเฝ้าประตูร่ำร้อง

ทำไมกระผมต้องกลายเป็นจำเลยสังคม ถูกดูหมิ่นเยียดหยาม เพราะกระผมต้อยต่ำเป็นเพียงคนเฝ้าประตูหมู่บ้านใช่ไหม

สำนวนภาษาของป้ายประกาศอันนี้ช่างซาบซึ้งกินใจยิ่งนัก เป็นที่เวทนาแก่ผู้คนที่ผ่านมาเห็นป้ายอันใหม่อันนี้
ต่างก็ออกความเห็นว่า สิ่งที่เจ้าหญิงทำลงไปนั้นได้ไร้ซึ่งหลักฐาน ในขณะที่อีกฝั่งมีพยานแน่นหนากว่า
เจ้าหญิงทำแบบนี้ทำไม ต้องการเอาหน้า? หรือว่าแค่หูเบาเชื่อคำของบริวาร
มีผู้คนมากมายทั้งที่อยู่ถิ่นนั้น และจากละแวกใกล้เคียงที่ได้ยินการป่าวประกาศเกี่ยวกับเรื่องนี้ เดินทางแห่แหนกันเข้ามาดูและวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย

บ้างก็ด่าทอเจ้าหญิงว่า ชอบกินสตอเบอรี่
บ้างก็ต้องการให้เจ้าหญิงออกมาขอขมาคนเฝ้าประตู
บ้างก็ไปไล่ดูว่า มีใครร่วมด่าทอคนเฝ้าประตูต้องมาขอโทษ
บ้างก็ต้องการให้คนเฝ้าประตูนำเรื่องนี้เข้าสู่กบิลเมือง โดยจะให้การสนับสนุนทุนการเดินทางทั้งหมด
และบ้างก็ไปขุดคุ้ยเรื่องเก่าเรื่องอื่นที่ทำนองเดียวกัน แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้มาเม้าท์

เจ้าหญิงทนความกดดันของผู้คนไม่ไหวเลยมาติดป้ายประกาศขอโทษ แต่ คนเข้ามาอ่านแล้วก็อึ้งว่าทำไมคำขอโทษมันดูทะ:-) ๆ ที่สำคัญไม่ได้ขอโทษคนเฝ้าประตู แต่เพียงเป็นการขอโทษแฟนานุแฟนของเจ้าหญิงเท่านั้น แถมยังมีคำพูดที่ว่า

"เสียใจที่ไม่สามารถส่งทานูกิไปได้ดีกว่านี้ ได้อยู่บ้านดี ๆ วังสวย ๆ ของอนาคตเจ้าหญิงที่จะมารับเลี้ยง"

ยังความงุนงง และความโกรธเคืองจากผู้คนที่เข้ามาอ่านอย่างยิ่ง เกิดการด่าทออย่างหนักข้อขึ้นไปอีก อะไรฟร่ะ! ทานูกิมันอยู่ดี ๆ กับเจ้าของมัน ทำไมต้องไปพรากมันด้วย
คนเลี้ยงทานูกิต้องเป็นเจ้าหญิงเท่านั้นใช่ไหม คนธรรมดาหาเลี้ยงได้ไม่

ในขณะที่แฟนานุแฟนที่มีรายชื่อว่าร่วมด้วยช่วยด่าคนเฝ้าประตูก็เริ่มทยอยออกตัวมาขอโทษในเรื่องที่เกิดขึ้นกันเป็นแถว
แต่เจ้าหญิงและบริวารนัมเบอร์วันยังคงเก็บตัวเงียบ หรืออาจจะเป็นเพราะช่วงนั้นเป็นเทศกาลใหญ่ประจำเมือง ทำให้ผู้ที่มีฐานันดรศักดิ์อย่างเจ้าหญิงต้องเข้าร่วมพระราชพิธีเทศกาลอันศักดิ์สิทธิ์นี้เลยมิได้นำพาต่อป้ายประกาศและผู้คนตรงนี้อีกเลย

ในที่สุด เมื่อถึงช่วงวันท้าย ๆ ของเทศกาลอันยิ่งใหญ่ อัศวินขับซาเล้งมีป้ายประกาศอันใหม่ใสกิ๊ง มาแปะบอกว่า เจ้าหญิงได้สละทรัพย์ส่วนพระองค์ให้แก่คนเฝ้าประตูเพื่อเป็นการปลอบขวัญแล้ว คนเฝ้าประตูก็ไม่ได้ติดใจแต่ประการ
ทั้งสองได้จับมือเซ็นสัญญายุติเรื่องราวทั้งหมด โดยมีอัศวินขับซาเล้งกับชาวบ้านอีก 2 คนเป็นพยาน
ในขณะที่ฝั่งของเจ้าหญิงก็มีบุคคลลึกลับคนหนึ่งมาช่วยเป็นพยานเช่นกัน
โดยบุคคลลึกลับคนนี้ไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใครเมื่อถูกถาม บอกเพียงว่าเป็นสาวฉันทนาแถวนั้นนั่นแหละ

ผู้คนที่มาอ่านป้ายประกาศอันใหม่นี้ต่างโห่ร้องด้วยความยินดี จะได้แยกย้ายไปทำงานทำการสักทีด้วย ใกล้หมดวันหยุดเทศกาลประจำปีแล้วนี่ มัวแต่มุงเรื่อง "ทานูกิ" ไม่เป็นอันทำอะไร ถ้าหมดวันหยุดต้องอู้งานมามุงอีก เดี๋ยวได้มีใครโดนไล่ออกเพราะทานูกิเป็นแน่ 55555555

เรื่องเหมือนจะจบลงด้วยดี แต่.......

โปรดติดตามตอนต่อไป โทรลผู้พิทักษ์คุณธรรม

....................................................................



ตอนที่ 2 โทรลผู้พิทักษ์คุณธรรม

ก่อนอื่น เราควรจะทราบพื้นเพของโทรลเสียก่อน

โทรลเป็นอมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในหนองน้ำ โทรลชอบฟังเสียงอึกทึกและเปล่งเสียงของตน จึงมักชอบที่ชุมนุม และมีเหตุผลเฉพาะของโทรล ซึ่งกว้างขวางและลึกล้ำเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจ

โทรลสาวตนนี้ขึ้นมาจากหนองน้ำเช่นกัน บังเอิญว่าหมู่บ้านเล็กๆ อันอบอุ่นและรักใคร่กลมเกลียวกันประหนึ่งพี่น้องร่วมปาร์ตี้จิบยาดองแกล้มปลาดุกย่างริมสระน้ำอ่างพลาสติกหน้าหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่ที่โทรลมักไปสังสรรค์นั้นได้มีแขกผู้มาเยือนมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นของเจ้าหญิงใจบุญผู้น่าสงสารให้โทรลผู้เป็นผู้ใหญ่บ้านฟัง และโทรลผู้ใหญ่บ้านก็ได้ถ่ายทอดให้แก่โทรลสาวผู้(อยาก)เป็นเสาหลักพิทักษ์อาณาจักรได้ฟังต่อ โทรลสาวจึงได้เข้ามายังอาณาจักรใหญ่ เพื่อแก้ข่าวและให้ความช่วยเหลือเจ้าหญิงผู้น่าเวทนา

โทรลสาวได้นำป้ายประกาศอันใหม่ ใหญ่บิ๊กมาแปะแสดงแก่ชาวเมืองและยืนถือโทรโข่งประกาศไปว่า
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้มีเงื่อนงำ อัศวินขับซาเล้งนั่นเขียนในสิ่งที่เป็นเท็จ ทุกเรื่องราวที่เจ้าหญิงเล่ามานั้นเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด เจ้าหญิงย่อมไม่มุสาแก่ผู้ใด
ชาวเมืองได้ฟังดังว่า ก็ได้แต่มึนตึ๊บยิ่ง ก็เรื่องมันจบไปแล้วไม่ใช่เหรอ โทรลสาวจะมาแหกปากร้องหาสวรรค์นรกขุมใด

โทรลสาวบอกกับชาวเมืองไปว่า โทรลเป็นผู้พิทักษ์คุณธรรมประจำอาณาจักรแห่งนี้ เมื่อเห็นความไม่ชอบมาพากลก็ย่อมเป็นหน้าที่ที่จะต้องออกมาป้องปกให้สังคมดำรงอยู่ด้วยความเรียบร้อย..........ชาวเมืองสับสนถามกลับไปว่า ใครเป็นคนแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้พิทักษ์คุณธรรมกันเล่า ทำไมพวกเราไม่รู้

“ไม่จำเป็นต้องมีใครมาแต่งตั้งเรา เราเห็นอาณาจักรนี้ช่างฟอนเฟะ วุ่นวายหนักหนา เราจึงแต่งตั้งตัวเอง ลาดตระเวณพิทักษ์ธรรมไปทั่วราชอาณาจักร”

ผู้คนได้อึ้ง ไม่มีใครตั้ง แต่สถาปนาตัวเองนี่นะ ไม่ใช่โทรลคิดไม่ได้นะจ๊ะ

มีหน่วยหน้าไปสะกิดถามโทรลสาวว่า ถ้าเป็นเรื่องจริงแล้วใยเจ้าหญิงต้องสละทรัพย์พร้อมทำสัญญาหยุดยิง เอ๊ย....(ลืมไปนึกว่าเรื่องชายแดนไทย-เขมร) ทำสัญญายุติข้อพิพาทเรื่องราวทั้งหมดด้วยเล่า ทำไมไม่เอาตัวคนเฝ้าประตูไปลงโทษ เพราะไปกระทำการวิปริตผิดธรรมชาติ ต้องได้รับโทษขั้นสูงสุด เนรเทศออกไปเสียจากอาณาจักรแห่งนี้
โทรลสาวกลับตอบมาว่า ฝ่ายอัศวินขับซาเล้งก็ไม่มีหลักฐานพยานเช่นกันว่า คนเฝ้าประตูไม่ได้กระทำการเยี่ยงนั้น เพราะฉะนั้นฝ่ายเจ้านั่นแหละที่ต้องหาหลักฐานมาบอกว่า คนเฝ้าประตูต่างหากที่ไม่ผิด เจ้าหญิงเป็นถึงเจ้าหญิงของทานูกิทั้งปวงย่อมไม่เคยทำไรผิดเลย

เจ้าหญิงที่แสนจะบอบบางต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกอัศวินและชาวบ้านหลายร้อยคนรุมข่มขู่ให้ยินยอมสละทรัพย์สิน นี่มันคือ การปล้นกันชัด ๆ ตอนนี้เจ้าหญิงกลัวจนไม่สามารถจะอยู่สู้หน้าใคร เราจึงรับอาสามาป้องปกเจ้าหญิงเอง

ชาวบ้านร้านช่องได้ฟังคำของโทรลสาวก็ได้ส่ายหน้า ไม่รู้จะพูดอะไรต่อไป เพราะตรรถกะของโทรลนั้นไม่เป็นไปในทางเดียวกันกับชาวเมืองเลย แต่ก็ยังมีหน่วยกล้าตายยังสะกิดถามต่อไปอีกว่า ทำไมเรื่องที่โทรลเล่ามาช่างผิดแผกจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์เล่า หรือว่าโทรลนั้นได้อยู่ร่วมเหตุการณ์กับเขาด้วย

โทรลสาวจึงได้เอื้อนเอ่ยขึ้นมาว่า เราได้รับฟังจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริง เขาย่อมไม่มุสาแน่แท้

เอาละสิ ชาวเมืองหันมามองหน้ากันมันก็ฟังเขาเล่าว่ามาเหมือนกัน แต่ทำไมออกตัวแรงยังกับอยู่ร่วมเหตุการณ์ซะเอง ไม่ใช่โทรลทำไม่ได้นะเนี่ย แล้วคิดกันว่าใครละคือคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริงที่ถ่ายทอดเรื่องราวในแบบคนละเรื่องเดียวกันให้โทรลฟัง
ทันใดนั้นเองบริวารนัมเบอร์วันของเจ้าหญิงก็ย่องเข้ามา เอ่ยเอื้อนวาจาขอขมาแก่คนเฝ้าประตูว่า สิ่งที่เธอพูดไปนั้นทำให้คนเฝ้าประตูเสียหาย ต้องขออภัย

ชาวเมืองก็ได้รับรู้ แต่ก็อาจจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่า สงสัยเป็นเพราะยัยบริวารนัมเบอร์วันนี่แหละที่เอาเรื่องไม่จริงไปเล่าให้เจ้าหญิงฟัง เลยทำให้เจ้าหญิงมาแปะป้ายประกาศจน “เสียทานูกิ” ไป จากนั้นก็มีเสียงก่นว่าพึมพำ ๆ และแล้วชาวเมืองคนหนึ่งที่ไปเป็นพยานการเซ็นสัญญาของเจ้าหญิงกับคนเฝ้าประตูก็เกิดระลึกขึ้นมาได้ว่า แม่บริวารคนนี้นี่เองที่อยู่กับเจ้าหญิงในวันนั้นแล้วไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใคร บอกแค่เพียงเป็นสาวฉันทนา แต่ได้มาทำลับ ๆ ล่อ ๆ ไม่เป็นที่น่าไว้ใจ

สาวฉันทนาได้ฟังแล้วก็กริ้วโกรธายิ่งนัก เพราะจากบริวารนางกำนัลกำลังจะได้อัพตัวเป็นเจ้าหญิงอยู่แล้วเชียว มาเกิดเรื่องเช่นนี้ทำให้ทุกสิ่งอย่างที่ทำมานั้นสูญสิ้นไปทั้งหมด บันไดที่จะไต่เต้าสู่ความเป็นเจ้าหญิงพังทลาย จึงบริภาษด่าทอเสียงดังโวยวาย สลับกับเสียงโทรลสาวที่ผลัดกันขึ้นมาโต้ตอบกับชาวบ้านร้านตลาดที่มามุงดู และบางคนก็กระโดดเข้าไปร่วมวงโต้เถียงกับโทรลชุลมุนจนคนเล่าเองก็แยกไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้ใครเป็นใครแล้ว รู้แต่คนเล่าเริ่มมึน เลยต้องเดินแยกวงออกมาจากที่ชุมนุมมาฟังอยู่ไกล ๆ เพราะหนวกหูยิ่งนัก

สักพักก็มีนกกระจอกน้อยสายข่าวจากแดนไกล มาประกาศแก่ผู้คนที่กำลังมาชุมนุมว่า เรารู้แล้วว่า โทรลสาวนั้นได้แหล่งข่าว อู่ข้าวน้ำที่ซบอกนั้นคือที่ใด ที่หมู่บ้านชานเมืองแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งผู้ใหญ่บ้านนั้นได้ถูกอัปเปหิออกจากราชอาณาจักรแห่งนี้ไปแล้วด้วยข้อหาใดไม่มีใครทราบ แต่ที่แน่ ๆ เขาเป็นโทรลตัวผู้ ที่ตอนนี้ได้ตั้งตัวเป็นผู้ใหญ่บ้าน ณ ที่แห่งนั้น และมักจะตั้งวงจิบไวน์ยาดองเคล้าปลาดุกย่างริมสระน้ำหน้าหมู่บ้าน เม้าท์มอยทุกอย่างตั้งแต่เรื่องในอาณาจักรไปจนถึงเรื่องในมุ้ง

ชาวบ้านหลายคนได้ยินดังนั้นจึงได้ฮือกันเดินทางไปสังเกตการณ์ยังหมู่บ้านชานเมือง และได้พบว่าโทรลผู้ใหญ่บ้านกำลังบริภาษเรื่องราวที่เป็นข่าวคราวดังด้วยตรรถกะในแบบของโทรลอยู่มีการเอ่ยอ้างถึงชื่อของชาวเมืองบางคน ทำให้ชาวบ้านบางคนที่เดินทางไปนั้นทนไม่ไหวกระโดดลงไปโต้เถียงขัดแย้งกับโทรลผู้ใหญ่บ้านทันที ทำให้เกิดศึกน้ำลายขึ้นอีกด้านทั้งที่ในเมืองนั้นศึกก็ยังไม่จบเลย

แต่โทรลก็ยังเป็นโทรล เมื่อหาเหตุผลไม่ได้ก็จะมีลูกคู่ออกมาปกป้องว่า ที่นี่คือบ้านของโทรล ทำไมพวกชาวบ้านรุกล้ำเข้ามา แต่ชาวบ้านก็เถียงกลับไปอีกว่า ที่ตรงนี้โทรลเป็นคนเรียกชื่อให้มาเองไม่ใช่หรือ แล้วโทรลเองนั่นแหละที่มีอำนาจปิดบ้านได้แต่ไม่ปิดก็แสดงว่าต้องการให้เกิดการปะทะสังสรรค์เอง....ช่วยไม่ได้

นิทานเรื่องนี้ ผู้เล่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะจบยังไง แต่ถ้าให้เดาก็คงจบแบบ โทรลคือสัตว์ที่ฆ่าไม่ตาย ไม่บาดเจ็บ ยิ่งมีการโต้เถียงด่าทอ ยิ่งสนุก ยิ่งชอบ เพราะสิ่งที่กล่าวมานั้นคืออาหารอันแสนโอชะของโทรล ดังนั้นถ้าอยากให้โทรลเฉาตายต้องอย่าให้อาหาร ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ เพราะโทรลมีความสามารถสูงยิ่งในการเรียก/ขโมย/ฉกชิง อาหารจากชาวบ้านที่รู้ไม่เท่าทัน

นิทานเรื่องนี้จึงได้สอนให้รู้ว่า จงให้อาหารทานูกิ แต่อย่าให้อาหารโทรล
และสอนว่าถ้าจะมุงต้องว่างเท่านั้นอย่าอู้งานมามุงเพราะท่านอาจตกงานได้!


Create Date :27 เมษายน 2554 Last Update :27 เมษายน 2554 20:08:58 น. Counter : Pageviews. Comments :7